วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

วันวานที่บ้านเกิด



 "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แผ่นดินของเรานี้แสนอุดมสมบูรณ์ บ้านเมืองราบคาบ  ด้วยอานุภาพพ่อขุนรามคำแหงค้ำจุน ให้ชาติไทยไพศาล........"

   เสียงเพลงประจำจังหวัดจากลำโพงกระจายเสียงประจำหมู่บ้าน ปลุกผู้คนให้ตื่นขึ้นมาในท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าที่สดใสของท้องถิ่นชนบทแห่งนั้น

    เพลง "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" เป็นเพลงประกอบละครเรื่อง อานุภาพพ่อขุนรามคำแหง อันเป็นการแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ในแผ่นดินสมัยพ่อขุนรามคำแหง แสดงให้เห็นถึงอานุภาพของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หลวงวิจิตรวาทการได้แต่งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ต้นฉบับเดิมจากแผ่นครั่ง

เนื้อร้อง

ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว
แผ่นดินของเรานี้แสนอุดมสมบูรณ์
บ้านเมืองราบคาบ
ด้วยอานุภาพพ่อขุนรามคำแหงค้ำจุน
ให้ชาติไทยไพศาล


สร้างทำนาไร่ ทั่วแคว้นแดนไทย
เราไถเราหว่าน หมากม่วงหมากขาม
หมากพร้าว หมากกลาง
พืชผลต่างๆ ล้วนงามตระการ


สร้างบ้านแปลงเมือง
ให้เกียรติไทยลือเลื่องไปทั่วทุกถิ่นฐาน
จูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย
ปวงราษฎร์ทั้งหลายได้อยู่เป็นสุขสำราญ

ขับร้อง : นภา หวังในธรรม + นำหมู่  
คำร้อง : พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ



ความเป็นมาของเพลง ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว


     เพลงในน้ำมีปลาในนามีข้าว เป็นเพลง ๆ หนึ่งในละครร้องเรื่องอานุภาพพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประพันธ์โดยพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร แต่งขึ้นในยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี ๒๔๗๕ ซึ่งท่านจะมีแนวในการแต่งบทละครช่วงนั้นเพื่อ "ปลูกต้นรักชาติ" คือเพื่อประโยชน์ทางการปกครอง แต่เป้นบทละครซึ่งประพันธ์ขึ้นในช่วงที่ ๒ ของการเป็นนายกรับมนตรีของจอมพลป.พิบูลสงคราม

บทละครในช่วงแรกของพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ เขียนขึ้นหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ ซึ่งรัฐบาลต้องการปลูกฝังเรื่องชาตินิยม และมีนโยบายรัฐนิยมกับนโยบายวีรธรรมของชาติ บทละครของหลวงวิจิตรวาทการมีบทบาทอย่างยิ่งในการนำลัทธิชาตินิยมสู่ประชาชนเพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาล

บทละครเรื่องอานุภาพพ่อขุนรามคำแหง แต่งในช่วงที่จอมพลป.ขึ้นเป็นนายกสมัยที่สอง๒๔๙๑ – ๒๕๐๐  และเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองและหลังการสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ สถานการณ์บ้านเมืองตอนนั้นไม่ปรกตินัก มีภัยคุกคามของคอมมิวนิสต์ด้วย หลวงวิจิตรวาทการจึงต้องเขียนบทละครที่นอกจากจะปลูกฝังความรักชาติแล้ว ยังต้องมีแนวคิดต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วย บทละครในช่วงนี้ เช่น อานุภาพพ่อขุนรามคำแหง อานุภาพแห่งความเสียสละ อานุภาพแห่งความรัก และ อานุภาพแห่งศีลสัตย์ โดยบทละครเรื่อง อานนุภาพพ่อขุนรามคำแหงนั้น มุ่งปลุกใจให้รักชาติโดยให้เห็นความเก่งกาจของบรรพบุรุษไทย ให้คนไทยเอาเยี่ยงอย่าง บทเพลงในน้ำมีปลาในนามีข้าวก็เป็นเพลง ๆ หนึ่งในละครเรืองนี้

