“นรกบ้านนา” โดย พลตรี ประจักษ์ วิสุตกุล
“จากสงครามสู่สงคราม”
......ด้วยจิตใจที่เป็นทหารอาชีพ ไม่รู้อะไรที่ทําให้ผมสมัครไปรบลาวอีกครั้ง โดยมิได้บอกญาติใดๆทั้งสิ้น...
ก่อนติดตามบันทึก “นรกบ้านนา” ของ พล.ต.ประจักษ์ วิสุตกุล “หัวหน้าใจ” สมควรเข้าใจการเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามลับในลาวของไทยที่เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2503 จนถึง พ.ศ.2516 ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 4 ห้วงเวลาสำคัญตามประเภทของกำลังที่ส่งเข้าไปปฏิบัติการ อันจะทำให้เห็นภาพของสงครามที่ “หัวหน้าใจ”เข้าไปมีส่วนร่วมดังนี้ได้ชัดเจนขึ้น ...
"หัวหน้าใจ"จะเข้าไปร่วมรบในห้วงที่ 3
ห้วงที่ 1 : กำลังตำรวจพลร่ม “พารู”
เริ่มตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2503 ซึ่งมีสาเหตุเริ่มต้นจากการยึดอำนาจของ ร้อยเอก กองแล เมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ.2503 กำลังที่ส่งเข้าไปเป็นชุดแรกนี้จัดจากตำรวจพลร่ม “พารู” มีหน้าที่เป็นที่ปรึกษากองทัพลาวฝ่ายขวาในเบื้องต้น และต่อมาได้ขยายบทบาทไปยังการฝึก การจัดตั้งและการปฏิบัติการรบกองกำลังม้งของวังเปาภายใต้การสนับสนุนของ ซีไอเอ. กำลังตำรวจพลร่มเหล่านี้ไม่มีหน้าที่ทำการรบโดยตรง และจะปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้ไปตลอดจนสิ้นสุดสงครามเมื่อ พ.ศ.2516
ห้วงที่ 2 : กำลังทหารปืนใหญ่ เอสอาร์
เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2507 ถึง พ.ศ. 2512 เมื่อฝ่ายเวียดนามเหนือส่งกำลังเข้าสนับสนุนลาวฝ่ายซ้ายจนครองความได้เปรียบเหนือลาวฝ่ายขวาโดยเฉพาะในทุ่งไหหินอันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของทั้งสองฝ่าย ไทยจึงได้รับการร้องขอให้ส่งกองร้อยทหารปืนใหญ่ เริ่มจาก เอสอาร์ 1 ใน พ.ศ.2507 เข้าไปให้การสนับสนุนเพิ่มอำนาจการยิงจากอาวุธหนัก ภารกิจเฉพาะคือป้องกันเมืองสุยอันเป็นเมืองสำคัญบริเวณทุ่งไหหินเพื่อมิให้ตกอยู่ในมือของฝ่ายเวียดนามเหนือ แต่ฝ่ายเวียดนามเหนือได้ทุ่มเทกำลังเข้ากดดันจนกองร้อยทหารปืนใหญ่ เอสอาร์ 8 ต้องถอนตัวกลับไทยเมื่อ พ.ศ.2512 จากนั้นเวียดนามเหนือก็ทุ่มเทกำลังจนกระทั่งเข้ายึดทุ่งไหหินและเมืองสุยไว้ได้เมื่อกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 และมีสิ่งบอกเหตุว่าจะไม่หยุดยั้งอยู่แค่เพียงทุ่งไหหินเท่านั้น แต่เป้าหมายต่อไปคือจุดยุทธศาสตร์สำคัญรอบๆทุ่งไหหิน อันได้แก่ ล่องแจ้ง ศาลาภูคูณ และท่าเวียง เพื่อควบคุมพื้นที่ทุ่งไหหินให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ กำลังทหารกองทัพแห่งชาติลาว ภาค 2 โดยการนำของนายพลวังเปา ต้องร่นถอยมาทางใต้ แล้ววางกำลังตั้งรับ ตามแนว บ้านนา -ภูล่องมาด - ถ้ำตำลึง - ภูผาไซ - คังโค้ โดยใช้ล่องแจ้ง และซำทองเป็นที่มั่นสุดท้าย
กลางเดือนมีนาคม 2513 เวียดนามเหนือเปิดการรุกรบขนาดใหญ่อีกครั้งหนึ่ง รัฐบาลลาวจึงได้ร้องขอกำลังรบของไทยไปสนับสนุนกองทัพแห่งชาติลาว ภาค 2 เพื่อป้องกันล่องแจ้งและซำทอง ที่มั่นสุดท้ายของกองทัพแห่งชาติลาวบริเวณสมรภูมิทุ่งไหหิน
ห้วงที่ 3 : กำลังทหารประจำการ
เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2513 จนถึงต้น พ.ศ.2514 เมื่อ จอมพล ถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้สั่งการให้จัดทำ “โครงการ วีพี.” และได้ส่งกำลัง 3 กองพันทหารราบ 2 กองร้อยทหารปืนใหญ่ เข้าปฏิบัติการช่วยเหลือกองทัพแห่งชาติลาวเพื่อป้องกันล่องแจ้งและซำทอง ตั้งแต่มีนาคม 2513
หน่วยทหารราบใช้นามรหัส “ไอวีพี (INFANTRY VANG PAO) “ประกอบด้วย กองพันทหารราบ ไอวีพี – 11 ไอวีพี - 12 และ ไอวีพี – 13
หน่วยทหารปืนใหญ่ ใช้นามรหัส “เอวีพี (ARTILLERY VANG PAO)” ประกอบด้วย กองร้อยทหารปืนใหญ่ เอวีพี – 1 และ เอวีพี – 2
หน่วยกำลังทหารประจำการทั้งหมดนี้กำหนดให้ปฏิบัติการเป็นเวลา 1 ปี แล้วจะให้หน่วยทหารเสือพรานเข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทนในปลายปี พ.ศ.2513-ต้นปี พ.ศ.2514
“หัวหน้าใจ” - ร.ต.ประจักษ์ วิสุตกุล ทำหน้าที่ผู้บังคับหมวดปืนเล็กในกองพันทหารราบ ไอวีพี - 13 ซึ่งต่อไปจะเปลียนชื่อเป็น บีไอ 15...
ช่วงที่ 4 : กำลังทหารเสือพราน
เริ่มจากปลายปี พ.ศ.2513 จนถึงการสู้รบยุติลงเมื่อ พ.ศ.2516
ในช่วงเวลาที่หน่วยทหารเสือพรานจะเข้าปฏิบัติหน้าที่แทนเมื่อปลายปี พ.ศ.2513 นั้น
ก่อนถอนกำลังกลับประเทศไทย หน่วยทหารประจำการในช่วงที่ 3 สามารถยึดรักษาพื้นที่สำคัญบริเวณรอบทุ่งไหหินไว้ได้ดังนี้
กองพันทหารราบ ไอวีพี 11 (หรือ บีไอ 13) และ กองร้อยทหารปืนใหญ่ เอวีพี 2 (หรือ บีเอ 14) ยึดรักษาพื้นที่ซำทอง
กองพันทหารราบ ไอวีพี 12 (หรือ บีไอ 14) ยึดรักษาพื้นที่ภูล่องมาด
กองพันทหารราบ ไอวีพี 13 (หรือ บีไอ 15) และ กองร้อยทหารปืนใหญ่ เอวีพี 1 (หรือ บีเอ 13) ยึดรักษาพื้นที่บ้านนา
บก. ฉก.วีพี ยึดรักษาเมืองล่องแจ้ง
ขณะที่ฝ่ายเวียดนามเหนือยังคงยึดครองพื้นที่ภายในทุ่งไหหินไว้ได้อย่างค่อนข้างเบ็ดเสร็จ...
“หัวหน้าใจ” - ร.ต.ประจักษ์ วิสุตกุล ยังคงทำหน้าที่ผู้บังคับหมวดปืนเล็กในกองพันทหารราบ บีไอ 15 ที่สมรภูมินรกบ้านนา...
เรียนเชิญติดตามบันทึก “นรกบ้านนา” ได้ ณ บัดนี้…
“บทนํา”
ผม พล.ต.ประจักษ์ วิสุตกุล อดีตรอง มทภ.2 นตท.4 จปร. 15 ปัจจุบัน เกษียณราชการแล้ว อายุ 73 ปี อาชีพในปัจจุบันทํางานที่ บริษัท นวนคร จํากัด (มหาชน) ตําแหน่งผู้อํานวยการฝ่ายระบบน้ำเพื่ออุตสาหกรรมนวนคร
ผมได้มีโอกาสพบกับพี่เสริฐ ซึ่งเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาของผมในงานแต่งงาน ท่านทราบว่าผมเคยไปรบที่ลาวและอยู่หน่วย BI-15 และได้สู้รบในสมรภูมิบ้านนา ท่านจึงบอกให้ผมช่วยเขียนเรื่องและบอกให้ทราบว่า เรื่องการรบในลาวได้มีการอนุญาตให้เปิดเผยได้แล้ว เพื่อเล่าเรื่องราวของนักรบนิรนามที่ได้สร้างวีรกรรมไว้ เพื่อป้องกันประเทศชาติจากการรุกรานของลัทธิคอมมิวนิสต์จากภายนอกประเทศและได้เสียสละชีวิตเลือดเนื้อไปเป็นจํานวนมากเกือบ 3,000 ชีวิต ผมรับปากและยินดีที่จะเล่าเรื่องราวจากความทรงจําเท่าที่จะจําได้และเป็นเรื่องจริงที่ประสบมาตัวเองทั้งสิ้น
พล.ต.ประจักษ์ วิสุตกุล
อดีตรอง มทภ.2 นตท.4 จปร.15 (หน.ใจ)
ตอนที่ 1...
“จุดเริ่มต้นสู่สมรภูมิลาว”
ผมสมัครไปรบเวียดนาม ในขณะที่กําลังจะจบจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ผมอยู่ชั้นปีที่ 5 เป็นปีสุดท้าย ผมยกมือเป็นคนแรกๆ และก็ได้ไปสมใจในตําแหน่ง ผบ.มว.ปล.ร้อยอาวุธเบา กองพลอาสาสมัครเสือดํา รุ่น 1/2 และไปผลัดเปลี่ยนกําลังแทนหน่วยจงอางศึก ผมโชคดีรอดกลับมาได้จากเวียดนาม
จําได้ว่ากําลังในหมวดผมเหลือประมาณครึ่งหมวดเท่านั้นที่ได้กลับมาถึงประเทศไทยในราวเดือน เม.ย.-พ.ค. 2512 จําไม่ได้
จากนั้น ผมได้รับอนุญาตให้พัก 1 เดือน และถูกส่งกลับไปยังหน่วยเดิมคือ กองร้อย อาวุธเบาที่ 1 ร.3 พัน 2 โคราช ทันที่ที่ไปถึงได้รับทราบข่าวว่าใครต้องการไปรบลาวต่อให้สมัครได้เลย เพราะลาวกําลังวิกฤต คอมมิวนิสต์กําลังรุกหนักเข้ายึดประเทศลาว
ด้วยจิตใจที่เป็นทหารอาชีพ ไม่รู้อะไรที่ทําให้ผมสมัครไปรบลาวอีกครั้ง โดยมิได้บอกญาติใดๆทั้งสิ้น
เรามีคําสั่งให้รีบจัดกําลัง 1 กองร้อย ปล.โดยเร่งด่วน ผมเป็น ผบ.มว.1,ร.ต.เหิร วรรณประเสริฐ เป็น ผบ.มว.2 อีก 1 มว.จําไม่ได้
ผบ.ร้อย คือ ร.อ.สรายุทธ์ เจริญพันธุ์ ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว ซึ่งผู้กองก็ผ่านสงครามเวียดนามและเป็น ผบ.ร้อยในเวียดนามของผมด้วย
เราจัดกําลังคนและยุทธโธปกรณ์จากกองร้อยรวมทั้งอาวุธจากกองทัพสหรัฐที่ส่งมาให้ ผมจําได้ว่าผมได้รับปืนคาร์บินเป็นปืนประจําตัว นอกจากนั้นก็เป็นอาวุธเก่ารุ่นสงครามเกาหลีทั้งสิ้น ซึ่งต่อมาภายหลังสหรัฐได้ส่งอาวุธรุ่นใหม่มาให้ คือ M-16 รุ่น A1 ปืนกล M-60 ด้วย เราแทบไม่ได้ฝึกทหารเลย มีการฝึกเตรียมการเพียง 1-2 สัปดาห์เท่านั้นก็ถูกเรียกให้เซ็นพินัยกรรมและถอดยศ ผมได้ชื่อจัดตั้งว่า “หน.ใจ” ได้รับการชี้แจงเรื่องสิทธิให้ทราบ
ผมทราบว่ากองกําลังจะถูกส่งไปช่วยนายพลวังเปา ที่เมืองล่องแจ้ง ซึ่งอยู่ในสถานการณ์วิกฤตมาก เมืองกําลังจะแตก
ในคืนนั้นจําวันไม่ได้ เราถูกส่งขึ้นขบวนรถเดินทางตอนกลางคืนและไปถึงสนามบินน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น เช้ามีเครื่อง C-130 ของแอร์อเมริกามาขนพวกเราขึ้นทั้งกองร้อย พร้อมยุทธโธปกรณ์ที่พร้อมรบเต็มที่ ใช้เวลาบินมาวนเหนือสนามบินล่องแจ้งไม่นานจากน้ำพอง
ผมมองเห็นสนามบินเหมือนอยู่ในบ่อ ยังคิดว่าเครื่องจะลงได้อย่างไร C-130 วนลดระดับหลายรอบ และร่อนลง รู้สึกว่า C-130 เบรกอย่างแรงมากจนทําให้พวกเราไหลไปรวมกันเกือบทั้งกองร้อย
เราลงจาก C-130 เหยียบสนามรบแล้ว ล่องแจ้งเป็นเมืองของนายพลวังเปา มีแต่เขาล้อมรอบทุกทิศทาง ทางด้านทิศตะวันตก เห็นแนวสันเขาเป็นแนวยาวสูงชัน...
ได้รับทราบว่าเป็นแนวสกายไลน์ซึ่งในขั้นแรก กองร้อยเราต้องไปตั้งเพื่อยึดแนวนี้ไว้ตามคําสั่ง.
สนามบินล่องแจ้งและภูมิประเทศโดยรอบ.
“จากสกายไลน์สู่บ้านนา”
......ฝ่ายเราเริ่มมีการบาดเจ็บและเสียชีวิตบ้างแล้วจากการโจมตีด้วยอาวุธหนักรบกวน เมื่อ บ. ฝ่ายเรามาจะเกิดศึกหนักทุกครั้งโดยเฉพาะการยิงสู้ของ ปตอ.50 mm ของข้าศึกยิงสวนขึ้นไป……
“ขึ้นแนวสกายไลน์”
หมวดของผมถูกส่งขึ้น ฮ. เราเรียกว่า “สามล้อ” ซึ่งอัตราบรรทุกไม่มาก จนท.ลาวบอกให้เรารีบขึ้น ฮ. ให้เร็วๆ แล้วบอกว่า “บักแตก!” “ บักแตก!” มารู้ตอนหลังว่า “บักแตก”คือ “ระเบิดมือ” ให้เอาไปมากๆ
ผมขึ้นมายึดแนวสกายไลน์รักษาพื้นที่ปีกขวาของแนวสกายไลน์ เป็นแนวรบที่ต้องรักษาพื้นที่บนสันเขาเป็นแนวยาว มีหน่วยรบอื่นๆอยู่ห่างถัดออกไปรักษาพื้นที่ตามสันเนินสําคัญต่างๆ
วันแรกที่ไปถึงรู้สึกเหมือนกลับมาเวียดนามอีกครั้ง เพียงสนามรบแตกต่างกัน มันเหมือนถูกขังอยู่บนยอดเขา ไม่มีถนน จะไปไหนต้องเดินไปหรือขึ้น ฮ.ไปเท่านั้น
“จากแนวสกายไลน์สู่แนวรบที่ 2 ภูล่องมาด ถ้ำตําลึง”
ผมอยู่ที่สกายไลน์ 1-2 เดือน โดยไม่มีศึกหนักมากนัก มีเพียงปะทะกันบ้างตอนลาดตระเวนและตอนข้าศึกเข้ามาแหย่ดูแนวป้องกันของเราว่าจะแข็งแรงหรือไม่ และทราบว่าข้าศึกถอยร่นจากแนวสกายไลน์แล้ว เฉพาะหมวดผม (ซีบร้า) หมวด 1 ได้รับคําสั่งให้เคลื่อนย้ายจากแนวสกายไลน์ ไปป้องกันฐานปืนใหญ่ 155 มม. ฐานโรมิโอจูเลียต ติดกับถ้ำตําลึงและภูล่องมาด ซึ่งเป็นแนวรบที่สอง จําได้ว่า หน.อุดม เป็น ผบ.ฐาน (พ.ท.อุดม บุญมา)
ในตอนแรกหมวดผมต้องเข้าประจําเนินสูงข่มเหนือฐานปืน ซึ่งสูง 1,700 เมตร อยู่เหนือฐานปืนด้านตะวันออกห่างประมาณ 500-600 เมตร เป็นฐานเก่าเต็มไปด้วยกับระเบิดและคลังอาวุธที่ถูกทิ้งไว้มากมาย น่าจะเป็นฐานของทหารแม้วของวังเปา เต็มไปด้วยทุ่นระเบิดกับระเบิด มีอันตรายมาก เราต้องอยู่อย่างยากลําบาก ออกไปไหนไม่ได้เพราะสนามทุ่นระเบิดเต็มไปหมด ลงมาได้เฉพาะเส้นทางเดินลงมาฐานปืนเท่านั้น
ความยากลําบากอีกอย่างหนึ่งคือฝนที่ตกแทบทุกวัน ต้องเปียกชื้นตลอดเวลา ต้องนอนอยู่กับโคลนเลนทั้งวันทั้งคืนท่ามกลางสายฝน ตกๆหยุดๆอยู่ 2 วัน 2 คืน บางครั้งก็นานจนเราไม่ได้พบกับแสงสว่างหลายวันก็มี
ต่อมา ผบ.ฐานปืนท่านคงเห็นใจเรา ให้ย้ายลงมาอยู่กับแนวป้องกันของฐานปืน ป้องกันพื้นที่ด้านตะวันออกติดยอดเนิน บนเนินให้วางระเบิดไว้กับกองอาวุธกระสุน โดยต่อสายลงมาและใช้กดระเบิดหากข้าศึกเข้ามายึด และอีกไม่กี่วันต่อมายอดเขาก็ระเบิดเป็นจุลจากฟ้าผ่ามีกระแสไฟวิ่งเข้าสายทําให้อาวุธกระสุนทั้งหมดระเบิดหมดสิ้น
ที่ฐานปืนผมได้วางทุ่นระเบิด 3 ชั้นเพื่อป้องกันการเข้าตีของข้าศึกและข้าศึกก็ได้เข้ามาทดสอบแนวเราหลายครั้ง ทําให้ทุ่นระเบิดระเบิดขึ้นตลอดเวลาในตอนกลางคืน ตอนเราอยู่ฐานปืน เราเสริมแนวดูโดยไม่ประมาท ทําให้ข้าศึกไม่กล้าเข้าตี ได้มีการตรวจการณ์และพบข้าศึกบ่อยๆบริเวณถ้ําตําลึง เราขอ บ.โจมตีแฟนท่อมจากอุดรเข้าทิ้งระเบิด CBU “ระเบิดห่าฝนนรก” เพื่อทําลายข้าศึก ใช้ ปรส.75,105 ยิงทําลายข้าศึก เห็นข้าศึกล้มแตกกระจายแทบทุกวัน ใช้ปืนใหญ่ยิงทําลายด้วยกระสุนแตกอากาศ
ผมมีโอกาสได้ออกลาดตระเวนจากฐานปืน ไปจนถึงเมืองซำทองสองครั้ง พบแต่ร่องรอยการเคลื่อนย้ายกําลังของข้าศึกและเส้นทางมายังฐานปืนมีร่องรอยของข้าศึกเต็มไปหมด ที่
เมืองชําทองมีกองร้อยและฐานปืนของพวกเราตั้งอยู่เพื่อรักษาพื้นที่
“สู่แนวหน้าสุดคือนรกที่บ้านนา”
ประมาณปลาย ต.ค.หรือต้น พ.ย. พ.ศ.2513 หมวดของผมถูกคําสั่งด่วนให้ย้ายกําลังไปอยู่แนวหน้าสุดที่บ้านนาโดยด่วน ใช้การเคลื่อนย้ายด้วย ฮ.
ผมได้สั่งให้ทหารรวบรวมอาวุธกระสุนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เอาไปให้หมด โดยเฉพาะระเบิดมือ M -26 นับเกือบพันลูกซึ่งต้องแอบเอาไปและแพคอย่างดี มิฉะนั้นนักบิน ฮ. ไม่ยอมให้เอาขึ้นไป
ฮ. นําหมวดผมมาลงที่บ้านนา ซึ่งเป็นฐานที่มั่นใหญ่ของฝ่ายเราในแนวหน้าสุด...
วินาทีแรกที่เหยียบที่บ้านนา ผมมองดูภูมิประเทศโดยรอบแล้ว รู้สึกด้วยสัญชาติญาณว่าที่นี่คือนรกชัดๆ เป็นที่ราบแอ่งกระทะล้อมรอบด้วยภูเขาสูงรอบด้าน
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดทุ่งไหหิน
ทิศตะวันออกมีแนวสันเขาสูงชัน BI-14 ยึดอยู่ห่างจากบ้านนาประมาณ 10 กม.
ด้านทิศใต้เป็น “เนินอานม้า”ห่างไปประมาณ 1-2 กม.
ด้านทิศตะวันตกเป็นทิวเขายาวมียอดเล็กใหญ่ สูงต่ำลดหลั่นกัน
หมวดผมรับผิดชอบพื้นที่ของกองพันด้านทิศใต้ ติดกับฐานปืนพันเชอร์ 105 และ155 มม. มี “หน.เกริก”เป็น ผบ.ฐาน มีเพื่อนรุ่นเดียวกับผมอยู่ 3 คน คือ
ร.ต.คํารบ แสงจันทร์ไทย (ต่อมาเสียชีวิตโดยปืนใหญ่ข้าศึกที่ฐานบ้านนาแห่งนี้)
ร.ต.นิมิต อุ่ยอวย ผบ.มว.ป้องกันฐานปืน และ...
“ไอ้ย้ง” ฝ่ายยุทธการปืน (ร.ต.ประเสริฐ กาสุวรรณ)
ทําให้อุ่นใจขึ้นบ้าง อย่างน้อยมีเพื่อนปืนใหญ่ถึง 3 คน ผมเป็นทหารราบเพียงคนเดียว
ผมเร่งดัดแปลงพื้นที่อย่างเร่งด่วน เราทําบังเกอร์กันแทบทั้งวัน ต้องลงไปตัดไม้ซุงจากหุบด้านล่างแบกมาทําบังเกอร์ให้แข็งแรงที่สุดเท่าที่จะทําได้ ลวดหนามแทบจะไม่มี เห็นฐานปืนใหญ่มีลวดหนามถึง 3 ชั้นรู้สึกอิจฉาเพื่อนมาก เราหาลวดหนามเท่าที่จะหาได้แต่มีน้อยมากและต้องยืดให้ห่างที่สุดเพื่อให้ยาวตลอดแนวป้องกัน ด้วยความจําเป็นบางครั้งก็ขโมยลวดหนามที่ส่งมาให้ฐานปืนก็มีเพื่อป้องกันตัวเอง จุดไหนไม่มีก็สร้างเครื่องกีดขวางใช้ไม้ทําขวาก และของมีคมทั้งหลาย ตะปู แก้ว เท่าที่จะหามาได้
การขอยุทโธปกรณ์ป้องกันฐานไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยเหนือเท่าที่ควร
ผมและผู้ใต้บังคับบัญชาดัดแปลงที่มั่นตั้งฐานหมวดอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ ทั้งคูสนามเพลาะที่ตั้งปืนกล หลุม ค.60 เครื่องกีดขวางลวดหนาม คลังกระสุนของหมวด บังเกอร์บก.หมวด บังเกอร์พยาบาล มีความสวยงามและแข็งแรงพอสมควร แต่มีแนวรั้วลวดหนามเท่านั้นที่บาง บางจุดวางเพียงขดเดียว เสาก็ใช้ไม้ไม่แข็งแรง ไม่มีลวดหนามเส้นเลย มีแต่ลวดหีบเพลง
ผมได้ทําหอคอยสูงเพื่อใช้ตรวจการอยู่หลัง บก.หมวด ดูเด่นมาก ฐานก็เป็นแนวดูกลมสวยงามเข้ากับเนินพอดี ตามแนวคูสั่งให้ทําสายเสียบลูกระเบิดขว้างตลอดแนว และเตรียมระเบิดไว้พร้อมซึ่งผมขนมาจากฐานเก่าเป็นจํานวนมาก คูเรดลึกพอดียืนและแคบพอเคลื่อนที่ได้ มีการขุดคูเชื่อมต่อจากหมู่ต่างๆ มายัง บก. หมวดโดยไม่ต้องใช้การเคลื่อนที่ข้างบน และสามารถติดต่อกันได้ทุกหมู่
ระหว่างการดําเนินการดัดแปลงพื้นที่สร้างฐาน ข้าศึกได้ยิงปืนใหญ่รบกวนคาดว่าขนาด 85 มม. ทั้งกระสุนควันและแตกอากาศ เราต้องคอยระวังตลอดเวลา บางครั้งก็ยิง ค.82 มาเป็นชุด เราต้องคอยฟังเสียงและเข้าหลบในบังเกอร์ ที่อันตรายที่สุดคือ ปรส.75/85 ของข้าศึกได้ยินเสียงกระสุน ก็มาถึงแล้ว ต้องระวังไม่อยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อนและเป็นเป้าหมายของ ปรส. และ ค.
อันตรายที่สุดตอนที่ ฮ. มาส่งเสบียงจะต้องถูกโจมตีจาก ค. 2-3 ชุด เสมอ และไม่ได้ยินเสียงการยิง เสียง ฮ. กลบหมด…
ที่ตั้งอาวุธหนักข้าศึกอยู่ตามเนินเขารอบบ้านนาทั้ง ค. และ ปรส. ส่วน ป. คาดว่ายิงมาจากทุ่งไหหิน ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ฝ่ายเราตอบโต้ด้วยปืนใหญ่ทําให้ข้าศึกไม่กล้าเปิดเผยที่ตั้งยิงบ่อยนัก นอกจากนั้นการขอเครื่องบินโจมตีทั้งแฟนท่อมและสกายเรดเดอร์ หรือไม่ก็ T-28 ของลาวมาโจมตีทิ้งระเบิดทําให้ข้าศึกหยุดรบกวนลงบ้าง
ฝ่ายเราเริ่มมีการบาดเจ็บและเสียชีวิตบ้างแล้วจากการโจมตีด้วยอาวุธหนักรบกวน เมื่อ บ. ฝ่ายเรามาจะเกิดศึกหนักทุกครั้งโดยเฉพาะการยิงสู้ของ ปตอ.50 mm ของข้าศึกยิงสวนขึ้นไป เห็นแนวกระสุนส่องวิถีชัดเจน ข้าศึกสู้อย่างไม่กลัวตาย (ภายหลังทราบว่าพลยิ่งถูกล่ามโซ่กับปืน) ถ้าระเบิดโดนเป้าหมาย ปตอ. ข้าศึกจะเงียบทันที...
เป็นที่รู้กันว่า-เรียบร้อย.
“เริ่มแล้ว : นรกบ้านนา”
......ผมเหลือกําลังพลประมาณ 20 กว่านาย ทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิตเกินครึ่งหนึ่ง ส่วนข้าศึกเสียชีวิตนับศพได้ 42 นาย – ไม่มีเชลย……
“คืนนรกที่ยาวนานที่สุดในชีวิต (The Longest Night In Hell)”
ผมมารักษาพื้นที่ บก.พัน ที่บ้านนาเกือบเดือนแล้ว ทําฐานที่มั่นดัดแปลงพื้นที่แข็งแรงพอสมควร มีการลาดตระเวนในรัศมี 1-2 กม.รอบฐาน
หมวดผมขึ้นการบังคับบัญชากับผู้พันโดยตรง (พ.ท.ไพศาล คําสุพรหม) ท่านเคยมาเยี่ยมและชมว่าฐานผมสวยดี ฐานผมติดกับฐานแม้วและใกล้ฐานปืนใหญ่ ฐาน บก.พัน อยู่ด้านทิศเหนือชิดขอบเขาที่ลาดชันมาก ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของฐาน บก.พัน เป็นฐานกองร้อยมี บก.ร้อย ปีไอ-15 กับหมวด 2 ร.ต.เหิร เป็น ผบ.หมวด ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆห่างจาก บก.พัน ประมาณ 500-600 เมตร
ข้าศึกได้หยุดยิงรบกวนเรามาแล้ว 2 วัน บรรยากาศรู้สึกเงียบผิดปกติ โดยเฉพาะในวันที่ 25 พ.ย. ข้าศึกเงียบมาก ผมตรวจดูลูกน้องตามหมู่ต่างๆ เป็นปกติทุกวัน ดูแนวป้องกันของแต่ละหมู่ หมวดผมมีหมู่ ค. สมทบด้วย มีทั้งหมด 52 นาย ผมกําชับเรื่องเวรยามกับหมู่ต่างๆ การวางเคลย์โมร์และเครื่องกีดขวางและสัญญาณบอกฝ่ายของแต่ละวัน
อากาศในเดือน พ.ย.เริ่มมืดเร็วขึ้นเพราะเป็นฤดูหนาว อุณหภูมิราว 10 องศาเซลเซียส ผมมักจะนอนดึกประมาณ 6 ทุ่มทุกวัน และออกมาตรวจเวรยามของแต่ละหมู่ทุกคืนโดยเฉพาะเวลาก่อนเข้านอน กลางคืนที่บ้านนามีแต่ความเงียบสงัด นานๆจะมีการยิงแฟลร์ส่องสว่างจาก ป.ของเราเพื่อตรวจการณ์ข้าศึก ใกล้ 6 ทุ่มแล้วผมจะเข้านอนตามปกติในชุดกางเกงขาสั้นและเสื้อยืดคอกลม
ผมใช้ถุงนอนขนไก่จึงนอนชุดนี้ได้
ผมงีบหลับไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ แต่ต้องสะดุ้งแบบฉับพลันและรีบออกมาจากถุงนอนทันที เพราะฐานผมสะเทือนไปด้วยเสียงระเบิด บึม! บึม! ตลอดเวลา จนฝุ่นฟุ้งกระจายเต็มบังเกอร์ ผมแทบหายใจไม่ออก รวมทั้งกลิ่นดินปืนฟุ้งเต็มไปหมด ฐานผมเกิดอะไรขึ้น ผมเผ่นออกจากบังเกอร์ โดยลืมคว้า M-16 ประจําตัวติดมาด้วย มาแต่ตัวโดยใส่เสื้อทหารเวสต์มอร์แลนด์เท่านั้น เผ่นออกมายังหน้าบังเกอร์ซึ่งเป็นที่ตรวจการหมวด
ผมตะโกนถามหมู่ข้างหน้าผม “เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ” …
ไม่มีใครตอบ มีแต่เสียงระเบิดกึกก้อง ฝุ่นและควันดินปืนฟุ้งเป็นหมอกควันเต็มไปหมด ทันใดนั้นก็เกิดระเบิดขึ้นที่ตัวผมอย่างรุนแรงหลังจากที่ผมตะโกนถาม ความรู้สึกเหมือนถูกมือยักษ์ตบบ้องหูทั้งสองข้างอย่างแรงมันเจ็บแปลบและมึนงงไปหมด รู้แต่ว่าเหมือนจิตวิญญาณผมล่องลอยออกจากร่าง ลอยเคว้งคว้างอยู่ข้างบนในความมืด ...
ความรู้สึกมืดครื้มวังเวงและเกิดความรู้สึกรู้ตัวว่าเราโดนระเบิดนี่ เอ๊ะ...นี่เราตายแล้วนี่ มันล่องลอยมืดครื้มไปหมด ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย งั้นเรากลับบ้านดีกว่า เพราะคิดถึงบ้านมาก มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ...
หลังจากนั้น ผมไม่ทราบว่านานเท่าไหร่ที่ความรู้สึกมันกลับคืนมา พบว่าตัวเองนอนกองอยู่บนพื้นดินในหลุมหน้าบังเกอร์ ถึงรู้ว่าผมยังไม่ตายและสติผมกลับมาอีกครั้ง ผมคลานกระเสือกกระสนเข้าไปในบังเกอร์ที่นอนและเข้าไปนั่งบนเตียงสนาม ความรู้สึกยังมึนงง นั่งเอามือปิดหูทั้งสองข้างเพราะยังเจ็บปวดมาก และนั่งก้มหน้าเหมือนไม่รับรู้อะไรแล้ว รู้แต่ว่ายังมีเสียงระเบิด บึม!! บึม!! รอบตัวผมตลอดเวลา ฝุ่นและควันปิดคลุมมิดห้องบังเกอร์
ทันใดนั้นมีแสงส่องสว่าง สว่างขึ้นจากแฟลร์ ไม่ทราบว่าของเราหรือของข้าศึก และผมได้ยินเสียงคนพูดไม่เป็นภาษาคน เป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ เหมือนกําลังตะโกนบอกกันเอะอะไปหมดและโผล่หน้ามองมาที่ผมตรงช่องทางเข้าบังเกอร์ด้านหลัง ผมก็หันไปเจอกับหน้ามันที่โผล่เข้ามาพอดี 3-4 คนและกําลังชี้มือมาที่ผมเหมือนกับจะบอกกันว่ามันอยู่นี่ หัวหน้ามันยังอยู่นี่ !
