วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2559

5 จอมยุทธ



กิมย้ง 金庸
ปรมาจารย์ด้านการเขียนนวนิยายกำลังภายใน
武侠 ของจีน

เป็นผู้มีความรอบรู้อย่างลึกซึ้งในสรรพศาสตร์แขนงต่างๆ
ทั้งศาสนา ภาษา ประวัติศาสตร์ ขนบประเพณี
นอกจาก นวนิยายของท่านจะสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ
แฝงด้วยคติ คุณธรรม ประวัติศาสตร์

ท่านยังสร้างสรรค์ "นามตัวละคร"ในเรื่อง
ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจนัก
อย่างเช่นเรื่อง "มังกรหยก" 《射鵰英雄傳》

ในตอน 華山論劍 ประลองยุทธที่เขาหั่วซัว
บรรดาห้าจอมยุทธ์สุดยอด ได้ชื่อว่าเป็น
เอกอุแห่งใต้หล้า 乾坤五絕

กิมย้งได้นำแนวคิดเรื่องของ 五行思想
ธาตุทั้งห้า (โหงวเฮ้ง)
มาตั้งชื่อ สร้างเรื่องราวขึ้นมา

ลองมาไล่เรียงกันครับ

อันดับที่หนึ่ง 中神通 王重陽
(มีตัวตนจริงใน ปวศ )
เฮ้งเตงเอี้ยง (เทพมัชฌิม) ปฐมบูรพาจารย์สำนัก ช้วนจิน 全真教開山祖師
ผู้มาวิน แชมป์รายการประลองยุทธ์ครั้งแรกนี้

ธาตุทั้งห้า กลางคือธาตุดิน 中央為土
สีเหลือง “中央,色黃”
ชื่อเดิมของ เฮ้งเต็งเอี้ยง王重陽 คือ 王喆
สังเกตชื่อท่านมี ตัว 土
เป็นนักพรตเต๋า ที่สวมหมวกสีเหลือง เช่นเดียวกับธาตุดิน
เฮ้งเต็งเอี๊ยง มรณาไปก่อนหน้า
แต่มีศิษย์น้องที่น่ารัก คือ จิวแป๊ะทง周伯通

ตัวละครเฒ่าทารก เลือกใช้ แซ่จิว 周
ซึ่งภายในแซ่นี้ ก็มี คำว่า "ดิน" 土

อันดับที่ 2 東邪 黃藥師
มารบูรพา อึ้งเอี๊ยะซือ ทิศตะวันออก
ในธาตุทั้งห้า คือ ธาตุไม้ สีเขียว

อึ้งเอี๊ยะซือ แต่งตัวอย่างสง่า ด้วยชุดสีเขียว
ชื่อเอี๊ยะซือ คำว่า เอี๊ยะ ที่แปลว่า "ยา"藥"
ในอักษรมีตัว 木
บุคคลิกความเป็นมารของอึ้งเอี๊ยะซือ
น่าสนใจเรียกว่า
正中帶有七分邪,邪中帶有三分正
ในความตรงถูกต้อง กลับเพี้ยนซะเจ็ดส่วน
ในความเป็นมาร กลับมีคุณธรรมซะสามส่วน

อันดับที่ 3 西毒 歐陽鋒 พิษประจิม อาวเอี๊ยงฮง
ทิศตะวันตก สังกัด ธาตุทอง สีขาว
西為金 “西,色白”
ในเรื่อง เฒ่าพิษคางคก แกใส่ชุดสีขาว
ชื่อแกตัวเดียว "ฮง" 鋒
อักษรมีคำว่า ทอง 金 เป็นอักษรข้าง

อันดับที่ 4 北丐 洪七公 ยาจกอุดร อั่งฉิกกง
ทิศเหนือ สังกัดธาตุ น้ำ สีดำ
เจ้าของฝ่ามือพิชิตมังกร 降龍十八掌
เป็นขอทานใส่เสื้อผ้าดำๆมอๆ
แซ่ของท่าน แซ่อั้ง 洪 มีน้ำสามหยด 三点水

อันดับสุดท้าย ราชันย์ทักษิณ 南帝一燈
อดีตฮ่องเต้ แดนใต้เมืองต้าหลี่
ออกผนวชเป็นพระ ฉายา "อิดเต็ง"一燈

ทิศใต้ สังกัดธาตุไฟ สีแดง
สังเกตชื่อท่านคือ 一燈 คำว่า เต็ง มีไฟ 火字旁
วรยุทธ์ท่านคือวิชาดัชนีเอกสุริยันต์
一陽指 ก็หมายถึงไฟ

ขอคารวะด้วยจิตวิญญาณ
ในความอัจฉริยะของ อาจารย์กิมย้ง

สุดยอดจริมๆ

ขอขอบคุณ อ เรืองรอง ที่แชร์ลิ้งค์มา
ทำให้ผมรำลึกเขียนเรื่องนี้ครับ

Wat Yoodee Thammasak Dga Aueragsakul
Aonnie Kiattikool

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2559

มาตาฮารี ยอดจารชนหญิงของโลก




มาตาฮารี ยอดจารชนหญิงของโลก 

ถ้าจะนับเจมส์บอนด์ 007 เป็นสุดยอดสายลับฝ่ายชาย "มาตาฮารี" ก็ต้องเป็นสุดยอดสายลับฝ่ายหญิง ซ้ำยังเหนือกว่า เจมส์ บอนด์หลายเท่า เพราะชีวิตโลดโผนเก่งเกินคน เจมส์ บอนด์นั้นมาจากบทประพันธ์ของเอียน เฟลมมิ่ง แต่ผลงานทุกชิ้นของมาตาฮารีถูกขีดเขียนด้วยตัวเธอเอง ทำให้เธอได้ชื่อว่าเป็นยอดสายลับที่น่ากลัวที่สุดในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยสถิติล้วงความลับทางทหารไปถึง 1,700 ชิ้น โดยมีเพียงใบหน้าสวยเฉี่ยวกับเสน่ห์ร้อนแรงเป็นอาวุธ

ชื่อเดิมของมาตาฮารีคือ มาร์กาเรท เกอร์ทรูด เซลเล เธอเกิดเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 1876 ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ชีวิตของมาร์กาเรทเวียนว่ายอยู่ในเกมกามแห่งความรักตั้งแต่แตกเนื้อสาว อายุเพียง 18 ปี เธอก็มีข่าวชู้สาวคาวสวาทกับครูใหญ่ในโรงเรียนตัวเอง จนต้องเลิกเรียนกลางคัน จากนั้นมาร์กาเรทก็ไปคว้ารูดอล์ฟ แม็คลีออด นายทหารแห่งกองทัพฮอลันดามาเป็นสามี รูดอล์ฟนั้นแก่กว่าเมียเด็กถึง 20 ปี ในยามข้าวใหม่ปลามัน เขาจึงหลงใหลมาร์กาเรทหัวปักหัวปำ ทั้งคู่มีลูกชายด้วยกันคนหนึ่ง สองปีต่อมารูดอล์ฟก็ย้ายไปทำงานในค่ายทหารที่เกาะชวา มาร์กาเรทคลอดลูกสาวอีกคนหนึ่งที่นั่น แต่ความสุขของเธออยู่ได้เพียงไม่นาน รูดอล์ฟก็เริ่มออกลายเจ้าชู้ขี้เมา เห็นเมียเป็นกระสอบทราย ส่วนมาร์กาเรทเองก็ใช่ย่อย ความร้อนแรงบวกเสน่ห์แพรวพราวของเธอทำเอาทหารทั้งค่ายแทบจะตีกันตาย ทั้งสาวเจ้าก็ขยันเล่นชู้เปลี่ยนคู่ควงมิได้หยุด ความสัมพันธ์ของเธอกับรูดอล์ฟจึงกลายเป็นรักระหว่างรบ มีแต่แยกเขี้ยวยิงฟันใส่กันไม่เว้นแต่ละวัน

จุดแตกหักมาถึงเมื่อลูกชายของทั้งคู่ถูกคนพื้นเมืองวางยาพิษตาย สองผัวเมียจึงเปิดศึกน้ำลายโทษกันไปมา และจบด้วยการเลิกรากัน มาร์กาเรทยกลูกสาวให้สามีไป ส่วนตัวเธอนั้นเดินทางไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ปารีสซึ่งเป็นเมืองแห่งแสงสีในยุคนั้น ไหนๆ ก็จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ทั้งที มาร์กาเรทจึงถือโอกาสเปลี่ยนชื่อเสียเลย เธอตั้งชื่อให้ตัวเองว่ามาตาฮารี หมายถึง ดวงตาแห่งรุ่งอรุณ และยึดอาชีพนักเต้นระบำเลี้ยงตัว การเต้นของเธอสร้างความฮือฮาไปทั่วกรุงปารีส เพราะในขณะที่นางระบำคนอื่นเขาร่ายรำกันด้วยศิลปะอันนุ่มนวล มาตาฮารีก็แหวกแนวด้วยการเต้นไปเปลื้องผ้าไป มือไม้ก็ลูบไล้ร่างกายตัวเองไปพลางส่งเสียงร้องครางกระเส่ายั่วยวน เล่นเอาคนดูแทบหัวใจจะวายกับการแสดงอันเด็ดดวงที่ไม่มีนางระบำคนไหนกล้าทำมาก่อน

มาตาฮารีตระเวนแสดงไปทั่วยุโรป และขายบัตรเข้าชมในราคาสูงลิ่ว มีเพียงคนชั้นสูง นายทหารรัสเซีย ข้าราชการรัฐบาลฝรั่งเศส ทหารสเปนและอังกฤษที่เงินหนาเท่านั้นที่จะเข้ามาดูได้ เมื่อลูกค้ายอมทุ่มทุนขนาดนี้ มาตาฮารีจึงมีโปรโมชั่นพิเศษแถมให้ ด้วยการตามไปโชว์ลีลาระบำภาคพิสดารต่อถึงบนเตียง ทำให้เธอคุ้นเคยกับคนสำคัญของเยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษเป็นอย่างดี

ชีวิตในช่วงนี้เป็นจุดสูงสุดในอาชีพของเธออย่างแท้จริง มาตาฮารีสำเริงสำราญอยู่ท่ามกลางแสงสี เงินทอง และคำชื่นชม จนถึงปี 1914 สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ระเบิดขึ้น นักระบำส่วนใหญ่พากันตกงานเป็นทิวแถว มีเพียงมาตาฮารีเท่านั้นที่ยังงานชุก เดินทางขึ้นล่องยุโรปเป็นว่าเล่น จนทางการอังกฤษเริ่มสงสัยว่าเธออาจจะรับจ๊อบเป็นสายลับ คอยเจาะข่าวให้เยอรมันเสียมากกว่า อังกฤษจึงส่งข่าวไปถึงฝรั่งเศสซึ่งเป็นชาติพันธมิตร ให้จับตาดูความเคลื่อนไหวของมาตาฮารีตลอดเวลา พร้อมกันนั้นก็มีข่าวลือเกี่ยวกับเธอออกมาหลายกระแส บ้างก็ว่าที่เธอเป็นสายลับให้เยอรมันเพราะเคยทำความผิดคดีอาญา จึงต้องทำงานแลกกับการไม่ต้องติดคุก บ้างก็ว่า เธอถูกส่งไปเข้าโรงเรียนฝึกหัดจารชนที่เบลเยี่ยม เพื่อให้เรียนทุกอย่างที่สายลับพึงรู้ ตั้งแต่การเขียนรหัสสื่อสาร ถอดโค้ด และสร้างเครือข่ายสื่อสารต่างๆ โดยมีรหัสประจำตัวเป็นหมายเลขเอช 21 (H21)