   นี่ล่ะเพลงของจังหวัดสุโขทัย จังหวัดที่แปลว่า "รุ่งอรุณแห่งความสุข" ต่อในภายหลังจะมีแต่งเพลงประจำจังหวัดขึ้นมาใหม่  แต่คนที่นี่จะยอมรับเพลงในน้ำมีปลาในนามีข้าวเสียมากกว่า เพราะดินแดนแห่งความสุขนี้เป็นเช่นนั้นจริงๆ  ในวิถีชีวิตของคนที่นี่ เช้า สาย บ่าย ค่ำ มีวิถีที่เรียบง่ายมีความสุขกับเมืองเล็กๆแต่ผูกพันกับประวัติศาสตร์อันยาวนาน

  

น้ำกระเจี๊ยบพุทราจีน


น้ำกระเจี๊ยบพุทราจีน

คือ การนำเอากระเจี๊ยบแดงแห้งหรือสดก็ได้ มาต้มรวมกับพุทราแห้ง เป็นพุทราจีน หรือพุทราป่า (พุทราไทย) ก็ได้ เพื่อทำเครื่องดื่ม

ประโยชน์
    ช่วยล้างไขมันในเลือดที่มีมากเกินไป เมื่อไขมันถูกล้างออกมาเรื่อยๆ โดยการกินน้ำกระเจี๊ยบพุทราจีนผนังหลอดเลือดก็จะยืดหยุ่นบีบตัวและขยายตัว เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดสะดวกขึ้น บีบตัวและขยายตัว ตามจังหวะการเต้นของหัวใจให้สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยไม่มีไขมันมาขัดขวางพวกเส้นเลือดขอดก็จะพอทุเลาลงได้ แล้วยังข่วยให้เส้นเลือดแข็งแรง ไม่เปราะ

    -ไม่ควรต้มกระเจี๊ยบกินเดี่ยวๆ เป็นเวลานานๆ เพราะจะทำให้ไตเสื่อม จึงต้องมีพุทราจีน
    ตากแห้งผสมลงไปเป็นตัวแก้และยังช่วยบำรุงไตไปพร้อมกัน
    -ไม่เติมน้ำตาลหรือเติมก็ได้ไม่ควรเติมน้ำตาลให้หวานเกินไป

วิธีทำ
    เตรียมกระเจี๊ยบ 1 ขีด
    เตรียมพุทราจีน 2 ขีด
    ล้างน้ำให้สะอาดบีบพุทราจีนให้แตก ใส่รวมกันลงภาชนะเติมน้ำเปล่า 4 ลิตร เคี่ยวประมาณ 1/2 ชั่วโมง ต้มให้เดือดสักพักหนึ่งแล้วยกลง เทกรองเนื้อออกให้เหลือแต่น้ำ เติมน้ำตาลแล้วชิม ถ้าไม่เติมน้ำตาล ใช้ใบหญ้าหวาน หรือลำไยตากแห้ง แทนน้ำตาลจะได้ความหวานจากธรรมชาติที่ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ทำเก็บใส่ขวดแช่เย็นเอาไว้ดื่มได้หลายวัน

มาดูสรรพคุณของกระเจี๊ยบ
1. เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดน้ำหนักด้วย
2. ลดความดันโลหิตได้โดยไม่มีผลข้างเคียง
3. น้ำกระเจี๊ยบทำให้ความเหนียวข้นของเลือดลดลง
4. ช่วยรักษาโรคเส้นโลหิตแข็งเปราะได้ดี
5. มีฤทธิ์ขับปัสสาวะเป็นการช่วยลดความดัน อีกทางหนึ่ง
6. ช่วยย่อยอาหารเพราะไม่เพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร
7. เพิ่มการหลั่งน้ำดีจากตับ
8. เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่นเพราะมีกรดซิตริคอยู่
9. มีสารแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง

กระเจี้ยบมีสรรพคุณแก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ แก้ปัสสาวะพิการ แก้คอแห้งกระหายน้ำ แก้ความดันโลหิตสูง กัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำไส้ บำรุงโลหิต ลดอุณหภูมิในร่างกาย แก้โรคเบาหวาน แก้เส้นเลือดตีบตัน แก้อาการสมองเสื่อม

นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนผสมในตำรับยาที่ใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่นเป็นยาถ่ายพยาธิตัวจี๊ด

วิธี และปริมาณที่ใช้ : นำเอากลีบเลี้ยงหรือกลีบรองดอกสีม่วงแดง ตากแห้งและบดเป็นผง ใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา (หนัก 3 กรัม) ชงกับน้ำจืด 1 ถ้วย (250 มิลลิลิตร) ดื่มเฉพาะน้ำสีแดงใส ดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวันจนกว่าอาการขับเบาและอาการอื่นๆ จะหายไป

สารอาหารที่มีประโยชน์
Protocatechuic acid. Hibiscetin, hibicin, organic acid, malvin, gossympetin.

คุณค่าทางโภชนาการ
น้ำกระเจี๊ยบแดงมีรสเปรี้ยวนำมาต้มกับน้ำเติมน้ำตาลและเกลือเล็กน้อย ดื่มแก้ร้อนในกระหายน้ำ และช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือดได้ นอกจากนี้สีแดงเข้มที่ได้จากสาร Anthocyanin ยังนำไปแต่งสีอาหารตามต้องการได้อีกด้วย


มาดูสรรพคุณของพุทราจีน

พุทราเป็นผลไม้ที่มี วิตามิน A และ c ในปริมาณมาก ซึ่งส่งผลต่อการบำรุงสายตาและผิวให้สุขภาพดีไม่เป็นโรคเกี่ยวกับผิวพรรณและ สายตา ตาไม่ฟาง และไม่บอดกลางคืน

-   เปลือกของพุทราเป็นยาแก้อาการท้องเสียอย่างดี ด้วยเพราะสารแทนนินซึ่งออกรสฝาดในเปลือกพุทรานั่นเอง

-   เมล็ดพุทราก็มีประโยชน์มากเช่นกัน เพราะนำมาป่นรักษาอาการชักในเด็กได้อีกทั้งยังลดไข้แก้หวัดในเด็กด้วย

-  ใบของพุทราก็มีคุณสมบัติในการลดพิษแมลงสัตว์กัดต่อยและผื่นคันต่างๆ ได้อีกด้วย สรรพคุณมีตั้งแต่รากจรดปลายจริงๆ มีพุทราไว้ในบ้านสักต้นรับรองคุ้มจริงๆ

นอกจากนี้พุทราจีนมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงเลือด บำรุงกำลังที่ดี และใช้ผสมกับยาสมุนไพร บำรุงส่วนอื่นๆอีก นอกจากนี้ยังสามารถลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เสนเลือดเเข็งตัว เส้นเลือดหัวใจตีบตัน และเส้นเลือดในสมองแตก ทั้งยังเป็นยาบำรุงประสาทแก้โรคนอนไม่หลับด้วย

ที่มา....ichumphae.com

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

วิถีแบบอินเดีย


วิถีแบบอินเดีย
โดย Nattapat Thongthae เมื่อ 16 มีนาคม 2012 เวลา 14:31 น. ·

     ต่อไปนี้จะเป็นความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ควรจะรู้เกี่ยวกับวิถีของคนอินเดียนะคะ อาจจะเป็นแค่รายละเอียดปลีกย่อย แต่ถ้าเราได้เรียนรู้ข้อมูล หรือวิถีชีิวิตปกติของคนอินเดียก่อนเดินทางไป ก็จะทำให้เราเข้่าใจคนประเทศนี้มากขึ้น และจะได้ไม่ทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมอีกด้วยค่ะ

 - ศาสนาและความเชื่อไม่ใช่เรื่องล้อเล่น  ชาวอินเดียส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญและจริงจังกับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา มาก จะมีกฏเข้มงวดสำหรับการปฏิบัติภายในวัด เช่น การถอรองเท้าก่อนจะเข้าเขตวัด และห้ามถ่ายรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัด ซึ่งถ้าเราฝ่าฝืนก็อาจจะถูกปรับ หรือโดนต่อว่าจากชาวอินเดียได้นะจ๊ะสาวๆ