ผมเห็นหน้าพวกมันผมจึงรู้ว่า...เฮ้ย นี่มันพวกข้าศึกมันบุกมาถึงตัวแล้วมันพรางหน้าดําใส่หมวกผ้าเย็บด้วยผ้าร่มพรางทุกคน ด้วยสัญชาติญาณหนีตาย ผมพุ่งตัวออกจากบังเกอร์ทันทีและพุ่งตัวลงในคูเรดหน้าแนวลวดหนาม
และการต่อสู้แบบถวายชีวิตของผมก็เริ่มขึ้นหลังจากผมพุ่งลงมาที่คูเรดไม่กี่วินาที บังเกอร์ของผมก็ระเบิดเป็นจุลด้วยแรงระเบิด 2-3 ครั้ง ผมดึงระเบิดมือที่เสียบอยู่ในคู 2-3 ลูก ดึงสลักและขว้างติดต่อกันไปยังพวกมันที่มองเห็น 2-3 คนที่โยนระเบิดใส่ผมหลังบังเกอร์ เสียงระเบิดกึกก้องหวีดหวิว ผมขว้างออกไปอีกหลายสิบลูก เมื่อมองเห็นพวกมันกําลังคลานอยู่บนบังเกอร์และพื้นที่อื่นๆ ผมไม่ทราบว่าขว้างระเบิดไปกี่ลูกจนแนวคูที่ผมอยู่ระเบิดเกือบหมด
ตอนบังเกอร์ผมระเบิด ผมได้ยินเสียงลูกน้องตะโกนว่า “เฮ้ย...หนีเว้ยผู้หมวดตายแล้ว”
ผมรีบตะโกนตอบทันที “อย่าหนี” ผู้หมวดยังอยู่ สู้ตายไม่ต้องกลัวมัน” ทําให้ทหารรู้ว่าผมยังไม่ตาย มีหลายบังเกอร์ซ้ายมือผมไม่ออกมาสู้รบ เข้าไปกอดกันกลมด้วยความกลัวข้าศึก ผมเข้าไปกระชากลูกน้องออกมาบอกให้สู้มัน ไม่ต้องกลัว สู้ตาย...
ผมตะโกนให้สู้ไปขว้างระเบิดไปด้วยเพราะเห็นมันกําลังคืบคลานเต็มไปหมดในฐาน ลูกน้องเริ่มมีขวัญดีเริ่มออกมาสู้แล้ว ผู้บังคับหมู่เข้าคุมทหารสู้ ผมให้ ผบ.หมู่ที่อยู่กับผมตรวจแนวและบังเกอร์ว่ามีใครยังอยู่บ้างซ้ายขวาเรายังมีอยู่แค่ไหน ทราบว่าเหลือแค่ประมาณ 2 หมู่ ส่วนหมู่ด้านเหนือไม่ทราบชะตากรรม ติดต่อกันไม่ได้ บางจุดเราได้ยินเสียงต่อสู้กันในบังเกอร์
พวกมันยังกวาดล้างพวกเราด้วยการโยนระเบิดมัดข้าวต้มเข้าตามบังเกอร์ เสียงระเบิดอยู่ตลอดเวลาพวกเราที่ทนแรงอัดไม่ไหวกระเสือกกระสนออกมามันก็ยิงซ้ำ ใครอยู่ในบังเกอร์มักตายจากแรงอัดระเบิดและไม่มีโอกาสได้สู้
เรายังใช้ระเบิดขว้างขว้างใส่ข้าศึกตลอดเวลา แต่ไม่มากเท่าตอนแรก บางคนเห็นข้าศึกก็ใช้ M-16 ยิง แต่ก็ถูกยิงสวนด้วย RPG ทันที
ผมสั่งห้ามใช้ปืนเล็กยิงเพราะจะถูกสวนด้วย RPG …
ขณะที่เรากําลังต่อสู้กับข้าศึกในฐานอยู่นั้น ปรากฏเสียงนกหวีดดังขึ้นและข้าศึกได้ชาร์จมาทางด้านหลังหลายสิบคน โดยพยายามใช้ไม้พาดลวดหนามโถมเข้ามา
ผมได้สั่งการให้หันกลับไปสู้ด้านหลังทันที โดยใช้ระเบิดขว้างและ M-60 ยิงกราดใส่พวกมันจนตายคาลวดหนามหลายคน และหยุดการบุกที่จะเข้าไปรวมกับพวกหรือช่วยพวกมันในฐาน
ผมขว้างระเบิดไปอีกหลายลูก ในขณะที่มันถอยลงลาดเนินไป ข้าศึกได้ขว้างระเบิดแบบสากกะเบือมาหลายลูก ต่อต้านการใช้ระเบิดขว้างของเรา ผมสั่งการให้ทหารทุกคนออกจากคูมาหมอบนอกดูใกล้แนวลวดหนาม เพราะระเบิดตกลงคูทําให้พวกเราบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายคน
สถานการณ์การต่อสู้ดูจะเบาลงแล้วหลังจากที่เราสกัดข้าศึกด้านนอกมิให้เข้ามาในฐานเพื่อ Link Up กับข้าศึกภายในไว้ได้ ผมได้สั่งการให้ ผบ.หมู่และทหารช่วยกันตรวจแนวของฝ่ายเราอีกครั้งและสํารวจว่าพวกเรายึดแนวเขตได้แค่ไหน ซึ่งทราบว่าเรายังรักษาแนวไว้ได้ 2 หมู่กว่าประมาณครึ่งหนึ่งของแนวฐานและสั่งการให้ ผบ.หมู่ควบคุมด้านซ้ายและขวาให้ดี เอาคนเจ็บเข้าไปรักษาพยาบาลในบังเกอร์ไว้ก่อนเท่าที่จะทําได้ ใครไม่มีอาวุธกระสุนให้เอาจากเพื่อนที่ตายหรือบาดเจ็บ…
ให้ทุกคนเฝ้าตรวจไปข้างหน้าและระวังด้านหลังด้วย
ผมได้เอา M-16 ของทหารที่ตายมาใช้เพราะไม่มีลูกระเบิดขว้างเหลือแล้ว แต่จะไม่พยายามใช้นอกจากจําเป็นเท่านั้น
ฐานปืนใหญ่ที่อยู่ติดกับเราก็ถูกข้าศึกโจมตี ได้ยินเสียงระเบิดและมีการยิงปืนใหญ่ต่อต้านข้าศึก ด้วยกระสุน ปีไฮฟ์ (กระสุนลูกดอกดาวกระจาย) และกระสุนแตกอากาศ แต่ดูแล้วข้าศึกทําการเจาะแนวเข้าไปไม่ได้
ฐานเรายังคงลุกไหม้และมีการระเบิดเป็นระยะจากวัตถุระเบิดต่างๆตามบังเกอร์ที่ไฟไหม้ ไม่มีใครช่วยเราได้ ต่างฐานต่างระวังตนเองและต่อสู้ตามลําพัง การติดต่อสื่อสารถูกตัดขาดจาก บก.พัน และจากสถานการณ์ก็ทราบว่า บก.พัน ก็ถูกข้าศึกโจมตีด้วยเช่นกัน ยกเว้นฐาน บก.กองร้อย BI-15 กับ มว.ปล.2 ที่อยู่ห่างออกไปด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือไม่ถูกโจมตีเลย
สถานการณ์ต่างๆเงียบลง มีแต่เสียงคนเจ็บร้องโอดโอยทั้งของมันและของเรา เราก็พยายามปฐมพยาบาลและไม่ให้ร้องเพื่อขวัญและกําลังใจและไม่ต้องการให้ข้าศึกได้ยิน ผมดูนาฬิกาแต่มันไม่เดินแล้วเนื่องจากโดนแรงอัดระเบิดอย่างแรง แต่คาดว่าน่าจะใกล้ 05.00 น. ใกล้สว่างแล้ว
ผมได้เห็นพลุส่องสว่างลูกหนึ่ง ถูกยิงจากด้านล่างหุบข้างฐานด้านทิศตะวันตก สว่างเหนือฐานเราน่าจะเป็นพลุของข้าศึกที่ส่งสัญญาณให้ถอนตัว ผมสั่งการให้กําลังพลที่เหลือเตรียมอาวุธให้พร้อมเพื่อยึดฐานคืนและกวาดล้างข้าศึกที่หลงเหลืออยู่
เมื่อแสงเริ่มรําไร ผมสั่งการกําลังที่เหลือออกจากคูเรด รูปขบวนหน้ากระดานเข้ากวาดล้างข้าศึกที่ยังหลงเหลือทันที่ มันกําลังหนีตายคลานออกจากฐานเรา คนบาดเจ็บก็จัดการมันให้เรียบร้อยไม่ต้องทรมานอีกต่อไป ไม่มีความปรานีเหลืออยู่อีกแล้วสําหรับพวกมัน
เราไล่ยิงมันได้อีกหลายคนขณะกําลังคลานหนี พบศพของพวกเราและพวกมันในฐาน ผมยังไม่สามารถนับได้ ยามของเราในป้อมด้านทิศเหนือติดฐานแม้วโดนมันเชือดคอไป 2 คน ผบ.หมู่ 2 คนเสียชีวิตทั้งหมดทั้งสองหมู่พร้อมทหารอีกหลายคน เนื่องจากโดนระเบิดและยิงซ้ำด้วย AK-47 ศพพวกมันเกลื่อนฐานเราไปหมด ส่วนใหญ่ตายด้วยระเบิด M26 ของเราที่ใช้ไปหลายร้อยลูก บางบังเกอร์มีการต่อสู้กันด้วยมีดดาบปลายปืน กอดปล้ำกันทั้งมันทั้งเราตายทั้งคู่ แสดงให้เห็นถึงความเป็นทหารชาตินักสู้ของพวกเราที่สู้อย่างถวายชีวิตเช่นกัน
และต้องยอมรับนับถือความเป็นนักสู้ของพวกมันด้วยเช่นกัน มันไม่ยอมเป็นเชลยเราแม้แต่คนเดียว
ประมาณ 06.30 น. ของวันที่ 26 พ.ย.13 การต่อสู้กับหน่วยดักกง แซปเปอร์ ของหมวด 1 BI-15 ส่วนของกองพัน BI-15 และฐานปืนสิ้นสุดลง
ผมสํารวจความเสียหายแล้ว ผมเสียทหารและผบ.หมู่ไปสิบกว่านาย รวมทั้งอาวุธยุทธโธปกรณ์ประมาณ 50% และทหารบางนายบาดเจ็บเล็กน้อยและบาดเจ็บสาหัสต้องส่งกลับอุดร ผมเหลือกําลังพลประมาณ 20 กว่านาย ทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิตเกินครึ่งหนึ่ง ส่วนข้าศึกเสียชีวิตนับศพได้ 42 นาย - ไม่มีเชลย
เรายึดปืน AK-47 แบบพับฐานได้จํานวนมาก RPG ระเบิดรุกมัดข้าวต้มจํานวนมาก รวมทั้งยุทโธปกรณ์และเครื่องมือสื่อสารอีกจํานวนหนึ่ง
ส่วนศพของข้าศึกเราฝังรวมไว้ที่บ้านนาทั้งหมด.
“บทเรียนจากการรบ”
........ถึงจะเป็นการรบในต่างแดนก็เป็นการป้องกันประเทศจากภายนอกไว้ก่อนที่ลัทธิคอมมิวนิสต์จะเข้ามารุกรานประเทศของเรา……
ประมาณ 10.00 น. ของวันที่ 26 พ.ย.2513 ทางบก.ใหญ่ 333 ล่องแจ้ง ได้ส่ง หน.ใหญ่ด้านส่งกําลังมาเยี่ยมและให้ความช่วยเหลือพวกเราที่สมรภูมิบ้านนา จําได้ว่าคือ “อาจารย์หม่อม” ผมดีใจมากท่านมาเยี่ยมผมที่ฐาน ท่านคงเห็นสภาพทุเรศของผมที่โทรมอย่างหนัก เหลือแต่ชุดขาสั้นกับเสื้อคอกลมตัวเดียวกับปืน M16 ติดตัว บังเกอร์ผมระเบิดเป็นจุลไม่เหลือสิ่งของใดๆ ท่านมอบชุดและผ้าห่มให้ผมและทหารรวมทั้งอาหาร
ผมต้องขอบคุณท่านมากและท่านเป็นอาจารย์สอนผมในโรงเรียนนายร้อยด้วย
ผมขอจบการเล่าเรื่องคืนนรกที่บ้านนาเพียงเท่านี้ เป็นเรื่องจริงในสนามรบของนักรบนิรนามคนหนึ่งที่น่าจะเป็นบทเรียนให้กับลูกหลานเลือดนักรบไทยในยุคต่อไปได้ทราบและศึกษาและระลึกถึงวีรชนที่เอาเลือดเนื้อและชีวิตเข้าปกป้องประเทศชาติในยามที่ข้าศึกเข้ามารุกราน
ถึงจะเป็นการรบในต่างแดนก็เป็นการป้องกันประเทศจากภายนอกไว้ก่อนที่ลัทธิคอมมิวนิสต์จะเข้ามารุกรานประเทศของเรา เป็นการเสียสละที่คุ้มค่ายิ่งและทางการยอมให้เปิดเผยเรื่องราวที่เป็นความลับที่ปิดทองหลังพระของพวกเรา
ผมในฐานะนักรบนิรนามขอสดุดีเพื่อนทหารที่ร่วมรบกับผมทุกๆ คน ทั้งที่ยังมีชีวิตและเสียชีวิตไปแล้ว ผมภูมิใจที่มีลูกน้องอย่างพวกเขาที่ทําให้ผมโชคดีและยังมีชีวิตรอดอยู่มาจนทุกวันนี้ ต้องขอบคุณทุกคนด้วยความจริงใจ
ขอให้เพื่อนทหารที่สละชีวิตจงสู่สุขติภพด้วยความสงบสุข ผมจะไม่มีวันลืมพวกเขาตลอดไป
“บทเรียนจากการรบ”
1.ความเงียบไม่มีการรบกวนจากการยิงอาวุธหนักรบกวนเราของข้าศึกเป็นสิ่งบอกเหตุว่าข้าศึกจะดําเนินการต่อฝ่ายเราอย่างใดอย่างหนึ่ง
2.การยิงกระสุนควันเป็นระยะเป็นสิ่งบอกเหตุอย่างหนึ่งของข้าศึกในการกําหนดเป้าหมายที่จะโจมตีเราให้แม่นยําของอาวุธหนักเพื่อผลในการทําลายฝ่ายเราให้อ่อนกําลังก่อนการบุกโจมตี
3.การดัดแปลงที่มันทําฐานให้เด่นชัด มีหอคอยตรวจการณ์ดูเด่น บังเกอร์เป็นระเบียบสวยงาม ทําให้ดึงดูดข้าศึก คิดว่าเป็น บก.พัน BI-15 จนทําให้เป็นที่หมายหลักของหน่วยแซปเปอร์ที่โหมกําลังเข้าโจมตีหมวดของผม (หมวด 1 BI-15) และทางด้าน บก.พัน ถูกโจมตีเบาบางแบบดึงความสนใจหรือตีลวงเท่านั้น เป็นข้อดีที่ทําให้ บก.พัน ไม่ถูกโจมตีอย่างหนักจากกําลังเข้าที่หลักของข้าศึก
4.การถูกโจมตีแบบจู่โจมจากหน่วยกล้าตายแซปเปอร์ไม่สามารถใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ได้ ถ้าใช้จะเป็นการเปิดเผยที่ตั้งและจะถูกกําจัดด้วย RPG ทันที ควรใช้เมื่อจําเป็นเท่านั้น แต่อาวุธที่ควรใช้มากที่สุดคือระเบิดขว้างเท่านั้น
5.ลักษณะการจู่โจมของแซปเปอร์ จะใช้หน่วยนํากล้าตายคืบคลานเข้ามาตัดลวดหนามเก็บเคลย์โมร์หรือหันกลับด้านระเบิดไปหาฝ่ายเราเอง ใช้เจาะช่องเข้ามาโดยดูว่าช่องไหนมีจุดอ่อน ลวดหนามเบาบางไม่แข็งแรง ไม่ค่อยมีสนามทุ่นระเบิด
หน่วยนําจะเป็นหน่วยกล้าตายที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีทั้งการพรางตัวและการเคลื่อนที่คืบคลานเข้ามาด้วยความเงียบ จากนั้นก็เข้าจัดการยามเราด้วยมีดแบบเงียบเชียบที่สุดและส่งสัญญาณให้กับกําลังส่วนใหญ่แต่ละชุดที่รออยู่ด้านนอกให้เข้ามาสมทบจึงจะเข้าดําเนินการโจมตีด้วยระเบิดมัดข้าวต้ม(ระเบิดแรงอัด)พร้อมๆกัน ทําให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย หน. หน่วยไม่สามารถควบคุมได้
การใช้ระเบิดแรงอัดโยนเข้าบังเกอร์ อาจทําให้เราเสียชีวิตทันทีหรือสลบ ไม่อยู่ในสภาพที่จะต่อสู้ได้ ใครที่ยังไม่ตายก็กระเสือกกระสนออกมาก็จะโดนยิงซ้ำด้วย AK-47 และจะเข้ากวาดล้างเราที่ละจุดและจะถอนตัวอย่างรวดเร็วเมื่อทําลายเราย่อยยับแล้ว
6.ลักษณะของนักรบแซปเปอร์ จะใช้ชุดพรางรัดรูป ส่วนใหญ่เป็นผ้าร่มที่เป็นร่มทิ้งของของฝ่ายเรานํามาดัดแปลง มีปืนอาก้า (AK-47) พับฐานทุกคน ซองกระสุนแบบสั้นประมาณ 20 นัด เพื่อความคล่องตัวในการคืบคลาน มีระเบิดแบบมัดข้าวต้มจํานวนมากพันติดตัวมาพร้อมใช้งานและสามารถใช้ในระยะประชิดตัวได้ไม่มีสะเก็ด เพื่อทําให้ฝ่ายเราเกิดการช็อกมึนงงไม่มีสติในการต่อสู้และบางคนมีอาวุธ RPG เพื่อทําลายรังปืนกลหรืออาวุธหนักของฝ่ายเรา
7.การบุกโจมตีเข้าถึงตัวของหน่วยแซปเปอร์ ทําให้ฝ่ายเราไม่สามารถยิงอาวุธช่วยเหลือกันได้ หน่วยที่ถูกโจมตีจะต้องช่วยเหลือตัวเองและไม่สามารถเรียกกําลังหนุนมาช่วยได้เนื่องจากเป็นการเข้าจู่โจมในเวลากลางคืน เป็นข้อจํากัดในเรื่องการประสานงานการบอกฝ่ายทําได้ยาก ถ้าเข้ามาช่วยก็ไม่ทราบว่าใครเป็นใครหรือฝ่ายใด
เป็นบทเรียนที่ผมได้จากประสบการณ์จริงซึ่งอาจมีประโยชน์กับ ลูกๆหลานๆที่เป็นทหารเอาไว้ศึกษาเพื่อทํางานรับใช้ประเทศชาติของเราในอนาคตต่อไป
เรื่องราวประสบการณ์จริงต่อจากเหตุการณ์ที่สมรภูมิบ้านนา ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่สําคัญ
หากต้องการผมก็จะพยายามฟื้นความจําและเล่าเหตุการณ์เพื่อเป็นบทเรียนและเรื่องราวให้ลูกหลานไทยได้ทราบต่อไป.
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์”
......หน้าปกนั้นมีรูปของพระพุทธชินราช ถ่ายจากองค์จริงในโบสถ์วัดใหญ่ จังหวัดพิษณุโลก ในครั้งแรกที่ผมเห็นรูปท่านรู้สึกว่าจิตใจผมดีขึ้นสงบขึ้นหลังจากได้มองรูปท่านนานๆ……
“พระเครื่องสิ่งยึดมั่นนักรบไทย”
มันเป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมานาน ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย ในสมัยโบราณของคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนใหญ่เชื่อและยึดมั่นในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอาชีพนักรบ ทหาร ตํารวจ อาสาสมัครหรือแม้แต่อาชีพอื่นๆทั่วไปของคนไทย
ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อและยึดมั่นในพระเครื่องและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมได้เล่าแล้วว่าผมสมัครไปรบที่เวียดนามในหน่วยกองพล อาสาสมัครเสือดํารุ่นที่ 1 ตําแหน่ง ผบ.มว.ปืนเล็ก กองร้อยอาวุธเบา หลังกลับจากเวียดนาม ได้พัก 1เดือน ได้อาสาสมัครไปรบที่ลาวต่อในตําแหน่งเดิม เป็นการรบติดต่อกัน 2 ปีเต็ม 2 สมรภูมิ เวียดนามและลาว
ก่อนจะขึ้นเรือไปเวียดนามผมได้ไปค้นหิ้งพระบนบ้านที่พ่อและแม่เก็บไว้ซึ่งมีเป็นจํานวนมากสองกล่องใหญ่ๆ ผมไม่ทราบว่าจะเอาองค์ไหนไป เพราะดูพระไม่เป็นและคงไม่สามารถเอาขึ้นคอไปได้ทั้งหมดแน่ เพราะเกือบสองร้อยองค์ แต่โชคดีที่ผมได้พบกับเพื่อนมนู (พล.ท.มนูสายัณห์นิโครธ) เพื่อนมนูบอกว่าคุณพ่อรู้ว่าควรจะเอาองค์ไหนไปโดยท่านจะเช็คให้ใช้เช็คทางจิต
ผมรีบนําพระทั้งหมดที่ผมมีนําไปให้คุณพ่อของมนูทันทีก่อนที่เวลาในการเตรียมตัวไปเวียดนามจะหมดลง ท่านรับพระผมไปวางบนโต๊ะเล็กๆที่เป็นมุมสงบ ผมเห็นท่านนั่งและหยิบพระออกมาจากกล่องที่ละองค์ กําไว้ในมือแบบนิ่งๆ เหมือนใช้สมาธิ บางองค์หยิบมากําแล้วก็วาง บางองค์หยิบมากําอยู่นานและร่างกายของท่านมีอาการสั่น บางองค์สั่นแรงบางองค์สั่นเบาๆไม่เหมือนกัน องค์ที่มีอาการสั่นเวลากําท่านก็จะวางแยกไว้ สังเกตดูจะมีน้อยมาก
ผมนั่งดูท่านใช้เวลาอยู่นานพอสมควรกว่าจะหยิบมากําจนหมดทุกองค์ ท่านบอกผมว่านี่คือพระที่ควรเอาขึ้นคอไปรบที่เวียดนาม มีอยู่ 7-8 องค์ จากทั้งหมดเกือบสองร้อยองค์ ท่านบอกว่าองค์ที่จับแล้วมีพลังมีเท่านี้ ผมเชื่อท่านและทําให้เกิดความมั่นใจในพระเครื่องของผมที่จะนําไปอย่างมาก เพราะผมไม่อยากนําท่านไปทั้งกองร้อยอยู่แล้ว
ต่อมาภายหลังมีผู้รู้เรื่องพระมาขอดูพระที่คอผมก็พบว่าเป็นพระดีๆ ทั้งหมดและเป็นพระเก่าทั้งสิ้นเป็นต้นว่า พระรอด-มหาวัน พระโคนสมอ อยุธยา พระร่วงนั่งยอดขุนพล ลพบุรี พระซุ้มกระรอกกระแตลพบุรี พระคงลําพูน พระหลวงพ่อโตวัดบางกะทิงอยุธยา มีอีก 2-3 องค์ผมจําไม่ได้ว่าเป็นพระอะไร ผมได้พระขึ้นคอเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สําหรับยึดมั่นจิตใจ ในยามอยู่ในสนามรบและหลังจากผมกลับจากสมรภูมิเวียดนาม 1 เดือน ผมก็ใช้พระชุดเดียวกันนี้ไปลบที่สมรภูมิลาวต่อเลย
“ความศักดิ์สิทธิ์แม้เพียงรูปภาพขององค์พระพุทธชินราช”
ผมขอย้อนเรื่องราวก่อนที่ผมจะถูกย้าย มว. มาที่บ้านนา ในช่วงแรก มว ผมประจําอยู่บนแนวสกายไลน์ หลังจากนั้นก็มีคําสั่งให้ มว. ของผมย้ายมาอยู่ที่แนวรบที่สองที่เป็นที่ตั้งฐาน ป.155 ฐานซีบร้า โรมิโอ ภูล่องมาด ถ้ําตําลึง ของพี่ดม (พ.ท.อุดม บุญมา) เพื่อเสริมแนวป้องกันฐานปืนใหญ่
ผมอยู่กับพี่ดมประมาณ 2-3 เดือน มีเหตุการณ์ต่างๆตามที่เล่าไปแล้ว ช่วงที่มาอยู่ฐานปืนเป็นช่วงฤดูฝน ส่วนใหญ่อากาศจะปิดตลอด ผมใช้ชีวิตกินนอนอยู่แต่ในบังเกอร์เสียเป็นส่วนใหญ่ ทําให้จิตใจฟุ้งซ่าน พวกเราเหมือนถูกกักบริเวณถูกขังอยู่บนยอดเขาเป็นเดือนๆ กินอาหารพวกอาหารกระป๋องจนเบื่อจนไม่อยากจะกินวนเวียนทุกมื้อ การส่งกําลังด้วยอาหารสดทําแทบไม่ได้ 2-3วัน บางที่อากาศเปิดให้พวกเรามีโอกาสโผล่ออกมาจากบังเกอร์เพื่อสูดอากาศภายนอกได้บ้างรับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์บ้าง แล้วอากาศก็ปิดอีก ฝนก็จะตกซ้ำลงมาอีกเป็นห้วงๆ ยอดเขาปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกปิดๆเปิดๆ บางครั้งก็จะได้เห็นวิวข้างล่างบ้าง แต่ส่วน ใหญ่จะไม่เห็นอะไรมีแต่เมฆหมอกปกคลุมเป็นเวลาหลายๆวันผสมกับฝนที่ตกหนักบ้างเบาบ้าง ทําให้พวกเราเกิดภาวะกดดันทางจิตใจอย่างมาก มีความกดดันและเกิดอาการเครียดคิดถึงบ้านถ้าควบคุมจิตใจไม่ได้ อาจเกิดความคุ้มคลั่งได้ตลอดเวลา
ผมจําได้ว่าผมได้รับหนังสือสารคดีเล่มหนึ่งส่งมาจากแนวหลัง ชื่อหนังสือ “ฟ้าเมืองไทย” จําได้ว่าหน้าปกเป็นสีเขียว แต่ที่สําคัญหน้าปกนั้นมีรูปของพระพุทธชินราช ถ่ายจากองค์จริงในโบสถ์วัดใหญ่ จังหวัดพิษณุโลก ในครั้งแรกที่ผมเห็นรูปท่านรู้สึกว่าจิตใจผมดีขึ้นสงบขึ้นหลังจากได้มองรูปท่านนานๆ ผมได้อ่านสารคดีหลายๆเรื่องในหนังสือ ก่อนอ่านผมก็ได้ดูรูปท่าน ทําให้ผมมีสภาพจิตใจดีขึ้นสงบขึ้น มีกําลังใจที่จะต่อสู้กับความยากลำบากที่เกิดขึ้นต่อไป ทําให้ผมอยากได้ท่านไว้ดูเพื่อเป็นที่พึ่งทางใจของผมต่อไป
ผมจึงตัดรูปท่านออกจากปกหนังสือ พยายามทําให้ปกหนาขึ้นและเอาเทปตีกรอบให้เหมือนรูปภาพเพื่อความคงทน แล้วก็ติดรูปท่านไว้เหนือหัวนอนในบังเกอร์ผม แต่เนื่องจากความชื่นของอากาศบนยอดเขาทําให้รูปท่านเปียกชื้น มีรอยย่นฉีกขาด แต่ผมก็พยายามซ่อมทําความสะอาดเพื่อรักษารูปท่านไว้ให้ดีที่สุดและผมก็ได้ทํากรอบไม้เพื่อหุ้มขอบไม่ให้เปื่อย ผมทําด้วยความศรัทธาและอยากมีท่านไว้ดู เพื่อให้จิตใจเกิดความสงบ
ในวันที่ผมถูกคําสั่งย้ายจากฐานปืนซีบร้า โรมิโอ ไปยังพื้นที่ บ้านนา ผมได้นํารูปท่านไปด้วยโดยไม่ได้ทิ้งไว้ที่ฐานปืน เมื่อผมดัดแปลงพื้นที่ที่ฐานบ้านนาและสร้างบังเกอร์เสร็จ ผมก็นํารูปท่านติดไว้หัวนอนด้วย จิตใจศรัทธาที่มีต่อท่านเหมือนเดิม.
“แสงมหัศจรรย์”
.....เอ๊ะ! เราล่องลอยอยู่นี่ มันมืดครื้มไปหมด ไม่มีเสียงอะไรเลย มันเงียบมาก ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เราโดนระเบิด นี่เราตายแล้ว...จิตมันรับได้แบบนั้นจริงๆ ถ้างั้นขอกลับบ้านดีกว่าเพราะคิดถึงบ้านมาก.....
“ความมหัศจรรย์ของพระเครื่องและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยให้รอดชีวิตในคืนนรกที่บ้านนา”
ผมจําเป็นต้องเล่าเรื่องคืนนรกที่บ้านนา เพื่อให้เหตุการณ์มันติดต่อกัน เพราะเหตุการณ์ที่ลงในหนังสือผมไม่ได้เล่าเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นคนละเรื่องแต่อยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน
มันเป็นเหตุการณ์ที่กองพันแซปเปอร์ วน.เหนือ เข้าตีฐาน BI-15 ที่บ้านนา ในคืน 25 พ.ย. 2513 โดยเฉพาะฐาน มว. ผม (หน.ใจ) โดนหนักที่สุด เป็นเป้าหมายหลัก เพราะข้าศึกคิดว่าเป็นฐาน บก.พัน
ในคืน 25 พ.ย. ผมได้เข้านอนประมาณเที่ยงคืนและงีบหลับไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นอย่างฉับพลันจากเสียงระเบิดที่เกิดขึ้นในฐานของผม เสียง บึ้ม! บึ้ม! ตลอดเวลาฝุ่นและควันดินปืนฟังตลบไปหมดทั้งฐาน แรงระเบิดทําให้ฐานสั่นสะเทือนจากแรงอัด
ผมรูดซิปถุงนอนและเผ่นออกจากบังเกอร์ทันที แม้แต่ปืน M-16 ประจําตัวก็ไม่ได้เอาติดมา เมื่อมาประจําที่คอกหน้าบังเกอร์ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฐาน ผมตะโกนถามหมู่ที่ประจําแนวซึ่งต้องมียามประจําอยู่ “เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นวะ” ไม่มีใครตอบ มีแต่เสียงระเบิดดังกึกก้อง โดยเฉพาะด้านหลังบริเวณหมู่1,2 ด้านทิศเหนือ ของฐาน มว.
สิ้นเสียงตะโกนของผม ทันใดนั้นก็เกิดระเบิดขึ้นที่ตัวผมอย่างรุนแรง บึ้ม! ในความรู้สึกที่รับรู้ได้ มันระเบิดที่ตัวผมอย่างรุนแรงเหมือนกับถูกมือยักษ์ตบเข้าที่บ้องหูทั้งสองข้าง มีความรู้สึกเจ็บแปลบเข้าไปในศีรษะ ผมเจ็บปวดมาก
แต่ในความรู้สึกในขณะนั้น ในเสี้ยววินาทีที่ผมโดนระเบิดมันเหมือนภาพในฝัน ผมเห็นและรู้สึกได้ว่าร่างกายของผมเกร็งอย่างเต็มที่และมีรัศมีของแสงหรือพลังที่ไม่อาจบอกได้ เป็นแสงแห่งพลังที่เปล่งออกมาจากร่างกายของผมต่อต้านแรงระเบิดนั้นไว้
ผมรับรู้ได้แค่นั้นจากนั้นความรู้สึกของผมก็ดับวูบไป หมดความรู้สึกเจ็บปวด
ความรู้สึกของผมเหมือนฝัน เหมือนร่างกายของผมล่องลอยขึ้นไปช้าๆจากพื้นดิน บรรยากาศมันดูมืดครึ้มไปหมด ในความรู้สึกที่ว่าตัวเองล่องลอยอยู่นั้น จิตรับรู้ได้ว่าเมื่อกี้เราโดนระเบิดนี่ เราโดนระเบิดอย่างแรงและยังมีความรู้สึกที่รับรู้ถึงความเจ็บปวดอยู่
เอ๊ะ! เราล่องลอยอยู่นี่ มันมืดครื้มไปหมด ไม่มีเสียงอะไรเลย มันเงียบมาก ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เราโดนระเบิด
นี่เราตายแล้ว...จิตมันรับได้แบบนั้นจริงๆ ถ้างั้นขอกลับบ้านดีกว่าเพราะคิดถึงบ้านมาก
จะนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ความรู้สึกผมกลับมาอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าผมยังไม่ตาย ร่างผมกองอยู่กับพื้นในคอกบังเกอร์ เมื่อผมรู้ว่าผมยังไม่ตาย ผมได้คลานกระเสือกกระสนเข้าไปนั่งอยู่บนเตียงนอนในบังเกอร์ของผม แต่ความรู้สึกยังมึนและเจ็บปวดในศีรษะอย่างมาก ผมนั่งในท่าก้มหน้าเอามือปิดหูทั้งสองข้างไว้ ผมยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมและ มว. ของผม
เสียงระเบิดก็ยังกึกก้องในฐานของผมตลอดเวลา ฝุ่นและควันดินปืน คลุ้งตลบเต็มบังเกอร์ไปหมด ผมยังนั่งก้มหน้ามือปิดหูอยู่อย่างนั้น ผมอยู่ในสภาพที่ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ผมยังรู้สึกเจ็บปวดที่หูทั้งสองข้างอย่างมาก สมองผมยังมึนงงและนั่งก้มหน้าเอามือปิดหูทั้งสองข้างไว้ แต่ในความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันเป็นภาพเหมือนฝัน
ในสภาพที่นั่งมึนงงไม่รับรู้อะไรอยู่นั้น ผมมองเห็นภาพของแสงสว่างเป็นรัศมีวูบวาบ วูบวาบ เปล่งแสงออกมาจากรูปภาพองค์พระพุทธชินราชที่ปิดไว้ตรงหัวนอนเหนือเตียงนอนของผมในบังเกอร์ นอกจากแสงสว่างเป็นแสงวูบวาบแล้ว ยังมีเสียงเรียกผมให้หันมายังจุดที่มีแสงสว่างนั้น เป็นเสียงที่ผมได้ยินชัดเจนมาก
“หันมาทางนี้” “หันมาทางนี้” “หันมาทางนี้"...