ในปี 1971 ชีวิตสายลับหญิงของมาตาฮารีก็สิ้นสุดลง เมื่อหน่วยสืบราชการลับฝรั่งเศสสามารถถอดรหัสข้อความที่ถูกส่งไปถึงอาร์โนลด์ แคลเล่ ทหารเรือชาวเยอรมัน ซึ่งเชื่อว่าติดต่อกับมาตาฮารีได้
"เอช 21 แจ้งว่ามารี โบนาปาร์ต เจ้าหญิงแห่งกรีก กำลังใช้ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของเธอกับบริอังต์ (อริสทีด บริอังต์ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสในขณะนั้น) เพื่อให้เขาสนับสนุนพระสวามีของพระนาง"

พอเห็นหลักฐานตำตา ฝรั่งเศสก็ตะครุบตัวมาตาฮารีทันที ในข้อหาขายความลับฝรั่งเศสให้กับรัฐบาลเยอรมัน อีกทั้งยอร์ช ลาดูสยังหักหลังเธอซ้ำสองด้วยการเปิดโปงว่ามาตาฮารีก็คือสายลับรหัส เอช 21 นั่นเอง มาตาฮารีถูกส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำแซงเลซาร์เป็นเวลานานก่อนจะขึ้นศาลทหาร โดยมีอัยการพันเอกปิแอร์ บูชาดอน เป็นโจทย์ยื่นฟ้อง ตอนแรกเธอพยายามปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้เป็นสายลับ และเงินก้อนใหญ่ในบัญชีธนาคารของเธอมาจากการขายตัวล้วนๆ แต่ทว่าหลังจากที่พยายามติดต่อคนใหญ่คนโตที่รู้จัก กลับถูกบอกปัดอย่างไม่แยแส มาตาฮารีก็คงพอจะเดาจุดจบของตัวเองได้ สุดท้ายเธอจึงยอมรับว่าเป็นจารชนจริงๆ

เธอเล่าว่าในคืนหนึ่งของเดือนพฤษภาคม ปี 1916 ขณะที่อยู่ในกรุงอัมสเตอร์ดัม โครเมอร์ ทูตจากเยอรมันได้มาติดต่อจ้างเธอเป็นสปาย โดยสัญญาจะจ่ายเงินให้ถึง 20,000 ฟรังก์ ขณะนั้นมาตาฮารีกำลังถังแตกสุดๆ เพราะถูกยอร์ช ลาดูส เบี้ยวไม่ส่งเงินค่าจ้างมาให้ เธอจึงรับข้อเสนอของทางเยอรมันโดยไม่เสียเวลาคิด และเธอก็ทำงานคุ้มค่าจ้าง เพราะสามารถส่งข่าวไปให้เยอรมันถึง 1,700 ครั้ง ข่าวเลิศทั้งด้านคุณภาพและปริมาณ เกินหน้านักสืบในประวัติศาสตร์ทุกคน

มาตาฮารีถูกส่งไปขังยังคุกหญิงแซงเลซาร์ ในกรุงปารีส นานถึง 7 เดือน ก่อนจะถูกยิงเป้าเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ปี 1917 ความตรอมตรม หวาดหวั่น สิ้นหวัง ทำให้สาวงามที่เคยเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วยุโรป เดินขึ้นสู่ลานประหารในสภาพหญิงวัยกลางคนอ้วนฉุ ไม่เหลือเค้าความสวยงามในอดีตอีกเลย แต่เธอก็ยังไม่ทิ้งลายนางเสือร้าย ก่อนจะถูกยิงเป้า มาตาฮารีร้องขอผู้คุมว่าอย่าใช้ผ้าปิดตาหรือมัดเธอกับเสาเหมือนนักโทษทั่วไป เพราะเธอต้องการตายอย่างกล้าหาญสมศักดิ์ศรี นาทีที่พลทหารกำลังจะลั่นไกปืน มาตาฮารีก็โปรยยิ้มและส่งจูบให้นักแม่นปืนและเจ้าหน้าที่ที่คุมการประหารทุกคน จากนั้นเสียงปืนชุดหนึ่งก็ดังขึ้น ร่างของจารชนหญิงที่น่ากลัวที่สุดในโลกก็ทรุดฮวบลงกับพื้น ลมหายใจเฮือกสุดท้ายหลุดลอยไป เหลือไว้เพียงตำนานของผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเขย่าโลกในฐานะสายลับหลายหน้า และเหยื่อที่หลงเข้าไปในวังวนของเกมการเมืองเท่านั้น

@minLee
Cr- http://www.anyapedia.com/

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559

อาถรรพ์ของดาบซามูไร



อาถรรพ์ของดาบซามูไร

ดาบซามูไรชั้นยอดที่มีอยู่จริงและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันอย่างดาบอาถรรพ์ของทั้ง 3 ตระกูลคือ ตระกูลมาซามุเนะ (正宗) ตระกูลมุรามาสะ (村正) และตระกูลโยชิมัทสึ (吉松)

ซึ่งดาบของทั้งสามตระกูลนี้ก็ยังคงมีหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันอีกด้วย ว่ากันว่าเรื่องอาถรรพ์ของดาบพวกนี้นั้นคือมนตราหรือพลังอำนาจลึกลับที่มีทั้งดีและไม่ดีปนกันไป ที่ผู้สร้างนั้นใช้ทั้งแรงกายและแรงใจใส่ลงไปเมื่อครั้งตีดาบ จึงมีความแกร่ง ทน และคม ยากที่จะหาดาบใดมาเทียบได้…..

ตระกูลมาซามุเนะนั้นเป็นช่างตีดาบมาตั้งแต่สมัยคามาคุระ (鎌倉時代) ที่ปกครองโดยรัฐบาลทหารของตระกูลโฮโจ ต่อมาคนในตระกูลมาซามุเนะที่เป็นลูกศิษย์ของเจ้าสำนักก็แยกตัวออกไปเปิดสำนักตีดาบอีกสำนักหนึ่งชื่อว่ามุรามาสะ เจ้าสำนักมุรามาสะ (ลูกศิษย์ของเจ้าสำนักมาซามุเนะ) อยากให้อาจารย์ของตนเองได้ประจักษ์ในฝีมือการตีดาบของตน จึงได้เกิดการท้าประลองตีดาบที่ดีที่สุดระหว่างสองสำนักขึ้น

มาซามุเนะได้ตีดาบที่มีชื่อว่า 柔らかい手 หรือ tender hands ใช้เหล็กผสมคาร์บอน 3 ชิ้น ซึ่งแต่ละชิ้นนั้นมีปริมาณคาร์บอนต่างกัน ทำให้ได้ดาบที่คมแข็งมาก ตัดไม้แม้กระทั่งเหล็ก

มุรามาสะตีดาบที่มีชื่อว่า 十千夜寒 หรือ 10,000 Cold Nights ซึ่งตีด้วยความเคียดแค้นและความริษยา ทำให้ดาบเกิดความคมแบบเหนือธรรมชาติ

เมื่อตีดาบกันเสร็จแล้วทั้งคู่จึงมาเจอกันที่ลำธารและปักดาบลงไปในน้ำโดยหันด้านคมสวนกระแสน้ำ เมื่อมีใบไม้ถูกน้ำพัดผ่านมาและได้สัมผัสผ่านดาบมุรามาสะก็จะขาดเป็นสองท่อนเสมอ ทำให้มุรามาสะภูมิใจในดาบของเขามาก ซึ่งต่างจากดาบมาซามุเนะที่เมื่อใบไม้ลอยผ่านคมดาบก็จะไม่เกิดอันตรายใดๆเลย เนื่องมาจากดาบของมุรามาสะนั้นมีไอสังหารออกมาและคร่าทุกสิ่งที่ขวางหน้าแม้แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิต แบบระรานไปเรื่อย

ว่ากันว่าดาบมาซามุเนะนั้นจะทำให้ผู้ที่ถือรู้สึกสงบและมีสมาธิ แต่ดาบมุรามาสะจะทำให้ผู้ถือเกิดความคึกคะนองและบ้าคลั่ง ผู้ครอบครองจะถูกกินวิญญาณทีละนิดๆเพื่อนำมาเป็นพลังของดาบ บ้างก็ประสบภัยพิบัติเช่นชินเก็น ทาเคดะ (Shingen Takeda : 武田信玄) เจ้าของกระบวนรบลมป่าไฟภูเขา (FuRinKaSan : 風林火山) แม้ว่าจะชนะในการรบอยู่เรื่อยมาก็เกิดการเจ็บป่วยจนตาย และตระกูลก็พังพินาศในสมัยของลูกชายตนเอง

นับจากนั้นเป็นต้นมาดาบของตระกูลมุรามาสะและตระกูลมาซามุเนะก็เป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วทั้งแผ่นดิน โดยผู้ที่จะได้ครอบครองดาบจากสองตระกูลนี้จะต้องเป็นถึงชนชั้นสูงอย่างจักรพรรดิ เชื้อพระวงศ์ และโชกุน หรือต่ำสุดก็ต้องเป็นไดเมียวตระกูลใหญ่ๆเท่านั้น ส่วนพวกผู้ครองเมืองหรือซามูไรธรรมดาจะไม่มีสิทธิ์ได้ถือครองเลย แต่ว่า…ดาบของสองตระกูลนี้กลับมีพลังอาถรรพ์ที่น่ากลัวมากมาย ซึ่งเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่าผู้ใดที่ได้จับหรือครอบครองดาบของตระกูลมาซามุเนะและมุรามาสะนั้น จะรู้สึกถึงใบดาบในฝักที่มีอาการสั่นเร่าๆพร้อมกับเสียงร้องหวีดแหลมเล็กเบาๆในหูราวกับว่ามันมีชีวิตจริง อาจจะเป็นไปได้ว่าเจ้าดาบอาถรรพ์นี้กำลังร้องเรียกให้ผู้เป็นนายดึงมันออกมาจากฝักดาบที่เป็นพันธนาการ ให้พุ่งออกมาวาดลวดลายล้างผลาญชีวิตศัตรูหรือแม้กระทั่งเจ้านายของมันเอง เพราะใครก็ตามที่ได้ครอบครองมันก็จะต้องมีเหตุให้หลั่งเลือดหมู่ศัตรูหรือแม้แต่เลือดของตนเองแทบทุกคน

ส่วนคนดังในประวัติศาสตร์ที่ว่ากันว่าถือดาบอาถรรพ์ก็คือ อิเอยาสุ โทกุกาวะ (Ieyasu Tokugawa : 徳川家康) อาวุธคู่กายของอิเอยาสุก็คือหอกยาริ ซึ่งเป็นผลงานของตระกูลมุรามาสะ (ตระกูลมุรามาสะนั้นเป็นช่างตีดาบประจำตระกูลโทกุกาวะ) เมื่อใดที่อิเอยาสุนำหอกนี้ออกมาฝึกวิชาการต่อสู้ ถ้าคนรอบข้างไม่ได้รับบาดเจ็บเสียเลือด ก็จะถูกหอกตัวเองทิ่มแทงให้เกิดแผลอยู่เสมอๆ นอกจากนี้แล้วอิเอยาสุได้สูญเสียสหายร่วมรบไปมากเนื่องจากดาบมุรามาสะนั่นเอง ลูกหลานของตระกูลโทกุกาวะจึงจำขึ้นใจว่าถ้าไม่จำเป็นจะไม่พกดาบของตระกูลมุรามาสะเด็ดขาด และอิเอยาสุผู้เป็นโชกุนคนแรกของสมัยเอโดะจึงได้ออกคำสั่งห้ามซามูไรทุกคนพกดาบของตระกูลมุรามาสะที่มีชื่อเสียงในฐานะของอาวุธปีศาจ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความบ้าคลั่งและกระหายเลือด จนมีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า ถ้าดาบของมุรามาสะไม่ได้ดื่มเลือดจะไม่ยอมคืนฝักเด็ดขาด