 - ถ่ายรูป อันนี้ต้องระวังอย่างมาก เพราะชาวอินเดียบางคนมีความเชื่อว่า ถ้าถูกถ่ายรูปแล้ว อายุจะสั้นลง และห้ามถ่ายรูปผู้ที่อยู่ในช่วงไว้ทุกข์นะคะ

 - กินอาหารด้วยมือ อย่าตกใจนะคะ ถ้าเ็ห็นชาวอินเดียเปิดอาหารด้วยมือ (ขวา) เพราะเค้าเชื่อว่าการกินอาหารจากมืออร่อยกว่ากินด้วยช้อนจ้า ถ้าเราไปเข้าร้านอาหารที่ไหน แล้วไม่มีช้อนมาให้ เราก็สามารถขอได้ หรือจะพกไปเองก็ดีนะค่ะ อิอิ!!

 - อนุรักษ์นิยม ชาวอินเดียส่วนใหญ่ไม่นิยมแต่งตัวเปิดเผยเช่นชาวตะวันตก ยกเว้นในเมืองใหญ่ๆ อย่างกรุงเดลลีเท่านั้น ต้องขอแนะนำน้องๆว่าควรแต่งกายให้มิดชิด และไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่เน้นรูปร่างจนเกินไป เพราะถือว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสม พี่เคยถูกมองด้วยสายตาตำหนิ ตั้งแต่ตอนลงจากเครื่องเลย เนื่องจากสวมกระโปรงสั้น ฮิๆๆๆๆ

 - การบีบแตรรถบนถนน เสียงแตรรถที่ดังอื้ออึงบนถนน เป็นเรื่องปกติของชาวอินเดียนะคะ แต่อาจจะสร้างความรำคาญให้กับพวกเราไม่ใช่น้อย สาเหตุที่ต้องบีบแตรรถใส่กันตลอดเวลาก็เนื่องจากว่า ตามถนนหนทางของอินเดียไม่ค่อยมีสัญญาณไฟจราจรมากนัก และอีกทั้งฝูงคน วัว และอูฐ ต่างเดินกันขวักไขว่เรียกได้ว่าวุ่นวายกันไปหมด ดังนั้นการบีบแตรจึงหมายถึงการขอทาง หรือขอแซง

 - ความโกลาหลของฝูงชน ไม่ว่าจะก้าวย่างไปทางไหนของอินเดีย คุณจะหลีกไม่พ้นเรื่องของคลื่นมหาชนที่เบียดเสียดกันไปหมด ทั้งเวลาต่อแถวซื้อตั๋วรถไฟ และเดินซื้อของในตลาด เรื่องนี้ต้องขอให้ทำใจนะคะ เพราะประชากรของอินเดียมีเป็นพันๆล้านคน แล้วจะไม่ให้เจอกับคลื่นมหาชนในที่สาธารณได้อย่างไรจ๊ะ

 - ห้องน้ำสาธารณะ หรือห้องน้ำกลางทุ่งจะมีอยู่ทั่วไป แต่ขอบอกว่า...อื้อหือ!!! หลีกหนีไปไกลๆ เป็นดีที่สุดค่ะ ไม่งั้นจะต้องเจอกับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์อย่างแน่นอนจ้าาา

     หวังว่าข้อมูลเล็กๆน้อยๆเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ที่พอจะเปิดใจให้กับน้องๆ ยอมรับความเป็นวิถีของอินเดียได้บ้างนะจ๊ะ