ผมได้ยิน ท่านเรียกผมถึงสามครั้งให้หันมาทางนี้ ครั้งที่สามผมจึงเงยหน้าและหันหน้าไปตามเสียงเรียกนั้น จะเป็นความบังเอิญหรือความพอดีอย่างไรไม่ทราบ ทันทีที่ผมหันไปตามเสียงที่เรียก มีแสงสว่างวูบของแฟลร์ส่องสว่างเกิดขึ้นพอดี จากการยิงแฟลร์ของฝ่ายเราหรือของข้าศึกไม่ทราบได้สว่างวูบขึ้น ผมถึงได้เห็นหน้ามันและประจันหน้ากับมันแบบหายใจรดกันได้
มันโผล่หน้าเข้ามาตรงช่องทางเข้าบังเกอร์ 2-3 คน มันชี้มือมายังผมส่งภาษาเจี๊ยวจ๊าวฟังไม่รู้เรื่อง เหมือนจะแย่งกันบอกว่ามันอยู่นี่ หัวหน้ามันอยู่นี่ มันอยู่ในนี้ ...
มันพรางหน้าดําทุกคน ใส่หมวกพรางที่เย็บด้วยผ้าร่ม นุ่งกางเกงรัดรูปขาสั้นมีปืนอาก้าสะพายทุกคน
เสี้ยววินาทีนั้นสติสัมปชัญญะและความรู้สึกผมจึงกลับมา ผมรู้ได้ทันทีว่ามันคือข้าศึกแน่นอน มันมาถึงตัวเราแล้ว ผมเผ่นออกจากเตียงนอน พร้อมตะโกนสุดเสียงว่าข้าศึกเข้ามาแล้ว พุ่งตัวออกจากบังเกอร์ทันทีในวินาทีนั้น และกลิ้งตัวลงไปยังแนวคูเรดข้างหน้าหมวดทันที และหลังจากนั้นบังเกอร์ของผมก็เกิดระเบิดขึ้นอย่างกึกก้องและรุนแรงจากแรงระเบิด บึ้ม! บึ้ม! เกิดเพลิงลุกไหม้
จากนั้นการต่อสู้แบบถวายชีวิตของผมจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่บัดนั้น ตามที่ผมได้เล่าเหตุการณ์ไปแล้วในเรื่องคืนนรกที่บ้านนา
หลังจากสิ้นสุดการรบในเช้าวันรุ่งขึ้นผมได้ไปค้นหารูปภาพขององค์พระพุทธชินราช แต่ไม่ปรากฏรูปภาพท่านแล้ว
เหมือนกับได้อันตรธารหายไปไม่เหลือแม้แต่เศษซากใดๆให้เห็นเลย.
“ศีลของนักรบ”
..........สําหรับ ผบ.หน่วยรบข้อห้ามก็คืออย่าเบียดเบียนเบียดบังลูกน้องอย่างเด็ดขาด ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขสบายก็สบายด้วยกัน ลําบากก็ลําบากด้วยกันและไม่ทอดทิ้งกันอย่างเด็ดขาด…….
“บทสรุป”
ผมขอยืนยันด้วยเกียรติของนักรบและทหารอาชีพว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง แม้ว่าบางท่านอาจจะไม่เชื่อและคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล สําหรับผมเองมีความเชื่อ 100% เพราะอาชีพทหารผมมีประสบการณ์จากสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่แสดงถึงพลังและอภินิหาร ความมหัศจรรย์ที่เหลือเชื่อนอกเหนือจากกฎเกณฑ์ธรรมชาติ จากสมรภูมิรบหลายต่อหลายครั้งที่ช่วยผมให้มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นสมรภูมิเวียดนาม ลาว การต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในประเทศ หินร่องกล้า กุดบาก นาแก สกลนคร และช่องบก ล้วนได้พบกับความมหัศจรรย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏออกมาให้เห็นมีทุกสมรภูมิซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน
แต่ไม่สามารถเล่าให้ท่านฟังทั้งหมดได้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยผมไว้ในคืนนรกที่บ้านนานั้นได้ช่วยผมไว้ถึงสองครั้งในเหตุการณ์นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่วิกฤตที่สุดของชีวิตก็ว่าได้ ในครั้งแรกได้แสดงถึงพลังมหัศจรรย์เป็นพลังแสงรัศมีที่เปล่งออกมาต่อต้านแรงระเบิดไว้ในขณะที่ผมโดนระเบิดมัดข้าวต้ม 1 ปอนด์ของข้าศึก ทําให้หนักเป็นเบาธรรมดา ระเบิด TNT เพียงไม่ถึงครึ่งปอนด์ที่ใช้ในการฝึกการรบถ้าโดนเข้า แรงตัดก็อาจจะทําให้แขนขาขาดได้แล้ว ถึงแม้ไม่มีสะเก็ดก็ตาม หรือแรงอัดก็ทําให้อวัยวะภายในแหลกและตายได้ ไม่ต้องพูดถึงขนาด 1 ปอนด์ ของแซปเปอร์ ถ้าโดนโดยไม่มีอะไรบังหรือต้านไว้ร่างกายบางส่วนต้องฉีกขาด อวัยวะภายในต้องมีการแตก เลือดออกจมูก ปาก คงไม่มีทางรอดได้
ท่านได้ช่วยผมให้หนักเป็นเบา แต่กระนั้นความรู้สึกผมก็ดับวูบไปด้วยแรงระเบิด เหมือนวิญญาณของผมได้ออกจากร่างไปแล้ว จึงรู้สึกว่าร่างกายตัวเองล่องลอยอยู่ในอากาศที่มืดครึม แต่จิตยังระลึกได้ว่าเราโดนระเบิดคิดว่าตัวเองตายแล้วนี่ จึงอยากกลับบ้าน จนจิตวิญญาณได้กลับเข้ามาอีกครั้ง ทําให้รู้ว่าผมยังไม่ตาย และคลานเข้าไปนั่งก้มหน้าปิดหูมึนงงแบบหมดสภาพที่จะต่อสู้
ในครั้งที่สองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ช่วยเตือนให้ผมรู้ตัวในช่วงวิกฤตแห่งชีวิตคือรูปภาพองค์พระพุทธชินราช ที่ผมศรัทธาและนํามาปิดไว้ที่หัวนอนในบังเกอร์โดยที่ท่านได้แสดงอภินิหารทั้งพลังแห่งรัศมีวูบวาบและพลังเสียงที่น่ามหัศจรรย์ของท่านเรียกเพื่อปลุกเตือนให้ผมรู้ตัว เพราะผมอยู่ในสภาพที่ไม่รับรู้อะไรแล้ว ทําให้ผมมีโอกาสได้ต่อสู้ แม้เพียงภาพถ่ายของท่าน ก็แสดงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ออกมา ซึ่งอาจเกิดจากพลังศรัทธาที่ผมมีต่อท่าน ตามที่ได้บรรยายไปแล้ว จึงทําให้ผมสามารถรอดมาได้อย่างหวุดหวิดมีโอกาสมาเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่านให้พวกเราและลูกหลานได้ฟัง เพื่อเป็นสติเตือนใจให้พวกเรานักรบนิรนามลูกหลาน ได้ยึดมั่นในความดีและปกป้องประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเราต่อ ไปด้วยจิตใจที่มั่นคงตลอดไป
“บทเรียนข้อเตือนใจ ข้อห้ามที่ควรยึดถือปฏิบัติของนักรบในสนามรบ”
เป็นบทเรียนและประสบการณ์ที่ได้พบเห็นมา ทั้งในทางบวกและในทางลบของการปฏิบัติตนของนักรบที่เป็นข้อเตือนใจว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรามีอยู่ในคอหรือในตัวของเราจะแสดงออกมาในทางบวกหรือลบกับเรา ขึ้นอยู่กับตัวเราเองด้วย ในการประพฤติปฏิบัติตนเมื่ออยู่ในสนามรบ
1.ต้องมีคุณธรรมของนักรบเมื่ออยู่ในสนามรบ แต่มิใช่หมายความว่าจะฆ่าศัตรูไม่ได้ หมายถึงการปฏิบัติตัวอย่างนักรบที่ดี
2.ห้ามเบียดเบียนสัตว์โดยไม่จําเป็นในสนามรบ ถ้ายังไม่ถึงกับอดตาย ที่พบเห็นบ่อยๆถ้าเบียดเบียนสัตว์ในสนามรบ จะมีอันเป็นไปแทบทุกคน ไม่เจ็บสาหัสก็พิการตาย เป็นเรื่องจริงที่พบทุกสนามรบขอให้ละเว้นโดยเด็ดขาด
3.ห้ามทําอะไรที่ผิดมนุษย์พึงกระทําผิดเพี้ยนอุตริในทางไม่ดี เช่น ทางลามกอนาจารในสนามรบ ถึงแม้นจะถูกกดดันทั้งทางร่างกายและจิตใจก็ตาม ห้ามกระทําเด็ดขาดเป็นประสบการณ์ที่ได้จากสมรภูมิลาว แต่ไม่สามารถเล่าให้ฟังได้และพบว่าทุกคนเสียชีวิตเกือบหมด ที่รอดก็พิการ
4.ห้ามขโมยพระของเพื่อนหรือของใครก็ตามในสนามรบอย่างเด็ดขาดโทษถึงตาย เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับลูกน้องผมเองในสมรภูมิเวียดนาม
5.สําหรับ ผบ.หน่วยรบข้อห้ามก็คืออย่าเบียดเบียนเบียดบังลูกน้องอย่างเด็ดขาด ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขสบายก็สบายด้วยกัน ลําบากก็ลําบากด้วยกันและไม่ทอดทิ้งกันอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าสถานการณ์จะยากลําบากและอันตรายอย่างไร ถ้าปฏิบัติได้เช่นนี้รบสมรภูมิไหนท่านก็จะรอด เพราะลูกน้องก็จะไม่ทิ้งท่านและรักท่านเป็นคุณธรรมของผู้บังคับหน่วยรบที่ต้องยึดมั่นและปฏิบัติ
6.สําหรับความร่ำรวยที่ได้จากสนามรบ ทรัพย์สมบัติที่เกิดจากการไปรบ ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีใดก็ตาม เป็นความร่ํารวยและสมบัติบาป จะต้องมีอันเป็นไปและสูญสลายไปในที่สุด ไม่มีความจีรังยั่งยืนและอาจต้องใช้กรรมใช้หนี้คืนมากกว่าที่เราได้มามากมายนัก มันเป็นเรื่องอาถรรพ์ เป็นเรื่องจริง นักรบทุกคนที่ผ่านสนามรบมีประสบการณ์ ลองทบทวนดูว่าจริงหรือไม่ไม่ว่าเกิดกับตัวเองที่ไปรบมาหรือเรื่องราวของนักรบอื่นๆก็ตาม
เรื่องของความมหัศจรรย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระเครื่องและรูปองค์พระพุทธ ในราชจากปกหนังสือยังติดตรึงอยู่ในจิตใจที่ยึดมั่นและไม่มีวันลืมตลอดชีวิตของผม หลังจากผมกลับมาจากสมรภูมิลาว ผมพยายามเสาะแสวงหาพระเครื่องที่เป็นองค์พระพุทธชินราชมาเก็บสะสมไว้เป็นจํานวนมาก ทั้งพระบูชาที่เช่ามาจากวัดใหญ่ จ.พิษณุโลก พระพุทธชินราชอินโดจีนที่แจกทหารหาญรุ่นพ่อในสงครามอินโดจีน ผมมีอยู่พอสมควรและนํามาแจกลูกหลานเพื่อนฝูง
พี่น้องหากมีจิตศรัทธาท่านและผมก็จะเล่าเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และประสบการณ์ให้ฟัง ส่วนใหญ่มีความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของท่านอยู่แล้ว สําหรับพระพุทธชินราชพระกรุที่ผมอยากมีขึ้นคอมากที่สุดคือพระพุทธชินราชใบเสมา พิษณุโลก ผมพยายามแสวงหาอยู่หลายปี ใจระลึกถึงพระคุณท่าน อยากได้ท่านไว้ขึ้นคอ ในที่สุดผมก็ได้มีคนมาให้ผมเองแลกกับพระของผม 2 องค์ และผมก็อาราธนาท่านขึ้นคอรบอีกหลายสมรภูมิ ไม่เคยถอดเพราะกลัวหาย
ปัจจุบันท่านผุกร่อนมากเหลือเพียง 2 ใน 3 ขององค์ ผมยังเก็บไว้ แต่ปัจจุบันผมก็มีพระพุทธชินราชอินโดจีนขึ้นคอแทนเพราะท่านเป็นพระพุทธรูปคล้ายองค์จริงในโบสถ์วัดใหญ่และเป็นพระที่มีประสบการณ์ความศักดิ์สิทธิ์ ที่น่ายึดมั่นและเชื่อถือได้แน่นอน.
“ฝันร้ายหลังคืนนรก”
...ผมอยู่ในสภาพเครียดมาก อยู่ในสภาพนอนไม่หลับ เพราะจิตใจกังวลคิดอยู่ตลอดเวลา ภาพใบหน้าแซป เปอร์โผล่เข้ามาชี้หน้าผม 3-4 คน มันยังติดตามอยู่ตลอดเวลากลางคืน…
“เหตุการณ์หลังคืนนรกที่บ้านนา”
ผมจําได้ว่าหลังคืนนรก 25-26 พ.ย. 2513 คืนนรกได้ผ่านไป ข้าศึกได้ถอนตัวออกจากพื้นที่การรบที่บ้านนาโดยสิ้นเชิง ทุกอย่างเงียบลง ไม่มีการยิงจากอาวุธหนัก ปืนใหญ่ ปรส. ค. แม้แต่จรวดของข้าศึกทุกอย่างเงียบสงบ เป็นอันรู้กันว่าพักกันไว้ก่อน เพื่อฟื้นฟู เยียวยา ศึกษาบทเรียน และเตรียมกําลังเพื่อการรบครั้งต่อไป
ผมได้รับการตรวจเยี่ยมจากผู้พันผบ. (พ.ท.ไพศาล คําสุพรหม) ท่านมาดูฐานผม มันยับเยินโดนระเบิดมัดข้าวต้มไปเกินครึ่ง ต้องทําการฟื้นฟูอย่างมาก ผมได้รายงานการสูญเสียให้ท่านทราบและขอรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรภายหลัง ท่านก็ไม่ว่าอะไรและดูท่านจะเห็นใจผมเมื่อเห็นสภาพของ ผมกับผู้ใต้บังคับบัญชา ท่านบอกว่ามีอะไรให้ช่วยก็บอก ผมไม่ต้องการอะไร เพราะรู้ว่าท่านก็โดนเหมือนกัน เพียงแค่ไม่หนักเท่าผมเท่านั้น เพราะข้าศึกเข้าใจว่าฐานของผมเป็นฐานกองพัน ดูสภาพของท่านก็ไม่ต่างจากผมมากนักจากความอิดโรยและกรําศึก
ผมได้รับการเยี่ยมเยือนจากหน่วยเหนือ บก.333 เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าว มาสอบถามมีการตรวจศพข้าศึก อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆของข้าศึกจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายเราและฝ่ายอเมริกัน (CIA) ผมได้รับการฟื้นฟูกําลังใหม่ ได้รับแจกยุทโธปกรณ์ใหม่ รวมทั้งเครื่องยุทธภัณฑ์ เพื่อที่จะประกอบกําลังเท่าที่เหลือทําการรบต่อไป ทั้งอาวุธกระสุนเสื้อผ้า อาหาร
จําได้ว่าผมเหลือลูกน้องร่วมตายอยู่ไม่เกิน 25 คน (ยอดจําไม่ได้) เหลือประมาณ 2 หมู่ ทั้งผมและรองหมวด จ่าบุญฯ (อายุ 50 กว่าๆ) หลังจากนั้นผมได้รับคําสั่งจากกองพันให้ไปสมทบกับกองร้อยสุรินทร์ที่ฐานกองร้อยตั้งอยู่ด้านทิศใต้ใกล้กับเนินอานม้าเพื่อฟื้นฟูจิตใจชั่วคราว เนื่องจากกําลังพลของผมเหลือไม่ถึง 50% และไม่มีกําลังสํารองมาทดแทน
กองร้อยสุรินทร์ มีเพื่อนผมอยู่ 2 คนคือ ร.ต.เทียนชัย สิทธิเวช เป็นรอง ผบ.ร้อย ผบ.ร้อยจําชื่อไม่ได้ (มาจากนายทหารชั้นประทวน อายุมาก 50 ขึ้น) ส่วนใหญ่เพื่อนผมทําหน้าที่นําหน่วยแทน เพื่อนอีกคนคือ ร.ต.พนา สมิตานนท์ เป็น ผบ.หมวด กองร้อยสุรินทร์ ยังไม่บอบช้ำมากนัก ยังไม่โดนเข้าตีหนักแต่ก็โดนอาวุธหนักบ้างเพราะไม่ใช่ที่หมายหลัก แต่เป็นฐานรอบนอกของกองพัน BI-15 (ร.ต.เกรียงชัย สิทธิเวช) ภายหลังเสียชีวิตที่บ้านนา จากการถูกข้าศึกซุ่มโจมตีขณะลงไปอาบน้ำในลําห้วย โดยศพไม่สามารถเอากลับมาได้ (สูญหาย)
จําได้ว่าผมพักฟื้นจิตใจอยู่กับเพื่อนที่ฐาน บก.ร้อย BI-15 สุรินทร์ ประมาณ 1 เดือน ในตอนต้นจิตใจของผมอยู่ในสภาพเครียดมาก อยู่ในสภาพนอนไม่หลับ เพราะจิตใจกังวลคิดอยู่ตลอดเวลา ภาพใบหน้าแซป เปอร์โผล่เข้ามาชี้หน้าผม 3-4 คน มันยังติดตามอยู่ตลอดเวลากลางคืน ผมไม่ยอมนอนและนอนไม่หลับ ตามันไม่ยอมหลับจริงๆ จิตใจระแวงภัยอยู่ตลอดเวลาเพราะยังอยู่ในสนามรบเดิมคือบ้านนา
การบังคับจิตใจและทําใจใช้เวลาอยู่เกือบเดือนที่ผมนอนไม่หลับ อาศัยนอนในตอนกลางวันบ้าง สภาพผมทรุดโทรมมากทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ความเป็นทหารและได้รับการฝึกมาอย่างดี ทําให้ผมคืนสภาพได้เร็ว
ผมดูแลลูกน้องผมที่เหลืออย่างดี ทั้งปลุกปลอบขวัญให้ทุกคนอย่างท้อแท้หมดกําลังใจ เราต้องรอดกลับไปเมืองไทยบ้านเราให้ได้ แต่เราก็ต้องทําภารกิจให้จบ ระหว่างพักฟื้นเกือบเดือนผมไม่ได้ปฏิบัติภารกิจใดๆ นอกจากช่วยป้องกันฐานกองร้อยสุรินทร์ของเพื่อนเท่านั้น
ประมาณกลางเดือน ธ.ค. อากาศเริ่มหนาวและใกล้ปีใหม่ ข้าศึกเริ่มศึกยกใหม่ด้วยการยิงรบกวนเราด้วยจรวดและปืนใหญ่บ้างแล้ว และเริ่มมีการยิงอาวุธหนักทั้ง ค. ปรส. แทบทุกชนิดมายังเป้าหมายบ้านนา และเริ่มหนักข้อขึ้นทุกวัน ดูจากจํานวนกระสุนที่ตกสู่เป้าหมายวันละ 50-100 นัดทุกวัน เริ่มมีการสูญเสียทั้งตายและบาดเจ็บรายวัน แต่สถานการณ์ก็ยังไม่รุนแรงนัก
พวกเราดัดแปลงพื้นที่บังเกอร์ให้แข็งแรงมากขึ้นเพื่อรับการโจมตีจากอาวุธหนักข้าศึก จากความรู้สึกและสัญชาติญาณพอจะรู้ว่าศึกอีกไม่นานมันคงถล่มเราหนักแน่
เราคงต้องพบกับนรกที่บ้านนาอีกครั้งในเร็ววันนี้.
“Take a Letter Please”
......กระสุนตกลงมาข้างตัวเราหน้าบังเกอร์จนฝุ่นกระจายไปหมด ผมเสียใจที่พี่สุรไกรบาดเจ็บสาหัส โดนสะเก็ดที่ศรีษะและลําตัวต้องส่งพี่กลับอุดรฯ.......
“ชีวิตบนเนินตรวจการด้านตะวันตกเฉียงเหนือบ้านนา”
ราวปลายเดือน พ.ย.-ต้น ธ.ค.2513 มว.ผม (มว.1 BI-15) ที่มีกําลังพลเหลือราว 25 นาย ครึ่งหมวดได้รับคําสั่งให้เคลื่อนย้ายขึ้นไปเสริมกําลังบนยอดเนินสูงด้านตะวันตกเฉียงเหนือของบ้านนา เป็นเนินสําคัญรอบนอกของฐานบ้านนาที่ใช้ตรวจการณ์ไปยังทุ่งไหหินได้อย่างชัดเจน และเป็นที่ตรวจการณ์ของเราเพื่อรายงานที่ตั้ง ป. ของข้าศึกที่ยิงมาจากทุ่งไหหินและฐานจรวดของข้าศึกด้วยที่ยิงมายังพื้นที่บ้านนาของพวกเรา
ฐานบนเนินตรวจการณ์นี้มีกําลังกองร้อยไม่เต็มจากการบาดเจ็บและเจ็บป่วย มว.ผมจึงเป็นกําลังเสริมให้ฐานมีความมั่นคงดีขึ้นฐานนี้มี หน.ไกร (ร.ท.สุรไกร สวัสดิภาพ) เป็น ผบ.ฐาน อีก มว.ผมจําชื่อไม่ได้อาจเป็นจ่าเป็น ผบ.มว. ผมดีใจที่มาอยู่กับพี่สุรไกร มีที่ปรับทุกข์ผูกมิตรให้ความอบอุ่นเป็นกันเอง ยามคับขันได้ช่วยกันและไม่ทิ้งกันอย่างเด็ดขาด
ผมกับพี่สุรไกรช่วยกันทําหน้าที่ ผตน. (ผู้ตรวจการณ์หน้า) รายงานที่ตั้งปืนใหญ่ที่เราส่องกล้องตรวจการณ์เห็นและขอ ป.ของเรายิงทําลายเป้าหมาย ป.ข้าศึกอย่างได้ผล ทําให้ป.ข้าศึกทําการยิงเป้าหมายที่บ้านนาได้อย่างจํากัดเพราะโดน ป. ฝ่ายเรายิงตอบโต้อย่างได้ผล นอกจากนี้เรายังขอ บ. โจมตีเป้าหมายด้วย ทําให้ข้าศึกขยาดไม่กล้ายิง ป. สู่บ้านนามากนัก
ส่วนจรวด 130 ของมันไม่มีฐานแน่นอน แต่มันใช้ยิงรบกวนบ่อยมาก และตั้งยิงไม่ไกลจากฐานตรวจการณ์ของเรามากนัก เห็นมันอย่างชัดเจน ได้ยินเสียงดัง บึ้ม บึ้ม! และเห็นลูกจรวดวิ่งออกจากฐานที่ตั้งชัดเจน เห็นเปลวเพลิงท้ายจรวดพุ่งตรงไปยังเป้ามหมายบ้านนา มันยิงครั้งละ 2-3 ลูก หรือบางครั้ง 4-5 ลูก 2 ชุดพร้อมกันอย่างต่อเนื่อง เราได้แต่รายงานไปยังฐาน บก.พัน บ้านนา ว่าข้าศึกยิงจรวดไปแล้ว 2 นัด 4 นัด ให้เตรียมรับและหลบภัย...มันยิงไปอีกชุดแล้ว เรารายงานไปชั่วครู่เสียงระเบิดดังกึกก้อง ฝุ่นกระจายบนพื้นที่บ้านนาแต่จรวดไม่ค่อยแม่นยําเท่ากับ ป. ของมัน เพราะป. มีการปรับปืนและยิง Marking เป้าหมายด้วยกระสุนควันก่อนและถล่มตามมาเป็นชุดๆ
ผมเห็นพวกเราถูกมันถล่มแล้วก็ได้แต่ภาวนาขอให้พวกเราที่บ้านนาโชคดีปลอดภัย แต่ก็รู้ว่า พวกเราหลายคนต้องจบชีวิตลงหรือไม่ก็บาดเจ็บ แทบทุกครั้งที่ถูกพวกมันถล่มด้วย ป. และจรวด ฟังจากการรายงานทางวิทยุรายงานการสูญเสียทุกวัน
พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์นี้ทุกวัน และดูเหมือนว่ามันจะหนักและเลวร้ายขึ้นทุกวันด้วย นอกจากนี้ ค. และ ปรส. ของมันยังช่วยยิงซ้ำเติมให้เรายากลําบากมากขึ้นด้วย สูญเสียมากขึ้น
บาดเจ็บมากขึ้น
ทุกครั้งที่มีการยิงจรวดและ ป. จากข้าศึก ฝ่ายเราก็จะตอบโต้ไปด้วย ป. ที่ฐานพันเชอร์ แต่ดูจะอ่อนลงไปเรื่อยๆ ทราบว่า ป. บางกระบอกของเราถูก ป. ของข้าศึกทําลายไปแล้วและไม่สามารถทดแทนได้ สําหรับ ป. 155 และ 105 ต้องทําบังเกอร์และที่กําบังอย่างดียิ่งแล้วต้องรีบเข็นเก็บเข้าบังเกอร์ เพราะมันต้องสวนกลับทุกครั้งไป มันมี ผตน. อยู่รอบบ้านนาบนเนินสูงเกือบทุกด้าน เราเป็นเป้านิ่งให้มันถล่ม ไม่สามารถย้ายฐานปืนได้ ปืนใหญ่มันที่ทุ่งไหหิน มีทั้งปืนวิถีโค้ง 152 ปืนใหญ่วิถีราบ 130 มม. นอกจากนั้นยังมี ป.ขนาด 85 ช่วยยิงเสริมเพื่อกดพวกเราด้วย
มักจะมีศึกใหญ่ทุกครั้งเมื่อมีการตอบโต้กัน แต่ฝ่ายเราเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากเป็นเป้านิ่ง ของข้าศึกสามารถเคลื่อนที่ได้ ย้ายที่ตั้งยิงได้อย่างอิสระ นอกจากนั้น ยังมีปืนใหญ่ลวงให้เราเสียเวลาและเสียกระสุนไปเป็นจํานวนมากตั้งลวงไว้หลายจุด ทําให้ บ. โจมตีของเราคิดว่าได้ทําลาย ป. ได้แล้ว และรายงานให้เราทราบ เราก็ดีใจ แต่ดีใจได้เพียงชั่วพักเดียว
พอ บ. โจมตีกลับหลังไปยังไม่ทันไร มันก็ถล่มเราอีก
เรื่องปืนใหญ่ปลอมเรา Q.E.D ได้แน่นอน นอกจากนั้นของปลอมยังเป็นเป้าล่อให้ บ. ฝ่ายเราเข้าโจมตีอย่างเมามันแบบประมาท และมันเตรียม ปตอ.50 ไว้ตอบโต้เรา ทําให้ บ. โจมตีของเราบาดเจ็บ และบางลําโดนยิงร่วง เช่น T-28 ผมเห็นกับตาว่า บ. ของเราถูกยิงสวนแบบถวายชีวิตและต้องรีบถอนตัวจากการโจมตีเป้าหมาย เรื่องนี้อย่างที่เคยเล่าแล้วว่า พลปืนจะถูกล่ามโซ่ไว้กับปืน
“การเอาชีวิตรอดบนยอดเนินตรวจการณ์”
ผมและพี่สุรไกรผลัดกันทําหน้าที่ ผตน. บนยอดเนินตรวจการณ์ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของบ้านนา มองเห็นทุ่งไหหินได้ดี โดยเฉพาะที่ตั้ง ป. ข้าศึก ฐานยิงจรวด 130 มม. เราเป็นหน่วยแจ้งเตือนเพื่อให้พวกเราที่บ้านนาทราบก่อนที่กระสุนจะไปตกสู่เป้าหมาย ทําให้พวกเราหลบเข้าบังเกอร์ได้ทันการ ลดการสูญเสียได้อย่างมาก มันคงจะรําคาญและหมั่นไส้เรามาก ขณะเราออกมานอกบังเกอร์เข้าคูเรดเพื่อตรวจการณ์ มันคงเห็นเราเช่นกัน ข้าศึกได้ยิงถล่มเราด้วย ป.ขนาด 85 มม. เป็นกระสุนแตกอากาศ ผสมกับการยิงด้วย ค.82 และ ปรส. เพื่อรบกวนเราไม่ให้ตรวจการณ์มันได้อย่างสะดวกสบาย
ครั้งหนึ่งผมยืนอยู่กับพี่สุรไกรหน้าบังเกอร์ บก. ที่เรานอนอยู่ด้วยกัน เสียงระเบิดดังสนั่น กรึ้ม! กรึ้ม! เหนือหัวเราทั้งสองคน ผมแหงนมองเห็นกระสุนแตกเป็นห่าฝนกระจายลงมาตรงที่เราสองคนยืนอยู่ ผมเร็วกว่าพี่สุรไกรมาก พุ่งตัวอย่างเร็วเข้าช่องหน้าบังเกอร์ ส่วนพี่สุรไกรล้มลงมาทับผม แต่ความจริงเรามิได้เร็วกว่ามัน กระสุนตกลงมาข้างตัวเราหน้าบังเกอร์จนฝุ่นกระจายไปหมด ผมเสียใจที่พี่สุรไกรบาดเจ็บสาหัส โดนสะเก็ดที่ศรีษะและลําตัวต้องส่งพี่กลับอุดรฯ
ทราบว่าพี่เขาปลอดภัยกระดูกแข็ง หายแล้วแกกลับมารบต่ออีก หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ข่าวพี่สุรไกรอีก
ในเดือน ม.ค. 2514 อากาศบนยอดเนินตรวจการณ์หนาวมาก อุณหภูมิ -2 องศา ผมจําได้ผมใส่ชุดหลายชั้น โชคดีผมมีถุงนอนขนไก่ สงสารทหารที่ต้องจุดไฟผิงในเวลากลางคืนในบังเกอร์และคูเรด ฟืนก็หายาก ใช้ทุกอย่างที่มีเท่าที่จะให้ความอบอุ่นได้ก็พอจะได้นอนบ้าง ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้นอน อาศัยนอนในตอนกลางวัน
ฮ.ฝ่ายเรายังพอมาส่งกําลังให้เราบนยอดเนินได้ แต่มาก็รีบโยนของให้ไม่ยอมแตะพื้น แล้วรีบไปทันที ส่วนใหญ่เป็นอาหารกระป๋อง “กระสุน”ที่ชื่นใจมากคือจดหมายจากทางบ้าน เราพยายามให้เขารับจดหมายของเราด้วย โดยการเขียนข้อความเป็นภาษาอังกฤษ “Take a Letter Please” แล้วใช้ไม้ยาวยื่นส่งให้ บางครั้งก็ส่งได้บางครั้งก็ไม่รับ ดูมันไม่สนใจเราเท่าไหร่
มันดูเราแบบสมเพชมากกว่า ส่วนมากหลังจากรีบโยนหีบ สป. แล้ว มันจะร่อนลงหุบไปทันที.