อีกหนึ่งดาบที่เรายังไม่ได้พูดถึงเลยก็คือ ดาบของตระกูลโยชิมัทสึ (吉松) ว่ากันว่าดาบของตระกูลโยชิมัทสึนั้นเป็นดาบผู้พิทักษ์ ซึ่งมีเรื่อเล่าว่าหลังจากที่อิเอยาสุพ่ายแพ้ต่อคัทสุโยริ ทาเคดะ (Katsuyori Takeda : 武田勝頼) ในศึกที่ริมแม่น้ำเทนริน ก็ได้หลบหนีไปยังหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ด้วยความอับอายอิเอยาสุจึงเตรียมพร้อมที่จะฮาราคีรีตัวเองด้วยดาบวากิซาชิและดาบทาชิของตนเองที่ถูกตีขึ้นโดยตระกูลโยชิมัทสึ

*** ดาบวากิซาชิและดาบทาชินั้นเป็นชื่อที่แบ่งดาบตามความยาว เช่น ***
1. โอดาชิ (Odachi : 大太刀) ยาวมากกว่า 3 ชะกุ (กว่า 90 ซม.)
2. ทาชิ (Tachi : 太刀) ยาวตั้งแต่ 2-3 ชะกุ (60-90 ซม.)
3. โคะดาชิ (Kodachi : 小太刀) ยาวไม่ถึง 2 ชะกุ (ไม่ถึง 60 ซม.)
–>> ดาบทาชิสามแบบด้านบนนั้นเป็นดาบยาวของทหารม้าซึ่งมีความโค้งของใบดาบมาก ไม่เน้นถึงความคล่องตัวเวลาใช้แต่จะเน้นถึงระยะโจมตีให้ได้ระยะไกล
4. วากิซาชิ (Wakizashi : 脇差) ยาวตั้งแต่ 1-1.7 ชะกุ (30-50 ซม.)

เป็นดาบที่ใช้พกคู่กับดาบคาตานะของซามูไร ซึ่งไว้ใช้สำหรับทำ “เซ็ปปุกุ” (ฮาราคีรี) เมื่อยามจำเป็น และเป็นดาบที่ซามูไรสามารถนำติดตัวเข้าเคหะสถานของผู้อื่นกรณีเป็นผู้มาเยือนได้โดยไม่ต้องฝากไว้กับคนรับใช้อีกด้วย (ปกติซามูไรจะพกดาบสองเล่ม และตามธรรมเนียมแล้วห้ามพกดาบยาวเข้ามาในบ้านของผู้อื่น ต้องฝากไว้หน้าบ้านเท่านั้น)
*** 1 ชะกุ (Shaku) = 0.303 เมตร ***



ในขณะที่กำลังจ้วงดาบเข้าไปที่ท้องของตนเองนั้นใบดาบกลับพลิกหลบ อิเอยาสุคิดว่าแกนดาบเล่มนี้คงจะหลวมแน่ๆจึงบิดใบดาบเข้าที่แล้วนำครกเหล็กบดยามาลองดาบ ปรากฎว่าดาบกลับแทงทะลุครกได้โดยง่าย อิเอยาสุจึงว่าดาบมันก็ปกตินี่นาแล้วก็จะดึงออกมาจากครกแต่ไม่ว่าจะดึงอย่างไรดาบก็ยังติดแน่นฝังอยู่ในครกนั้น หลังจากนั้นไม่นานก็มีกลุ่มของลูกน้องเข้ามาพบอิเอยาสุกำลังปล้ำอยู่กับดาบที่ติดครกเหล็ก จึงรีบเข้าไปห้ามทันทีเพราะคิดว่าอิเอยาสุกำลังจะฆ่าตัวตาย แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อลูกน้องที่สนิทคนหนึ่งกลับดึงดาบออกมาได้โดยง่าย เมื่อดาบถูกดึงออกมาแล้วอิเอยาสุจึงถูกกลุ่มลูกน้องตนเองส่งขึ้นม้ากลับไปยังดินแดนของตนเองทันที เนื่องจากว่าข้าศึกกำลังตามมาทันแล้ว ระหว่างควบม้าไปในใจก็คิดถึงเรื่องดาบว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้


หลังจากศึกที่แม่น้ำเทนริน อิเอยาสุก็พกดาบคู่ของตระกูลโยชิมัทสึไว้ตลอด ไม่ว่าจะออกศึกครั้งใดก็สามารถปราบศัตรูได้หมด จนสามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นโชกุนของประเทศญี่ปุ่นได้ในที่สุด นับแต่นั้นเป็นต้นมาเหล่าทหารและสมาชิกของตระกูลโทกุกาวะทุกคนล้วนแต่พกดาบของตระกูลโยชิมัทสึด้วยกันทั้งนั้น

อาจเพราะความดีที่อิเอยาสุได้เคยทำไว้ หรือเพราะแรงอาถรรพ์แห่งการพิทักษ์รักษาของดาบตระกูลโยชิมัทสึก็ไม่อาจทราบได้ แต่มันสามารถทำให้ตระกูลโทกุกาวะปกครองแผ่นดินญี่ปุ่นได้อย่างยาวนานถึง 250 ปีเลยทีเดียว

credit : Ki_Sama
http://anngle.org/th/j-culture/history/katana-monoga.html


แม่มดน้ำยาอุทัย




"แม่มดน้ำยาอุทัย"
ตอน 1

ผมมัวแต่ไปขุดหาป้ายปลอมเสียนาน เงยหน้ามาอีกที ตกกะใจ เห็นบรรดาแม่มด โผล่กันหน้าสลอนอย่างที่ อ.ทนง ท่านว่าเป็นยุคแม่มดครองโลกหรือไงเนี่ย ผิดก็ขออภัยนะครับอาจารย์ ผมก้มหน้าขุดไปนาน บางทีก็มึนเหมือนกัน... นี่มันดวงดาวอะไรทำมุมกันนะ เดี๋ยวจะต้องไปถามคุณเวหา จักรพยุหะ ที่ผมเป็นแอบเป็นแฟนเสียหน่อย

ผมสังเกตว่า แม่มดรุ่นใหม่นี่ อยู่เกาะทั้งนั้นเลยนะ คงจะแก้เคล็ดว่ามีน้ำล้อมแล้ว จะรอดจากถูกไฟเผา ฮา
แม่มดของชาวเกาะนิ้วก้อยแตก เจ้าของรองเท้าบูทลายหนังเสือน่ะใช่เล่นที่ไหน ชอบใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม วันรับตำแหน่ง แต่งตัวมีของแถมเป็นอกร่อง เล่นเอาสื่ออังกฤษปากมอมบอกไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนะ แต่ถูกหนุ่มชาวเกาะหน้าจืดทั้งหลายนินทา... ขนาดมีของแถม ก็ยังสู้เสน่ห์คุณป้าแทตเชอร์ไม่ได้เลย ..แหม...ไอ้หน้าจืดพวกนี้ ไม่รู้เรื่อง เสน่ห์ฉุนจริง มันต้องแม่มดวอ5 ท่านปากจีบ ท่านเมินเรา ไม่มาเยี่ยมเรา พวกเอ็งเลยอดดู แต่คุณปากจีบนี่ต้องเห็นไทยแลนด์ใจกว้างมาก ถึงส่งเพศพิเศษมาเป็นทูตที่บ้านเรา ทูตมาถึง ก็ใจกว้างอีก จัดงานเปิดตัวเอง แม้ไม่มีอกร่องเป็นของแถม แต่มีกับแกล้มมาโชว์อย่างเป็นทางการ เป็นหนุ่มตาตี่คู่รักหวานแหวว ยืนรับแขกคู่กัน....โห ..การทูตสมัยใหม่นี่สนุกจริง

แม่มดเกาะใหญ่นิ้วก้อยแตก หล่อนท่าทางจะร้อนแรงเอาเรื่อง ใส่หัวยี่ห้อนายกไม่ทันกี่วันออกท่า ท้าตีท้าต่อยเลย แม่มดคนนี้ สงสัยจะโหดเงียบ อยู่มหาดไทยคุมงานข่าวกรองมาก่อน แม่มดคงซ่อนมนตร์ดำไว้แยะ ส่วนคุณฝาละมีแม่มด ทำงานบริษัทเงินทุนใหญ่ของอีกฟากของมหาสมุทรแอตแลนติก เอะ..เงินทุน ของใคร?!?!

ส่วนแม่มดหน้าโหดอีกนาง ที่กำลังจะเข้าฮอสอยู่ที่เกาะเล็ก แต่อ้างว่ามีอำนาจใหญ่เหนือโลกทั้งใบ นั่นไม่ต้องพูดถึง ทั้งฝีมือ ฝีปากไม่มีตก ใครอย่าได้เฉียดเข้าใกล้ทีเดียว แค่ลมหายใจก็น่าจะเป็นพิษแล้ว มิน่า ไปคุยกับเด็กฝึกงาน สดชื่นกว่าเนอะ..

แต่แม่มดหน้าใหม่หมาดๆ ของเกาะ ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเรานี่สิ ผมทึ่งมากเลย ช่างไปหามาได้ไงนะคุณอาเบะ เหมือนอย่างที่เห็นในหนัง ที่เดี๋ยวก็แปลงตัวเป็นมังกร เป็นงูห้อยหัวลงมาจากขื่อทำนองนั่นเลย
คุณนายโตโมมิ อินาดะ Tomomi Inada นี่ ถ้าจะซดสาเกเข้าไปหลายจอก ใจถึงแท้ ที่มารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมญี่ปุ่น ตอนซามูไรมังกรดำปะทะกระบี่มังกรหยก หนังเรื่องนี้ห้ามพลาด ไม่ดูไม่ได้นะครับ
คุณนายอินาดะ นี่เป็นขวัญใจ ที่คุณอาเบะคัดตัวมาเพื่อเข้าฉากนี้โดยเฉพาะ เพราะคุณนายเป็นพวกชาตินิยมหัวรุนแรง เหมือนทหารญี่ปุ่นรุ่นถลาเข้าไปทำสงครามโลกครั้งที่ 2 คุณนายมีจุดยืนมาตั้งแต่ก่อนเป็นนักการเมือง ว่า ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ควรต้องมีการเขียนใหม่ ....คุณนายไม่เชื่อว่า เรื่องทหารญี่ปุ่นไปชำเราชาวจีน ที่นานกิง เมื่อปี ค.ศ.1937 จนคนจีนตายเป็นแสนๆ เป็นเรื่องจริง....ถึงจะจริง ก็ไม่ควรเขียน... เพราะจะทำให้คนญี่ปุ่น สงสารเห็นใจคนจีน เรื่องผู้หญิงหมอนข้างก็ไม่มีจริง ถึงมี ก็คงไม่ใช่มาจากการบังคับขืนใจ ...

อ๊าย้า... อย่างนี้ได้ดูหนังบู๊แน่

จุดยืนของคุณนายเป็นอย่างนี้ ...เป็นที่รู้กันดี วันแรกที่คุณนายเปิดตัว (ไม่มีอกร่องแถม) เมื่อได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกลาโหม พร้อมให้สัมภาษณ์นักข่าวเมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา นักข่าวเลยถือโอกาสแงะปากแม่มด ...พูดมาออกมาชัดๆเลยคร้าบ.... การทำสงครามของญี่ปุ่นที่ผ่านมา ในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลก เป็นการรุกรานเขาใช่หรือไม่คร้าบ....