มองอินเดีย...จาก Nattapat



       ถ้าหากว่ามีใครสักคนเอ่ยถึงประเทศ "อินเดีย" ความคิดแว่บแรกที่เข้ามาในความคิดของคนไทยส่วนใหญ่ก็ต้องนึกถึง ภาพความรก รุงรังของท้องถนน ขอทาน เครื่องเทศกลิ่นแรง ความสกปรก บางคนก็เหมารวมไปว่าอินเดีย ไม่เห็นมีอะไรน่าดูเลย ซึ่งดิฉันก็เคยรู้สึกเช่นนั้น มาก่อน แต่เมื่อได้เดินทางไปสัมผัส ท่องเที่ยวที่อินเดียมาแล้ว ก็ทำให้ความคิดเก่าๆ ค่อยเปลี่ยนไปเป็นความ "ทึ่ง" อย่างไม่น่าเชื่อ

     หากเราจะเปรียบประเทศอินเดียเป็นคน ก็คงจะเป็นคนคนหนึ่ง ใส่เสื้อผ้าปอนๆ หิ้วย่ามเก่าๆ แต่กลับซุกซ่อนของล้ำค่าเอาไว้มากมาย เมื่อเราได้หยิบของแต่ละชิ้นออกมาเพ่งพินิจดูแล้ว ทั้งหมดช่างงดงามจนประเมินค่ามิได้ แต่อย่างไรเสียเราก็คงต้องใช้ความพยายามพอสมควรสำหรับการค้นหา เพราะเจ้าของสมบัติไม่ได้เก็บทุกอย่างไว้เป็นระเบียบ มันก็เลยผสมปนเปกันไปหมด....

      แต่ถึงกระนั้น การท่องเที่ยวในอินเดียยังมีครบทุกรสชาติให้ได้สัมผัสทั้งผู้คน อาหาร บ้านเรือน ฝูงวัว หรือสถาปัตยกรรมความงามติดอันดับโลกเลยนะคะ เพียงแค่เราเปิดใจให้กว้าง อารมณ์ดี และคิดในแง่บวกเข้าไว้ค่ะ อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรเป็นพันล้านคน ต่างนิสัยใจคอกันไป บางครั้งอาจจะดูขัดหู ขัดตาเราบ้าง แต่ที่แน่ๆ คนอินเดียมักคุยเก่ง แต่ไม่มีพิษภัยอะไรหรอกค่ะ อาจจะต้องระวังเป็นพิเศษก็คนขับรถแท็กซี่ หรือตุ๊กๆ อาจเจ้าเล่ห์กว่าคนทั่วๆไป (ซึ่งก็คงเหมือนๆกันทุกประเทศในโลก) เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วก็พร้อมที่จะเดินทางไปท่องประเทศที่น่าทึ่งอย่าง อินเดียได้แล้วนะคะ....


      เป็นที่ทราบกันดีว่าอินเดีย ไม่เพียงแต่ศาสนาฮินดู และพุทธเท่านั้นที่มีอิทธิพลในอินเดีย อารยธรรมอิสลามจากเอเชียกลางก็เข้ามาเรืองอำนาจด้วยเช่นกัน โดยการนำมาของพ่อค้าชาวอาหรับ

     และต่อมาจักรวรรดโมกุล หรือมุฆัล (Mughal) ของอิสลาม ซึ่งเป็นนักรบผู้สืบเชื้อสายมาจากติมูร์ และเจงกิสข่าน ก็เข้ามาครองอำนาจและแผ่ขยายไปทั่วราชอาณาจักร และได้วางราฐานการปกครองที่มีระบบ ระเีบียบ ทั้งยังเป็นกลุ่มที่อุปถัมภ์งานศิลปะ... วรรณกรรม และผสมผสานสถาปัตยกรรมเข้ากับอารยธรรมท้องถิ่นได้อย่างกลมกลืน จนเกิดเป็นสถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ที่มีเอกลักษณ์ ให้ชนรุ่นหลังอย่างเราๆได้ชื่นชมในความงดงาม

     อย่างเช่นรูปนี้คือ Taj-ul-Masajid, ในเมือง Bhopal ของรัฐ Madhya Pradesh Taj หรือที่มีชื่อเรียกกันว่า " มงกุฎแห่งมัสยิด" โดยการก่อสร้างของสุลต่าน Shah Jahan แห่งเมือง Bhopal