“เนินตรวจการณ์อันโดดเด่น”
....มันต้องการไล่เราให้ลงจากยอดตรวจการณ์นี้อย่างแน่นอน เพราะเป็นการทําลายฐานที่มั่นสําคัญที่เป็นที่ตรวจการณ์ของเราที่เดียวและเป็นที่มั่นสําคัญชั้นนอกของฐานบ้านนา ถ้าทําลายได้ฐานใหญ่จะโดดเดี่ยว และถูกปิดล้อมทําลายในที่สุด……
หลังปีใหม่เนินตรวจการณ์โดนโจมตีจากข้าศึกด้วย ป.หลายขนาดรวมทั้ง ค. และปรส. อย่างหนัก ข้าศึกต้องการทําลายเนินตรวจการณ์ของเรา ซึ่งเป็นภูมิประเทศสําคัญมากจุดหนึ่งโดยเฉพาะสามารถตรวจการณ์ถึงทุ่งไหหินได้
ข้าศึกต้องการยึดจึงทําการกดดันเนินนี้อย่างหนักทุกวันด้วยอาวุธหนักทุกประเภท นอกจากนั้นยังเอาหน่วยแซปเปอร์กล้าตายเข้าตีหยั่งเชิง แต่มันไม่สําเร็จเนื่องจากภูมิประเทศเป็นยอดเนินเล็กๆสูงชันมากและพวกเราต่อต้านอย่างหนัก ไม่สามารถฝ่าแนวลวดหนามของเราเข้ามาได้ มันต้องสูญเสียกําลังไปหลายคน เห็นศพมันตายติดคาลวดหนามอยู่ 2-3 ศพ เราก็เข้าไปเอาออกไม่ได้ จึงปล่อยไว้อย่างนั้น จนเราไม่รู้จะทําอย่างไรจนชินกันไปเอง
เราถูก ป. และอาวุธหนักยิงกดดันทุกวัน แทบโผล่ออกไปตรวจการณ์ไม่ได้อย่างที่เคย ได้แต่คอยมุดหลบลูกยาว โดยเฉพาะ ป.130 มม.ของมันทะลุทะลวงได้รุนแรงมาก ทําให้บังเกอร์ด้านทิศเหนือของยอดเขาพังทั้งแถบ ส่วนใหญ่เราพากันไปหลบหลังเนินตรงข้ามแนวยิงโดยขุดหลุมให้แคบและเล็กที่สุด หากโดนก็ถือว่าถึงที่จริงๆ ส่วนใหญ่มันก็จะเลยข้ามไปตกด้านหลัง เพราะเรามียอดเนินบังทิศทางมัน
ที่เรากลัวมากคือ ค.120 มม. มันมาแบบไม่ได้ยินเสียง ได้ยินเสียงระเบิด กรึ้ม! แรงมาก แต่ก็ไม่แม่นยํานัก เราต้องระวัง ปรส. ของมันตลอดเวลา หลีกเลี่ยงการปรากฏเป็นเป้าหมายเล็งตรง ไปไหนก็วิ่งไปและวิ่งไปในคูเรดดีที่สุด สัญชาติญาณการเอาชีวิตรอดมันสอนเองว่าควรทําตัวอย่างไรถึงจะรอด โดยเฉพาะไม่ประมาท ผมพยายามขุดหลุมลึกแคบและซอนเข้าไปเพื่อใช้ป้องกันกระสุนแตกอากาศด้วยเมื่อถูกโจมตี ผมเลือกหลังเนินที่ปลอดภัยเป็นหลุมหลบภัย
อย่างดีก็ตกใกล้หน่อย ทําให้หูอื้อไปหลายวัน
บนยอดเนินนี้ถัดไปก็พบแต่ซากกระดูก บางครั้งก็เจอมือโผล่เหลือแต่กระดูกมันน่าจะเป็นสมรภูมิที่แย่งยึดกันมานาน ทั้งฝ่ายเราและข้าศึกตายทับถมฝังกันบนยอดเนิน น่าจะเป็นฐานทหารลาวเก่าด้วย ผมอยู่บนเนินที่ทับถมไปด้วยซากศพและซากกระดูกของเหล่านักรบจนไม่อยากคิดอะไร คิดอย่างเดียวว่าจะเอาชีวิตรอดจากอาวุธหนักข้าศึกได้อย่างไร ถ้าถูกเข้าตีจะทําอย่างไร
เมื่อถูกโจมตีจาก ป. แต่ละครั้ง ผู้พันถามว่าเราอยู่ ไหวไหมเพราะว่าดูแล้วไม่น่าทนอยู่ได้ ที่บ้านนาเห็นเนินเขาถูกขุดกระจุยขึ้นท้องฟ้าจากแรงระเบิดของ ป.130 เราก็ทนอยู่ได้ เพราะเรารู้จักหลบอยู่ในที่ปลอดภัย แต่ข้าศึกก็กดดันเราทุกวัน
มันต้องการไล่เราให้ลงจากยอดตรวจการณ์นี้อย่างแน่นอน เพราะเป็นการทําลายฐานที่มั่นสําคัญที่เป็นที่ตรวจการณ์ของเราที่เดียวและเป็นที่มั่นสําคัญชั้นนอกของฐานบ้านนา
ถ้าทําลายได้ฐานใหญ่จะโดดเดี่ยว และถูกปิดล้อมทําลายในที่สุด
“บทเรียนจากการรบ”
1.หน่วยที่เข้าต่อสู้กับข้าศึกอย่างหนัก ควรต้องได้รับการฟื้นฟูปลอบขวัญทันทีจากหน่วยเหนือ โดยเฉพาะสูญเสียกําลังพลและยุทโธปกรณ์ประมาณ 50 % ควรได้รับกําลังทดแทนเพื่อดํารงความเป็นหน่วยระดับหมวดต่อไป ถ้าไม่มีกําลังทดแทนหรือหน่วยอื่นมาผลัดเปลี่ยนถือว่าหน่วยนั้นหมดสภาพความเป็นหน่วยแล้ว ควรส่งกลับไปอยู่แนวหลังหรือให้กําลังพลพักโดยเอาหน่วยอื่นมาทดแทนเพื่อฟื้นฟูกําลังใหม่จึงส่งกลับมาปฏิบัติภารกิจต่อไป
หากยังให้คงอยู่ในสนามรบเช่นเดิมเพียงแต่ย้ายไปย้ายมา อาจจะทําให้กําลังพลบางคนทนภาวะกดดันไม่ไหว ควบคุมสติไม่ได้อาจเกิดความบ้าคลั่งและเป็นอันตรายได้
2.ที่ตรวจการณ์ฝ่ายเรามักเป็นที่ตั้งฐานเปิดเผย เป็นเนินสําคัญทางทหาร จึงเป็นเป้าหมายโจมตีจากอาวุธหนักของข้าศึกได้ตลอดเวลา ส่วนที่ตรวจการณ์และ ผตน. ฝ่ายข้าศึกไม่เปิดเผยที่ตั้ง จะอยู่ตามช่องว่าง ในแนวฐานชั้นนอกของฝ่ายเรา และสามารถมองเป้าหมายบ้านนาได้ในมุมสูงอย่างชัดเจน รวมทั้งอาจเป็นที่ตั้งอาวุธ ค. ปรส.ด้วยซึ่งพร้อมที่จะย้ายที่ตั้งยิงได้ตลอดเวลา เมื่อเปิดเผยที่ตั้งยิงจากการยิงโดยเฉพาะ ปรส. ข้าศึกจะย้ายที่ตั้งทุกครั้งเมื่อทําการยิงทําให้ข้าศึกรู้การเคลื่อนไหวฝ่ายเราตลอดเวลาและประเมินสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง
3.ฐาน ป. ฝ่ายเราที่บ้านนา (ฐานพันเช่อร์) เป็นฐานปืนตั้งอยู่กับที่ เป็นเป้านิ่งที่ถูกระดมยิงจาก ป. และจรวด ค. และ ปรส. อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เมื่อข้าศึกปรับระยะยิงแล้ว ทําให้ฝ่ายเราถูก ป. ข้าศึกกดดันไม่สามารถยิงช่วยเหลือหรือยิงต่อต้าน ป. ของข้าศึกได้ ต้องนําปืนเข้าหลบในบังเกอร์ เพื่อไม่ให้ถูก ป.ข้าศึกทําลายและต้องใช้ บ. ฝ่ายเราเท่านั้นเพื่อช่วยหยุดการยิงของข้าศึกได้ ทําให้ฝ่ายเราเสียเปรียบในด้านอํานาจการยิงอย่างสิ้นเชิง และ ป. ก็ถูกทําลายไปทีละกระบอกสองกระบอกจนหมดในที่สุด
4.ข้าศึกมีมาตรการลวงโดยเฉพาะที่ตั้งยิง ป. จากทุ่งไหหินทําให้ฝ่ายเราเข้าใจผิดและประเมินข้าศึกผิดทําให้เสียเวลาและอาวุธกระสุนไปเป็นจํานวนมากจากเป้าลวงปลอม นอกจากนั้นเป้าปลอมยังเป็นกับดักสําหรับ บ. โจมตีด้วย และทําให้ฝ่ายเราต้องเสีย บ. โจมตีไปหลายลํา ตรงข้ามฝ่ายเรามีที่ตั้งเปิดเผย ข้าศึกสังเกตการณ์ได้ตลอดเวลาจากจุดตรวจการณ์ต่างๆรอบบ้านนา ทําให้เราดําเนินกลยุทธ์ลําบากและถูกกดดันจากข้าศึกตลอดเวลา
5.การส่งกําลังบํารุงให้กับฝ่ายเราต่อฐานบ้านนาและฐานต่างๆ ที่เป็นแนวป้องกันด้านนอกของบ้านนาทําได้ยากลําบาก ทําให้การส่งกําลังไม่เป็นไปตามแผน บางครั้งต้องใช้ Free Drop ซึ่งทําให้ของสูญหายและตกอยู่กับข้าศึกหรือไปตกในพื้นที่อันตรายที่ไม่สามารถไปเก็บกู้ได้ การส่งกําลังโดย บ. ขนส่งขนาดเล็กทําได้อย่างยากลําบากและเป็นอันตรายต่อ บ. มากเพราะเป็นเป้าโจมตีของอาวุธหนักรอบๆบ้านนา ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ ฮ. และไม่แตะลงพื้น
เมื่อการส่งกําลังทําได้ลําบากจึงมีผลกระทบต่อขวัญและกําลัง ใจต่อกําลังพลที่สู้รบมากขึ้น.
หัวหน้าใจทางเข้าบังเกอร์ตรวจการณ์.
“อาบน้ำ”
......การเอาน้ำเทลงบนร่างกายแต่ละครั้ง ต้องร้องออกมาดังลั่นเหมือนโดนเชือด มันเจ็บแสบมาก ครั้งสองครั้งแรกทรมานมาก……
“สถานการณ์ช่วงปลายปี”
ผมจําได้ในเดือนธันวาคม 2513 ผมและลูกน้องเดนตาย 20 กว่าคนยังประจําอยู่บนเนินตรวจการณ์ตามที่ผมได้บรรยายไปแล้ว เรามาอยู่บนเนินนี้น่าจะเป็นเวลาเดือนกว่าแล้วจากเหตุการณ์คืนนรกที่บ้านนา
ตลอดเวลาเราถูกโจมตีด้วยปืนใหญ่ ค. และ ปรส. จนชินชากับเหตุการณ์ ถือเป็นเรื่องปกติ มันยิงมาเราก็หลบเข้าหลุมหลบภัย เพียงแต่เวลากลางคืนเราต้องไม่ประมาทแซปเปอร์ ต้องกำชับเวรยามอย่างเข้มงวด เรายังเดาไม่ออกว่าข้าศึกจะใช้อาวุธหนักกดดันและทําลายเราให้อ่อนแอ หมดกําลังใจทนอยู่ไม่ไหวด้วยขวัญและกําลังใจที่อ่อนแอลงทุกวันจากการโจมตีด้วยอาวุธหนักหรือใช้แซปเปอร์เข้าโจมตียึดฐานเรา ในบางช่วงเวลาข้าศึกเพลาการโจมตีด้วยอาวุธลง ทําให้เราได้มีโอกาสออกมาคลายเครียดบ้าง คงเป็นเพราะอาวุธกระสุนของมันขาดแคลนและรอการส่งกําลังเพื่อจะถล่มเราอีก
ในช่วงใกล้ปีใหม่ของเดือนธันวาคมอากาศในฤดูหนาว หนาวมากเข้ากระดูก อุณหภูมิกลางคืนติดลบ 1 C บางคืนถึง – 2 C ผมเคยดูเทอร์โมมิเตอร์ โดยเฉพาะหลังเที่ยงคืนไปแล้วมันหนาวมากจนปวดกระดูก เพราะเราอยู่บนเนินตรวจการสูงกว่า 2,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลจากแผนที่และเส้นชั้นความสูง
ผมต้องใส่ชุดหลายชั้นทับด้วยชุดฝึกยังแทบทนไม่ไหว นอนไม่หลับต้องนอนขดในถุงนอนอยู่แต่ในบังเกอร์ในตอนกลางคืน ในช่วงหลังเที่ยงคืนอุณหภูมิติดลบ หนาวสั่นฟันมันกระทบกันแบบอัตโนมัติเสียงครางฮือๆด้วยความหนาว มันเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องสั่ง แทบไม่มีใครได้นอนหลับในช่วงดึก เพราะหนาวมากปวดกระดูกไปหมด ผมเคยออกไปดูทหารส่วนใหญ่จะอยู่ในรูดินแบบขดตัวเข้าไปหรือเรียกว่ารูหมาจิ้งจอกก็ได้ ทหารอาจเรียนรู้วิธีต่อสู้กับความหนาวได้ดีกว่าผม รูดินลึกพอสมควร ทําให้อยู่ได้จากไออุ่นของดินที่เก็บความร้อนไว้ในเวลากลางวัน ช่วยบรรเทาความหนาวได้
ในตอนกลางคืน เราห้ามสุมไฟอย่างเด็ดขาด เราไม่อยากเป็นเป้าข้าศึก สู้ทนหนาวแต่ไม่เป็นเป้าให้ข้าศึกถล่มดีกว่า
ในช่วงปลายเดือนธันวาคม ใกล้ปีใหม่แล้วรู้สึกว่าการโจมตีด้วยอาวุธหนักเบาลง ในตอนกลางวันสภาพอากาศกําลังดีในฤดูหนาว อุณหภูมิประมาณ 10 องศาเซลเซียส ทําให้พวกเราบนเนินตรวจการณ์รู้สึกคลายเครียดลงบ้าง
ผมมีความรู้สึกอยากอาบน้ำ ตอนที่อยู่ที่บ้านนาเคยลงไปอาบน้ำที่ลําธารแค่ครั้งเดียวตอนมาใหม่ๆเพราะไปลาดตระเวนกับทหารรอบฐานเพื่อตรวจภูมิประเทศ การลงไปที่ลําธารน้ำด้านล่างอันตราย ต้องระวังมาการอง อาจถูกข้าศึกซุ่มโจมตีได้หากทําบ่อยๆและไม่ระวังตัว เสียดายเพื่อนผม ร.ต.เทียนชัย สิทธิ์เวช รอง ผบ.ร้อยสุรินทร์ โดนซุ่มแล้วสูญหายหาศพไม่เจอรวมกับลูกน้องอีกหลายคน
แต่ความอยากอาบน้ำที่ไม่ได้อาบมาเป็นเวลานานหลายเดือนทําให้ผมอยากเสี่ยงลงไป จึงชวนทหาร ใครอยากอาบน้ำให้ไปกับผู้หมวดตามความสมัครใจ มีลูกน้องไปกับผมสิบกว่าคน เราแบ่งเป็น 2 ชุด ไปแบบชุดลาดตระเวนและต้องไต่เขาลงไปชันพอสมควรในระดับความลึกประมาณ 600-700 เมตรจากยอดเขา ผมนําทหารลาดตระเวนไปจนเกือบถึงลําธาร เห็นมีน้ำไหลรินพออาบและกรอกใส่กระติกได้ จึงให้ทีมแรกเป็นชุดระวังป้องกันให้ขึ้นไปป้องกันบนเนินเหนือลําธารด้านทิศเหนือ อีกชุดลงไปที่ลําธาร ให้เวลาไม่เกิน 5 นาที ต้องจัดการให้เสร็จ
การอาบน้ำดําเนินไปตามแผนอย่างรวดเร็ว จําได้ว่าผมรีบถอดเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ไม่มีการอายกันแล้วน้ำก็เย็นมาก พอๆกับน้ำในตู้เย็นราว 4 องศาเซลเซียส การเอาน้ำเทลงบนร่างกายแต่ละครั้ง ต้องร้องออกมาดังลั่นเหมือนโดนเชือด มันเจ็บแสบมาก ครั้งสองครั้งแรกทรมานมาก เมื่อร่างกายชินก็รู้สึกดีขึ้น ทุกคนอาบน้ำแบบรวดเร็ว
ใครจะร้องหรือไม่ร้องก็แล้วแต่ ไม่ว่ากัน
แต่ร่างกายทุกคนเมื่อโดนน้ำจะเป็นไอควันขึ้นโขมงทั่วร่างกายเหมือนกันหมด
ไม่ต้องบอกว่ามันเย็นขนาดไหน
ไม่เกินสิบนาทีทุกคนก็เสร็จ เรารีบไต่ขึ้นเขากลับไปที่เนินตรวจการณ์ทันที รู้สึกร่างกายสดชื่นขึ้นมาก แต่เมื่อไต่ขึ้นมาถึงยอด ...
เหงื่อก็ซึมออกมาอีก
แต่ยังดีที่เป็นเหงื่อที่สะอาดกว่าเดิมที่เคยหมักหมมมาเป็นเวลาแรมเดือน.
“ปีใหม่ 2514”
.......ช่วง 0.00 น.โดยไม่มีการนัดหมายหรือสั่งการใดๆ มีทหาร 2-3 คน ยิงอาวุธปืนขึ้นฟ้า จากนั้นทั่วทั้งฐานก็ยิงปืนแทบทุกชนิดตามกันไปหมด ...
วันที่ 31 ธันวาคม 2513 วันก่อนปีใหม่ไม่มีงานเลี้ยง รู้อย่างเดียวปีเก่ากําลังจะผ่านไป ปีใหม่กําลังจะเข้ามา ดีเหมือนกันให้เวลามันผ่านไป ถ้าโชคดีเรารอดพ้นจากนรกนี้ได้ ก็จะได้กลับบ้านกันเสียที่
ในคืนวันปีใหม่ ได้รับคําสั่งทางวิทยุให้เตรียมพร้อม เตรียมป้องกันฐานอย่างเต็มที่ ข้าศึกอาจโจมตีในคืนวันปีใหม่
จากคําเตือนของหน่วยเหนือ ผมสั่งการให้ทหารเตรียมพร้อมและประจําแนวคูตั้งแต่เริ่มหมดแสง และให้จัดเตรียมเวรยามอย่างเข้มงวด จัดเป็นบัดดี้ผลัดกันพักนอนตลอดคืน ผมเองก็นอนไม่หลับ ผมเดินตรวจดูลูกน้องของผม ปลุกปลอบให้มีกําลังใจต่อสู้เอาชีวิตรอดให้ได้ อย่าได้ท้อถอยและอย่าประมาท เราไม่อยากเจอแบบคืนนรกซ้ำสอง
เหตุการณ์ในคืนวันปีใหม่ยังคงเงียบสงบ ข้าศึกมันก็คงอยากพักผ่อนฉลองปีใหม่ของมันเหมือนกัน มันคงไม่อยากโจมตีเราในวันนี้เช่นกัน
ช่วง 0.00 น.โดยไม่มีการนัดหมายหรือสั่งการใดๆ มีทหาร 2-3 คน ยิงอาวุธปืนขึ้นฟ้า จากนั้นทั่วทั้งฐานก็ยิงปืนแทบทุกชนิดตามกันไปหมด เสียงปืนกึกก้องไปทั่วทั้งฐาน กระสุนส่องแสงพุ่งขึ้นสู่อากาศเหมือนยิงพลุฉลอง พักใหญ่จึงหยุดมันเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ที่เก็บกดให้หายเครียดของทหารที่แสดงออกมาโดยไม่ได้สั่งให้ทํา ผมก็พูดไม่ออก
หน่วยเหนือถามมาก็บอกว่าไม่มีการโจมตีใดๆ ผมบอกไปเท่านี้ทางผู้บังคับบัญชาข้างล่างก็ไม่ได้ว่าอะไร ท่านคงจะเข้าใจพวกเรา อีกอย่างเป็นการแสดงให้รู้ว่าพวกข้ายังอยู่บนเนินนี้ไม่ได้หนีไปไหน ถ้าเอ็งจะมายึดคงต้องสู้กันตายไปข้างหนึ่ง ข้าคงไม่ยอมให้เอ็งยึดไปง่ายๆ
หลังเที่ยงคืนมีเครื่องดาโกต้ามาบินวนบริเวณพื้นที่รอบบ้านนาและฐานเนินตรวจการณ์ ผมรีบสั่งลูกน้องจุดตะเกียงไฟเป็นอักษรโค้ดของหน่วยเรา และจุดตะเกียงรอบฐาน ดาโกต้าทําการยิงปืนหลายลํากล้อง (ปืนห่าฝน) ไปยังจุดและบริเวณที่สงสัยเห็นกระสุนพุ่งลงมาจากท้องฟ้าเป็นสาย พวกเราออกมาดูความสวยงามของลํากระสุนส่องวิถีกันและรู้สึกอุ่นใจที่มี บ. ฝ่ายเรามาบินและส่งกระสุนลงมารอบฐานเรา ดาโกต้าบินอยู่เป็นชั่วโมงแล้วก็กลับไป
ในคืนวันปีใหม่ ผมแทบจะไม่ได้นอน ผมมานั่งทบทวนคิดถึงสถานการณ์รบที่ผ่านมาจนมาอยู่บนเนินตรวจการณ์ เริ่มแรกเราเป็นฝ่ายบุกเข้ายึดแนวแรกคือสกายไลน์ ต่อมาก็ยึดแนวที่สองคือแนวภูล่องมาด จนในที่สุดเข้ายึดบ้านนาเป็นแนวสุดท้าย เราหยุดแค่บ้านนา จากนั้นดูเหมือนเราเริ่มกลับมาเป็นฝ่ายตั้งรับและถูกข้าศึกโจมตีกดดันอย่างหนักด้วยอาวุธหนักจากทุ่งไหหินโดยเฉพาะปืนใหญ่รวมทั้งหน่วยทางภาคพื้นดินของข้าศึก ข้าศึกเริ่มเข้าปฏิบัติการต่อฝ่ายเราอย่างหนัก บทเรียนทั้งหน่วยแซปเปอร์ที่ปฏิบัติการจู่โจมเรามาแล้ว ทําให้ฝ่ายเราเกิดความสูญเสียมากพอสมควร ทั้งกําลังคนและยุทโธปกรณ์
นอกจากนั้นข้าศึกยังมีอาวุธหนัก ค. และ ปรส. มีที่ตั้งยิ่งตามเนินสูงชันต่างๆด้านทิศใต้และทิศตะวันตก ทั้ง ค. และ ปรส. เป็นจํานวนมากตั้งยิงรบกวนกดดันฝ่ายเราตลอดมาจนถึงสถานการณ์ปัจจุบันไม่มีลดลง และน่าจะเพิ่มอาวุธยิงรบกวนเหล่านี้เพื่อกดดันฝ่ายเรามากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าเราจะได้เปรียบทางด้านอากาศ แต่ก็ไม่สามารถทําลายเป้าหมายเหล่านี้ได้เลย ทําให้การได้เปรียบทางน่านฟ้าไร้ความหมาย จึงทําให้ด้านการส่งกําลังทั้งคนยุทโธปกรณ์ เสบียงอาหารทําได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
จากการสังเกตและประเมินสถานการณ์ ผมรู้ว่าขณะนี้สถานการณ์มันได้พลิกผันไปแล้ว จากที่เราเป็นฝ่ายรุก ต้องกลับมาเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว ขวัญและกําลังใจเริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ การสูญเสียโดยการโจมตีของข้าศึกด้วยอาวุธหนักทุกวัน การส่งกําลังก็ทําได้ยากลําบากมากขึ้นด้วย สนามบินบ้านนาไม่ปลอดภัย การลงมาส่งเสบียงและรับผู้บาดเจ็บต้องทําอย่างเร่งรีบและเสี่ยงอย่างมาก
ฐานปืนใหญ่พันเซอร์ที่บ้านนาของเราก็ถูกปืนข้าศึกทําลายไปหลายกระบอกอํานาจการยิงก็ลดลงไปเรื่อยๆเนื่องจากเป็นเป้านิ่ง ผมคิดดูแล้วขณะนี้สถานการณ์เราเป็นรองข้าศึกเกือบทุกด้าน อยู่ที่ว่า BI-15 ที่บ้านนาจะทนได้นานขนาดไหนเพื่อให้หน่วยเหนือส่งกําลังส่วนอื่นๆเข้ามาช่วยเสริมและเพิ่มเติมกําลังและยุทโธปกรณ์ให้เรามีความมั่นคงขึ้นกว่าเดิม เพื่อดํารงความมุ่งหมายคือยึดบ้านนาไว้ให้ได้ตามแผน จะทําได้หรือไม่ต้องดูกันต่อไปว่าทางหน่วยเหนือจะแก้ปัญหาและช่วยเราอย่างไร
ปัจจุบันเรายังโชคดีที่ฐานที่มั่นด้านนอก คือฐานกองร้อยสุรินทร์ด้านทิศใต้ยังรักษาที่มั่นไว้ได้ ฐานเนินตรวจการณ์ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็ยังอยู่แม้จะถูกกดดันอย่างหนักจากข้าศึก ฐานบก.ร้อย BI-15 ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับฐานที่มั่นใหญ่บ้านนายังอยู่และไม่ถูกโจมตีจากข้าศึกยังสมบูรณ์ 100% นอกนั้นก็เป็นฐานที่มั่นของ บก.พัน BI-15 และฐานปืนใหญ่พันเซอร์
ฐานทหารแม้วของนายพลวังเปาที่มีประมาณ 1 กองร้อยก็แทบไม่เหลือคนแล้ว เพราะคุมกันไม่ได้ โดนโจมตีและถูกกดดันมากๆก็หนีหายไปเกือบหมด
เป็นเรื่องปกติของทหารแม้วของวังเปา
“เตรียมรับศึกใหญ่”
...ผมตะโกนถามเจ้าหน้าที่คนหนึ่งอยู่ในหลุมและกําลังขุดดินว่าจะพบผู้พันได้ที่ไหน เขามองหน้าผมและบอกว่าท่านอยู่หน้าบังเกอร์ กําลังขุดหลุมอยู่ตรงนั้น เขาชี้มือบอกทิศทาง ผมก็มองไปมีทหารคนหนึ่งกําลังขุดหลุมอยู่....
“จากเนินตรวจการณ์กลับสู่นรกบ้านนาอีกครั้ง”
หลังปีใหม่ไม่กี่วัน มว. ของผมที่มีกําลังเหลือ 20 กว่านาย (ครึ่ง มว.) ได้รับคําสั่งจากกองพัน ให้ย้ายจากเนินตรวจการณ์ลงมาเสริมแนวช่องโหว่ของกองพันด้านทิศตะวันตก น่าจะเป็นฐานแม้วเดิมที่หนีหายไปจนเกือบหมด เพื่อปิดช่องโหว่ของแนวป้องกันฐานกองพัน BI-15 ให้แนวบรรจบกัน
ผมได้นํากําลังลงมาจากเนินตรวจการณ์ เมื่อลงมาถึงพื้นที่บริเวณฐาน บก.พัน บ้านนา เกือบเวลาเที่ยงวัน ได้สั่งให้จ่าบุญพาทหารพักรอผมบริเวณพื้นที่ๆเป็นฐานแม้วเดิมและรีบหุงหาอาหารกินกันให้เรียบร้อย ผมจะไปรับคําสั่งจากผู้พันและจะมาสั่งการต่อไป
ผมไปกับ ผบ.หมู่ 2 นาย ต้องเคลื่อนที่แบบวิ่งกึ่งเดินเร็วไปตามคูเรด บางครั้งก็ต้องวิ่งเมื่อต้องขึ้นไปอยู่ข้างบน
บก.กองพัน อยู่ห่างเกือบ 500 เมตร ผมเห็นสภาพ บก.พัน ของเราเต็มไปด้วยซากหักพังของสิ่งของ ยุทธภัณฑ์มากมายกระจายอยู่เต็มไปหมดจากการถูกข้าศึกโจมตีด้วย ป. และจรวด ตั้งแต่เริ่มมาอยู่ที่ บ้านนา มีเพียงแนวป้องกันหลุมบังเกอร์เท่านั้นที่มีการซ่อมแซมดัดแปลงให้แข็งแรงมากขึ้น ส่วนใหญ่จะทําหลังคาเป็น 2 ชั้นเป็นอย่างน้อยเพื่อป้องกันอาวุธหนักของข้าศึก
พวกเราส่วนมากกําลังเสริมแนวป้องกัน เพื่อป้องกันการโจมตีของอาวุธหนัก ความสนใจเรื่องอื่นคงมาทีหลัง ต้องเอาตัวรอดก่อน ผมมาถึงบก.พัน บังเกอร์ บก.พันใหญ่พอสมควร ขุดลงลึกไปมิดหัว 2 เมตรกว่า มีหลังคาบังเกอร์ 2 ชั้น เพื่อป้องกันลูกปืนใหญ่และจรวดไม่ให้ลงไประเบิดในบังเกอร์ รอบ บก.พันชั้นในมีลวดหนามล้อมรอบอย่างแข็งแรงอีกชั้นหนึ่ง ผมเข้าไปในบังเกอร์ บก.พัน เพื่อขอทราบและรับคําสั่งจากผู้พันทันที
สังเกตดูใน บก.พัน เจ้าหน้าที่หรือทหารใน บก.พันแทบทุกคนกําลังขะมักเขม้นดัดแปลงหลุมหลบภัยให้ลึกจากพื้นบังเกอร์ลงไป เพื่อใช้หลบภัยเมื่อถูกโจมตีด้วย ป. และจรวดจากข้าศึก ทุกคนรู้ด้วยสัญชาติญาณว่าจะรอดชีวิตได้อย่างไรในสถานการณ์คับขันเช่นนี้
ผมตะโกนถามเจ้าหน้าที่คนหนึ่งอยู่ในหลุมและกําลังขุดดินว่าจะพบผู้พันได้ที่ไหน เขามองหน้าผมและบอกว่าท่านอยู่หน้าบังเกอร์ กําลังขุดหลุมอยู่ตรงนั้น เขาชี้มือบอกทิศทาง ผมก็มองไปมีทหารคนหนึ่งกําลังขุดหลุมอยู่หน้าบังเกอร์ ซึ่งเป็นบังเกอร์ที่ทําอย่างดีและดูแข็งแรง เหมือนห้องอยู่ภายในบังเกอร์ บก.พัน อีกชั้นหนึ่ง คงจะเป็นผู้พันแน่ตามที่บอกกําลังขุดหลุมหลบภัยให้ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่งเพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง
เมื่อท่านเห็นผมก็พอจําได้จึงเข้าไปทําความเคารพรายงานตัวเพื่อขอรับคําสั่ง “ขออนุญาตครับ ผม หน.ใจ ลงมาจากเนินตรวจการณ์ มาขอรับคําสั่งครับ”
ท่านเงยหน้ามองผม ยิ้มนิดๆ ใบหน้าดูเครียดร่างกายท่านซูบผอมและดูทรุดโทรมมาก แต่ท่านก็ยังขุดหลุมไปเรื่อยๆโดยไม่หยุด
“หน.ใจ หรือ ดีแล้ว นํากําลังที่เหลือไปอุดช่องโหว่ตรงหมวดสื่อสาร ไอ้พวกแม้วมันหนีไปกันหมดแล้ว” ผมรับคําสั่งครับทันที
“แล้วก็เตรียมรับการโจมตีด้วยข่าวจาก บก.ใหญ่บอกว่า มันจะจัดการพวกเราที่บ้านนา ให้ได้ภายในเร็ววันนี้”
ผมครับอีกครั้ง นึกในใจ ผมรู้แล้ว ขนาดท่านผู้พันยังต้องลงมือขุดหลุมเอง เพื่อให้รอดปลอดภัย ขณะนี้สถานการณ์มันบ่งบอกชัดเจนว่าตัวใครตัวมัน ต้องดิ้นรนเอาชีวิตให้รอด ทุกคนมีสิทธิตายเท่ากันหมด ในพื้นที่นรกบ้านนาแห่งนี้
ก็ดีเหมือนกันจะได้เท่าเทียมกันทุกคน
ผมถือโอกาสสอบถามข่าวสถานการณ์ทั้งฝ่ายเราและข้าศึกเพื่อเป็นความรู้จากเจ้าหน้าที่ใน บก.พัน BI-15 ทราบว่าทางหน่วยเหนือยังคงต้องการให้เรายึดพื้นที่บ้านนาไว้ให้นานที่สุด ทางหน่วยเหนือกําลังเตรียมการเสริมกําลังให้เราซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นเตรียมการต้องใช้เวลานานพอสมควร (ภายหลังทราบว่าคือกองกําลังเสือพราน) ขอให้พวกเราอดทน
เราต้องอดทนตามคําสั่งอย่างแน่นอน แต่จะทนได้ขนาดไหนเท่าไหร่ ไม่สามารถบอกได้ ปัจจุบันการส่งกําลังบํารุงทําได้ยากลําบากมาก ฮ.และเครื่องบินบรรทุก สป. ที่เคยลงมาส่งกําลังบํารุงทําได้ยากลําบากมาก ฮ.และเครื่องบินบรรทุก สป. ที่เคยลงมาส่งกําลังให้เราก็แทบจะไม่ค่อยได้เห็น นานๆจะมาสักครั้ง เสบียงอาหารเราไม่ได้กินอาหารสดมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ประทังแต่อาหารกระป๋องวนเวียนไปมาเพื่อความอยู่รอด ยังดีที่เรายังมีอาหารกระป๋องสะสมอยู่มากเพราะสามารถส่งโดยทิ้งร่มลงมาได้หรือสามารถถีบลงมาจากฮ. ได้ ไม่ต้องเสี่ยงมาก
ที่แย่และทําให้ขวัญและกําลังใจของกําลังพลไม่ดีนัก คือผู้บาดเจ็บที่ต้องรอการส่งกลับ ต้องทรมานมาก แต่ทาง บก.พัน ก็พยายามเสี่ยงทําเพื่อขวัญและกําลังใจของพวกเรา
ผมกลับมาพบกับลูกน้องและแจ้งให้ทุกคนรับทราบคําสั่ง แบ่งความรับผิดชอบพื้นที่ของหมู่ และเร่งให้ดําเนินการดัดแปลงภูมิประเทศโดยเร็วเพื่อความไม่ประมาท เราต้องทําแนวคูเรดต่อแนวจาก มว.สื่อสาร ตรงด้านหุบลึกทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ มว. สื่อสาร ต่อจากแนวคู บก.พัน แล้วหักมุมมาทางทิศตะวันออกเพื่อให้ต่อแนวกับมว.เสนารักษ์หรือสูทกรรม ผมจําไม่ได้ แต่ไม่ใช่หน่วยรบแน่นอน
สถานการณ์ทําให้เราเลือกอะไรไม่ได้ ต้องเป็นไปตามคําสั่งเท่านั้น.