คุณนายตอบว่า...นี่มันไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องความเห็นส่วนตัวของชั้นนะ

แต่นักข่าวไม่ยอม... คุณนายต้องตอบคร้าบ ...เพราะเราถามคุณนายในฐานะเป็นรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งตอนนี้ กำลังเป็นที่จับตามองของผู้คนทั้งหลายว่า ญี่ปุ่นกำลังพยายามจะมีกองทัพของตัวเองอีกครั้ง ที่เรียกว่า Self Defense Force ... มันจะเป็นการซ้ำรอยประวัติศาสตร์หรือเปล่าคร้าบ... และ คุณนายอย่าลืมนะคร้าบ ในฐานะรัฐมนตรีกลาโหมใหม่ คุณนายต้องเดินสายไปเยี่ยมจีน เกาหลี หรือฝรั่งตะวันตก พวกเขาก็ต้องถามคุณนายอย่างนี้ กัน...

เมื่อเลี่ยงไม่ออก คุณนายเลยตอบชัดถ้อยชัดคำ ... ชั้นไม่เห็นว่าเราทำสงครามรุกรานใคร ไม่ว่าสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับจีน หรือสงครามโลกครั้งที่ 2 ....และที่พูดนี่... เป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่เป็นความเห็น...
ฮู้ย... แม่มด น้ำยาอุทัย สียังแดงฉาน ไม่มีตก ไม่มีจางเลย

หลังจากได้ยินการแถลงข่าว ที่แสดงสีน้ำยาอุทัยชัดเจน เขาว่าอาเฮียแดนมังกรควันออกหู....ตอนนี้ อาเฮียของผม กำลังควันขึ้นง่ายเสียด้วย เจอเข้าไปหลายเรื่อง เสียวแทนจังคุณนาย... แต่เชื่อเถอะ แม่มดน้ำยาอุทัย ไม่มีวันถอย ไม่มีวันยอมแพ้ ไม่มีวันขอโทษ

คุณนายยังบอกว่า ภาระกิจแรก ที่ชั้นจะรีบทำ คือพลักดันให้มีการแก้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น ให้ญี่ปุ่นมีกองทัพของตัวเองได้ ... จะได้ฟาดกันให้หนำใจอีก... ประโยคหลังนี่ผมเติมให้ครับ เพราะฟังจากคำพูด และดูสีหน้าคุณนายแล้ว ทำให้ผมเข้าใจอย่างนั้น

นายอาเบะนั้นปลื้มคุณนายมาก ถึงกับมีข่าวว่า คุณนายจะเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีต่อจากเขาเลย เอะ.... ทำไมถึงถูกใจขนาดนั้น


ตอน 2 (จบ)

มีข่าวเปิดเผยว่า แม่มดน้ำยาอุทัย สังกัดสมาคม Nippon Kaigi ซึ่งเป็นสมาคมลับที่ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1997 ไม่ใช่เป็นพรรคการเมือง แต่สมาชิกของ Nippon Kaigi เข้าไปมีอิทธิพล และดำรงตำแหน่งไม่น้อยในรัฐสภา และรัฐบาลญี่ปุ่น

(Nippon Kaigi คงลับจริงๆ เพราะคนตั้งสมาคมชื่อ นาย Koichi Tsukamoto ซึ่งเป็นนายทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 รบอยู่แถวพม่า สงครามเลิกก็มาทำธุรกิจ เปิดโรงงานผลิตโน่นนี่ ...สินค้าสำคัญของเขาแม้จะรู้จักกันทั่วโลกรวมทั้งในบ้านเรา แต่ก็เป็นเรื่องลับเฉพาะ ....คือ สินค้า ยี่ห้อ วาโก้ ที่รายละเอียดทั้งหลาย คงเป็นความลับของคุณผู้หญิงแต่ละคน ฮา)

Nippon Kaigi เป็นพวกขวาจัด ชาตินิยมรุนแรง และมีจุดยืนว่า ไม่ยอมรับเรื่องญี่ปุ่นชำเราและฆ่าโหดชาวจีนที่นานกิง รับไม่ได้เรื่องญี่ปุ่นเป็นผู้แพ้สงคราม รับไม่ได้เรื่องจีนอ้างสิทธิในหมู่เกาะเตียวหยู รับไม่ได้ที่ญี่ปุ่นมีกองทัพของตัวเองไม่ได้ และพยายามทำทุกอย่างที่จะแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น เพื่อให้ญี่ปุ่นมีกองทัพของตัวเองได้.... กูเก่ง กูไม่เคยผิดกูไม่เคยแพ้เว้ย...

สมาชิก Nippon Kaigi ขาใหญ่ ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วและมีอิทธิพลสุงมากคือ นาย Hideaki Kase บอกว่า.... สรุปง่ายๆ เรา...Nippon Kaigi... เป็นอนุรักษ์นิยม เราอนุรักษ์สถาบันเรา... เรามีเป้าหมายจะแก้กฏหมายของเรา เพื่อให้ญี่ปุ่นของเรารุ่งเรืองเหมือนเดิม เข้าใจไหม

ท่านที่เคยอ่านนิทานเรื่อง ไม่ตกสะเก็ด มาแล้ว อาจจะจำชื่อ Kase ได้ นายHideaki Kase นั้น เป็นลูกของ นาย Toshikazu Kase ซึ่ง เป็นคนสนิทของจักรพรรดิญี่ปุ่น ที่ส่งไปประกบนายพลแมคอาร์เธอร์ ที่มาเป็นผู้ควบคุมญี่ปุ่น เมื่อตอนที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2

Kase คนพ่อนั้น เรียนจบจากฮาร์วาด ทำงานด้านการต่างประเทศให้ญี่ปุ่นช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยไปประจำสถานทูตญี่ปุ่น ที่เบอร์ลิน และ ที่ลอนดอน ก่อนกลับมาญี่ปุ่นในช่วงเพิลร์ฮาเบอร์ จริงๆเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับเก๋าของสำนักงานข่าวกรองของญี่ปุ่น แต่ปฏิบัติภาระกิจร่วมกับฝ่ายการต่างประเทศ ตำแหน่งท้ายสุดคือ เป็นทูตญี่ปุ่นประจำสหประชาชาติคนแรก

อเมริกา สั่งให้นายพลแมคอาร์เธอร์ที่มาเป็นผู้ควบคุมญี่ปุ่น วางเงื่อนไขหลายอย่างในการควบคุมญี่ปุ่น แต่ในที่สุด โดยการประสานงานของ กลุ่มชาวญี่ปุ่นที่นำโดย Kase คนพ่อ ที่สังกัดตรงกับจักรพรรดิ ตาของอาเบะ (คิชิ โนบุซุเกะ Kishi Nobusuke นายกรัฐมนตรีผู้มีอืทธิพลคนหนึ่งของญี่ปุ่น และเป็นผู้จัดการให้นักการเมืองญี่ปุ่นตัวสำคัญทั้งหลาย มาอยู่ในคอกพรรค LDP ซึ่ง นายอาเบะหลานรักของตา ก็สังกัดอยู่) กลุ่มนักธุรกิจใหญ่ที่นำโดยมิตซุย ยากูซ่าพรรคมังกรดำ ฯลฯ ก็ได้ "จัดการ" จนในที่สุด การแพ้สงครามของญี่ปุ่น และการควบคุมของอเมริกา เหมือนจะเป็นละครลวงโลก...

ผ่านมา 70 ปี ละครฉากนั้นก็เหมือนยังดำเนินอยู่ ผู้สร้างฉากและผู้แสดงยังลอยนวล โกหกตอแหล จนโลกเชื่อ และตัวละครที่เล่นละครตอแหล ก็ยังเล่นบทสืบทอดกันต่อมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ส่วนผู้ถูกกระทำ นอกจากจะเสียหายตายเจ็บ อย่างเจ็บปวดชอกช้ำแล้ว ก็เหมือนจะยังเป็นเหยื่อต่อไปไม่จบสิ้น.....
ญี่ปุ่นนั้น เข้าใจยาก และเชื่อใจยากจริงๆ ยิ่งเป็นแม่มดพันธุ์ญี่ปุ่น ผมขนหัวลุกเลย

ที่เขาว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดเพราะผู้หญิง ... ผมตามดูแม่มดแต่ละคนแล้วน่ากลัวทั้งนั้น แต่แม่มดนางนี้... หล่อนมาได้ถูกที่ ถูกเวลาเหลือเกิน เหมือนใครตั้งใจจับเอามาวางไว้ตามแผน ...แต่ชะตาหล่อนจะเป็นอย่างไร คงเกินกว่าที่ผมจะคาดเดาครับ

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
8 ส.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google

ที่มาของข้อมูล

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1354703801224763&id=688258957869254&substory_index=0

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ลิตเติ้ล บอย” (Little boy)



6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เป็นวันที่ประวัติ ศาสตร์ต้องจารึกว่าสหรัฐอเมริกา ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกใน สงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II) ที่เมือง ฮิโรชิมา (Hiroshima)

ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองทัพบกที่สองของญี่ปุ่น เพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม โดยเครื่องบิน B-29 Superfortress ชื่อ "Enola Gay" ซึ่งขับโดย พันโท พอล ทิบเบตส์ (Paul Tibbets) ระเบิดนิวเคลียร์ลูกนี้มีชื่อว่า "ลิตเติลบอย" (Little Boy)

ส่งผลให้เมืองฮิโรชิมาทั้งเมืองถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง ก่อนที่จะมีการทิ้งระเบิด จะมีการบินตรวจสภาพท้องฟ้าว่าเปิด เห็นเป้าหมายในการทิ้งระเบิดเพียงใด

เช้าวันที่6 สิงหาคม 2488 เครื่องบินของกองทัพอเมริกันบินตรวจสภาพฟ้าของเมืองฮิโรชิมา ปรากฎว่าเมืองฮิโรชิมาปลอดโปร่งฟ้าใส ดังนั้นเครื่องบินของกองทัพอเมริกันชื่อ “อีนอลา เกย์” (Enola gay) ได้บรรทุกระเบิดปรมาณูที่ชื่อ“ลิตเติ้ล บอย” (Little boy) มาทิ้งที่ฮิโรชิมา ณ เวลา 8.15 น.