“ภายใต้ห่ากระสุน”
.....ลูกน้องผมหลายๆคนขุดหลุมได้ลึกเกือบมิดตัวเกือบทุกคนแล้ว แต่บางคนสติแตก ตัวสั่นนอนคุดคู้อยู่ในหลุมคูตื้นๆ นอนร้องครวญครางคุมสติไม่ได้ ต้องให้เพื่อนบัดดี้เข้าช่วยปลอบ และบอกให้รีบขุดหลุมให้ลึกที่สุด......
“การเอาชีวิตรอดท่ามกลางห่ากระสุนนรกทุกวัน”
เมื่อทหารรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ผมสั่งการให้เริ่มดัดแปลงแนวคูตามที่ชี้แจงไป ลูกน้องเตรียมอาหารให้ผม ผมยังไม่ได้กินอาหารกลางวัน จึงทานอาหารไปดูลูกน้องดัดแปลงขุดคูเรดไปโดยเฉพาะแนวคูด้านหักมุมไปทางทิศตะวันออก เป็นแนวตรงยาวพอสมควร ด้านหน้าเป็นพื้นที่ราบกว้าง ข้างหน้าเป็นสนามบินบ้านนาและกว้างไปถึงฐาน ป.พันเซอร์ของฝ่ายเราด้านทิศใต้
ผมอยู่ห่างจากฐาน มว.เดิมของผมที่ถูกแซปเปอร์เข้าที่ประมาณ 300-400 เมตร อยู่เฉียงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ยังเห็นหอตรวจการณ์ชัดเจน ฐานเก่าผมเลยออกไปทางใต้เป็นกองร้อยสุรินทร์อยู่ห่างออกไปประมาณ 800-900 เมตรเป็นเนินสูง สูงกว่าเราไม่มากนัก
ผมอุ่นใจขึ้น เมื่อเห็นว่า มว. เก่าของผม มีกําลัง มว.อื่นมาประจําการแทนแล้ว ทราบว่า หน.หมวดเป็นรุ่นน้อง ชื่อผมจําไม่ได้ จําได้ว่ามีคําว่า “เดช” ในชื่อ (ร.ต.เดช สุขดี ตท.6 รุ่นเดียวกับผม/บัญชร) แต่ภายหลังทราบว่าเสียชีวิตจากการดวล ปรส. กับข้าศึกที่ฐานเก่าผม ฐานทั้งสองนี้คงจะเป็นแนวกันชนด้านทิศใต้ให้ผมอุ่นใจได้บ้าง ที่สําคัญคือด้านสนามบินเป็นที่โล่งกว้าง หากข้าศึกจะเข้าโจมตีเราแบบทุ่มกําลังคงเข้าด้านนี้แน่นอน เพราะเป็นที่ราบสามารถจู่โจมเข้าหาเราและ บก.พันได้อย่างรวดเร็ว ผมจึงเข้มงวดในการดัดแปลงแนวคูและเครื่องกีดขวางในด้านนี้มากรวมทั้งแบ่งกําลังคนมาประจํามากกว่าด้านหน้าผาชันซึ่งข้างล่างเป็นหุบลึก
ขณะที่ผมกําลังทานอาหารยังไม่เสร็จ คิดว่าเดี๋ยวจะไปดูลูกน้องดัดแปลงพื้นที่ ทันใดนั้นประสาทหูผมได้ยินเสียงเหมือนฟ้าร้อง ครื่ม! ครื่ม! ด้านทิศเหนือ มีลูกน้องหลายคนได้ยินและคุ้นเคยกับเสียงนี้หลายคนตะโกนลั่นเพื่อให้เพื่อนได้ยิน
“เฮ้ย! มันยิงปืนใหญ่มาแล้วหาที่หลบเร็ว”
ชั่วอึดใจเดียว เสียงกระสุนปืนใหญ่ของข้าศึกก็แหวกอากาศ หวีดหวิว เสียง แช็คๆ แช็คๆ วิ่งผ่านพวกเราไป 3-4 นัด เสียง แช็คๆ หวีดหวิวมันข้ามหัวพวกเราไปตกระเบิด กรึ้มๆ กรึ้มๆ บริเวณใกล้ฐานปืนพานเซอร์ ขุดดินกระจุยฝุ่นตลบ
ไม่ต้องคิดมาก มันเริ่มถล่มเราแล้วหลังจากหยุดมานานพอสมควร หลังปีใหม่ตอนที่ผมยังอยู่บนเนินตรวจการ แต่ทําไมต้องมาถล่มตอนนี้ ผมและลูกน้องยังไม่มีบังเกอร์และที่กําบังเลย เพราะพึ่งย้ายกําลังลงมา มันคงเห็นความเคลื่อนไหวของพวกเราที่มีการเคลื่อนย้ายกําลังดัดแปลงพื้นที่คูสนามเพลาะ ผู้ตรวจการณ์ของมันที่อยู่รอบๆพื้นที่บ้านนาคงรายงานไปบอกนายมันและสั่งถล่มเราทันที
หลังจากชุดแรกลงมาแล้ว เสียง ครึ่มๆ ก็ดังมาเป็นระยะๆและเพิ่มจํานวนกระสุนที่ยิงมามากขึ้นมากขึ้น แต่ละชุดไม่ต่ำกว่า 5-10 นัด ผมพุ่งตัวลงหาที่ต่ำสุดบริเวณใกล้ที่นั่งกินข้าว บริเวณที่เราอยู่พอมีคูเรดตื้นๆ ที่ไม่ได้ใช้งานมานานแล้วของแม้ว พอให้ซุกตัวลงไปได้ แต่ก็ตื้นมาก
ไม่ต้องสั่งการทุกคนหาที่ซุกตัวที่ใกล้ที่สุด หมอบลงติดดินข้าศึกส่งกระสุนมาถล่มเราเป็นระยะๆแบบไม่มีท่าทีว่าจะหยุด มันยิงมาแต่ละชุดทั้งตกหน้า ตกหลัง ข้ามหัว บางลูกตกใกล้พวกเรามากขุดดินกระจายขึ้นมาฝุ่นฟุ้งกระจายเต็มไปหมดบนพื้นที่บ้านนา กลิ่นดินปืนคลุ้งไปหมด ผมเงยหน้าขึ้นสั่งการตอนช่วงว่างจากการยิงของมัน บอกให้ทุกคนขุดหลุมไปเรื่อยๆอย่าหยุด ไม่ต้องกลัวมัน ถ้าไม่ขุดฝังตัวเองให้อยู่ในหลุมลึกๆก็อาจโดนสะเก็ดปืนใหญ่ได้
ยังดีที่มันไม่ได้ยิงด้วยกระสุนแตกอากาศ
เสียงครืนๆ แบบฟ้าร้องยังดังมาเป็นระยะๆ ทางด้านทิศเหนือคือทุ่งไหหิน ตามมาด้วยเสียงกระสุนแหวกอากาศ แซ้ดๆๆ หวีดหวิว แล้วเสียงระเบิดก็ดังสนั่น สะเก็ดระเบิดจากกระสุนปืนใหญ่ของข้าศึกปลิวว่อนแหวกอากาศเต็มไปหมด ฝุ่นและควันดินปืนครอบคลุมไปทั่วบริเวณพื้นที่บ้านนา ฝ่ายเราไม่มีการตอบโต้หรือปฏิบัติการใดๆกับข้าศึก
จากการฟังเสียงกระสุนตกระเบิด น่าจะเป็นปืนวิถีราบขนาด 130 มม. และวิถีโค้ง 152 มม. และ ป. 85 มม. โดยเฉพาะ ป.130 มม. เสียงระเบิดมันดังแน่นรุนแรงมาก บางลูกไม่ระเบิดเสียงดัง แช็กๆ มาแล้วดังซวบ แผ่นดินสั่นเยือก รู้สึกได้ทันทีคือกระสุนด้าน
ผมเห็นลูกน้องผมหลายๆคนขุดหลุมได้ลึกเกือบมิดตัวเกือบทุกคนแล้ว แต่บางคนสติแตก ตัวสั่นนอนคุดคู้อยู่ในหลุมคูตื้นๆ นอนร้องครวญครางคุมสติไม่ได้ ต้องให้เพื่อนบัดดี้เข้าช่วยปลอบ และบอกให้รีบขุดหลุมให้ลึกที่สุด
ผมเองขุดหลุมด้วยมีดพกส่วนตัวมาตั้งแต่เริ่มถูกโจมตีแล้ว มีความลึกพอสมควร พอที่จะหมอบราบให้พ้นจากสะเก็ดระเบิดได้ คิดอยู่อย่างเดียวว่าถ้ากระสุนมันแจคพ็อตก็คงถึงที่ตาย ก็ต้องยอมมัน ถ้าไม่แจคพ็อตจริงๆก็คงต้องดิ้นรนให้รอดต่อไป
ผมขุดหลุมหลบภัยเฉพาะตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะเข้าไปหลบได้ ในยามนี้ดวงใครดวงมัน ใครดวงดียังไม่ถึงที่ก็อยู่รอดต่อไป ผมเห็นบังเกอร์ 2-3 แห่งโดนกระสุน ป. ของข้าศึก ขุดกระจุยไปในอากาศ ใครหลบอยู่ข้างในคงไม่เหลือ ทั้งฐานปืนและ บก. พันคงโดนเข้าไปหลายนัดพอสมควร
มันถล่มเรามาเป็นระลอกๆเป็นชั่วโมงแล้ว บางครั้งมันก็หยุดช่วงให้เราหายใจ นานบ้าง ไม่นานบ้าง แล้วแต่ความพอใจของมัน เสียงกระสุนวิ่งแหวกอากาศ หวีดหวิว มันคือเสียงมัจจุราชที่ส่งมา ไม่รู้ว่าจะมาเอาชีวิตใครในพื้นที่บ้านนา เมื่อเสียงมันมารู้สึกว่าร่างกายเกิดอาการเกร็งแบบกลั้นหายใจ เมื่อกระสุนตกระเบิดแล้วไม่โดน เราก็จะเป่าปากหายเกร็งไปชั่วขณะ ได้ยินเสียงมันยิงมาอีกก็จะเริ่มเกร็งอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไป มันเป็นนรกแห่งความเครียดที่บรรยายไม่ถูก
ผมคงบรรยายความรู้สึกได้แค่นี้เท่านั้น
มันถล่มเรามาหลายชั่วโมงแล้ว สภาพอากาศเริ่มมืดครื้ม คงใกล้ 5 โมงเย็นแล้วในฤดูหนาว ช่วยให้ความมืดมาเร็วขึ้น ผมคาดคะเนว่ามันถล่มเราวันนี้ไม่ต่ำกว่า 300-400 นัด ทั้ง 130 และ 152 มม. และ ป.85 ไม่ทราบว่ามีจรวดรวมอยู่ด้วยหรือไม่
ความมืดเริ่มปกคลุมบ้านนาแล้ว ข้าศึกหยุดการโจมตีด้วย ป. แล้ว มันคงตรวจการณ์เป้าหมายพวกเราไม่ชัด แต่เป้าหมายของเราเป็นเป้านิ่ง มันล็อกพิกัดไว้หมดแล้วจะยิงตอนไหนเวลาไหนก็ได้ ได้ผลทั้งนั้น
ความมืดช่วยเราได้มาก ช่วยให้เราได้ออกมาจากหลุมเดินอย่างมนุษย์ได้บ้าง หลังจากต้องหมอบติดดินมาหลายชั่วโมง ผมตรวจสอบมีใครเป็นอะไรหรือเปล่า ทราบยังอยู่ครบก็ใจชื้น ผมสั่งการให้ทหารรีบหาอาหารกินโดยเร็ว ก็คงไม่พ้นอาหารกระป๋องที่มีเหลืออยู่ไม่มาก เพราะเรายังไม่ได้รับการส่งกําลังเสบียงเพิ่มเติมอะไรเลยเมื่อลงมาจากเนินตรวจการณ์
เรื่องกินคงเป็นเรื่องเล็กไปแล้ว
ตอนนี้ทําอย่างไรให้ชีวิตรอดก็พอ.
“พักหายใจ”
...อาวุธกระสุนและเสบียงอาหารถูกส่งลงมาให้เราหลายเที่ยว บางร่มน่าเสียดายไปตกห่างมาก คงไม่มีใครไปเอา บางร่มก็ลงหุบลึก…
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว ผมสั่งการและเข้าควบคุมการสร้างแนวคูโดยเร็ว เพื่อให้แนวบรรจบกับกองพันให้เร็วที่สุด
กลางคืนเป็นเวลาทองที่เรามีอิสระในการทํางานได้ทุกอย่างโดยไม่ถูกโจมตี ผมต้องเร่งทหารทั้งขุดแนวคูและสร้างแนวลวดหนามอย่างเร่งด่วนเท่าที่จะหาลวดหนามมาได้ เพื่อป้องกันการโจมตีจากทางด้านหน้าแนวบังเกอร์ เราไม่อยากประมาท ควรต้องมีลวดหนามเป็นแนวป้องกันไว้บ้างดีกว่าที่จะให้มันชาร์จเข้าถึงตัวแบบไม่ทันตั้งตัว
ผมไม่แน่ใจว่าหลังจากโจมตีเราด้วยอาวุธหนักมาครึ่งวันมันจะส่งหน่วยภาคพื้นดินเข้าจู่โจมเราหรือไม่ แต่คิดในทางที่ดีว่าเป็นการโจมตีครั้งแรกมันไม่น่าทุ่มกําลังภาคพื้นดินเข้าโจมตี เพราะเราอาจบอบช้ำบ้าง แต่ยังไม่มากพอ ถ้ามันจะทําคงต้องถล่มเรามากกว่านี้จนเห็นว่าเราเกือบไม่มีอะไรเหลือที่จะต่อสู้ได้แล้ว นั่นแหละมันถึงจัดการเราด้วยหน่วยภาคพื้นดิน ขอให้ผมได้ดัดแปลงพื้นที่บ้าง
คืนนี้ผมกับลูกน้องคงแทบไม่ได้นอนแน่ พวกเราขุดหลุม ทําลวดหนามป้องกันหน้าแนวคูจนสามารถต่อแนวกับกองพันได้ ทหารทุกคนรู้ดีไม่มีคนบ่นเหนื่อยแต่อย่างใด เราต้องเตรียมรับมือมันและมีโอกาสทํางานกันปลอดภัยที่สุดคือตอนกลางคืนเท่านั้น
หลังจากพวกเราได้สร้างแนวคูและทําแนวลวดหนามต่อแนวปิดแนวกับกองพันได้แล้วแบบเร่งด่วน ยังไม่มีความแข็งแรงมั่นคงนัก โดยเฉพาะแนวคูยังไม่ลึกพอที่จะยืนได้ แนวลวดหนามก็ยังห่างมากไม่แข็งแรง คงต้องทํากันต่อในวันรุ่งขึ้นถ้ามีเวลาและโอกาสต่อไปเพื่อความมั่นใจ
ผมกับลูกน้องได้นอนพักไม่กี่ชั่วโมง เรางีบนอนกันในคูเรดแบบนั่งหลับ ผมสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียง บ. ตรวจการบินวนอยู่เหนือเรารอบบ้านนา หน่วยเหนือคงเป็นห่วงพวกเรา ส่ง บ. ตรวจการณ์มาแต่เช้า หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้ยินเสียง บ. ขับไล่โจมตีจะเป็นสกายเรดเดอร์หรือเต-ซาวแปด (T-28)ไม่ทราบ บินเข้าโจมตีทิ้งระเบิดที่หมายด้านทิศเหนือ
เป้าหมายน่าจะเป็นปืนใหญ่ข้าศึก บ. ตรวจการคงชี้เป้าให้ บ. โจมตีแล้ว ไม่มีการตอบโต้จากข้าศึกมันเงียบอย่างเดียว บ. โจมตีทํางานอยู่เป็นระลอก เป็นชั่วโมง ระหว่าง บ.โจมตีที่กําลังทํางาน และมี บ.ตรวจการณ์บินวนรอบๆ บ.นา มีเครื่องบิน C-123 มาทิ้งร่มให้เรา มีทั้งเสบียง กระสุนปืนใหญ่ และกระสุนปืนอื่นๆ รวมทั้งยุทโธปกรณ์ที่จําเป็นให้เราหลายเที่ยว กองพันคงขอความช่วยเหลือไปยัง บก. หน่วยเหนือจึงมาเพิ่มเติมเสบียงกระสุนให้เรา อย่างน้อยก็เพื่อขวัญและกําลังใจให้เราทนอยู่ต่อไป ผมทราบข่าวจากกองพันว่า เมื่อวานเราสูญเสียไปเกือบ 10 คน ทั้งเจ็บและตาย
เราต้องวัดดวงอย่างนี้ทุกวัน
อาวุธกระสุนและเสบียงอาหารถูกส่งลงมาให้เราหลายเที่ยว บางร่มน่าเสียดายไปตกห่างมาก คงไม่มีใครไปเอา บางร่มก็ลงหุบลึก ส่วนใหญ่ที่เราจะไปเอาได้คือที่ตกลงบริเวณพื้นที่โล่งบริเวณบ้านนา คือบริเวณสนามบิน นอกจากนั้นคงไม่มีใครเสี่ยงไปเอา ข้าศึกคงได้เสบียงของเราไปบ้างไม่มากก็น้อย
ผมสั่งให้ลูกน้องรีบไปเอาเสบียงและกระสุนปืนเล็ก กระสุน M-60 และระเบิดขว้างมาให้มากที่สุด จากประสบการณ์ระเบิดขว้างดีที่สุด ถ้าถูกโจมตีจากทางภาคพื้นดิน สถานการณ์แบบนี้ไม่มีระเบียบและคําสั่งใดๆ ใครต้องการอะไรก็ไปเสาะหาเอาเองจากยุทธภัณฑ์ที่เขาส่งมา
มว.ผมได้เสบียงอาหารมากพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นอาหารกระป๋อง เราต้องตุนไว้ให้มากพอ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ที่ชอบมากคือผลไม้กระป๋องโดยเฉพาะลิ้นจี่กระป๋องกับเงาะกระป๋องดีที่สุด ใช้กินแทนข้าวได้เลยยามหุงหาไม่ทันหากเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ผมได้กระสุนปืนเล็กมามาก ทั้ง M16 และ M60 ลูกระเบิดขว้างได้มาไม่มากนัก 2-3 ลัง ก็ยังดีกว่าไม่มี เพราะขณะนี้ เราแทบไม่เหลือระเบิดขว้างเลยหลังจากสู้กับแซปเปอร์คราวนั้น นอกจากนั้นก็เป็นลวดสนาม แฟลร์ ระเบิดควัน จําเป็นทั้งสิ้น
โดยเฉพาะลวดหนาม ผมกําชับให้ลูกน้องเอามาให้มากที่สุดเพราะต้องเสริมแนวป้องกันให้มีความกว้างและแน่นหนากว่านี้ เพื่อป้องกันแซปเปอร์หรือหน่วยรบภาคพื้นดินที่อาจจะเข้าจู่โจมเราได้ตลอดเวลาที่ยังอยู่ที่นี่
เครื่องบินตรวจการณ์ยังคงบินอยู่เหนือบ้านนาการโจมตีจาก บ. ฝ่ายเราต่อที่หมายข้าศึกก็ยังดําเนินอยู่ หลายหน่วยได้ส่งกําลังพลเข้าลําเลียงยุทโธปกรณ์ที่จําเป็นของตัวเองอย่างเร่งรีบ
ผมเห็นฮ. สองลําบินมาลําเลียงผู้บาดเจ็บเพื่อส่งกลับไปแนวหลังทุกอย่างทําอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่ยังไม่มีการโจมตีใดๆจากข้าศึก.
“หนูในรูดิน”
....สถานการณ์ในอนาคตข้างหน้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะต้องทนอยู่ในสภาพอย่างนี้อีกนานเท่าไหร่ไม่มีใครคาดเดาได้….
ระหว่างที่หลายกลุ่มพวกเรากําลังขนลากและลําเลียงยุทโธปกรณ์บนที่โล่งที่ทิ้งของและสัมภาระอยู่รู้สึกว่าเสียง บ. โจมตีเงียบหายไป …
ทันใดนั้นเสียงบึม! ตามด้วยเสียง กริ้ม! ทันทีจาก ปรส. ข้าศึกที่ตั้งอยู่บนเขาสูงด้านทิศใต้ เป้าหมายคือพวกทหารเราที่กําลังลากขนสิ่งของอยู่ในพื้นที่โล่ง ทําให้กลุ่มทหารพวกเราแตกกระจาย คงต้องมีพวกเราโดน ปรส. มันบ้างแน่ ไม่เจ็บก็ตาย เพราะมันเล็งตรงจากที่สูงลงมาเห็นที่หมายชัดเจน มันคงเลือกเป้าที่เป็นกลุ่มก้อนหลายๆ คน มองเห็นที่ตั้งของมันชัดเจนจากกลุ่มควันที่พุ่งออกมา
ไม่กี่อึดใจ ปรส.75 ของเราก็ยิงตอบโต้ออกไปประมาณ 2 นัด เสียง บึม! กรึ้ม! บึม! กรี้ม! กระสุนระเบิดใกล้กับกลุ่มควันที่เราเห็นจากการยิงของมัน หลังจาก ปรส. ของเรายิงตอบโต้ไป เราก็ได้ยินเสียง แพ็คๆๆ เสียงพอได้ยิน ค.82 แน่นอน มันยิงจากที่ตั้งยิงตรงเนินเขาด้านทิศตะวันตก เป็นช่องว่างระหว่างกองร้อยสุรินทร์กับเนินตรวจการณ์ มันไม่ต้องการให้เราขนเสบียงและยุทธภัณฑ์อีกต่อไป จึงยิงรบกวนเราด้วย ค. และ ปรส. มันเป็นการเล่นเกมอย่างหนึ่งที่ต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน นอกจากนั้นมันใช้ยุทธวิธีที่เป็นยุทธศาสตร์หลักของคอมมิวนิสต์มาใช้คือ “มึงมาข้ามุด (เงียบไม่โต้ตอบ) มึงหยุด ข้าแหย่ มึงแย่ ข้าตี” แต่ตอนนี้เรายังไม่แย่พอที่มันจะเข้าตีเรา มันคงถล่มเราต่อไปให้แย่ที่สุดอย่างแน่นอน
หลังจากที่ ค. และ ปรส. ของมันหยุดไปไม่นาน เสียงดังครึ่มๆๆ ทางทิศเหนือก็เริ่มขึ้นอีก มันเริ่มถล่มเราด้วย ป. เหมือนเดิม และพวกเราก็ต้องหลบเข้ารูใครรูมันเพื่อเอาชีวิตให้รอดปลอดภัยไว้ก่อน หากดวงถึงฆาตกระสุนจาก 130 หรือ 152 ตกทะลุทะลวงตรงที่เราขุดรูอยู่ แรงระเบิดก็คงทําให้ร่างเรากระจุยกระจายตามแรงระเบิดที่รุนแรงขุดกระจุยขึ้นมาจากพื้นโดยเราไม่รู้ตัว คงตายโดยไม่ทันเจ็บปวดอะไรนัก
สถานการณ์ไม่ต่างอะไรกับเมื่อวานตอนที่มันถล่มเราครั้งแรก แต่สังเกตดูที่มันยิงมาแต่ละชุดจํานวนกระสุนที่ตกระเบิดมีจํานวนนัดมากขึ้นที่ไม่ระเบิดก็มีมาก
การขุดหลุมของพวกเราไม่เคยหยุด มีความรู้สึกว่าความลึกคงต้องลึกที่สุดจนคิดว่าปลอดภัยแล้ว เพราะทุกคนเคยเห็นหลุมระเบิดว่ามันลึกขนาดไหน ทั้ง 130 และ 152 ต้องขุดให้ลึกกว่าหลุมระเบิด 1-2 เท่าจึงจะสบายใจ
เราโดนไป 2 วัน แทบทุกคนขุดหลุมหลบภัยได้มิดหัวเป็นหลุมยืนได้แทบทุกคน วันนี้เราคงไม่หวังว่าหน่วยเหนือจะส่งเครื่องบินโจมตีและ บ. ตรวจการณ์มาอีกรอบ
เราเพียงแต่รอให้ความมืดกลับมาก็คงจะมีโอกาสได้ขึ้นไปข้างบนเพื่อคลายความเครียดได้บ้าง
“ใช้ชีวิตแบบหนูในรูดิน”
ช่วงนี้เป็นปลายเดือนมกราคม ยังคงอยู่ในห้วงฤดูหนาว เมื่อความมืดมาเยือน สภาพอากาศเริ่มเย็นลง ทัศนะวิสัยมืดครื้มเริ่มมีหมอกบางๆตั้งแต่ช่วง 5 โมงเย็น ทุกอย่างเริ่มเงียบสงบ
พวกเรายังคงอยู่ในหลุมหลบภัยเพื่อรอเวลาให้มืดสนิท นรกบนดินแห่งนี้เริ่มเงียบสงบแล้ว มันคงจะเหนื่อยเหมือนกัน เพราะเล่นเกมกันมาตั้งแต่เช้า
ผมให้จ่าบุญรวมทหารเพื่อชี้แจงและรับทราบสถานการณ์ พร้อมทั้งตรวจยอดว่าอยู่ครบกันหรือไม่ ตรวจสอบอาวุธยุทโธปกรณ์ว่ามีอะไรบ้าง เนื่องจากเราเพิ่งย้ายลงมาวันแรกก็เจอสถานการณ์หนักสาหัสแล้วแบบไม่ทันรู้ตัว
ผมเหลือลูกน้องอยู่ 2 หมู่ รวมกับ บก.มว. ไม่เกิน 25 นาย รวมทั้งผมด้วย ผมตรวจสอบสายการบังคับบัญชาอีกครั้งว่ามี ผบ.หมู่ครบในการดูแลทหารหรือไม่ ตรวจอาวุธยุทโธปกรณ์ว่าเหลืออะไรบ้าง M-60 เหลืออยู่กระบอกเดียว นอกนั้นทุกคนมีอาวุธประจํากาย M16 ครบ บางคนมีอาก้าพับฐานด้วยซึ่งยึดมาจากแซปเปอร์
ตัวผมเองก็ใช้อาก้าพับฐานที่ยึดมาจากแซปเปอร์ ดูมันกะทัดรัดทั้งคลุกฝุ่นคลุกทรายได้ไม่ต้องพิถีพิถันในการทําความสะอาดบ่อยๆแบบ M16 แต่ผมยังเก็บ M16 ไว้เป็นอาวุธสํารอง กระสุนเราสะสมไว้มากพอหลาย Basic Load รวมทั้งกระสุนอาก้าที่ยึดมาได้จํานวนหนึ่ง ผมคิดว่ายามนี้อาวุธกระสุน ระเบิดมือมีความจําเป็นอย่างยิ่ง ต้องมีและตุนไว้ให้มากที่สุดพอๆกับเสบียงอาหาร อย่างอื่นยังไม่สําคัญเท่า หากสถานการณ์ถูกปิดล้อมกดดัน จนไม่สามารถส่งกําลังบํารุงได้เลยเป็นเวลานาน เราต้องใช้ของที่กักตุนไว้นี่แหละเพื่อดํารงอยู่ต่อไปจนกว่าหน่วยเหนือจะส่งเพิ่มเติมให้เราได้
สถานการณ์ในอนาคตข้างหน้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะต้องทนอยู่ในสภาพอย่างนี้อีกนานเท่าไหร่ไม่มีใครคาดเดาได้
คืนนี้ผมสั่งการให้ลูกน้องเสริมแนวป้องกันของรั้วลวดหนามให้แข็งแรงและกว้างขึ้นเพิ่มเป็น 2 แนว เพื่อให้คูพ้นระยะของการขว้างระเบิดมือไม่ให้ถึงแนวคูเรด และเสริมด้วยเครื่องกีดขวางเท่าที่จะหาและทําได้ ทั้งขวาก ตะปูที่ตะไบให้แหลม เศษแก้ว ขวดแตก ทุกอย่างที่ทําให้การบุกเข้ามาช้าลงก่อนที่จะถึงแนวคูเรด พวกเรามีประสบการณ์มากแล้ว แทบไม่ต้องสั่งว่าต้องทําอย่างไร นอกจากนี้ยังเสริมระเบิดเคลย์โมร์ไมน์ เสริมพลุสดุดแฟลร์ไว้ให้คลอบคลุมพื้นที่ด้านหน้าของหมู่เพื่อใช้ยามจําเป็นหากต้องถอนตัวถ้าจะถูก Over Run เราจะจุดเคลย์โมร์ไมน์เพื่อหยุดข้าศึกครั้งสุดท้าย แล้วถอนตัวไปยังจุดนัดพบด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นทางลงจากแนวเป็นหน้าผาลงไปในหุบลึก นี่คือจุดรวมพลครั้งสุดท้ายก่อนถอนตัวออกจากพื้นที่ บ.นา เป็นแผนที่ผมวางไว้เพื่อความอยู่รอดของทุกคน และให้ฟังคําสั่งผมคนเดียวและสื่อคําสั่งกันต่อๆไป
ให้ยิงเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจน และใช้การยิงทีละนัด ถ้าไม่จําเป็นห้ามใช้การยิงแบบอัตโนมัติเด็ดขาด เราต้องประหยัดกระสุนด้วย
ก่อนอื่นเราต้องหยุดมันไว้ให้ได้ที่หน้าแนวลวดหนาม.
ป.130 มม.และ 152 มม.
“บทเรียนจากการรบ”
.....ฝ่ายเราไม่มีกําลังมากพอที่จะยึดเนินสูงชันทางทหารรอบๆพื้นที่ได้หมด เพื่อเป็นแนวป้องกันรอบนอกให้กับฐานกองพันและฐานปืนใหญ่.....
.