วิธีปลดระเบิดคือการตั้งเวลาให้ระเบิดกลางอากาศเพื่อให้รัศมีการทำลายแผ่วงกว้างให้มากที่สุด โดยระเบิดจะจุดระเบิดเมื่อทิ้งไปแล้ว 43 วินาที เทียบได้กับว่าระเบิดเหนือพื้นดิน 680 เมตร เป้าหมายที่ทิ้งก็คือเหนือโรงพยาบาลชิมะกลางกรุงฮิโรชิมา

แรงระเบิดทำลาย ในเขตพื้นที่เป็นรัศมี 10 กิโลเมตร ประชากรกว่า 66,000 คนเสียชีวิตทันที อีกประมาณ 70,000 คน บาดเจ็บจากรังสีความร้อนและในปลายปีเดียวกันมีการประมาณผู้เสียชีวิตประมาณ 140,000 คน

ระเบิดปรมาณู “ลิตเติ้ล บอย” หนัก 4 ตัน สูง 3.2 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.71 เมตร ใช้ ยูเรเนียม 235 หนักไม่ถึง 60กิโลกรัม เป็นระเบิดปรมารณูในระบบฟิชชั่น (Fission) (การแตกตัว) มีพลังระเบิดเทียบเท่าระเบิด TNT หนัก 15,000 ตัน

อีกสามวันต่อมาคือวันที่ 9 สิงหาคม สหรัฐอเมริกาก็ทิ้งระเบิดปรมาณูอีกลูกคือ "แฟตแมน" (Fat Man) ถล่มเมือง นางาซากิ (Nagasaki) เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดและเมืองอุตสาหกรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น โดยเครื่องบิน B-29 Superfortress ชื่อ "Bockscar" ขับโดย พันตรี ชาร์ลส์ สวีนีย์ (Charles W. Sweeney)

เป็นระเบิดนิวเคลียร์ชนิดแกนพลูโตเนียม มีอานุภาพทำลายล้างเท่ากับระเบิดทีเอ็นที (TNT) 21 กิโลตัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันทีกว่า 750,000 คน

เมื่อสงครามสิ้นสุด ประมาณการว่ามีชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตมากกว่า 2 ล้านคน ยังไม่นับรวมผู้บาดเจ็บจากการได้รับกัมมันตภาพรังสีอีกจำนวนมาก กลายเป็นบาปตราใหญ่ที่สุดในใจของทั้งฝ่ายชนะและฝ่ายที่พ่ายแพ้สงครามมาจนทุกวันนี้

Cr : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทร


วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2559

หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนถึงท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ



หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนถึงท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ

ผมเพิ่งได้ทราบข่าวเดี๋ยวนี้เองว่า พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต ได้มรณภาพเสียแล้วที่วัดเทพศิรินทร์ เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 14 เมื่อเวลาหลังเพลเล็กน้อย

นามฉายาของท่านคือ ธมมวิตกโก ภิกขุ

ความจริงพระภิกษุมรณภาพเพียงรูปเดียวเมื่ออายุท่านได้ 74 ปี ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นอะไรนัก แต่บังเอิญชีวิตของท่านและการปฏิบัติธรรมของท่านในภิกขุภาวะเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และเป็นเครื่องชี้ให้เห็นธรรมอันดีที่ควรส่งเสริมบางอย่าง ผมจึงเขียนถึงท่านไว้ในที่นี้

ผมเคยรู้จักเจ้าคุณนรรัตนฯ เมื่อผมยังเป็นเด็กเล็ก คิดดูเดี๋ยวนี้ก็เห็นจะห้าสิบกว่าปีมาแล้ว
ตอนนั้นท่านอายุ 20 กว่า เป็นพระยาและได้สายสะพานแล้วด้วย

ท่านรับราชการกรมมหาดเล็กหลวง และมีตำแหน่งเป็นต้นห้องพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

หน้าที่ของท่านคืออยู่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ในที่รโหฐาน และเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็กพระบรรทมคนอื่น ๆ ซึ่งมีอยู่หลายคน

เจ้าคุณนรรัตนฯ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือนที่หอวัง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเรียนสำเร็จแล้วก็ต้องเข้าไปรับราชการในกรมมหาดเล็กเพื่อศึกษาราชการตามระเบียบ ก่อนที่จะไปรับราชการกรมกองอื่น ๆ

แต่เจ้าคุณนรรัตนฯ คิดอยู่ที่กรมมหาดเล็กและอยู่ที่ห้องพระบรรทมอยู่จนตลอดรัชกาล
ความจำของเด็กเล็ก ๆ ซึ่งบัดนี้แก่แล้วจะต้องกระจัดกระจายเป็นธรรมดา ต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ผมนึกออกเกี่ยวกับเจ้าคุณนรรัตนฯ

ครั้งหนึ่งเห็นท่านกำลังติดพระตรากับฉลองพระองค์ ซึ่งสวมไว้กับหุ่นช่างตัดเสื้อ ท่านติดจนเสร็จแล้วท่านก็ถอยออกมานั่งดูอยู่นาน ไม่พูดจากับใคร

อีกครั้งหนึ่งเห็นท่านนั่งชุนกางเกงจีนเก่า ๆ ของใครอยู่ เสือกเข้าไปถามท่านตามวิสัยของเด็กทะลึ่ง ว่าท่านชุนกางเกงของท่านเองหรือ

ท่านบอกให้ผมลงกราบกางเกงที่ท่านกำลังชุนอยู่นั้น แล้วบอกว่าเป็นพระสนับเพลาจีนของพระเจ้าอยู่หัว
แล้วท่านก็บ่นอุบอิบอยู่ในคอว่า “เป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน แต่ก็ชอบนุ่งกางเกงขาด ๆ เก่า ๆ อย่างนี้แหละ หาใหม่ให้ก็ไม่เอา ครั้นจะปล่อยให้นุ่งกางเกงขาดก็ขายหน้าเขา”

จำได้ว่าเวลาท่านพูดกับเด็กอย่างผมแล้วท่านใช้วาจาหยาบคายสิ้นดี พูดมึงกูไม่เว้นแต่ละคำ
แต่ท่านมีทอฟฟี่แจก เด็กก็เมียงเข้าไปบ่อย ๆ

เด็กที่วิ่ง ๆ อยู่ในวังสมัยนั้นมีมาก และบางคน (อย่างผม) ก็เป็นเด็กที่ซุกซนขนาดเหลือขอจริง ๆ ทีเดียว บางครั้งเข้าไปซุกซนใกล้ที่ประทับจนถูกกริ้วต้องพระราชอาญา มีรับสั่งให้เจ้าคุณนรรัตนฯ เอาไปตีเสียให้เข็ด

เจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ลากตัวเข้าไปในห้องซึ่งอยู่ใกล้ที่ประทับ แล้วเอาไม้เรียวซึ่งเตรียมไว้แล้วมาหวดซ้ายป่ายขวาลงไปกับเก้าอี้บ้างกระดานบ้างให้มีเสียงดัง

“ร้องให้ดัง ๆ นะมึง ไม่ร้องพ่อตีตายจริง ๆ ด้วยเอ้า” เด็กก็ร้องจ้าขึ้นมา

และก็จะได้ยินพระสุรเสียงดังมาจากที่ประทับทันที

“พอที ข้าสั่งให้ตีสั่งสอนมันเพียงหลาบจำ เอ็งตีลูกเขาอย่างกับตีวัวตีควาย ลูกเขาตายไปข้าจะเอาที่ไหนไปใช้เขา”

เจ้าคุณนรรัตนฯ ก็กระซิบบอกเด็กว่า “ไหมล่ะ !”

เด็กก็พ้นพระราชอาญาเพียงแค่นั้น และความรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณก็จะติดอยู่ในตัวในใจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่มีวันที่จะลืมเลือนได้

ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าคุณนรรัตนฯ ได้อุปสมบทหน้าพระเพลิง อย่างที่สามัญชนเรียกว่า บวชหน้าไฟ

และท่านก็ได้ครองสมณเพศตลอดจนจนถึงมรณภาพ
เป็นเวลา 46 ปีเต็ม

สี่สิบหกปีแห่งความกตัญญูอันมั่นคงหาที่เปรียบได้ยาก

ความจริงเมื่อเสด็จสวรรคตนั้น เจ้าคุณนรรัตนฯ มีทั้งฐานะ ทั้งทรัพย์ และโอกาสที่จะหาความเจริญในโลกต่อไปอย่างพร้อมมูล

ในทางชีวิตครอบครัวท่านก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว

แต่ท่านก็ได้สละสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดออกอุปสมบท และอยู่ในสมณเพศตลอดชีวิต เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งมีพระคุณแก่ท่าน

นับว่าเป็นตัวอย่างแห่งความกตัญญูซึ่งควรจะจารึกไว้

เมื่ออยู่ในสมณเพศนั้น เจ้าคุณนรรัตนฯ ฉันอาหารวันละหนเท่านั้น
อาหารที่ท่านฉัน มีข้าวสุก มะพร้าว กล้วย เกลือ มะนาว และใบฝรั่ง
ท่านลงไปโบสถ์ทำวัตรเช้าและเย็นวันละสองครั้ง ไม่เคยขาด จนมรณภาพ

ดูเหมือนจะขาดอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถระ ขณะที่ท่านยังมีชีวิตและเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์อยู่สั่งให้อยู่ที่กุฏิเพราะท่านอาพาธ

ท่านเป็นพระที่สงบสงัดจากโลกแล้ว ไม่เคยโด่งดัง แม้แต่ธรรมที่ท่านได้แสดงไว้เมื่อพิมพ์แล้ว ก็ได้เป็นสมุดเล่มเล็ก ๆ มีเนื้อความเพียง 22 หน้ากระดาษและแบ่งออกเป็นเรื่องสั้น ๆ ได้ 8 บท

บทที่ 7 นั้นมีเพียงเท่านั้น แต่ก็ขอให้ท่านอ่านเอาเองเถิดว่าเป็นความจริงเพียงไร และน่าประทับใจเพียงไร

7. อานุภาพของไตรสิกขา
ศีล สมาธิ ปัญญา

ด้วยอานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้แล จึงชนะข้าศึก คือ กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียดได้ !

1. ชนะความหยาบคาย ซึ่งเป็นกิเลสอย่างหยาบที่ล่วงทางกายวาจาได้ด้วยศีล
ชนะความยินดียินร้ายหลงรังหลงชัง ซึ่งเป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วยสมาธิ
ชนะความเข้าใจ รู้ผิด เห็นผิดจากความเป็นจริงของสังขาร ซึ่งเป็นกิเลสอย่างละเอียดได้ด้วยปัญญา

2.ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติตามตามไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้โดยพร้อมมูลบริบูรณ์สมบูรณ์แล้ว ผู้นั้นจึงเป็นผู้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้แน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย !

เพราะฉะนั้น จึงควรสนใจ เอาใจใส่ ตั้งใจศึกษา และปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้ ทุกเมื่อเทอญ

ครั้งหนึ่งมีคนเขาไปลือว่าท่านสำเร็จพระอรหันต์แล้ว
ผมพบท่านโดยบังเอิญที่วัดเทพศิรินทร์ก็เข้าไปกราบท่าน แล้วกราบเรียนถามท่านว่า
เขาลือกันว่าใต้เท้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วจริงหรือครับ
ท่านดึงหูผมเข้าไปใกล้ ๆ แล้วกระซิบว่า
“ไอ้บ้า”

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Otis T. Carr และ จานบินของ Tesla



เรื่อง : “Otis T. Carr และ จานบินของ Tesla”
โดย : ดั๊ก เยอร์เชย์

Nokola Tesla ปี 1911 ให้สัมภาษณ์ว่า:
“จานบินของผมไม่ต้องการปีกหรือใบพัด คุณอาจมองเห็นมันจอดบนพื้นดิน แต่คุณจะไม่คิดหรอกว่ามันบินได้ มันสามารถบินตามใจชอบคุณ ในทุกทิศทุกทาง และปลอดภัย”

Otis T. Carr คือ ลูกศิษย์ และ ผู้ช่วยงานของ ดร. นิโคลา เทสลา , Otis T. Carr (มีชีวิตอยู่ระหว่าง 1904-1980) คารร์และทีมงาน สร้างจานบิน (flying saucer) ที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบช่วงปลาย ๆ 1950s (คือประมาณปี 1956-19ุ59 ) จานบินผ่านการทดสอบบินเรียบร้อย คารร์ ตั้งใจเอามากๆ ที่จะนำจานบินนี้ไปสู่ดวงจันทร์......... แต่สองอาทิตย์หลังการบินโชว์ (ไม่ใช่แค่การบินทดสอบ ) แลบของเขาถูกบังคับให้ปิดโดยคนของรัฐ และยึดทุกอย่างไป ตั้งแต่ เอกสาร และเครื่องมือ โดยให้ คำอธิบายเพียงว่าโครงการของคารร์ “จะทำลายระบบการเงินของสหรัฐ”

Ralph Ring คือ นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานร่วมกับ Otis T Carr ในเทคโนโลยีจานบินและอื่นๆ ช่วงปี 1950s-1960s เขาอายุ 72 ปี ขณะให้สัมภาษณ์ ( ในปี 2007) ว่า:

“ผมคือคนหนึ่งที่เดินทางไปกับจานบินนี้ ผมและคารร์ เดินทาง 10 ไมล์ แต่ด้วยความเร็วของแสง !!! จานบินเรายาว 45 ฟุต"

(ดูลิงค์วิดิโอสัมภาษณ์ Ralph และอื่น ในลิงค์นี้ Tesla Flying Saucers.......ถ้าใครสามารถตามล่านะ เพราะได้ถูกลบไปแล้ว )

ข้างล่างนี้เป็นคำสัมภาษณ์ของ Ralph Ring:
“ใช้คำว่า “บิน” ไม่น่าจะเหมาะสม เพราะผมไม่รู้ด้วยว่ามันขยับ ผมคิดว่ามันอยู่ที่เดิมด้วยซ้ำ แต่เพราะเราได้หินและพืชจากแหล่งจุดหมายปลายทางของเรา กลับมาด้วย .....ผมถึงรู้ว่าเราประสพความสำเร็จ ......ต้องเรียกว่า Teleportation มากกว่า ”

“ผมเลิกนับจำนวนคนที่ไม่เชื่อผมพูดแล้ว ผมไม่พูดถึงเรื่องจานบินอีกแล้ว เวลาคนหัวเราะเยาะ หาว่าเราบ้า มันไม่สนุกนัก สักวันคงจะมีคนสร้างจานบินอย่างที่พวกผมเคยสร้าง เขาจะได้ประสพการณ์แบบผม พิมพ์เขียวของเรา(ของคารร์) ยังอยู่.....ไม่ต้องมีปีกและใบพัด”

“คุณต้องทำงานสอดคล้องกับธรรมชาติไม่ใช่ต้านธรรมชาติ จานบินเมื่อเดินเครื่องจนถึงความเร็วของการหมุนระดับหนึ่ง (reach a particular rotational speed) โลหะจะเปลี่ยนคุณลักษณะเป็นแบบ Jell-O (เยลลี่) คุณสามารถเอานิ้วจิ้มทะลุผ่านมัน คือสสารได้เปลี่ยนรูป (forms) คุณจะคิดว่า เหตุการณ์ต่อหน้าคุณเนี่ย มันไม่ใช่ความจริง .....มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดที่สุดที่ผมเคยเจอ”

“คารร์เป็นอัจฉริยะไม่ต้องสงสัย ดร.นิโคลา เทสลา ต้องมองทะลุถึงคุณสมบัติของคารร์แน่ จึงสอนคารร์ทุกสิ่งที่ดร.เทสลารู้ ดร.เทสลาคือแรงดลบันดาลใจของคารร์ คารร์ เหมือน ดร.เทสลา คือพวกเขาจะรู้เสมอว่าต้องทำอย่างไรผลงานจึงจะสำเร็จ”

ข้างล่างนี้คัดลอกจากหนังสือของ Margaret Strom ชื่อ

“The Return of the Dove”

“ในเดือนพฤศจิกายน 1957 Otis T Carr คารร์ แห่งบัลติมอร์ รัฐมาริลแลนด์ ประกาศก้อง....... “การกลับมาอีกครั้งหนึ่ง”.......ของพลังงานฟรีและจานบิน.......เทคโนโลยี่ที่สร้างเพื่อให้ทุกชีวิตบนโลก สามารถเป็นเจ้าของได้ คารร์ลูกศิษย์ผู้ยกย่องอาจารย์นิโคลา เทสลา กับผลงานประดิษฐ์สองชิ้นของเขา an electrical accumulator และ a gravity motor สิ่งประดิษฐ์ทั้งคู่ใช้พลังงานจากดวงอาทิตย์ และพลังงานจาก (อีเทอร์) ซึ่งมีอยู่ดาษดื่นในอากาศรอบเรา”

“มอเตอร์ของคารร์ใช้พลังงานฟรีเพื่อให้รถวิ่ง ไม่ต้องใช้น้ำมันอีกต่อไป”

“เครื่องบินลำใหญ่โตไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะสามารถลดขนาดจนเหลือเส้นผ่าศูนย์กลางแค่10 ฟุต ราคาก็ถูกกว่าราคารถใหม่ๆ สมัยนี้ ออกแบบให้คนสามารถพาครอบครัวเดินทางไปต่างเมือง ต่างประเทศ หรือรอบโลก สะดวกสบายและปลอดภัย โดยใช้เวลาเพียงเสี้ยวเดียว"

ดร.นิโคลา เทสลา อธิบายปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ว่าจักรวาลนั้นเคลื่อนไหว a kinetic system จักรวาลแทรกซึมไปด้วยพลังงาน (energy) ที่เราสามารถดึงเอามาใช้ไม่ว่า ณ ตำแหน่งไหน เริ่มปี 1891 ดร.เทสลา จึงเริ่มใช้คำสันสฤต คือปราณ และ อะคะสะมัง? ( Prana และ Akasah ) เมื่อเลคเชอร์หรือเขียนหนังสือ ท่านสวามี วิเวกอนันดา ( Swami Vivekananda) เป็นโยคีรุ่นแรกๆ ที่ประสพความสำเร็จในการเอาปรัชญาพระเวท (Vedic philosophy) ไปเผยแพร่ที่ตะวันตก ท่านทั้งสองคือ ท่านสวามี และดร.เทสลา ติดต่อ พบปะกัน ท่านสวามีเขียนจดหมายถึง ดร.เทสลา ส่วนดร.เทสลา นั้นเหล่าจะเข้าไปฟังเลคเชอร์ของท่านสวามีอย่างสนใจ

Ether ที่ดร.เทสลาพูดอยู่ตลอดเวลา อธิบายด้วยคำว่า ปราณและอะคะสะมัง !!!!!!!
นิโคลา เทสลา กล่าวถึงการทำงานของจักรวาลอย่างไร จะเอามาเล่าให้ฟังวันหลัง ใครสนใจอ่านลิงค์นี้ก็ได้
http://www.24grammata.com/wp-content...mmata.com_.pdf

คนเขียน เขียนได้ดีมาก แต่ฟิสิกค์จริงๆ ใครชำนาญอยากจะอ่านจะแปล เชิญเลย เราเองขออ่านสามรอบก่อน 5555

ภาพข้างล่างแสดงหลักการของจานบินUFO ที่เทสลาอธิบาย และคนเขียนลิงค์ข้างบนทำให้ง่ายขึ้น อย่างที่เคยบอก ดร.เทสลาประกาศว่าเขาสามารถ ปรับแต่ง (manipulate) อีเธอร์ได้ อาศัยหลักการยืดอีเธอร์ส่วนบนของจานบิน และอัดอีเธอร์ด้านล่างของจานบิน .....บูม...ผลลัพธ์ได้ anti-gravity (ยืดกฎแรงโน้มถ่วง)

ดร.เทสลา จดลิขสิทธิ์จานบินนี้ เช่นเดียวกัน Otis T Carr ก็จดลิขสิทธ์ของจานบินเขาด้วย ของคารร์คือ US2912244

คำถามก็คือ.......เราแน่ใจได้อย่างไรว่าจานบิน UFO ที่เราเห็นๆ กันคือของมนุษย์ต่างดาวจริง ไม่ใช่จานบินของทหาร ของรัฐบาล (ไม่รู้กี่ประเทศบ้าง) ที่อาศัยเทคโนโลยี่ของเทสลา และคารร์ สร้างขึ้นมา
..............อ้อ ตัวเรานะเชื่อมนุษย์ต่างดาวมีจริงสนิทใจ เพราะพระพุทธองค์และพ่อแม่ครูจาร์ยท่านเมตตาเล่า

ส่วนภาพล่างนี้เป็นป้ายโฆษณาของบริษัท Carr โฆษณา spacecraft (เผื่อใครตาไม่ดี อ่านป้ายไม่ออก) จานบินของเขาชื่อ OTC-XI

ก่อนหน้านี้เราเอาจานบินที่เอกชนสร้างมาอวด (ศิษย์ นิโคลา เทสลา) งวดนี้เอาจานบินของภาครัฐฯ มาให้ดูบ้าง..... ว่าตามประวัติศาสตร์ก็ต้องบอกว่า รัฐบาลเยอรมัน (นาซี) เป็นชาติแรกที่สร้าง"จานบิน UFO" ได้สำเร็จ แต่เยอรมันพลาดตรงที่สร้างไม่ทัน คือช้าไป 2 เดือนตามฮิตเล่อร์ขอเวลาไว้เลยแพ้สงคราม

.....ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้จบ ทหารอเมริกันเคลื่อนทัพเข้าไปก่อน ตัดหน้ารัสเซียและยึดเอกสารและสิ่งที่เหลือออกมาหมด....(เพราะมีไส้ศึกบอก แหล่งขุมเทคโนโลยี่นั่นเอง) ที่เรียกว่าเหลือเพราะเยอรมันขนย้ายเอกสาร อุปกรณ์ และนักวิทยาศาสตร์ไปก่อนหน้านั้นเยอะแล้ว ....เอาไปไหน? ก็ที่เมืองใหม่/ฐานทัพใหม่ของนาซี ณ ปัจจุบัน ใต้ทวีป Antarctica (จะขยายตวามต่อที่หลัง) สหรัฐนอกจากได้เอกสารยังได้นักวิทยาศาสตร์เยอรมันไปเป็นหลักพัน !!!! (ภายใต้ปฎิบัติการ เปเปอร์ คลิป อาจมีใครคุ้นชื่อบ้างนะ) หลังสงคราม ช่วงปี 1950s อาศัยความรู้จากนักวิทยาศาสตร์เยอรมันที่สหรัฐนำเข้าประเทศ สหรัฐก็เริ่มผลิต และทดลองบิน "จานบิน UFO" ของตนเอง ช่วงเวลาดังกล่าวจึงมีข่าวชาวบ้านอย่างเราๆ ท่านๆ เห็น UFO บินบ่อย หรือบางครั้งก็ตก

เยอรมันเอาเทคโนโลยี่มาจากไหน มีสามทฤษฎี
1. ขโมยมาจากนิโคลา เทสลา
2. ได้มาจาก"แอทแลนติส" เพราะแหล่งข่าวอ้างว่าเยอรมันมีแผนที่รายแทงของ "แอทแลนติส"
3. จากมนุษย์ต่างดาว
แอเรีย 51

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

หน่วย เอสเอ (SA) จุดเริ่มต้นแห่งนาซีเยอรมัน



[เรื่องราวของ : หน่วย เอสเอ (SA)".. จุดเริ่มต้นแห่งนาซีเยอรมัน]

.. หลายคนคงจะคุ้นตากับภาพนายทหารเยอรมันในชุดสีเข้ม ที่ดูเนี้ยบและเท่ ซึ่งไม่ว่าจะไปที่ไหนหรือทำอะไรก็จะได้รับความยำเกรงและเกรงอกเกรงใจ และดูเหมือนจะมีอภิสิทธิ์ เหนือคนทั่วไป หรือแม้แต่ทหารด้วยกันเองอย่างเห็นได้ชัด งั้นวันนี้เราจะมาทำความรู้จักที่มาก่อนที่จะเป็นหน่วยทหารที่เรียกว่า หน่วยเอสเอส ที่ก่อตั้งในปี 1923 เพื่อจุดประสงค์เป็นองครักษ์ประจำตัวของฮิตเลอร์ แทนหน่วยก่อนหน้าที่เรียกว่า หน่วยเอสเอ ครับ..