ผมถือโอกาสใช้เวลาในความมืดของวันนี้ชี้แจงและทําความเข้าใจกับลูกน้องเดนตายทุกคนของผม รวมทั้งปลุกปลอบขวัญและกําลังใจเพื่อให้ทุกคนอดทนและเอาชีวิตรอดกลับบ้านเราให้ได้ ไม่ว่าเหตุการณ์จะคับขันเพียงใดให้เรารวมกันไว้ ห้ามทิ้งกันเด็ดขาดและอย่าประมาท
หน่วยเหนือยังมีคําสั่งให้เรายึดพื้นที่บ้านนานี้ต่อไป
มันคงยังไม่โจมตีเราด้วยกําลังภาคพื้นดินในตอนนี้ จนกว่ามันจะถล่มเราให้งอมกว่านี้และปิดล้อมเราไว้ทุกด้านแล้ว โดยจัดการกับฐานด้านนอกของเราจนหมดก่อน ขอให้ทุกคนเมื่อมีเวลาให้ดัดแปลงพื้นที่มั่นแนวคูลวดหนามให้แข็งแรงมั่นคงที่สุด
หลุมหลบภัยให้ขุดให้ลึกที่สุด แล้วขุดหักมุมเข้าไปซุกตัวหลบเพื่อให้พ้นจากกระสุนแตกอากาศด้วย
การขุดอุโมงค์หักมุมหลบเข้าไปขอให้ขุดพอดีตัวให้แคบและเล็กที่สุด หลังคาขุดให้โค้ง อย่าทําเป็นเหลี่ยม เพื่อไม่ให้พังง่าย
หลังจากชี้แจงลูกน้องหลายเรื่องที่จําเป็นให้ทุกคนรู้และเข้าใจจึงสั่งการให้รีบทําการดัดแปลงแนวป้องกันให้แข็งแรง พวกเราคงจะนอนกันใกล้เที่ยงคืน เราชินกับการทํางานในเวลากลางคืนแล้วโดยไม่มีการจุดไฟใดๆ ด้วยความไม่ประมาทมีการจัดเวรยามโดยต่อระยะออกไปข้างหน้าพื้นที่ เพื่อป้องกันการจู่โจม
ขณะทํางานอาวุธประจํากายต้องติดตัวไปตลอดไม่ว่าจะไปไหนทําอะไร
“บทเรียนจากการรบ”
1.ภูมิประเทศสําคัญทางทหาร สันเนินและยอดเขาสูงชัน เป็นภูมิประเทศทางทหารที่สําคัญฝ่ายใดเข้ายึดไว้ก็จะมีความได้เปรียบ ดังเช่นเนินตรวจการณ์สามารถตรวจการณ์ไปได้ไกลมองเห็นทุ่งไหหินและโดยรอบ 360 องศาด้วยกล้องตรวจการณ์ทําให้เห็นสนามรบได้อย่างกว้างขวางเป็นเป้าหมายที่ข้าศึกมุ่งทําลายและแย่งชิง เราต้องยึดและรักษาไว้ให้ได้
2.เสื้อผ้าชุดกันหนาวเป็นยุทธภัณฑ์ที่จําเป็นในการดํารงอยู่ในภูมิประเทศที่เป็นภูเขายอดเขา ทหารทุกคนควรได้รับยุทธภัณฑ์เหล่านี้ให้สมบูรณ์เพื่อการดํารงอยู่และเพื่อปฏิบัติภารกิจให้สําเร็จ
3.ฐานบ้านนาที่ตั้ง บก.พัน BI-15 และฐานปืนพันเซอร์ เป็นที่ราบแอ่งกระทะล้อมรอบด้วยภูเขาสูงรอบด้าน แต่ฝ่ายเราไม่มีกําลังมากพอที่จะยึดเนินสูงชันทางทหารรอบๆพื้นที่ได้หมด เพื่อเป็นแนวป้องกันรอบนอกให้กับฐานกองพันและฐานปืนใหญ่ ทําให้เนินสูงรอบๆ บ.นาหลายจุด ข้าศึกเข้ายึดเป็นที่ตั้งอาวุธหนัก ค. และ ปรส. และเป็นจุดตรวจการณ์อย่างดีที่มองเห็นการปฏิบัติฝ่ายเราได้ตลอดเวลา เมื่อเห็นฝ่ายเรามีการเคลื่อนย้ายกําลังลงมาจากเนินตรวจการณ์ มีการดัดแปลงขุดสนามเพลาะ จึงใช้ปืนใหญ่ยิงเพื่อรบกวนหรือขัดขวางการปฏิบัติของฝ่ายเราได้อย่างไม่จํากัด ทําได้ตลอดเวลาเมื่อเห็นเป้าหมายที่คุ้มค่า
4.ฝ่ายเราดํารงความมุ่งหมายที่จะยึดพื้นที่บ้านนาไว้ รวมทั้งยึดเนินสูงสําคัญรอบนอก เพื่อเป็นแนวป้องกันฐานปืนใหญ่ของกองพันด้วยกําลังกองร้อยจากโคราชและสุรินทร์ แต่กําลังไม่เพียงพอที่จะยึดภูมิประเทศที่สําคัญไว้ได้หมดรอบบ้านนา จึงมีช่องว่างมากหลายจุดที่ข้าศึกแอบเข้ามาตั้งอาวุธหนัก ค. และ ปรส. เพื่อยิงรบกวน รวมทั้งมีการตั้งที่ตรวจการสังเกตการณ์ฝ่ายเราได้อย่างอิสระในการปรับปืนที่ยิงมาจากทุ่งไหหิน
5.ฝ่ายเรากองร้อย BI-15 รอบนอก ใช้กลยุทธ์ในการยึดพื้นที่ไว้ตามคําสั่งเท่านั้น ไม่พยายามมีแผนกลยุทธ์เชิงรุกกับข้าศึกที่ยึดอยู่รอบๆพื้นที่บ้านนาด้วยการส่งหน่วยลาดตระเวนหรือจัดหน่วยเฉพาะกิจเข้าทําลายข้าศึกที่ตั้งอยู่รอบๆบ้านนา เช่นที่ตั้ง ค. และ ปรส. และจุดตรวจการณ์ต่างๆที่อยู่โดยรอบจะมีเพียงการลาดตระเวนรอบๆ ฐานเพื่อป้องกันฐานตัวเองเท่านั้น
6.ฝ่ายเราหวังความได้เปรียบจากการครองอากาศเท่านั้น แต่ บ. ฝ่ายเราก็ไม่สามารถกําจัดที่ตั้งอาวุธเหล่านั้นรอบๆพื้นที่ บ.นาได้อย่างเด็ดขาดรวมทั้งปืนใหญ่ที่ทุ่งไหหินด้วย การครองอากาศและการโจมตีทางอากาศของเราจึงหมดความหมายช่วยอะไรไม่ได้มากนัก
7.การขุดหลุมหลบภัย ป.130 และ ป.152 ของข้าศึก ต้องขุดให้ลึกประมาณ 4 เมตร หรือ 2 เท่าของความสูงตัวเรา แล้วชอนหักมุมเข้าไปซุกตัวอยู่ และขุดให้แคบและเล็กที่สุดประมาณ 50 ซม.เท่านั้น ให้พอดีตัวเรา ที่จะซุกเข้าไปหลบได้ให้เป้าหมายเป็นจุดเล็กที่สุดและมีเปอร์เซ็นต์ที่จะโดนกระสุน ป. ของข้าศึกน้อยที่สุด ไม่เหมือนกับการขุดหลุมหลบปืนใหญ่บนยอดเนินที่ไม่ต้องลึกมาก แต่ต้องอยู่หลังเนินที่ตรงข้ามกับแนวยิงของข้าศึก
8.การอยู่ในบังเกอร์หรือจําเป็นต้องอยู่ในบังเกอร์เพื่อปฏิบัติหน้าที่ ต้องสร้างบังเกอร์ให้มีความแข็งแรง โดยเฉพาะหลังคาบังเกอร์ต้องมี 2 ชั้น หรือ 3 ชั้น เพื่อให้กระสุนที่ทะลุทะลวงมาระเบิดก่อนที่จะทะลุเข้ามาระเบิดในบังเกอร์ของเรา
และถ้าต้องการให้ปลอดภัยยิ่งขึ้นก็ต้องขุดเป็นหลุมหลบภัย อยู่ในบังเกอร์อีกชั้นหนึ่ง ยามถูกโจมตีด้วยปืนใหญ่.
“กลางวงล้อม”
.......สถานการณ์ตอนนี้เป็นรองข้าศึกแทบทุกด้าน ข้าศึกกำลังใช้แผนกดดันและปิดล้อมเรา ตัดการส่งกำลัง เพื่อตัดขาดให้เราโดดเดี่ยว......
“ใช้ชีวิตแบบหนูในรูดินท่ามกลางห่ากระสุน”
ผมและลูกน้องเดนตายที่บ้านนาเมื่อวันเวลาผ่านไป 2-3 สัปดาห์ ตั้งแต่เราลงมาอยู่ที่บ้านนา ฐานกองพัน น่าจะเข้าสู่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ (พ.ศ.2514)แล้ว แต่ละวันผ่านไปด้วยความเครียดและแรงกดดันจากการโจมตีด้วย ป. จากทุ่งไหหินที่ถล่มใส่พวกเราวันละไม่ต่ำกว่า 400-500 นัด ทำให้ฝ่ายเรามีการสูญเสียทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิต ทุกครั้งที่มันถล่มเรา
ทุกคนที่ฐานบ้านนาต้องวัดดวงกันทุกวัน แต่ละวันผ่านพ้นไปเมื่อความมืดเริ่มปกคลุม ถ้าเรายังมีลมหายใจอยู่ก็ถือว่าวันนี้รอดไปอีกวันหนึ่ง...
แต่วันรุ่งขึ้นยังไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นกับเรา
ผมและผู้ใต้บังคับบัญชาเริ่มเกิดความเคยชินจากการการโจมตีของข้าศึกแล้ว เพราะอยู่ในสถานการณ์มาเกือบเดือน จนเกิดความมึนและปลงต่อชีวิต แต่การดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดท่ามกลางห่ากระสุนก็ต้องทำกันต่อไป ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่
ผมและลูกน้องดัดแปลงพื้นที่ ทำแนวคูเรด หลุมบุคคล ลึกและมั่นคงตลอดแนวป้องกัน แนวลวดหนามสองชั้นป้องกันหน้าแนวและเครื่องกีดขวางทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ วางทุ่นระเบิด เคลย์โมร์ไมน์หน้าแนวป้องกันของหมู่ วางแฟร์สะดุดเตือนภัยเพื่อป้องกันการเจาะเข้ามาของข้าศึก
ทุกคนมีประสบการณ์และจัดการกันเองโดยไม่ต้องสั่งการ
นอกจากนั้นแต่ละหลุมบุคคล ทุกหลุมยังขุดลึกลงไปอีก 1 ชั้น เพื่อใช้หลบภัยเมื่อถูกข้าศึกถล่มด้วย ป. และยังมีการขุดเป็นอุโมงค์เชื่อมต่อกันหลุมต่อหลุม คลานไปพบกันได้คุยกันปรับทุกข์กันได้ กลายเป็นอุโมงค์ใต้ดินที่อยู่ใต้แนวคูเรดอีกชั้นหนึ่ง ทุกคนมีห้องหลบภัยกรุด้วยผ้าร่มอย่างดี กันดินร่วงจากการสั่นสะเทือนของลูกระเบิด
ผ้าร่มทิ้งของมีประโยชน์อย่างมาก ใช้เป็นผ้าปูนอนและผ้าห่มได้อย่างดี
การใช้ชีวิตของพวกเราท่ามกลางห่ากระสุนของ ป. และอาวุธหนักที่ถล่มเราที่บ้านนา ชีวิตส่วนใหญ่กินนอนอยู่ในแนวคูยิง โดยเฉพาะในเวลากลางวัน เราตกอยู่ในสายตาและการตรวจการณ์ของข้าศึกที่มีที่ตั้งยิงอาวุธหนักทั้ง ค. และ ปรส. อยู่บนเนินสูงรอบๆบ้านนา ส่วนใหญ่จะอยู่ทางด้านทิศใต้และทิศตะวันออก
ช่วงใดที่มีการโจมตีจาก ป. ของข้าศึก พวกเราส่วนใหญ่ก็จะมุดลงรูไปและหลบอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินในแนวคูซึ่งลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง เพราะมีความลึกมากพอที่จะหลบกระสุน ป.152 และ ป.130 ของข้าศึก นอกจากจะโดนแจ็คพอตจริงๆที่กระสุนเจาะเข้าบริเวณตรงที่เราหลบอยู่ แล้วแรงระเบิดขุดพวกเรากระจุยตามเศษดินขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ หรือไม่กระสุนเจาะลงแล้วระเบิดใกล้กับอุโมงค์ที่เราหลบอยู่ ดินก็จะถล่มทับเรา แบบนั้นก็ถึงที่เช่นเดียวกัน ไม่มีทางรอดเพราะไม่มีทางตะกุยตะกายออกมาได้
ก็ต้องยอมมัน
เราใช้ชีวิตเช่นหนูในรูดินอย่างนี้ด้วยความอดทน และเพื่อเอาชีวิตรอด เรื่องอื่นๆไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับพวกเราอีกแล้ว
เราประทังชีวิตทุกมื้อด้วยอาหารกระป๋องที่มี ซึ่งหน่วยเหนือส่งมาให้โดยการทิ้งร่ม น้ำไม่ต้องพูดถึง-ไม่มี แต่เราอาศัยน้ำจากผลไม้กระป๋องช่วยประทัง
การลงไปเอาน้ำแทบเป็นไปไม่ได้ในยามนี้และไม่มีใครอยากเสี่ยง ผมเห็นลูกน้องผมแต่ละคนร่างกายซูบผอมจากความเครียดและขาดสารอาหาร ทุกคนเป็นโรคผิวหนังทั้งตัวจากความสกปรกของร่างกายและจากการอาศัยอยู่ในอุโมงค์รูใต้ดินมากกว่าบนพื้นดิน มีทั้งความอับชื้น ขาดแสงสว่าง
ผมก็ไม่อยากจะเห็นตัวเองเหมือนกันเพราะรู้ว่าสภาพคงไม่ต่างจากลูกน้องของผมนัก เห็นใบหน้าของแต่ละคนเกรียมกร้านจากการตรากตรำกรำศึกจนถึงเวลานี้ยาวนานพอสมควร เหลืออีกไม่กี่เดือนก็จะครบปีแล้ว ผมรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นรองข้าศึกแทบทุกด้าน ข้าศึกกำลังใช้แผนกดดันและปิดล้อมเรา ตัดการส่งกำลัง เพื่อตัดขาดให้เราโดดเดี่ยว
อย่างไรก็ตามเราต้องอดทนต่อไปตามคำสั่งเพื่อยึดพื้นที่บ้านนาไว้ต่อไป.
“วงล้อมยิ่งกระชับ”
.......ผมมั่นใจได้เลยว่าทิวเขาด้านนี้ต่อไปอีก 2-3 วัน จะต้องเต็มไปด้วยอาวุธหนักของมันที่ตั้งพร้อมยิงถล่มเรา และเสริมแนวการปิดล้อมพวกเราให้กระชับยิ่งขึ้น ...
“การสูญเสียเนินตรวจการณ์สำคัญหนึ่งเดียวที่มีของฝ่ายเรา”
เนินตรวจการณ์ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นยอดเขาสูงชันและเป็นที่ตรวจการณ์สำคัญยิ่งเนินเดียวของฝ่ายเราที่มีอยู่ สามารถมองเห็นทุ่งไหหินได้อย่างชัดเจน สามารถมองเห็นที่ตั้งปืนใหญ่ของข้าศึก เมื่อข้าศึกระดมยิงมายังพื้นที่ บ.นา ซึ่งผมและลูกน้องเดนตายเคยอยู่และใช้ตรวจการณ์ข้าศึก ตามที่เคยเล่าเหตุการณ์ไปแล้วหลายเรื่องขณะประจำอยู่บนเนินนี้ หลังจากที่ผมและลูกน้องถอนกําลังลงมาปิดแนวป้องกันฐาน บก.พัน ตามคำสั่งของผู้พัน เนินนี้ก็ยังมีพวกเราประจำอยู่แต่มีกําลังลดลงเหลือประมาณ 1 มว.ปล.เพิ่มเติมกำลัง
และยังเป็นที่ตรวจการณ์สำคัญของฝ่ายเรา
ในวันหนึ่งหลังจากที่ผมลงมาอยู่ในแนวป้องกันของฐานกองพัน BI-15 ที่บ้านนา และตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกข้าศึกถล่มด้วย ป. แทบทุกวันจนชินกับเหตุการณ์แล้ว น่าจะเป็นปลายกุมภาพันธ์ (2514)และถูกถล่มมาเกือบเดือนแล้วจนชาชินกับเสียงปืนใหญ่และลูกระเบิดของมัน เมื่อมันยิงมาเราก็หลบลงรู แต่วันนี้มันเริ่มตั้งแต่อาหารเช้า 2,3 ชุดลงพื้นที่บริเวณบ้านนา
พวกเราชินแล้ว ต่างก็หลบลงรูหลบภัย-รูใครรูมัน ใช้ชีวิตยามเช้ากินในรูหลบภัย ผมอยู่ที่คูเรดเห็น 2,3 ชุดแรกที่มันยิงสังเกตดูกระสุนส่วนใหญ่ตกที่ฐานปืนพันเซอร์ของพี่เกริกฯบริเวณที่ตั้งปืนใหญ่ของฝ่ายเรา ฝ่ายเราไม่ได้ตอบโต้ใดๆ ผมรู้สถานการณ์จากเพื่อนย้งและเพื่อนมิตรแล้วว่าปืนใหญ่เราชํารุดเกือบไม่เหลือแล้ว อาจมี 155 มม.หรือเปล่าหรือชํารุดหมดแล้ว รู้แต่ว่าเหลือ 105 มม. อยู่กระบอกเดียวเท่านั้น ซึ่งอยู่ในบังเกอร์อย่างดี ถนอมไว้ใช้ป้องกันฐานปืน หากถูกโจมตีด้วยกองกําลังภาคพื้นดิน
ป.155 ซึ่งเป็น ป. หลักในการยิงทำลายข้าศึกถูกน็อกไปเกือบหมดแล้วและไม่มีการทดแทน ทางหน่วยเหนือคงคิดแล้วว่าการยกปืนมาทดแทนคงอันตรายมากและไม่คุ้มค่ากับการเสี่ยงและการสูญเสียไปอีก
เมื่อเห็นว่าไม่มีการยิงต่อต้านจากฝ่ายเราและไม่มี บ. ตรวจการณ์จากฝ่ายเราเพื่อการโจมตีทางอากาศ มันจึงหันไปถล่มเนินตรวจการณ์อย่างหนักทันที
มันเริ่มยิง 2,3 ชุดแรก 5-10 นัด มองเห็นชัดเจน กระสุนตกรอบเนินตรวจการณ์ ขุดดินกระจุยฝุ่นฟุ้งบริเวณยอดเนินเต็มไปหมดจนแทบมองไม่เห็นยอดเนิน จากการสังเกตการณ์ของผมน่าจะเป็นปืนขนาด 152 และ 130 มม. โดยเฉพาะมันคงจะตั้งถ่วงเวลาด้วย เห็นยอดเนินถูกขุดกระจุยจากแรงระเบิด เสียงกรึมๆกรึมๆตลอดเวลา โดยเฉพาะยอดเนินด้านหน้าที่หันไปทางทุ่งไหหินโดนหนักที่สุด ถูกถล่มอย่างหนักเหมือนจะถล่มให้ยอดเขาหายไป
เสียงกระสุนระเบิดกรึมๆขุดดินกระจุย ฝุ่นฟุ้งขึ้นไปในอากาศตลอดเวลา แล้วพวกเราที่หลบอยู่บนนั้นจะอดทนอยู่ได้หรือไม่ แน่นอนแทบทุกคนคงจะหลบอยู่ด้านหลังเนินตามที่ผมเคยหลบ ข้าศึกยังคงยิงถล่มเนินตรวจการณ์ของฝ่ายเราเป็นชุดๆอยู่ตลอดเวลา มันคงผสมด้วย ค.120 และ ค.82 ด้วย เพื่อกดดันพวกเราบนยอดเนินอย่างหนักให้ทนไม่ได้
ผมไม่ทราบว่าเหตุการณ์บนยอดเนินเป็นอย่างไร แต่เห็นด้วยตาว่ามันถล่มหนักเหลือเกิน แบบไม่ปราณีใดๆ ผมดูเวลา มันถล่มมาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว
และในที่สุด จากกล้องส่องทางไกลของผม ก็มองเห็นพวกเราเป็นจุดเล็กๆ กำลังวิ่งลงมาจากเนินตรวจการณ์หลายสิบคนเป็นแถวตามกันลงมา ป.ของมันยังคงยิงถล่มต่อไป ผู้ตรวจการณ์ของมันคงจะรายงาน ผบ.มันแล้วว่าพวกเราถอนตัวลงมาแล้ว มันยิงถล่มชุดสุดท้ายอีก 2,3 ชุดจากนั้นการถล่มเนินตรวจการณ์จาก ป. ของข้าศึกก็หยุดลง และผมเชื่อแน่ว่ามันคงส่งกําลังภาคพื้นดินเข้ายึดเนินตรวจการณ์ของเราทันที ซึ่งก็เป็นจริง หลังจากนั้นไม่ถึง 20 นาที ก็มีเสียงระเบิดเบาๆ กรึมๆ 2,3 ครั้ง แต่ไม่ใช่กระสุนปืนใหญ่ และตามด้วยเสียงปืนเล็กยิงเป็นชุดอีก 2,3 ชุด แล้วทุกอย่างบนเนินตรวจการณ์ก็เงียบลง
เป็นอันว่าเนินตรวจการณ์สำคัญของเราถูกฝ่ายข้าศึกยึดไปเรียบร้อยแล้ว
การเสียพื้นที่เนินตรวจการณ์ของพื้นที่บ้านนาให้กับข้าศึกครั้งนี้เท่ากับเราเสียดวงตาที่มีอยู่เพียงข้างเดียวของเราในสมรภูมิบ้านนาไปแล้ว เราเหมือนคนสายตาสั้นแล้ว เรามองเห็นเพียงพื้นที่รอบบ้านนาเท่านั้น รวมทั้งเป็นการเสียฐานที่มั่นขนาด ร้อย ปล.(-) ด้านทิศตะวันตกที่มีเพียงฐานเดียวและทำให้พื้นที่ด้านตะวันตกเปิดโล่ง ข้าศึกทำอะไรก็ได้ในทิวเขาด้านตะวันตกของพื้นที่บ้านนา ผมมั่นใจได้เลยว่าทิวเขาด้านนี้ต่อไปอีก 2-3 วัน จะต้องเต็มไปด้วยอาวุธหนักของมันที่ตั้งพร้อมยิงถล่มเรา และเสริมแนวการปิดล้อมพวกเราให้กระชับยิ่งขึ้น ซึ่งทิวเขาด้านตะวันตกนี้เชื่อมต่อไปยังทุ่งไหหินได้และไม่ไกลมากนัก ง่ายต่อการเคลื่อนย้ายกําลังอาวุธ ยุทโธปกรณ์มาจากฐานกําลังใหญ่ที่ทุ่งไหหินของมัน.
หัวหน้าใจหน้าบังเกอร์บ้านนา
“แค่เอื้อม”
.....จากความสลัวที่ยังพอมองเห็น มันระเบิดตรงบริเวณกลุ่มพวกเราที่กําลังขนลากสัมภาระกัน ทำให้กลุ่มของพวกเราแตกกระจายวิ่งกลับเข้าสู่แนวทันที……
หลังจากที่ข้าศึกโจมตีเนินตรวจการณ์อย่างหนัก กดดันกําลังฝ่ายเราต้องถอนกําลังลงมาอยู่ที่พื้นที่บ้านนา สถานการณ์ก็เงียบลง ข้าศึกหยุดการโจมตี และในช่วงเวลาบ่ายของวันเดียวกัน มี บ. ตรวจการณ์ของเรามาบินวนบริเวณพื้นที่บ้านนาเพื่อตรวจการณ์
หน่วยเหนือคงเป็นห่วงเราและคงทราบแล้วว่าเราเสียที่มั่นเนินตรวจการณ์สำคัญไปแล้ว แต่ยังไม่เห็นฝูงบินขับไล่โจมตีทิ้งระเบิด แต่ในที่สุดก็เห็นฝูงขับไล่โจมตี 1 ฝูง น่าจะเป็นสกายเรดเดอร์มาบินวนในระดับเตรียมการโจมตี ต่อจากนั้นก็เห็นเครื่องบินลําเลียง C-123 บินเข้ามายังพื้นที่ บ.นา ไม่มีเสียง ป.จากข้าศึก ไม่มีการตอบโต้ใดๆจากการเข้ามาของฝ่ายเรา
บ.C-123 บินเข้ามายังบริเวณพื้นที่ บ.นาในระดับต่ำและทิ้งสัมภาระ กระสุน ป. ยุทโธปกรณ์ต่างๆให้เรา 2-3 เที่ยว แล้วก็รีบบินหายไป ผมสังเกตเห็นสัมภาระส่วนใหญ่ลงสู่ที่โล่งบริเวณพื้นที่บ้านนา มีบางร่มไปตกในหุบลึก แต่เป็นส่วนน้อย ผมเห็นแพคหีบห่อขนาดใหญ่หลายร่มที่ทิ้งลงมากองอยู่ในที่โล่ง น่าจะเป็นกระสุน ป. และ ปรส. ผสมกับยุทธปัจจัยอื่นๆ ทั้งอาหารกระป๋อง กระสุน ปล.เป็นลังๆมากมาย เกลื่อนที่โล่งของสนามบิน ซึ่งอยู่ระหว่างฐานปืนใหญ่พานเซอร์ และฐานกองพัน BI-15 แต่ยังไม่เห็นพวกเราเข้าไปขนย้ายยุทโธปกรณ์ที่ทิ้งลงมา
ยังไม่มีใครกล้าเสี่ยงไปเอา เพราะทุกคนรู้สถานการณ์ดีว่าเราตกอยู่ในสายตาของข้าศึกตลอดเวลาในเวลากลางวัน ผมเองก็ยังไม่ได้สั่งลูกน้องไปเอาของ คิดว่ารอให้หมดแสงก่อนดีกว่าที่จะเสี่ยงออกไปตอนนี้ เพราะยังไม่ไว้ใจ ค. และ ปรส. ของมันที่ตั้งกดหัวเราอยู่ ผมตั้งใจว่าจะให้ลูกน้องไปเอากระสุนปืนเล็กมาตุนไว้รวมทั้งระเบิดขว้าง พวกเคลย์โมร์ไมน์และพลุสะดุดต่างๆ เอามาให้มากที่สุด รวมทั้งอาหารกระป๋องด้วย โดยเฉพาะผลไม้กระป๋อง เนื่องจากมีน้ำผลไม้อยู่ด้วย เพราะขณะนี้เราไม่มีน้ำจืดเลย ขาดแคลนน้ำมากที่สุด เราอาศัยน้ำในอาหารกระป๋องประทังการอดน้ำ
สถานการณ์ในขณะนี้ไม่มีคำสั่งใดๆ ใครกล้าได้กล้าเอาและไม่มีใครว่ากัน แต่ก็ยังไม่ปรากฏการขนย้ายสัมภาระใดๆจากฝ่ายเรา ทุกคนรู้สถานการณ์ดี คงรอให้ใกล้ค่ำและหมดแสงสว่างก่อน
เวลาขณะนี้ 4 โมงเย็น เหลืออีกชั่วโมงกว่าก็จะมืดแล้ว
ผมได้เรียก หน.หมู่ที่เหลือเพียง 2 หมู่ของผมมาสั่งการเตรียมจัดกําลังออกไปเอาสัมภาระยุทโธปกรณ์ตามที่ต้องการมาให้มากที่สุด โดยเฉพาะกระสุนปืนเล็กและระเบิดขว้าง รวมทั้งอาหารด้วย ให้ออกไปตอนใกล้มืด ความมืดปกคลุมพื้นที่แล้วและอย่าได้ประมาท หากมีเหตุการณ์ให้รีบนำกำลังกลับเข้าแนวคูในที่ตั้งทันที ตามช่องทางออกหน้าแนวและจัดยามคอยเหตุที่ช่องทางออกพร้อมกำหนดสัญญาณผ่านให้ทุกคนรับทราบ การรับส่งหน้าแนวให้ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด
เมื่อความขมุกขมัวเริ่มคืบคลานเข้ามา ดวงอาทิตย์ลับแนวสันเขาด้านทิศตะวันตกไปแล้ว อุณหภูมิเริ่มลดลง ความมืดดูมันเคลื่อนมารวดเร็วเหลือเกิน ผมเห็นลูกน้องพร้อมผู้หมู่เริ่มออกจากแนวคูเรดเช่นเดียวกับชุดลาดตระเวนไปตามช่องทางออกที่ทำไว้เพียงทางเดียวหน้าแนวลวดหนาม ผมตรวจการณ์อยู่ในหลุมบังเกอร์หน้าแนว จากแสงขมุกขมัวในความสลัวที่กําลังจะมืดมิดลง ผมเห็นเงาตะคุ่มของพวกเราหลายๆจุดในที่โล่งกําลังมุ่งไปสู่กองสัมภาระและยุทโธปกรณ์ต่างๆเป็นเงาตะคุ่มเป็นกลุ่มๆอย่างเร่งรีบ
การค้นหาและขนย้ายยุทโธปกรณ์และสัมภาระของพวกเราเริ่มแล้ว ใครเอาอะไรได้ก็รีบเอาไปตามที่ต้องการ ไม่มีกำหนดข้อห้ามใดๆ
ทันใดนั้นเสียงบึมๆบนเนินเขาสูงด้านทิศใต้ก็ดังขึ้น 2 ครั้งติดต่อกัน พร้อมทั้งเสียง กรึมๆ ของระเบิด จากความสลัวที่ยังพอมองเห็น มันระเบิดตรงบริเวณกลุ่มพวกเราที่กําลังขนลากสัมภาระกัน ทำให้กลุ่มของพวกเราแตกกระจายวิ่งกลับเข้าสู่แนวทันที มันคงเป็น ปรส.82 ที่เล็งตรงเมื่อเห็นเป้าหมายในความมืดที่กล้องติดศูนย์เล็งของมันยังพอมองเห็นเป้าได้ถล่มใส่พวกเรา หลังจากนั้นก็มีเสียงระเบิดตามมาอีก เสียง ครึมๆ ครึมๆ ดังแน่นมาก น่าจะเป็น ค.82 ของมันที่ยิงมาพร้อม ปรส. แต่เราไม่ได้ยินเสียงการยิง
ผมถามคนของเราว่าพวกเรากลับเข้ามาหรือยัง ทราบว่ากลับเข้ามาแล้วแต่แทบจะไม่ได้อะไรมาเลย ได้ของมาบ้างเล็กน้อย เอาความปลอดภัยไว้ดีกว่า ผมสั่งให้ทุกคนประจำแนว เพียงอึดใจที่มันถล่มเราด้วย ปรส. และ ค. เพื่อขัดขวางพวกเราไม่ให้ขนสัมภาระที่ทิ้งลงมา เสียงคํารามเหมือนฟ้าร้องด้านทิศเหนือบริเวณทุ่งไหหินก็เริ่มดังขึ้น ครึมๆ ครึมๆ เป็นจังหวะ มันเริ่มถล่มเราด้วยปืนใหญ่แล้ว
โดยไม่ต้องตะโกนสั่ง พวกเรารีบมุดจากคูเรดหลบเข้ารูดินรูใครรูมันทันที ชั่วอึดใจเสียงหวีดหวิวของกระสุนปืนใหญ่ของมันก็แหวกอากาศตามกันมาเป็นชุดๆ เสียง แซดๆเมื่อมันข้ามหัวเราไปตกระเบิดข้างหน้า เสียง กรึมๆ ดังสนั่น พวกเราเคยชินกับเสียงปืนใหญ่ของมันมานานแล้วตั้งแต่มาอยู่ที่บ้านนา จนรู้แล้วว่า ป. ขนาดอะไร 152 หรือ 130 หรือจรวด และพอรู้ว่าลูกปืนวิ่งข้ามหัว ตกหน้า หลัง ใกล้ ไกล ลูกไหนด้าน รู้หมด แต่ห้ามไม่ให้มันยิงมาไม่ได้ ได้แต่นั่งภาวนาตัวเกร็งไปตามเสียงกระสุนที่แหวกอากาศมาเป็นชุดๆตลอดเวลา
เสียงดัง กรึมๆ ดังต่อเนื่องจากทางทิศเหนือตลอดเวลาไม่มีท่าทีที่จะหยุดลง ผมหลบอยู่ในรูลึกลงไปจากพื้นคูเรดอีกประมาณ 2 เมตรและขุดชอนหักมุมเข้าไปอีกประมาณครึ่งเมตร เพื่อซุกตัวแบบนั่งได้เท่านั้น เพราะผมไม่ต้องการให้เป็นเป้าใหญ่ ต้องการให้เล็กที่สุด เพื่อให้มีเปอร์เซ็นต์การเสี่ยงที่จะโดนน้อยที่สุด ผมนั่งกอดปืนคุดคู้ ข้างๆมีพลั่วสนามพร้อม คิดว่าถ้ากระสุน ป. ของมันตกใกล้ที่ผมอยู่แล้วเกิดดินถล่มลงมาจากข้างบน ผมก็พร้อมที่จะใช้พลั่วตะกุยขึ้นไปข้างบนคูเรดให้ได้
ผมไม่อยากตายในนรกใต้ดินอย่างเด็ดขาด.
“ไฟนรก”
...การส่งกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นหลักการสงครามที่สำคัญ ฝ่ายใดที่สามารถทำได้อย่างอิสระถือว่าได้เปรียบอย่างมาก ฝ่ายใดถูกสกัดขัดขวางและทำลายถือว่าเสียเปรียบอย่างมาก....
มีสิ่งที่แปลกเกิดขึ้นในการระเบิดของกระสุน ป.ของมันที่ผิดสังเกต บางลูกที่ยิงถล่มมายังพื้นที่เราที่บ้านนาเป็นเสียงที่ไม่ดัง กรึม !... แบบเสียงระเบิดปกติของลูกปืนใหญ่ แต่มันระเบิดเสียงดัง บรึบๆ... ซึ่งระเบิดแทรกอยู่กับเสียงระเบิดแบบปกติเสียงกรึมแน่น ตามด้วยสะเก็ดของลูกปืนใหญ่ที่แตกระเบิดแหวกอากาศหวีดหวิวตามมา พร้อมคลื่นอากาศและการสั่นสะเทือนของพื้นดินที่ตกใกล้ตกไกลตัวเรา และรู้ได้ทันทีจากประสบการณ์ที่เคยชินแล้ว
จากเสียงระเบิดของลูกปืนใหญ่ข้าศึกที่ดัง บรึบ...ผสมอยู่ในกระสุนระเบิด หลังจากนั้นผมได้ยินเสียงปะทุเหมือนลักษณะไฟไหม้สิ่งของเริ่มดังขึ้นทั่วไปทั้งบริเวณพื้นที่ทิ้งสัมภาระปะทุดังเปรี๊ยะๆตลอดเวลา
ในช่วงอึดใจที่ว่างจากการถูกระดมยิงจากข้าศึก ผมได้ขึ้นจากรูหลบภัยขึ้นมาสังเกตการณ์สถานการณ์ที่คอกบังเกอร์หน้าแนว เพื่อดูสถานการณ์ต่างๆด้วยความไม่ประมาท มันอาจส่งกําลังภาคพื้นดินเข้าโจมตีเราหลังจากถล่มเรามาหลายวัน และวันนี้มันถล่มเราหนักมาก
แต่ภาพที่ผมเห็นหน้าแนวไกลออกไปข้างหน้าจนถึงฐานปืนใหญ่พันเซอร์ มีสภาพเกลื่อนกลาดไปด้วยกองสัมภาระที่ถูกระเบิดกระจัดกระจายเกลื่อนเต็มพื้นไปหมด พร้อมกับกองไฟที่กําลังไหม้แตกปะทุเสียงดังเปรี๊ยะๆ ตลอดเวลากระจายเต็มไปทั้งพื้นที่ว่างบ้านนา บางจุดมีการลุกไหม้อย่างรุนแรงจากผ้าร่มทิ้งสัมภาระที่มีอยู่ทั่วไป
ภาพของฐาน BI-15 บ้านนาขณะนี้เหมือนตกอยู่ในนรกที่เต็มไปด้วยกองไฟที่ร้อนและแตกปะทุพร้อมที่จะลุกไหม้ทุกสิ่งในที่นั้น ทั้งบ้านนาเต็มไปด้วยกลุ่มควันไฟ ผสมกับอากาศร้อนจากอุณหภูมิที่ร้อนกว่าปกติ รู้สึกได้เมื่อมีกระแสลมร้อนพัดเข้าปะทะหน้าของผม
นี่เราอยู่ในนรกชัดๆ ....นรกที่บ้านนา
ระหว่างที่ตรวจการณ์ดูสถานการณ์ ทันใดนั้น การระเบิดที่รุนแรงที่สุดก็เกิดขึ้น เสียง กรึม! สนั่นรุนแรงก้องขึ้นไปในอากาศ สะเก็ดระเบิดจำนวนมากหวีดหวิวขึ้นไปในอากาศ แรงช๊อคของคลื่นอากาศทำให้ผมรีบล้มตัวหมอบลงในคูเรดทันที นี่ไม่ใช่การระเบิดของกระสุน ป. ที่มันยิงมา สัญชาติญาณและประสบการณ์ทำให้รู้ว่ามันเป็นการระเบิดของกระสุนปืนขนาดใหญ่มาก
หรือกระสุนขนาดใหญ่ที่ระเบิดครั้งเดียวพร้อมกันหลายๆสิบนัด
ผมพอจะคาดเดาได้จากสถานการณ์ที่มองเห็นและเชื่อว่า การระเบิดต้องเกิดจากไฟที่ไหม้เป็นจุดๆและมีความร้อนสูงผิดปกติที่มีอยู่เต็มพื้นที่ไปหมดและมีการลุกลามแตกปะทุไปทั่วบริเวณพื้นที่และไหม้ไปติดแพ็คกระสุนสัมภาระต่างๆที่ฝ่ายเราทิ้งลงมา จนทำให้กระสุนทั้งแพ็คเกิดระเบิดขึ้นพร้อมๆกัน
มันถึงระเบิดรุนแรงผิดปกติ
แน่นอนแล้วว่าของขวัญที่มันส่งมาให้เราจากทุ่งไหหินเป็นของใหม่ที่เสียงมันตกลงระเบิด บรึบ... ต้องเป็นระเบิดแบบเผาผลาญความร้อนสูง ต้องเป็นกระสุนปืนใหญ่”นาปาล์ม”แน่นอน เมื่อตกลงมาระเบิดจะแตกกระจายเป็นลูกไฟ น้ำเชื่อมเหลวๆความร้อนสูงไหม้แตกปะทุไปทั่วทั้งบริเวณ และมันยิงมาพร้อมกันกับกระสุนระเบิดเป็นชุดๆ เพื่อทำลายอาวุธยุทโธปกรณ์ของฝ่ายเราที่ บ. ทิ้งลงมาให้เป็นการตัดกำลังฝ่ายเราให้ขาดแคลนยุทธปัจจัยทุกอย่างโดยสิ้นเชิงเพื่อให้เราอยู่ไม่ได้ ขาดยุทธปัจจัยและขวัญกำลังใจที่จะต่อสู้และต้องถอนตัวออกจาก บ้านนา หรือไม่ก็ถูกมันบดขยี้ด้วยกำลังภาคพื้นดินในที่สุด
ผมพอเดาสถานการณ์ในอนาคตข้างหน้าได้ แต่เรายังต้องยึดบ้านนาอยู่ต่อไปตามคำสั่ง
เสียงปะทุจากไฟไหม้จากกระสุนระเบิดนาปาล์มของพวกมันเริ่มลุกไหม้และแตกปะทุมากชิ้นลุกลามต่อไปทั่วทั้งบริเวณพื้นที่บ้านนา มองเห็นเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ในกลุ่มควันหนาทึบทั่วไปหมด ทำให้อากาศร้อนอบอ้าวและอุณหภูมิสูงขึ้น นี่มันนรกชัดๆในสายตาของผม และในพื้นที่นั้นก่อนที่ผมจะคิดอย่างอื่นต่อไปก็เกิดระเบิดอย่างรุนแรงติดต่อกัน 2 ครั้ง กรึมๆ...ทำให้ผมต้องรีบหลบหมอบลงในคูเรดและคลานเข้าไปในรูหลบภัย
คืนนี้ทั้งคืนเราคงต้องหลบอยู่ในรูหลบภัยและไม่สามารถออกไปทำอะไรข้างนอกได้ตามปกติ เพราะหลังจากนั้น การระเบิดก็เกิดขึ้นเป็นระยะๆ แล้วแต่กระสุนหรือกองกระสุนไหนจะถึงจุดระเบิดก่อนกันจากความร้อนของไฟไหม้ ความรุนแรงมากน้อยไม่เท่ากันแล้วแต่ขนาดของกระสุนและจำนวนที่มันระเบิด ไม่มีห้วงเวลาที่แน่นอนว่ามันจะเกิดระเบิดขึ้นตอนไหน
ตอนนี้คงไม่มีพวกเราหรือใครบ้าออกไปนอกคูเรดอย่างแน่นอน ทุกคนเงียบฟังแต่เสียงระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆหนักบ้างเบาบ้าง มันจะระเบิดก็ช่างมัน เสียงสะเก็ดระเบิดที่ปลิวว่อนสู่อากาศอาจตกมาโดนได้ถ้าอยู่ในคูเรด ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยไม่ประมาทอยู่ในรูหลบภัยดีที่สุด และคิดว่าดีเหมือนกันที่มีระเบิดๆขึ้นทั้งคืน เป็นอันแน่ใจได้ว่าพวกมันก็คงเข้ามาหาเราในเวลานี้ไม่ได้เช่นกัน
ผมนั่งหลบพักอยู่ในรูดิน พิงปืนไว้ข้างตัว เสียงระเบิดจากการระเบิดของกระสุนปืนของเราที่ทิ้งลงมาที่ บ.นา ยังคงระเบิดต่อไปทั้งคืนจนชิน
ผมหลับไปโดยไม่รู้ตัว จากความอ่อนเพลียของสถานการณ์ในวันนั้น.
บทเรียนจากการรบ...
1. การเสียที่มั่นทางทหารที่สำคัญ เป็นเนินสูงข่มด้านนอกของฐานที่มันใหญ่ บ.นา และเป็นเนินตรวจการณ์ที่สำคัญเนินเดียวของฝ่ายเราที่มองเห็นการปฏิบัติของข้าศึกที่ทุ่งไหหินได้นั้นนับเป็นข้อเสียเปรียบอย่างมาก และทำให้สถานการณ์ฝ่ายเราที่ บ.นา เลวร้ายยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าจากการถูกจํากัดการตรวจการณ์
นอกจากนั้นยังทำให้แนวป้องกันด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นแนวสันเขาทอดยาวเปิดโล่ง ข้าศึกสามารถทำงานได้อย่างอิสระต่อฐาน BI–15 ที่บ้านนา
2. การส่งกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นหลักการสงครามที่สำคัญ ฝ่ายใดที่สามารถทำได้อย่างอิสระถือว่าได้เปรียบอย่างมาก ฝ่ายใดถูกสกัดขัดขวางและทำลายถือว่าเสียเปรียบอย่างมาก ในทางตรงกันข้าม ที่สมรภูมิบ้านนข้าศึกพยายามทุกวิถีทางที่จะสกัดขัดขวางและทำลายการส่งกำลังของฝ่ายเราที่บ้านนาให้ทำได้ยาก ด้วยการยิง ป. สกัดขัดขวาง ถึงแม้ทางเราใช้การส่งทางอากาศได้
ยุทโธปกรณ์ก็ต้องถูกทำลายด้วยกระสุนปืนใหญ่นาปาล์มของข้าศึกจนหมดสิ้น
3. สมรภูมิบ้านนาจำกัดด้วยภูมิประเทศ มีจุดอ่อนในการส่งกำลังบำรุง เพราะต้องใช้การส่งกำลังทางอากาศอย่างเดียว ไม่สามารถใช้การส่งกำลังโดยวิธีอื่นได้ เป็นข้อจำกัดที่ฝ่ายเราเสียเปรียบอย่างมาก ทำให้ข้าศึกวางแผนได้ง่ายในการขัดขวางและทำลายการส่งกําลังของฝ่ายเรา ซึ่งตรงข้ามกับฝ่ายข้าศึกที่มีอิสระในการส่งกําลังเพราะพื้นที่เปิดกว้าง มีเส้นทางส่งกำลังหลายเส้นทางและทำได้ในเวลากลางคืน
ฝ่ายเราไม่สามารถสกัดและทำลายได้
4. หน่วยเหนือพยายามส่ง บ.ตรวจการณ์และส่งชุด บ.ขับไล่มาบินรอบพื้นที่ บ.นา มากขึ้นหลังเราเสียเนินตรวจการณ์ไป แต่ก็ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นบ้าง เราพอทำอะไรได้บ้าง ในขณะที่มี บ.ตรวจการณ์และฝูงบินโจมตีบินรอบๆพื้นที่ แต่ก็จำกัดด้วยระยะเวลาและสภาพอากาศ
หลังจาก บ. ตรวจการณ์และ บ. โจมตีกลับไป ทุกอย่างที่เลวร้ายก็จะกลับมาเหมือนเดิม.
“หลังไฟนรก”
.......บ.ลําเลียงคาริบูน้อยลงแตะรันเวย์อย่างรวดเร็ว เสียงเบรกดังสนั่นของเครื่องยนต์ และแท็กซี่มาเกือบสุดสนามด้านทิศตะวันตก.....
“เหตุการณ์หลังถูกถล่มด้วยปืนใหญ่และกระสุนนาปาล์ม”...
ผมตื่นนอนเมื่อใดไม่ทราบ รู้ว่ามันสายมากจากแสงสว่างที่ลอดเข้ามาในรูอุโมงค์ ผมรีบคลานขึ้นไปดูสถานการณ์ข้างบนหน้าแนวในคูเรด
ในยามเช้าของบ้านนาเวลานี้ทุกอย่างยังคงเงียบสงบ แต่ภาพที่เห็นหน้าแนวเต็มไปด้วยซากของยุทโธปกรณ์กระจายเกลื่อนไปหมด ทั้งพื้นที่ว่างสนามบินเต็มไปด้วยเศษซากวัสดุหลายแห่งที่ไฟยังลุกไหม้กรุ่นๆอยู่ กลุ่มควันและกลิ่นไฟยังปกคลุมพื้นที่บ้านนา ในตอนเช้าอากาศค่อนข้างเย็นทําให้มีทั้งหมอกและควันไฟที่ลอยปกคลุมอยู่ในระดับต่ํา แม้สายแล้วแต่ทุกอย่างยังคงอยู่ในความเงียบ ไม่มีการออกมาเคลื่อนไหวหรือทําการใดๆจากพวกเราทั้งฐานกองพัน B1 - 15 ฐานปืนใหญ่พันเซอร์
ผมตรวจดูความเสียหายของแนวป้องกัน ลวดหนาม 2 ชั้นของผมมีความเสียหายอยู่บ้าง 2-3 จุดจากแรง ระเบิดของกระสุน ป. ข้าศึก จึงรีบปลุกลูกน้องให้ออกมาจากรูหลบภัยทุกคนและให้ทุกคนประจําแนว ผมบอกให้จ่าบุญตรวจยอดและตรวจความเสียหายของแนวป้องกันและลวดหนามและให้รีบจัดการซ่อมแซมโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้ถ้าพบความเสียหายและอย่าเพิ่งไว้ใจในสถานการณ์ อาจมีกระสุนที่ยังไม่ระเบิด เกิดระเบิดขึ้นเพราะยังมีอีกหลายจุดที่ไฟยังไหม้อยู่ ยังไว้ใจอะไรไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่น่าจะระเบิดไปหมดแล้วตั้งแต่เมื่อคืน
ผมเห็นลูกน้องหลายคนออกไปหาของที่ยังเหลือและใช้งานได้ ทั้งกระสุนปืนเล็ก เสบียงอาหารให้เอามาตุนเก็บไว้ แต่ให้กระจายกําลังออกไม่ให้เป็นกลุ่มก้อน
ไม่มีการปฏิบัติใดๆต่อฝ่ายเรา ทุกอย่างยังเงียบสงบ มันก็คงจะเหนื่อยล้าเช่นกัน รวมทั้งยุทโธปกรณ์ของมันก็คงใช้กับเราไปจนเกือบหมด มันคงต้องส่งกําลังเช่นกันเพื่อถล่มเราเมื่อทุกอย่างพร้อมอีกครั้ง
จึงเป็นโอกาสทองของเราที่จะทําอะไรได้บ้างในยามนี้
ในช่วงสายทางหน่วยเหนือได้ส่ง บ. ตรวจการณ์มาบินวนรอบบ้านนา ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียง บ.ขับไล่โจมตี น่าจะเป็นฝูงแฟนธ่อมแหวกอากาศ มาในระดับสูง ทําให้พวกเราอุ่นใจขึ้น เริ่มมีการโจมตีจากฝูงแฟนธ่อมต่อที่หมายแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณทุ่งไหหิน
ฝ่ายเราเริ่มตอบโต้ข้าศึกบ้างแล้วซึ่งเป็นหนทางเดียวที่กระทําต่อข้าศึกได้คือการโจมตีทางอากาศเท่านั้น
ผมสั่งให้ลูกน้องเร่งออกไปหาสิ่งของที่จําเป็นมาให้มากที่สุดเพื่อตุนไว้ใช้ในยามคับขัน เร่งซ่อมแนวป้องกันแนวลวดหนามให้แข็งแรงมั่นคงเหมือนเดิมในห้วงเวลาที่ฝ่ายเรามีการโจมตีทางอากาศและมี บ.ตรวจการณ์บินตรวจการณ์อยู่รอบๆพื้นที่ มีทหารพวกเราทั้ง บก.พัน และฐานปืนออกมาค้นหาสิ่งของจําเป็นที่ยังหลงเหลืออยู่ตามจุดต่างๆในระหว่างการโจมตีทาง อากาศที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
เมื่อแฟนธ่อมกลับไปก็มีฝูงสกายเรดเดอร์มาแทน รวมทั้ง T-28 ด้วย ผลัดเปลี่ยนกันมา ทั้ง บ. ตรวจการณ์ก็มีบินวนอยู่ตลอดเวลา
ผมเห็นมีเครื่องบินลําเลียงบินมาวนรอบบ้านนา และลดระดับลงอย่างรวดเร็วเพื่อลงสนามบิน ที่เห็นน่าจะเป็น “คาริบู” แต่ลําเล็กกว่าผมเรียก“คาริบูน้อย”
บ.ลําเลียงคาริบูน้อยลงแตะรันเวย์อย่างรวดเร็ว เสียงเบรกดังสนั่นของเครื่องยนต์ และแท็กซี่มาเกือบสุดสนามด้านทิศตะวันตก มันกลับลำทันทีโดยไม่ดับเครื่องยนต์ ท้ายเปิดออก มีช่างเครื่องฝรั่งและ จนท.ไทยของเรา 2-3 คนลงมาจากท้ายเครื่อง มีการเร่งขนยุทธภัณฑ์บางอย่างลงมาอย่างรวดเร็ว
ผมออกมาเดินสังเกตการณ์นอกคูเรด และเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เพราะนานแล้วที่ไม่มี บ.ฝ่ายเรามาลงเลย มีการขนคนเจ็บขึ้นเครื่องหลายคน พวกเราที่บาดเจ็บหลายคนจากลูกปืนใหญ่ของข้าศึกที่โจมตีอย่างหนักมาเกือบเดือนแล้วจะได้กลับไปรักษาตัวเสียที่
มีการขนศพขึ้นเครื่องด้วย...
การปฏิบัติเป็นไปอย่างเร่งรีบ การที่ฝ่ายเรามีการปฏิบัติการทางอากาศและ มี บ.ลําเลียงมาลงในวันนี้ ทําให้ขวัญและกําลังใจของพวกเราดีขึ้น
อย่างน้อยก็ทําให้รู้ว่าหน่วยเหนือไม่เคยทิ้งเราและหาทางช่วยอยู่ตลอดเวลา
“รูดิน”
.......มีอยู่ครั้งหนึ่งที่การถล่มของมันหยุดลง ผมรู้สึกนานผิดปกติ ผมกลัวว่ามันจะส่งหน่วยภาคพื้นดินเข้ามายังแนวของเราโดยที่พวกเรามัวแต่หลบกันอยู่ในรูดิน…..
ผมสังเกตการณ์ดูอยู่ไม่ไกลจากเครื่องบิน การขนลงและลําเลียงขึ้นจบแล้ว เครื่องน่าจะเตรียมตัวขึ้น แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น มีเสียงเอะอะขึ้นบริเวณใกล้เครื่องบินคาริบูน้อยตัวนั้น เห็นเจ้าหน้าที่หลายคนที่มาจากเครื่องวิ่งไปที่บริเวณใกล้ใบพัดเครื่องบินและหามคนบาดเจ็บออกมาอย่างเร่งรีบนําเข้าเครื่องไปทันที
จากนั้นแรมท้ายของเครื่องคาริบูก็ปิดโดยเร็ว เครื่องบินเร่งเครื่องยนต์เต็มที่เสียงดังสนั่นไปตามรันเวย์ด้านทิศตะวันออก แล้วเทคออฟไต่ระดับอย่างรวดเร็วเพื่อให้พ้นสันเขาด้านตะวันออกและลับสายตาไปในที่สุด ผมยืนอยู่ใกล้ๆหัวสนามบิน ซึ่งไม่ไกลเลยจากฐานที่มั่นของผม
การโจมตีทางอากาศของฝ่ายเรายังดําเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง บ.ตรวจการณ์ของเรายังบินวนอยู่รอบๆบ้านนา ไม่มีการต่อต้านใดๆจากข้าศึกทั้ง ค. ปรส. และ ปืนใหญ่ แต่เกิดอะไรกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเราที่ลงมาจากเครื่องบินลํานั้น และผมมารู้ข่าวภายหลังจากพวกเราที่เป็นทหารของกองพันว่า มีคนของเราโดนใบพัดเครื่องบินฟันศีรษะ น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่มาจากเครื่อง จะหนักหนาสาหัสขนาดไหนไม่รู้ ผมยังงงๆต่อเหตุการณ์ แต่ก็นึกภาวนาในใจขอให้เพื่อนรอดเถอะ
ผมมารู้ในภายหลังว่าคนที่โดนใบพัดเครื่องบินฟันหัวเป็นรุ่นน้องด้วย แต่ไม่รู้ชื่อรู้แต่นามสกุล “เมืองอ่ำ" ก็ยิ่งตกใจได้แต่นึกในใจขอให้น้องรอดตายเถอะ ขอให้โชคดีแม้แต่พี่เองยังไม่รู้ว่าจะรอดไปเหยียบแผ่นดินไทยหรือไม่
ชีวิตคนเราอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่มีใครรู้อนาคต ถ้าอยู่ในสนามรบ
“การยิงถล่มฝ่ายเราด้วยปืนใหญ่ตอนกลางคืนโดยการยิงถล่มและยิงรบกวน เป็นการทําลายขวัญและรบกวนฝ่ายเรา เพื่อไม่ให้พักผ่อนหลับนอน…”
หลังการโจมตีทางอากาศจากฝ่ายเราอย่างหนักในวันนี้ตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงบ่ายก็เบาลง ข้าศึกยังเงียบและยังไม่มีการโต้ตอบใดๆ ต่อฝ่ายเรา เปิดโอกาสให้พวกเราที่บ้านนา ออกมาทําอะไรได้บ้าง ซึ่งหาโอกาสแบบนี้ได้ยาก
ผมและลูกน้องได้กระสุน ระเบิดมือ พร้อมเสบียงกระป๋องมาเพิ่มเติมอีกจํานวนหนึ่งในวันนี้
เมื่อ บ.ของเราเงียบเสียงลงและกลับไป พวกเราแทบไม่ต้องบอก ทุกคนรีบกลับเข้าที่มั่นฐานใครฐานมัน ทุกอย่างที่บ้านนาเงียบลงอีกครั้ง
ผมนึกทบทวนเหตุการณ์ จนถึงปัจจุบันขณะนี้ปลายเดือนมีนาแล้ว กําลังจะเข้าสู่เดือนเมษา(2514) มันอยู่ในช่วงของฤดูร้อนเต็มตัว และเป็นสถานการณ์ในช่วงที่ข้าศึกกําลังรุกหนักต่อฝ่ายเรา โดยเฉพาะฐานที่มั่นบ้านนาซึ่งเป็นแนวหน้าสุดในปัจจุบันของเรา
ขณะนี้เราเหลือที่มั่นที่บ้านนา คือ ฐานใหญ่ของ บก.พัน BI - 15 ฐานปืนใหญ่พันเซอร์ ฐานกองร้อยสุรินทร์ และฐานกองร้อย BI - 15 โคราช มี มว. 2 กับส่วนของกองร้อยร่วมกันอยู่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือติดกับฐานกองพัน
จนปัจจุบันฝ่ายเราสูญเสียกําลังคน อาวุธ ยุทโธปกรณ์ไปมากพอสมควรจากการโจมตีด้วยอาวุธหนัก ปืนใหญ่และหน่วยภาคพื้นดินแซปเปอร์จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตามที่ผมเล่าไปแล้ว โดยเฉพาะปืนใหญ่ของฝ่ายเราแทบไม่เหลืออํานาจ
การยิงอีกแล้ว จากการถูกทําลายด้วย ป. ของข้าศึก
สถานการณ์ขณะนี้เราถูกกดดันและเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด แต่เราต้องอดทนต่อไปเพื่อยึดพื้นที่บ้านนาตามคําสั่ง
ในตอนเย็นใกล้จะค่ำลงในวันนี้ สถานการณ์ยังคงเงียบ ไม่มีการโจมตีใดๆจากข้าศึก มันใจดีมากที่หยุดให้เราได้พักผ่อนทั้งวัน
ประมาณเวลาหกโมงเย็น ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามาสู่บ้านนาแล้ว ถ้าไม่มีเหตุการณ์ใดๆ คืนนี้คงได้พักผ่อนกันเต็มที่บ้าง ผมนึกเช่นนั้น
แต่ความคิดฝันต้องดับลง เสียงดัง ครึม ครึม...เหมือนฟ้าร้องด้านทิศเหนือ ถึงแม้จะไม่ดังมาก แต่ก็ได้ยินกันทั่วชัดเจน...
“มันเล่นงานเราอีกแล้วครับหมวด” ลูกน้องที่กําลังกินอาหารกระป๋องตะโกนบอกผม ผมได้ยินอยู่แล้ว โดยไม่ต้องสั่งการใดๆ ทุกคนรีบมุดลงรูดินเข้าอุโมงค์ของใครของมัน ใครกินอาหารยังไม่อิ่มก็เข้าไปกินในอุโมงค์ต่อ
ชีวิตของพวกเราเริ่มเคยชินกับมันแล้ว กระสุนชุดแรก 2-3 นัด แหวกอากาศผ่านแนวของพวกเราไป เสียงหวีดหวิว แซดๆ กรึมๆ สนั่นสั่นสะเทือนไปตกข้างหน้าเราใกล้ฐานปืน ไม่ 152 ก็ 130 ของมันเช่นเดิม ชุดที่วิ่งตามกันมาติดๆ คราวนี้ข้ามหัวพวกเราไปค่อนข้างไกล ไปตกแถวๆกองร้อยสุรินทร์มันเปลี่ยนการโจมตีเรามาเป็นตอนกลางคืนแล้ว โดยเริ่มตั้งแต่พลบค่ำ มันคงไม่ต้องการให้ฝ่ายเราส่ง บ. โจมตีมาขัดขวางการยิงของมันที่บ้านนา มันจึงเปลี่ยนมาโจมตีตอนกลางคืน
มันทําได้อย่างสบาย เพราะเราเป็นเป้านิ่งมานานแล้ว เพียงแต่ปรับให้แม่นยําไม่ได้เหมือนตอนกลางวันเท่านั้น มันเปลี่ยนการยิงมาเป็นระดมยิงต่อเป้าหมายเป็นพื้นที่ แต่ละชุดใช้กระสุนประมาณ 10 นัด เป้าหมายส่วนใหญ่คือ บก.พัน BI -15 ฐานปืนใหญ่พันเซอร์ และคราวนี้มันมุ่งเป้าไปที่กองร้อยสุรินทร์ด้วย
มันไม่ได้ใจดีอย่างที่เราคิด คราวนี้มันคิดทรมานเราไม่ให้ได้หลับได้นอน มันจะทรมานเราทั้งคืนหรือไม่ไม่อาจคาดเดาได้
พวกเรามุดลงรูใต้ดินเหมือนเดิม ทุกคนมีที่หลบภัยของตัวเอง เพียงแต่เป็นช่วงของชีวิตที่ต้องวัดดวงกัน ดวงใครดวงมัน นานเท่าไหร่เราไม่อาจคาดเดาได้ แล้วแต่มันจะหยุดเมื่อไหร่
การระดมยิงปืนใหญ่ของข้าศึกจากทุ่งไหหิน ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุด มาเป็นชุดๆบางครั้งก็เว้นระยะนานบ้าง พวกเราอยู่ในความมืดภายในรูใต้ดินไม่มีโอกาสออกไปดูสถานการณ์ใดๆภายนอกได้เลย มันถล่มเรามาเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังไม่หยุด เสียงครึมๆมาเป็นระยะๆ พร้อมกับเสียงแหวกอากาศของกระสุนที่หวีดหวิวเสียดแทงหัวใจพวกเราที่มุดอยู่ในรูดินและตกระเบิดดังสนั่นในความมืดยามดึก
ทําให้หัวใจระทึกต่อการวัดดวงชะตาของชีวิตทุกๆนัดที่มันระเบิด
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่การถล่มของมันหยุดลง ผมรู้สึกนานผิดปกติ ผมกลัวว่ามันจะส่งหน่วยภาคพื้นดินเข้ามายังแนวของเราโดยที่พวกเรามัวแต่หลบกันอยู่ในรูดิน และมันเว้นการยิงนานมากผิดปกติ
ผมยังกังวลเรื่องหน่วยภาคพื้นดินของมันหรืออาจเป็นหน่วยกล้าตายแซปเปอร์ที่เคยบุกเข้ามา.
“กระชับวงล้อม”
.....มีการดัดแปลงพื้นที่และสร้างบังเกอร์ตามแนวสันเขาหลายจุด เป็นอันแน่ใจได้แล้วว่า สถานการณ์ขณะนี้ข้าศึกได้ยึดภูมิประเทศสําคัญด้านใต้และด้านตะวันตกไว้หมดแล้ว…..
การระดมยิงปืนใหญ่ของข้าศึกจากทุ่งไหหิน ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุด มาเป็นชุดๆบางครั้งก็เว้นระยะนานบ้าง พวกเราอยู่ในความมืดภายในรูใต้ดินไม่มีโอกาสออกไปดูสถานการณ์ใดๆภายนอกได้เลย มันถล่มเรามาเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังไม่หยุด เสียงครึมๆมาเป็นระยะๆ พร้อมกับเสียงแหวกอากาศของกระสุนที่หวีดหวิวเสียดแทงหัวใจพวกเราที่มุดอยู่ในรูดินและตกระเบิดดังสนั่นในความมืดยามดึก
ทําให้หัวใจระทึกต่อการวัดดวงชะตาของชีวิตทุกๆนัดที่มันระเบิด
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่การถล่มของมันหยุดลง ผมรู้สึกนานผิดปกติ ผมกลัวว่ามันจะส่งหน่วยภาคพื้นดินเข้ามายังแนวของเราโดยที่พวกเรามัวแต่หลบกันอยู่ในรูดิน และมันเว้นการยิงนานมากผิดปกติ ผมยังกังวลเรื่องหน่วยภาคพื้นดินของมันหรืออาจเป็นหน่วยกล้าตายแซปเปอร์ที่เคยบุกเข้ามาถึงตัวเราอย่างที่เคยเจอมาแล้ว ทําให้ผมตัดสินใจคลานขึ้นมาจากรูหลบภัย เพื่อดูสถานการณ์ที่คอกบังเกอร์หน้าแนว ความจริงใจผมอยากสั่งให้ทุกคนประจําแนว แต่ขอดูสถานการณ์ก่อน
ในความมืดสลัวของเวลากลางคืนที่บ้านนาขณะนี้มีแต่ความเงียบสงัด อากาศตอนกลางคืนค่อนข้างเย็น แต่เต็มไปด้วยกลิ่นดินปืนจากกระสุนปืนใหญ่ที่แตกระเบิดอบอวลไปหมด ทําให้หายใจไม่เต็มปอด มีกลุ่มควันที่เกิดจากไฟไหม้ มองเห็นอยู่ทั่วไปในหลายจุดในความมืดข้างหน้าแนว ทุกอย่างเงียบมาก ผมสั่งทุกคนให้เข้าประจำแนวและตรวจการณ์ไปข้างหน้ามองหาสิ่งผิดปกติถ้าพบให้รีบรายงานทันที
ผมและลูกน้องยังคงประจําแนวอยู่มีแต่ความเงียบสงัด
แต่ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียง ครึมๆ ด้านทิศเหนือดังเข้าหูอย่างชัดเจน มันยิงมาอีกแล้วหลังจากหยุดเว้นระยะไปนาน ลูกน้องผมเลิกประจําแนวแบบไม่ต้องสั่ง ทุกคนมุดลงรูหายไปก่อนที่กระสุน ป. จะวิ่งแหวกอากาศมาตกที่พื้นที่บ้านนา ผมยังไม่หลบลงรูหลบภัย เพียงแต่ทําตัวให้ต่ำกว่าระดับคันดินในคอกบังเกอร์เล็กน้อย เมื่อกระสุนตกระเบิด เสียงกระสุนแตกระเบิดดังสนั่นพร้อมกับประกายไฟวาบตามด้วยสะเก็ดระเบิดกระจายแหวกอากาศ การยิงของมันไม่ได้หวังผลการทําลายที่แม่นยําอะไร ขอให้ตกที่บริเวณพื้นที่บ้านนาเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตกอยู่แล้ว ผมได้ยินเสียง ครึมๆตามอีกเป็นชุด เสียงมันแซด...ดังมาก และในความรู้สึกของผม เสียง แซดสั้นมาก จากนั้นเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหวข้างหน้าผมมันแรงมาก ประกายไฟแลบแปลบเต็มหน้าพร้อมเสียงระเบิดดังสนั่นจน ทําให้ผมตาพร่าและหูอื้อไปหมดจากแรงระเบิดที่ตกข้างหน้าผมประมาณเกือบ 5 เมตรตรงแนวลวดหนามข้างหน้าผมขุดดินกระจุย ดินทรายพร้อมกับแรงกระแทกของอากาศร้อนปะทะกับตัวผมกระเด็นกองอยู่ในคูเรดแบบไม่ทันรู้ตัว รู้แต่ว่ามันตกระเบิดใกล้กับตัวผมมาก
ผมตะกายลุกขึ้นมาจากคูเรด เนื้อตัวเต็มไปด้วยก้อนดิน และฝุ่นเต็มใบหน้าและลำตัว ผมจึงรีบคลานกลับลงรูดินทันที นี่กูเกือบถูกแจ็กพอตแล้วถ้าประมาทเมื่อใดอาจจบได้ทันที ดีว่าคันดินของคูเรดช่วยบังแรงอัดและสะเก็ดไว้ ขนาดนั้นความแรงของการระเบิดยังทําให้ตัวกระเด็นลงไปคลุกฝุ่นอยู่ในคูเรด
ผมรีบคลานมุดลงรูหลบภัยไปทันที ข้าศึกยังคงระดมยิงต่อไปเป็นระยะๆ เว้นระยะบ้างไม่เว้นบ้าง บางทีก็เว้นไปนานแล้วยิงมาใหม่เป็นชุด แต่ละครั้งกระสุนเกือบ 10 นัด นี่มันยิ่งรบกวนเราแน่แบบไม่ต้องให้เราได้หลับนอน มันแกล้งทรมานเราไม่ให้พักผ่อนหลับนอนทั้งคืนแน่นอน ผมคาดเดาว่ามันต้องยิงแบบนี้ทั้งคืนและก็เป็นไปตามคาด
จนเกือบสว่าง มันถึงหยุดและเราก็ไม่ได้หลับจริงๆ.