.. โดยหน่วยเอสเอ (SA) "Sturm-Abteilung" หรือ "Strom –trooper" ในภาษาอังกฤษ ซึ่งหน่วย SA เดิมนี้ เป็นแหล่งชุมนุมของเหล่าทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ 1 และ อดีตหน่วยเสรีเยอรมัน มี "เออร์เนสต์ โรห์ม" (Ernst Rohm) เป็น ผบ.หน่วย

.. หน่วยเอสเอนี้ เป็นกองกำลังติดอาวุธ หรือ paramilitary ของพรรคนาซีที่เอามาใช้ข่มขู่พวกที่ต่อต้านนาซีตอนก่อนฮิตเลอร์รวบอำนาจ โดยเฉพาะพวกคอมมิวนิสต์ และพวกเสรีนิยม (ตอนนั้น เยอร์มันถูกจำกัดขนาดกองทัพโดยสนธิสัญญาแวร์ซาย ทำให้นาซีเลี่ยงบาลีไปใช้กองกำลัง paramilitary แทน ประมาณบ้านเราใช้ ตชด. หรือไม่ก็อาสาสมัครทหารพรานไปคุมชายแดนแทนทหารประจำการนั่นแหละครับ)

.. โดยในห้วงเวลาที่ฮิตเลอร์และพลพรรคนาซีเริ่มจะกระโจนเข้าสู่แวดวงการเมืองใหม่ๆ นั้น พวกเขาได้มีนโยบายจัดหา "กองกำลังองครักษ์" เพื่อใช้ในการดำเนินการด้านต่างๆ และคุ้มครองบุคคลสำคัญของพรรคนาซี ดังนั้น ผู้กองเออร์เนสต์ โรหม์ ซึ่งเป็นนายทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งแรกที่ได้ร่วมมือกับฮิตเลอร์ เป็นที่ปรึกษาสำคัญๆ มาตั้งแต่ต้น จึงได้รับความไว้วางใจให้ทำการคัดเลือกคนหนุ่มมาฝึกให้กลายเป็นกองกำลัง "SA" ซึ่งจะกลายเป็นมือเท้าที่สำคัญของพรรคนาซีนั่นเอง

.. สมาชิกของกองกำลัง SA ในช่วงแรกๆ นั้น หลายคนมักเคยเป็นทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่1 และเคยประจำอยู่หน่วยสตอร์มทรูปเปอร์มาก่อน (ภาษาเยอรมันอ่านว่า "สตวมอับไทลุงค์") ซึ่งถ้าจะว่ากันแล้วพวก "สตวมอับไทลุงค์" ก็มีฐานะและรูปแบบไม่ต่างจากกองกำลังทหารประจำการดีๆ นั่นเองครับ

.. ซึ่งต้องบอกก่อนเผื่อสับสนนะครับว่า "กองพันพายุ" ที่เยอรมันนำมาใช้ในสงครามสนามเพลาะตอนปลายสงครามโลกครั้งแรก กับหน่วย SA ของพรรคนาซีนั้น เป็นคนละหน่วยกัน และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องต่อเนื่องกันแต่ประการใด และสมาชิก SA ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเคยสังกัดกองพันพายุที่รบตอนปลายสงครามมาก่อนเสมอไปนะครับ เพราะมีทั้งการคัดเลือกเอาคนเก่งๆ สมัยใหม่ด้วย

.. ซึ่งกล่าวได้ว่า หน่วย SA นั้นอาจจะเป็นบันไดสู่การเถลิงอำนาจของฮิตเลอร์ในยุคแรกๆ เลยก็ว่าได้ เพราะ SA นั้นนอกจากพิทักษ์พรรคนาซีแล้ว ยังคอยกำจัดปั่นป่วนก่อกวนพลพรรคคอมมิวนิสต์และชาวยิวในเยอรมัน รวมทั้งยังกำจัดเสี้ยนหนามที่สำคัญของฮิตเลอร์ด้วย แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติในปี 1923 และจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฮิตเลอร์แลพรรคนาซี สมาชิกพรรคในระดับต่างๆ จึงต้องหลบหนีกระจายออกไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง

.. กระทั่งฮิตเลอร์ได้หวนกลับมายังเวทีการเมืองอีกหลังติดคุกอยู่ 9 เดือน เขาจึงตั้งกองกำลัง SA ขึ้นมาอีกครั้ง และเชิญ "โรหม์" ให้มาเป็นผู้นำของ SA อีก ซึ่งคราวนี้โรหม์ยังได้ชักชวนนายทหารในกองทัพเยอรมันจำนวนมากที่เป็นสหายของตนมาร่วมในหน่วย SA นี้ด้วย และนั่นจึงทำให้ตั้งแต่ปี 1929-1933 เป็นต้นมา กองกำลัง SA ขยายตัวมากขึ้น จนมีกำลังพลเป็นล้านนาย นับว่ามีขนาดใหญ่โตกว่ากองทัพบกเยอรมันในยุคนั้นเสียอีก (ตอนนั้นเยอรมันโดนจำกัดขนาดกองทัพด้วย "สนธิสัญญาแวร์ซาย" ครับ จึงทำให้มีกำลังทหารประจำการได้ไม่เกิน 1 แสนคน)

.. และในช่วงที่ฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้การปกครองของประธานาธิบดีฮินเด็นเบิร์ก นั้นพลพรรค SA เริ่มมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การนำของ "เออร์เนส โรหม์" ที่สนิทชิดเชื้อกับ "ฮิตเลอร์" มากถึงขนาดที่ว่าเขาเป็นหนึ่งในบุคคลเพียงสองคนของพรรคนาซี ที่สามารถเรียกชื่อ "ฮิตเลอร์" ได้ตรงๆ โดยไม่ต้องใช้คำแทนว่า "ท่านฟือเรอห์" (อีกคนหนึ่งคือ "เฮอร์มาน เกอริ่ง" เสืออากาศแห่งกองทัพเยอรมัน ซึ่งร่วมหัวหกก้นขวิดกับ "ฮิตเลอร์" และ "โรหม์" มาตั้งแต่ต้นเช่นกัน)

.. จนในเดือน เม.ย. 1934 สุขภาพของประธานาธิบดีฮินเดนเบอร์ก ประธานาธิบดีเยอรมันในขณะนั้นไม่สู้ดีนัก เขาเสียชีวิตในวันที่ 2 สิงหาคม 1934 สามชั่วโมงหลังจากนั้นฮิตเลอร์จึงได้ประกาศรวมตำแหน่งประธานาธิบดีและและนายกรัฐมนตรี (บางทีเรียกว่าอัครมหาเสนาบดี) เข้าด้วยกัน และตั้งตัวเองเป็นประมุขของรัฐและผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือที่เรียกว่าท่านผู้นำ และแล้วเยอรมันก็ก้าวเข้าสู่ความเป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบ นับแต่นั้นเป็นต้นมา

.. ฮิตเลอร์และพรรคนาซีได้ก้าวเข้ามามีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในเยอรมนี และเริ่มใช้นโยบายอันโหดเหี้ยมในการปราบปรามฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเหตุการณ์ที่โด่งดังและกลายเป็นประวัติศาสตร์ก็คือ การเผารัฐสภาเยอรมัน (ไรสท์ตาก) และช่วงเหตุการณ์ "Night of the Long Knives" (เหตุการณ์คืนแห่งมีดยาว) ที่ทางหน่วย "SS" และ "เกสตาโป" ได้ออกทำการกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามของพรรคนาซี และสังหารหรือจับกุมผู้นำสำคัญของหน่วย SA ด้วย แม้กระทั่ง "เออร์เนสต์ โรหม์" ที่เป็นผู้นำของ SA เองก็ถูกจับด้วยขณะกำลังพักผ่อนอยู่ที่บ้านพักตากอากาศพร้อมกับหนุ่มคู่ขา (โรห์มเป็นเกย์ครับ)

.. ซึ่งเรื่องที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง หลายท่านอาจจะมีคำถามว่า ทำไม "ฮิตเลอร์" ถึงต้องกำจัด "เออร์เนสต์ โรหม์" และยุบพลพรรค SA ทิ้งไป ทั้งๆ ที่ SA ก็เป็นกองกำลังที่ทำงานรับใช้เป็นมือเป็นขามาให้ฮิตเลอร์มาเป็นอย่างดีตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น จนอาจกล่าวได้ว่าถ้าขาดซึ่งทหารจากกองพันพายุของหน่วยเอสเอแล้ว ฮิตเลอร์อาจจะไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของเยอรมันได้โดยง่ายดายนัก

.. โดยสาเหตุจริงๆ นั้นก็คือ ในห้วงเวลาดังกล่าวกองกำลัง SA มีบทบาทเด่นมากในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองของเยอรมัน และเป็นกองกำลังที่มีลักษณะการฝึกฝนเหมือนกับกองทัพทุกประการ จึงทำให้เกิดการแอนตี้กองกำลัง SA จากฝ่าย "กองทัพบก" ทันทีที่ฮิตเลอร์เริ่มขึ้นมามีอำนาจ และฮิตเลอร์เองก็รู้ดีว่าการจะสร้างฐานอำนาจให้เข้มแข็งนั้นจำต้องมี "กองทัพบกเยอรมัน" หนุนหลัง ประกอบกับการที่ "โรหม์" ได้มาขอให้ฮิตเลอร์ทำการผนวกกองกำลัง SA เข้าไปกับกองทัพบกและมอบอำนาจทางการทหารสูงสุดให้เขา

.. ซึ่งฮิตเลอร์และที่ปรึกษาทุกคนต่างไม่มีใครเห็นด้วย เพราะรู้ดีว่าถ้า SA ถูกผนวกเข้ากับกองทัพบกเมื่อไหร่ มันจะสร้างความไม่พอใจให้แก่บรรดานายทหารระดับสูงในกองทัพทันที อีกทั้งฮิตเลอร์แลที่ปรึกษายังมองว่า SA เป็นกองกำลังทหารยุคเก่าซึ่งคร่ำครึล้าสมัยแลยังยึดมั่นอยู่กับยุทธวิธีแบบเดิมๆ ดังนั้นถ้าให้ SA กลายเป็นกองกำลังหลักของประเทศก็คงจะก่อให้เกิดความไร้ประสิทธิภาพขึ้นในกองทัพแน่นอน

.. ดังนั้นก่อนที่จะเกิด "เหตุการณ์กวาดล้างในคืนแห่งมีดยาว" ฮิตเลอร์จึงได้เรียก "โรหม์" มาปรึกษาในฐานะเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานมนาน โดยฮิตเลอร์ได้ขอร้องให้โรหม์ยุบกองกำลัง SA ลงและถอนตัวออกไปจากแวดวงการทหารเสีย ซึ่งข้อนั้น "โรหม์" ยอมรับไม่ได้ เพราะเขาได้ลั่นวาจาไปกับบรรดานายทหารของเขาแล้วว่า SA จะต้องเป็นกองกำลังหลักของประเทศ

.. นั่นจึงทำให้เกิดข่าวลือที่ว่าทั้งคู่เกิดความขัดแย้งจน "โรหม์" แอบทำการคัดเลือกทหาร SA มือดีไว้เพื่อกระทำภารกิจสังหารฮิตเลอร์ จนในที่สุดเหตุการณ์จึงบานปลายไปสู่ช่วง "การกวาดล้างในคืนแห่งมีด" ที่นับเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของหน่วย SA นั่นเอง

.. เพราะในช่วงนั้น storm trooper หรือ หน่วยเอสเอ แข็งแกร่งมาก จนเริ่มเป็นเสี้ยนหนามต่อฮิตเลอร์เอง ทำให้ภายหลังฮิตเลอร์เลยจัดตั้งหน่วย SS เป็นกองกำลังที่ขึ้นตรงต่อฮิตเลอร์ กับ Gestapo กองตำรวจลับ เพื่อใช้เป็นแขนขา และหลังจากฮิตเลอร์ได้เป็นท่านผู้นำ มีอำนาจเต็มที่่ ก็เลยใช้หน่วย SS กับ gestapo สลายหน่วย SA นี้ซะ โดยการฆ่าทิ้ง จับขัง แล้วให้ SS กับ gestapo หรือหน่วยตำรวจลับนาซี ให้มีอำนาจขึ้นมาแทน

.. แม้กระทั่งตอนที่ "เออร์เนส โรหม์" ถูกทหารเอสเอสจับคุมขังคุกแล้ว ฮิตเลอร์เองก็ยังตัดสินใจไม่ขาดว่าจะดำเนินการอย่างไรกับนายทหารผู้ซึ่งเคยเป็นเพื่อนเก่า และฝ่าฝันความยากลำบากมาด้วยกัน ถึงขนาดที่ "โจเซฟ เกบเบิ้ล" ที่ปรึกษาคนสนิทของฮิตเลอร์ ต้องเข้าไปขอคำอนุมัติจากฮิตเลอร์อยู่หลายครั้งทีเดียว ว่าจะดำเนินการเช่นใดกับ "โรหม์" ที่ถูกทหารเอสเอสจับกุมอยู่ (ตอนเอสเอสบุกเข้าไปจับตัวโรห์มที่บ้านพักตากอากาศนั้น ฮิตเลอร์เองก็เดินทางไปพร้อมกับทหารเอสเอสหน่วยนี้ด้วยครับ)

.. ซึ่งกองกำลังป้องกันดังกล่าวก็ตั้งขึ้น เพื่อปกป้องกันคุ้มกันตัวฮิตเลอร์หรือท่านผู้นำ โดยเป็นทั้งกำลังอารักขา และใช้เป็นฐานอำนาจในการก้าวสู่อำนาจทางการเมืองและทางทหารของฮิตเลอร์ เนื่องจากช่วงแรกของการก้าวขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองของฮิตแลอร์นั้น ยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเยอรมนีอย่างเต็มที่ ซึ่งตัวฮิตเลอร์ เองก็ไม่ได้ไว้วางใจกองทัพเยอรมันว่า จงรักภักดีกับเขาอย่างเต็มที่หรือไม่

.. ย้อนไปตอนที่ฮิตเลอร์และพลพรรคนาซีของเขาพยายามทำการปฏิวัติแต่ไม่สำเร็จ เขาถูกจับพร้อมกับพรรคพวกของเขา เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ Munich Putch เขาถูกจำคุก ด้วยโทษ 5 ปี แต่จริงๆ เขาถูกจำคุกเพียงแค่ 9 เดือนเท่านั้น หนังสือพิมพ์ต่างตีพิมพ์คำให้การ คำสัมภาษณ์ของเขา ที่ต้องการฟื้นฟูประเทศเยอรมัน ระหว่างที่ติดคุก เขาเขียนหนังสือชื่อ "การต่อสู้ของข้าพเจ้า" (Mein Kampf) ด้วย

.. โดยความพ่ายแพ้ของเขาในครั้งนั้น กลับทำให้เขาได้รับความนิยมมากขึ้นในเดือน พ.ค. 1927 ถึง 1928 ฮิตเลอร์ถูกห้ามกล่าวคำปราศรัยในที่สาธารณะ และในปี 1928 นี่เองที่ฮิตเลอร์เช่าวิลล่าที่ Obersalzberg ที่นี่เขาได้พบกับ Angela Raubal ซึ่งเข้ามาในฐานะแม่บ้าน ฮิตเลอร์ตกหลุมรักอย่างบ้าคลั่งกับเธอ บางทีอาจจะเป็นครั้งเดียวที่เขาตกหลุมรักในชีวิตของเขาทั้งชีวิต

.. และตอนที่พรรคนาซีเริ่มได้รับความนิยมอีกครั้ง จากการนำทางของ "Gregor Strasser" ผู้ร่วมงานของฮิตเลอร์ ในขณะเดียวกันตอนนั้น "เออร์เนส โรห์ม" คนสนิทของฮิตเลอร์ ก็มีกองกำลัง SA หรือ "สตุมอับไทลุง" ที่ใช้เพื่อเป็นกองกำลังส่วนตัวของฮิตเลอร์ แต่ฮิตเลอร์เห็นว่า โรห์มเริ่มทำตัวเป็นเอกเทศ และมีทีท่าว่าจะไม่สามารถควบคุมได้ และกองกำลัง SA ก็ดูเหมือนจะเชื่อฟังโรห์ม มากกว่าฮิตเลอร์ ฮิตเลอร์จึงได้ตั้ง ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ นักธุรกิจที่ร่างกายอ่อนแอและล้มเหลวอีกทั้งเป็นนักเพ้อฝัน ให้จัดตั้งกองกำลังเอส เอส SS ขึ้นนั่นเอง

.. โดยกองกำลังเอส เอส นี้ได้ถูกฝึกขึ้นมาเพื่อให้จงรักภักดีต่อฮิตเลอร์อย่างปราศจากคำถามใดๆทั้งสิ้น และฮิตเลอร์เองเขาก็ภูมิใจในหน่วยเอสเอสนี้เป็นอย่างมากด้วย

.. อีกทั้งหน่วยเอสเอสนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นกองทหารประจำตัวของฮิตเลอร์ก็ว่าได้ ซึ่งทำการคัดเลือกมาจากชายสายเลือดเยอรมันพันธุ์แท้ แบบพวกอารยัน สูงอย่างน้อย 180 ซ.ม. กำลังพลของเอสเอสจะได้รับการอบรม ปลูกฝังให้จงรักภักดีต่อผู้นำของเขาอย่างเหนียวแน่น และปราศจากการตั้งคำถามสงสัยใดๆทั้งสิ้น ได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก และถูกปลูกฝังอุดมการณ์ของนาซี ถูกปลูกฝังแนวความคิดเรื่องความเป็นเลิศของชนชาติอารยัน เพื่อการสร้างชาติไปสู่อาณาจักรไรซ์ที่ 3 นั่นเอง

.. จนในที่สุด ฮิตเลอร์ก็ตัดสินใจทำลายหน่วย SA ในวันที่ 6 มิ.ย. 1934 ณ โรงแรม Tegernsee 50 ไมล์จากมิวนิค โรห์มพร้อมกับเด็กหนุ่มคู่ขาของเขา ฮิตเลอร์อ้างว่าโรห์มเป็นเกย์ และใช้ SA ในการหาเด็กหนุ่มมาเป็นคู่ขา จึงถูกจับ และทหารเอสเอส ได้รับคำสั่งจากฮิตเลอร์ให้ยื่นโอกาสแห่งเกียรติยศด้วยการฆ่าตัวตายกับโรห์ม ทหารเอสเอส วางปืนให้เขา แล้วออกมา

.. เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที โดยที่ไม่มีเสียงปืน ทหารเอส เอส จึงเดินเข้า แล้วจ่อยิงโรห์มจนเสียชีวิต พร้อมกันนั้นหัวหน้าระดับสูงของ SA คนอื่นๆ ก็ถูกจับตัว บ้างถูกขัง บ้างถูกสังหารโดยทหารเอสเอส ซึ่งเริ่มก้าวขึ้นมาแทนกองกำลัง SA

.. ว่ากันว่าตอนที่ฮิตเลอร์มีคำสั่งให้เอาปืนลูเกอร์บรรจุกระสุนเต็มแม็กยื่นให้ "โรหม์" โดยหวังว่าเขาจะยิงตัวตายในคุกแบบชายชาติทหาร แต่จนแล้วจนรอดผโรหม์ก็ไม่ยอมแตะต้องปืนดังกล่าว จนในที่สุด "ทหารเอสเอส" จึงต้องเข้ามาในห้องขังและชักปืนยิงใส่ "โรหม์" หลายนัดจนสิ้นใจ โดยก่อนที่จะถูกยิงนั้นมีการบันทึกว่า "เออร์เนสต์ โรหม์" ได้ลุกขึ้นมายืนกระทำท่า "วันธยาหัตถ์นาซี" พร้อมเปล่งเสียงกระทำความเคารพฮิตเลอร์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่กระสุนจากปืนลูเกอร์จะถูกระดมยิงใส่ร่าง อันเป็นการจบชีวิตของผู้นำหน่วย SA ตลอดไป

.. หลังจากที่โรหม์ตายลงแล้ว ฮิตเลอร์ก็ได้ทำการป่าวประกาศต่อพลพรรค SA ที่เหลือว่า "โรหม์" ได้ทรยศพรรคนาซีและวางแผนจะลอบสังหารตัวเขา ก่อนที่ฮิตเลอร์จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ลงได้นั่นก็คือการยุบกองกำลัง SA แล้วผนวกทหารในกองกำลังดังกล่าวไปอยู่ในกองทัพบกเยอรมันเสีย ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ "เออ เนสต์โรหม์" เคยร้องขอต่อฮิตเลอร์มาตลอด แต่เขาก็ไม่มีวันได้เห็นเรื่องดังกล่าวด้วยตาตนเอง แม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต

.. จนเมื่อกองกำลัง SA ถูกยุบแล้ว จึงนับเป็นการปิดฉากความเกรียงไกรของหน่วยสตรอทม์ทรูปเปอร์ (สตวมอัพไทลุงค์) ลงอย่างถาวร เหลือไว้แต่เพียงตำนานแลความเก่งกล้าจงรักภักดีของพวกเขาทั้งในทางที่ดีระหว่างช่วงสงคราม และทางที่เลวทรามต่ำช้าในช่วงเป็นเบี้ยของพลพรรคนาซีเท่านั้น ที่ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติสาสตร์จวบจนถึงปัจจุบันครับ ..

.. ในช่วงท้ายของสงคราม การบุกเข้ามาของกองทัพทหารรัสเซีย ไม่ว่าทหารเอสเอส เอสเอ หรือหน่วยไหนก็ตาม แม้ขึ้นชื่อในเรื่องความเหี้ยมโหดอย่างที่เรียกได้ว่าสังหารชาวบ้าน และข้าศึกโดยไม่จับเป็นเชลยแบบยกหมู่บ้านเลยทีเดียวเพียงใดก็ตาม แต่ในเรื่องของความกล้าหาญ และความเสียสละเพื่อแผ่นดินของพวกเขาแล้ว ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย.. (จบ- :D)

<ภาพ> : รูปโฆษณาชวนเชื่อของ SA ในชุดเครื่องแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของหน่วยคือ เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลกับหมวกทรงหม้อ

**เพิ่มเติม..http://en.wikipedia.org/wiki/Sturmabteilung

- ขอบคุณข้อมูลจากเว็ป : bloggang.com..
แอดมินวัลคีรี่...

ที่มาของข้อมูล
https://www.facebook.com/502091946518622/photos/a.502118033182680.110899.502091946518622/1185835771477566/?type=3&theater