“การกระชับแนววงล้อมของข้าศึกเพื่อกดดันฝ่ายเรา”
พอรุ่งเช้า แสงสว่างเริ่มเคลื่อนมายังบ้านนา ข้าศึกเริ่มหยุดยิง ผมแน่ใจว่ามันหยุดยิงแน่แล้ว จึงสั่งลูกน้องออกมาจากรูหลบภัยประจําแนว เพื่อตรวจดูความเสียหายหน้าแนวของเรา เพราะเมื่อคืนมันถล่มฐานเราหนักมาก คาดว่าคงไม่ต่ํากว่า 400 -500 นัด
แนวลวดหนามที่เสียหายหนัก พังราบเป็นแนวยาวกว้างประมาณ 5 เมตร ราบหมดในส่วนชั้นใน ดีว่าชั้นนอกยังดีอยู่ตรงบริเวณที่ผมถูกแรงอัดกระเด็นคลุกฝุ่นนั่นแหละ ในส่วนอื่นของแนวได้รับรายงานว่าไม่มีส่วนใดเสียหาย ผมตรวจดูสถานการณ์หน้าแนว ไกลออกไป เห็นแนวลวดหนามและบังเกอร์หลายแห่งพังร่องแร่ง โดยเฉพาะหลังคาชั้นบนสุดของบังเกอร์ป้องกันฐานปืนถูกมันถล่มเละทั้งบังเกอร์และแนวลวดหนาม ในส่วนของ บก.พัน BI-15 อยู่ด้านข้างเฉียงมาทางด้านหลังผมมองไม่เห็น แต่ก็รู้ว่าโดนหนักและคงเสียหายหนักเช่นเดียวกัน ภาพข้างหน้ามีแต่ซากหักพังและสิ่งของเกลื่อนกระจายเต็มไปหมด
แต่ทุกอย่างยังเงียบ ไม่มีพวกเราหรือใครออกมาจากบังเกอร์หรือแนวดูเรด
ผมอยากจะตรวจการณ์และดูสถานการณ์ให้ชัดเจนและไกลออกไปจึงใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูแนวตั้งแต่ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้เรื่อยมา ซึ่งด้านตะวันออกเป็นแนวสันเขาสูงชันมากลาดลงมาทางด้านใต้มีเนินเรียกว่า “อานม้า” เป็นเนินไม่สูงมากแต่สันเขาเล็กมาก รูปร่างยาวเรียบเหมือนอานม้า พวกเราเรียกว่า “เนินอานม้า” และมักเป็นเป้าโจมตีทางอากาศจากฝ่ายเราเสมอ
เนินนี้เป็นสันเนินที่สามารถตรวจการณ์มายังพื้นที่บ้านนาได้และสามารถทําเป็นที่ตั้งยิงของอาวุธหนักทั้ง ค. และ ปรส.ได้อย่างดีเพราะสูงและอยู่ไม่ไกล ประมาณ 2 กิโลเมตรจากบ้านนา จากกล้องส่องทางไกลภาพที่เห็นน่าจะมีการดัดแปลงพื้นที่เป็นป้อมและแนวบังเกอร์บนสันเนินขึ้นมาแล้ว ซึ่งจากเดิมไม่มี
ผมกวาดกล้องตรวจการณ์ ผ่านฐานกองร้อยสุรินทร์มายังด้านตะวันตกซึ่งเป็นสันเขาไม่สูงนัก และห่างจาก บ้านนาประมาณ 2-3 กิโลเมตร จนไปถึงเนินตรวจการณ์ มองเห็นการเปลี่ยนแปลงตามแนวสันเขาอย่างชัดเจน
มีการดัดแปลงพื้นที่และสร้างบังเกอร์ตามแนวสันเขาหลายจุด เป็นอันแน่ใจได้แล้วว่า สถานการณ์ขณะนี้ข้าศึกได้ยึดภูมิประเทศสําคัญด้านใต้และด้านตะวันตกไว้หมดแล้ว เว้นฐานของกองร้อยสุรินทร์ของเรา ซึ่งเหลือเป็นฐานป้องกันรอบนอกเพียงฐานเดียว เป็นการกระชับและปิดล้อมเรามากขึ้น ทําให้ฝ่ายเราถูกกดดันมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการยิงปืนใหญ่ ทําลายและรบกวนไม่ให้เรามีอิสระในการปฏิบัติการใดๆทั้งกลางวันและกลางคืน
เราจะทนอยู่ได้นานแค่ไหนอย่างไรเพื่อยึดพื้นที่บ้านนาไว้ให้ได้ตามคําสั่ง และหน่วยเหนือจะหาทางช่วยเหลือพวกเราที่บ้านนาอย่างไร คงต้องอดทนต่อไป
ไม่มีใครทราบอนาคตข้างหน้าได้.
“คืนนรกอันยาวนาน”
.......ในช่วงเวลากลางคืน ความรู้สึกของพวกเราทุกคนรู้ว่ามันเป็นกลางคืนที่กินเวลายาวนานมาก และรู้สึกทรมาณด้านจิตใจอย่างมากจากการยิงถล่มด้วยปืนใหญ่ของข้าศึก......
“บทเรียนจากการรบ”...
1.การส่งกําลังและการส่งกลับผู้ได้รับบาดเจ็บ หลังจากที่ฝ่ายเราที่บ้านนา ถูกถล่มด้วย ป. อย่างหนัก ทั้งกระสุนระเบิดและกระสุนนาปาล์ม เพื่อทําลายการส่งกําลังของฝ่ายเราที่หน่วยเหนือส่งมาให้ แม้ว่าจะต้องใช้ บ.ตรวจการณ์ ชุด บ. โจมตีหลายชุดผลัดเปลี่ยนกันและสามารถนํา บ.ลําเลียงลงมารับคนเจ็บและศพผู้เสียชีวิตได้ เป็นการสร้างขวัญและกําลังใจให้ฝ่ายเราอย่างมาก ในการที่จะดํารงความมุ่งหมายที่จะยึดพื้นที่บ้านนาต่อไป
2.การที่ฝ่ายข้าศึกเปลี่ยนยุทธวิธียิงถล่มเราด้วยปืนใหญ่จากตอนกลางวันมาเป็นช่วงเวลาตั้งแต่เริ่มมืดและตอนกลางคืนทั้งคืน โดยใช้วิธียิงถล่มอย่างหนักและด้วยการยิงเว้นระยะเป็นช่วงๆ รบกวนเราทั้งคืนจนรุ่งสางจึงหยุดเป็นการกดดันทําลายขวัญกําลังใจ ไม่ให้เรามีเวลาพักผ่อนหลับนอน นับเป็นแรงกดดันฝ่ายเราอย่างมาก นอกจากนั้นการโต้ตอบทางอากาศก็ไม่สามารถทําต่อข้าศึกได้ ทําให้ข้าศึกปฏิบัติต่อฝ่ายเราได้อย่างอิสระฝ่ายเดียวโดยเราไม่มีทางตอบโต้ได้จึงเป็นการกดดันและทําลายขวัญกําลังใจ ต่อฝ่ายเราอย่างมาก
3.การยึดภูมิประเทศสําคัญคือเนินอานม้าและดัดแปลงเป็นที่มันแข็งแรงของข้าศึกด้านทิศใต้ของบ้านนา และสันเขาด้านตะวันตก ระหว่างฐานสุรินทร์และเนินตรวจการณ์ที่ข้าศึกยึดได้แล้ว เป็นการกระชับแนวปิดล้อมฐานบ้านนามากยิ่งขึ้น สร้างแรงกดดันต่อฝ่ายเรามากขึ้นโดยไม่สามารถปฏิบัติใดๆได้ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
“คืนนรกที่ยาวนานจากการยิงถล่มของข้าศึก”...
จากสถานการณ์ที่ข้าศึกใช้ยุทธวิธีถล่มฝ่ายเราด้วยปืนใหญ่อย่างหนักแทบทุกวันจากทุ่งไหหิน และมันเปลี่ยนใหม่มาถล่มเราในตอนกลางคืนโดยจะเริ่มตั้งแต่ใกล้หมดแสงสว่างจนถึงรุ่งสางของอีกวันเพื่อกดดันฝ่ายเราไม่ให้พักผ่อนหลับนอน ทําลายขวัญและกําลังใจ เพื่อให้เราทนอยู่ไม่ได้ พวกเราก็เริ่มปรับตัวกันใหม่ คือเปลี่ยนมานอนพักผ่อนกันในตอนกลางวันแทน เนื่องจากในเวลากลางวันพวกเราไม่สามารถออกไปปฏิบัติอะไรได้อยู่แล้ว เพราะตกอยู่ในสายตาของข้าศึกตลอดเวลา ถ้าเราโผล่ออกไปจากบังเกอร์ หรือจากคูสนามเพลาะเวลาใด ค. หรือ ปรส. ของมันก็จะส่งมามอบให้เราทันที และไม่มีอาวุธหนักชนิดไหนของเราที่จะตอบโต้มันได้เลยเพราะแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว ทั้ง ค. และ ปรส. รวมทั้งปืนใหญ่ของเรา
บรรยากาศ ในตอนกลางวันที่ บ.นาจึงเงียบเหงาเหมือนไม่มีอะไร พวกเราใช้ชีวิตอยู่ในหลุมหลบภัยใต้ดิน นอนพักผ่อน กินอาหาร ปรับทุกข์กันคลายเครียด รอวัดดวงกันในตอนเริ่มมืด
ผมสั่งจ่าบุญจัดเวรเพื่อตรวจสถานการณ์ในตอนกลางวันตลอดเวลา ห้ามทุกคนออกจากคสนามเพลาะอย่างเด็ดขาด ใครอยากสูดอากาศหรืออยากดูท้องฟ้าให้ขึ้นมาอยู่ในคูสนามเพลาะเท่านั้น
และเมื่อแสงสว่างใกล้หมดและเริ่มจะมืดลง สิ่งที่เราคาดคิดไว้มันก็มาตามคาด เสียง ครึมๆ เหมือนฟ้าร้องจากด้านทิศเหนือซึ่งก็คือบริเวณทุ่งไหหินก็ดังขึ้นเป็นชุดแรก พวกเรารู้ล่วงหน้าแล้ว
เวลาแห่งการวัดดวงชะตาชีวิตเริ่มแล้วพร้อมกับความมืดบริเวณพื้นที่บ้านนา ข้าศึกไม่เคยคิดจะว่างเว้นที่จะโจมตีเรา มันทำอย่างนี้แทบทุกวัน เราก็เคยชินกับเหตุการณ์
แต่ในช่วงเวลากลางคืนความรู้สึกของพวกเราทุกคนรู้ว่ามันเป็นกลางคืนที่กินเวลายาวนานมาก และรู้สึกทรมาณด้านจิตใจอย่างมากจากการยิงถล่มด้วยปืนใหญ่ของข้าศึก ถึงแม้จะเป็นเรื่องปกติของทุกคืน
มันถล่มพวกเราคืนละหลายร้อยนัด ถึงจะชินชากับเหตุการณ์แต่ก็เพิ่มความเครียดด้านจิตใจของพวกเรามากขึ้นทุกๆวันทุกๆคืน
ทุกคืนที่มันถล่มเรา ผมได้แต่นั่งคุดคู้อยู่ในรูหลบภัยเล็กๆที่ลึกลงไปจากพื้นดูเรดเกือบ 3 เมตร เป็นรูหลบภัยที่เล็กที่สุด บุด้วยผ้าร่มกันดินร่วง พร้อมพลั่วสนาม 1 เล่มเตรียมพร้อมหากเกิดดินถล่มลงมาทับจากแรงระเบิดของกระสุนปืนใหญ่ ผมพร้อมที่จะเอาชีวิตให้รอด ถ้ายังไม่ตายทันที
ผมทําได้แค่นี้จริงๆ
“Band Of Brothers”
……7 ปีทั้งเป็นนักเรียนเตรียมทหาร 2 ปี ที่เป็นนักเรียนนายร้อยอีก 5 ปี รุ่นเดียวกัน ทําให้เรามีแต่ความรักและความผูกพันกันมาก ไม่สามารถจะบรรยายได้ในความผูกพันของพวกเราที่มีต่อกัน…..
“ ร.ต.คำรบ แสงจันทร์ไทย”…
ข้าศึกมันยิงถล่มเราตอนกลางคืนเป็นเวลาเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว โดยมันถล่มเราทุกคืน มากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่จํานวนกระสุนของมัน บางครั้งมันก็ประหยัดกระสุนใช้ยิ่งเป็นห้วงๆ โดยสรุปคืนละหลายร้อยนัดทุกคืนจนกว่าจะสว่าง
การส่งกําลังของมันดียิ่ง เพราะมีกระสุนยิงถล่มพวกเราแทบทุกคืน เกือบจะไม่มีเว้นเลย กําลังทางอากาศของฝ่ายเราคงไม่สามารถทิ้งระเบิดทําลายเส้นทางลําเลียงของมันได้
ในรุ่งเช้าวันหนึ่งหลังจากถูกถล่มอย่างหนักมาทั้งคืน ผมขึ้นจากรูหลบภัยขึ้นมาสูดอากาศตอนเช้าเพื่อให้ร่างกายได้รับอากาศสดชื่นบ้างหลังจากอุดอู้อยู่ในรูทั้งคืน ผมมองออกไปหน้าแนวกว้างออกไปข้างหน้าเห็นสภาพของฐานปืนพันเซอร์และบริเวณที่ว่างข้างหน้าเต็มไปด้วยกองวัสดุยุทโธปกรณ์กองเกลื่อนกระจายเต็มไปหมด บางจุดยังมีควันไฟไหม้จากการถูกระเบิด
แต่ที่ฐานปืนพันเซอร์สภาพของแนวป้องกันรั้วลวดหนามและบังเกอร์ต่างๆถูกทําลายเป็นจํานวนมาก ดูร่องแร่ง หักพัง ส่วนใหญ่หลังคาบังเกอร์ชั้นแรกจนถึงชั้นที่ 2 ถูกทําลายโดยกระสุนปืนใหญ่ของมัน จะเหลือเพียงชั้นแรกซึ่งมีความแข็งแรงพอต้านแรงระเบิดไว้ได้บ้าง ถ้าโดนจังๆบังเกอร์นั้นก็จะยุบไปเหลือแต่ซาก
จากกล้องส่องทางไกลทําให้ทราบว่า บังเกอร์ที่เป็นที่กําบังหรือหลุมปืนใหญ่ และปืนใหญ่ของเราถูกทําลายไปเกือบหมดแล้ว น่าจะเหลือเพียงกระบอกเดียวคือ ป.105 มม. เท่านั้นที่ยังใช้ได้และมีบังเกอร์ปิดไว้อย่างแข็งแรง สามารถเข็นออกมายิงได้แล้วเข็นกลับเข้าไปหลบทันที สรุปแล้วฐานปืนพานเซอร์ของเราถูกถล่มหนักที่สุด เป็นเป้าหมายหลักของมัน
ส่วน บก.พัน BI – 15 จะโดนหนักหรือไม่ ผมสังเกตการณ์เห็นไม่ถนัด คงโดนหนักพอสมควร แต่โชคดีตั้งอยู่ในจุดที่ดีคือริมลาดชันด้านตะวันออกเฉียงเหนือของพื้นที่ บ.นา ฐานเป็นแนวยาว ตามขอบลาดชัน ความกว้างที่ไม่มากจึงโดนน้อยกว่าฐานปืน
ส่วน บก.ร้อย BI – 15 โคราช ที่อยู่บนลูกเนินเนินเล็กมีป่าไม้ปกคลุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือของ บก.พันแทบจะไม่โดนอะไรเลย เป็นจุดที่ปลอดภัยจากกระสุน ป. มากที่สุด ในบริเวณพื้นที่ว่างของบ้านนา ไม่มีจุดไหนเลยที่จะไม่โดนกระสุนปืนใหญ่ เนื่องจากเป็นที่ราบแอ่งกระทะที่รองรับพอดีจากแนวยิง ป. ของข้าศึกจากทุ่งไหหิน ทําให้ผมนึกถึงวันแรกที่ผมย้ายจากแนวรบที่สอง ฐานปืนใหญ่ (ซีบร้า)โรมิโอจูเลียต มาถึงบ้านนา เมื่อเท้าเหยียบพื้นดินครั้งแรกที่บ้านนา
ผมมองไปรอบตัวรู้สึกได้ทันทีว่า นี่มันนรกชัดๆ และมันก็เป็นจริง มาจนถึงขณะนี้
วันนี้หลังจากที่โดนมันถล่มเมื่อคืนมีบรรยากาศที่ดีขึ้น ผมเห็น บ. ตรวจการณ์ของเรามาบินวนรอบๆพื้นที่ทําให้พวกเราได้ออกมานอกแนวคูทำบางสิ่งบางอย่างที่อยากจะทําได้บ้าง ยังไม่มีวี่แววของ ค. หรือ ปรส. ของมัน ยังคงมี บ.ตรวจการณ์บินวนอยู่ แต่ยังไม่เห็น บ.โจมตีใดๆ มา มันอาจจะหยุดเพื่อเพิ่มเติมกําลังกระสุนให้พร้อมมากกว่า
ผมรู้สึกเพลียเพราะไม่ได้นอนมาหลายคืน หลังกินอาหารกระป๋อง เลยหลบเข้าไปงีบในรูหลบภัยของผม บอกให้ทหารพักผ่อนตามสบาย แต่ต้องมียามตรวจการณ์ดูเหตุการณ์ตลอดเวลา ผมงีบหลับอยู่ในรูหลบภัยนานเท่าใดไม่ทราบ แต่ต้องสดุ้งตื่นจากเสียงเรียกผมดังๆจากข้างบน
"เฮ้ย!! จักษ์ มึงอยู่ไหน รูนี้ใช่ไหม” เสียงคนพูดกัน พูดแล้วก็พูดอีก “เฮ้ย จักษ์ กูไอ้มอส มาเยี่ยมมึง มึงอยู่ในรูนี้ใช่ไหมวะ กูไม่เห็นมึง”
มันลึกและมืดมาก ผมรู้ว่ามีคนมาถามหาผม จึงรีบตะโกนออกจากรู
“เฮ้ย กูอยู่รูนี้ กําลังจะขึ้นไปหาโว้ย รอเดี๋ยว” ผมรีบตะกายขึ้นไปจากรูหลบภัย พอเห็นแสงสว่างจากข้างบนจึงเงยหน้าขึ้นไปดูจึงเห็นหน้าเพื่อน
“เฮ้ย ไอ้มอส (ร.ต.คํารบ แสงจันทร์ไทย) นี่หว่า มึงมาได้ยังไงวะ”
ผมดีใจมากที่เพื่อนมาเยี่ยมผมถึงรูหลบภัย เราหาที่คุยกันที่ในคูใกล้ปากรู
"กูอยากมาเยี่ยมมึงนานแล้ว ตั้งแต่มึงถูกแซปเปอร์เข้าตี กูเห็นฐานมึงโดนระเบิดไฟลุกไหม้ท่วม มีแต่เสียงระเบิดและการสู้รบกันในฐานไฟไหม้ทั้งคืน กูนึกว่ามึงไม่รอดแล้ว กู ไอ้ย้ง ไอ้มิตร ได้แต่ดูหนังเอาใจช่วยมึงเท่านั้น เพราะกูก็โดนเหมือนกันแต่ไม่หนักมาก เพราะมันเจาะลวดหนามได้ชั้นเดียวก็โดนทุ่นระเบิดไอ้มิตร แถมกระสุนลูกดอก(ปีไฮว์)จากไอ้ย้งไปอีก มันก็เลยติดตายคาลวดหนาม 3-4 ศพ ก็ไม่เข้ามาอีก”
ผมรีบตอบเพื่อนแบบเล่าให้ฟังย่อๆ
“เฮ้ย กูดวงยังดีว่ะโดนระเบิดมัดข้าวต้มของมันเข้าเต็มๆ ตอนกูออกมาตะโกนถามลูกน้อง กูทรุดสลบไป ฟื้นขึ้นมาเลยเข้าไปนั่งหลบในบังเกอร์ เพราะปวดแก้วหู มันตามมาเพื่อจะจัดการกู 3-4 คน ประจันหน้ากับมันในบังเกอร์จึงรู้ว่ามันบุกมาถึงตัวแล้ว จึงเผ่นออกอีกทาง แล้วสู้กับมัน จัดการด้วยระเบิดมือเรียบร้อยหมด กูโชคดีเพราะบังเกอร์ออกได้สองทางเลยรอดว่ะ ไม่งั้นคงเสร็จมันไปแล้ว สู้กันมั่วทั้งคืนจนสว่างจึงยึดฐานคืนได้ กูยังนึกกลัวว่ามึง 3 คนนึกว่ากูถูกมันยึดฐานไปแล้วเอาปืนใหญ่ถล่มใส่กูพร้อมกับพวกมันว่ะ! ฝากบอกไอ้ย้งและเพื่อนมิตรด้วยว่ากูยังอยู่สบายดีแบบคนรูัโว้ย"
มันเป็นความรู้สึกที่ดีใจเป็นอย่างบอกไม่ถูกที่ได้คุยกับเพื่อนรักและเหมือนเพื่อนร่วมตายที่ต้องตกมาอยู่ในสนามรบหรือในนรกเดียวกันและยังไม่รู้อนาคตข้างหน้าว่าใครจะอยู่ใครจะอยู่รอดหรือไม่รอดจากนรกนี้
7 ปีทั้งเป็นนักเรียนเตรียมทหาร 2 ปีที่เป็นนักเรียนนายร้อย อีก 5 ปีรุ่นเดียวกัน ทําให้เรามีแต่ความรักและความผูกพันกันมาก ไม่สามารถจะบรรยายได้ในความผูกพันของพวกเราที่มีต่อกัน หลังจากที่พวกเราจบชั้น 5 เราก็แยกย้ายกันไป เพื่อรับใช้ชาติตามหน้าที่ จนมีโอกาสได้พบกันในสนามรบ
จึงเป็นความดีใจอย่างมากที่ได้พบกัน.
“ท่ามกลางผองเพื่อน”
......หลังจากเพื่อนมอสขึ้นมาจากรูหลบภัยของผม ก็บอกผมว่า “ทํารูหลบภัยแบบของเพื่อนน่าจะปลอดภัยดีว่ะ มันลึกลงไปใต้ดินและเป็นรูหลบภัย เล็กดี”……
มันเป็นความรู้สึกที่ดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้คุยกับเพื่อนรักและเหมือนเพื่อนร่วมตายที่ต้องตกมาอยู่ในสนามรบหรือในนรกเดียวกันและยังไม่รู้อนาคตข้างหน้าว่าใครจะอยู่ใครจะอยู่รอดหรือไม่รอดจากนรกนี้ หลังจากนั้นเพื่อนมอสบอกผมว่า
“เฮ้ย จักษ์ ขอดูรูหลบภัยของเพื่อนหน่อยว่ะ”
ผมบอกลงไปดูเลย ผมเห็นเพื่อนค่อยๆไต่ลงไปในรูหลบภัยของผม แล้วมุดหายลงไปในรูซึ่งมึดและลึกเกือบ 3 เมตร ชอนเข้าไปข้างใน ผมมองไม่เห็นเพื่อนได้ยินแต่เสียงตะโกนออกมาว่า
“เฮ้ยจักษ์ รูหลบภัยของเอ็งลึกและเล็กดีว่ะ แถมบุด้วยผ้าร่มกันดินร่วง หลบได้อย่างสบายเลยว่ะ!”
ผมได้แต่นึกอยู่ในใจว่ายังไงมันก็นรกอยู่ดีเวลาที่มันถล่มเรา เพราะต้องไปมุดอยู่ในรูวัดดวงกับกระสุนปืนใหญ่ของมัน หลังจากเพื่อนมอสขึ้นมาจากรูหลบภัยของผม ก็บอกผมว่า
“ทํารูหลบภัยแบบของเพื่อนน่าจะปลอดภัยดีว่ะ! มันลึกลงไปใต้ดินและเป็นรูหลบภัยเล็กดี”
ผมถามเพื่อนว่าแล้วเวลามันถล่มหนักๆ เพื่อนหลบที่ไหน เพื่อนมอสบอกว่ากูก็หลบอยู่ในบังเกอร์ มีหลังคา 3 ชั้น มีกระสอบทรายรอบบังเกอร์ 2-3 ชั้น ผมเคยไปเยี่ยมฐานปืนของเพื่อนครั้งหนึ่ง ตอนที่มาอยู่สมรภูมิบ้านนาใหม่ๆและยังไม่มีเหตุการณ์รุนแรงมากนัก ได้พบกันทั้งเพื่อนย้ง เพื่อนมอส และเพื่อนนิมิต ผมเป็นทหารราบคนเดียว
เพื่อนให้การต้อนรับเลี้ยงข้าวอาหารผมอย่างดี คุยกันสนุกมากส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องตลกของเพื่อนๆตอนเป็นนักเรียน ชีวิตที่ผ่านมายังไม่นานนักหลังจากจบออกมาจากโรงเรียนนายร้อย เราคุยกันอย่างสนุกในบังเกอร์ห้องอาหารของฐานปืน เพื่อนเอาอาหารอย่างดีที่สุดที่มีมาเลี้ยงผม เพราะสภาพของทหารราบอย่างผมคงจะดูโทรมกว่าเพื่อนๆอย่างแน่นอน
ผมยังพูดหยอกเพื่อนว่า
“เฮ้ย ทหารปืนใหญ่มีอาหารดีๆกินกันอย่างนี้ แล้วถึง 3 คน ไม่ฟิตกันแย่หรือวะ ถ้าฟิตมากๆถึง 3 คนทํายังไงวะ!”
เพื่อนๆไม่ตอบได้แต่หัวเราะกัน
ผมสังเกตเห็นบังเกอร์ทุกบังเกอร์มีความแข็งแรงมาก เสาแต่ละต้นใหญ่ทั้งสิ้น TOC ของฐานปืนใหญ่ขุดลึกลงใต้ดินและมีบังเกอร์กระสอบทรายหลายชั้นแข็งแรงมาก เป็น TOC ควบคุมบัญชาการยิง ป. ของฝ่ายเราฐานพันเชอร์ที่บ้านนา รอบฐานปืนมีแนวลวดหนามป้องกันถึง 3 ชั้น
เพื่อนนิมิตเป็น ผบ.มว.ป้องกันฐานปืน แต่ละแนวลวดหนามตามช่องว่างมีการวางสนามทุ่นระเบิดทุกชั้นสามารถกดลูกไหนก็ได้ที่แผงวงจรควบคุม เป็นความคิดริเริ่มของสมองอันล้ำเลิศของเพื่อนนิมิต ไอ้ย้งบอก ขนาดไอ้กันมาเห็น จบจากเวสปอยท์ยังยกนิ้วให้มันว่ะ ไอ้ยังบอก ผมยังถามเพื่อนนิมิตว่า มีลวดหนามเหลือใช้ให้กูบ้างไหมวะ! มันบอกไม่มีเหลือว่ะวางไปหมดแล้ว ต้องรอคราวหน้าถ้าไอ้กันมันส่งมาให้ ผมบอกยังไงกูต้องเอาของมึงแน่ ไม่ให้กูก็ขโมยของมึงแน่นอนว่ะ! เพราะกูแทบไม่มีอะไรป้องกันฐานกูเลย
ผมพูดกับเพื่อนมิตรตรงๆ มันก็หัวเราะอย่างเดียว
ผมนึกถึงความหลังที่เคยได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่ฐานปืนหลายเดือนมาแล้ว และหลังจากเพื่อนมอสขึ้นมาจากรูหลบภัยของผมแล้ว เพื่อนก็บอกผมว่ากลับไปฐานกูอาจจะดัดแปลงทํารูหลบภัยแบบมึงมั่งว่ะ ผมก็บอกว่าแล้วแต่เพื่อน
หลังจากนั้น เพื่อนก็บอกผมว่า “เฮ้ย...จักษ์ กูจะกลับแล้ว” ผมเองก็เป็นห่วงเพื่อนอุตส่าห์มาเยี่ยมผมถึงที่อยู่ก็เลยรีบบอกเพื่อนมอสว่า “เอ็งรีบกลับไปเถอะ อย่าเดินนะ วิ่งลัดเลาะไปให้ดี” เพราะฐานปืนห่างจากแนวของผมไปเกือบ 500 เมตร “ขอบคุณที่เพื่อนมาเยี่ยม ฝากความคิดถึงไปถึงไอ้ย้ง และไอ้มิตรมันด้วย...ขอให้โชคดีและปลอดภัยนะโว้ย” ผมฝากความคิดถึงและอวยพรให้เพื่อนๆ และบอกให้ทหารของผมไปส่งเพื่อนที่ทางออกหน้าแนว
ผมมองดูเพื่อนที่กําลังจากไป เห็นรูปร่างผอมๆตัวเล็กดําๆจากการกรําศึกหนัก กําลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งลัดเลาะออกไปจากหน้าแนวของผม มุ่งสู่ฐานปืนข้างหน้า
ผมไม่รู้เลยว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็นเพื่อนมอส (ร.ต.คำรบ แสงจันทร์ไทย) เพื่อนรักของผม.
“เพื่อนรักที่จากไป”
...แล้วข่าวร้ายก็มาถึงผม ในคืนที่ถูกมันถล่มอย่างหนักแบบไม่ลืมหูลืมตาเกือบ 1,000 นัด ทําให้ฝ่ายเราสูญเสียทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายสิบคน หนึ่งในจำนวนนั้นคือเพื่อนรักของผมด้วย คือเพื่อนมอส (ร.ต.คำรบ แสงจันทร์ไทย)…..
หลังจากเพื่อนๆกลับไปน่าจะเป็นช่วงบ่ายมากแล้ว บรรยากาศที่บ้านนายังคงเงียบสงบ ผมลืมเรื่อง บ.ตรวจการณ์ แต่ไม่มีเสียงของมันแล้ว...
โชคดีที่ข้าศึกไม่มีการยิงอาวุธหนักใส่พวกเรา แต่ก็ไม่ค่อยมีใครอยากมาทําอะไรนอกฐานมากนัก เวลาบ่ายมากแล้วทุกคนรู้ว่า เวลาที่ชีวิตจะต้องวัดดวงอีกครั้งของแต่ละวันกําลังจะมาอีกแล้วในไม่ช้า...
ผมรีบกินอาหารเย็น ทําธุระส่วนตัว
หลังจากความมืดคืบคลานเข้ามาสู่บ้านนา เสียงครึ่มๆชุดแรกก็ดังขึ้น มันเริ่มส่งกระสุนมัจจุราชมาคร่าชีวิตพวกเราอีกแล้วเหมือนเคย ชีวิตเริ่มวัดดวงกันอีกแล้ว ทุกคืนมีพวกเราบาดเจ็บล้มตายไปเพราะกระสุน ป. ของพวกมันแทบทุกวัน เรารู้แต่ไม่มีการแจ้งข่าวให้ทราบเท่านั้น ผู้บาดเจ็บก็ต้องรอไม่สามารถส่งกลับไปส่วนหลังได้ทันที ต้องรอจังหวะและเวลาที่เหมาะสม ที่ตายก็ต้องเก็บศพกันไว้ก่อนเท่านั้นเอง
พวกเรารู้และเข้าใจในสถานการณ์ดีและทําใจกันได้แล้ว
หลังจากเพื่อนมอสมาเยี่ยมผมวันนั้นเป็นต้นมา เราก็ถูกมันถล่มทุกคืนติดต่อกันหลายคืน
มีอยู่คืนหนึ่งที่มันส่งลูกกระสุนมาถล่มเราอย่างหนักแบบถี่ยิบมาก แทบจะไม่เว้นจังหวะว่างให้เราหายใจเลย เหมือนกับจะถล่มเราให้จมธรณีลงไป โดยเฉพาะฐานปืนใหญ่ของเราโดนกระสุนมากที่สุด เสียงระเบิดดังกึกก้องสั่นสะเทือนไปทั้งคืน
ทุกจุดที่ตั้งทางการทหารของฝ่ายเราโดนกันหมด มากน้อยประมาณไม่ได้ ฐานสุรินทร์ที่อยู่ห่างออกไปก็โดน ประมาณได้ว่าในคืนนั้นมันใช้กระสุนถล่มเราไม่น่าจะน้อยกว่า 1,000 นัด ผมมีความรู้สึกว่าคืนนั้นมันถล่มหนักกว่าทุกคืนที่ผ่านมา จะด้วยเหตุผลของมันอย่างไร ผมไม่ทราบหรืออาจจะโมโหที่เรายังทนอยู่ได้
ถล่มหนักทุกวันทุกคืนยังไม่ถอนตัวไปเสียที
รุ่งเช้าหลังคืนที่ถล่มหนักที่สุด ผมโผล่จากรูมาดูสถานการณ์ ข้างนอกมีแต่ซากสลักหักพังของสิ่งก่อสร้าง ฐานบังเกอร์ต่างๆ แทบไม่มีอะไรเหลือ ที่เรายังอยู่กันได้เพราะอยู่ในบังเกอร์ใต้ดิน หรือที่หลบภัยใต้ดินเท่านั้น เพื่อรักษาชีวิตเราให้รอดจากห่ากระสุนของมัน
แล้วข่าวร้ายก็มาถึงผม ในคืนที่ถูกมันถล่มอย่างหนักแบบไม่ลืมหูลืมตาเกือบ 1,000 นัด ทําให้ฝ่ายเราสูญเสียทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายสิบคน
หนึ่งในจำนวนนั้นคือเพื่อนรักของผมด้วย คือเพื่อนมอส (ร.ต.คำรบ แสงจันทร์ไทย) ที่เพิ่งมาเยี่ยมผมเมื่อ 3-4 วันที่แล้ว ผมได้ทราบข่าวจากเพื่อนย้งและนิมิตว่า คืนที่ถูกมันถล่มหนัก กระสุนปืนใหญ่ของมันจะเป็น 152 หรือ 130 ไม่ทราบเจาะลงใกล้ที่เพื่อนมอสขุดหลุมหลบภัยอยู่พอดี ทําให้ดินชั้นบนถล่มลงมาทับเพื่อนมอสและไม่สามารถช่วยขุดออกมาได้ทันทําให้เพื่อนเสียชีวิตเพราะขาดอากาศ และอีกอย่างคือหลุมหลบภัยของเพื่อนกรุด้วยผ้าร่มทิ้งของ ทําให้ติดผ้าร่มจึงออกมาไม่ได้
ผมเสียใจอย่างมาก รู้ได้ทันทีว่าเพื่อนมอสมาเยี่ยมผมและไปดูรูหลบภัยของผม ก็เลยมาทําที่หลบภัยอย่างผมบ้าง ถ้าเพื่อนไม่มาเยี่ยมผม ไม่เห็นรูหลบภัยของผมเพื่อนอาจไม่ต้องตายก็ได้ หากหลบอยู่ในบังเกอร์หลบภัยของเพื่อนที่แข็งแรงพอ
ผมเสียใจที่เสียเพื่อนไป ผมรีบมุดลงไปในรูหลบภัยและรื้อผ้าร่มที่กรุผนังรูหลบภัยออกทั้งหมดทันทีโดยไม่รีรอ ไม่ต้องคํานึงถึงความสะอาดความสบายอีกแล้ว ป้องกันเอาชีวิตรอดไว้ก่อน ถ้าไม่มีผ้าร่มก็อาจตะกุยตะกายออกมาได้ ถ้าไม่สลบหรือตายในทันที
หลังเสียเพื่อนมอสไปผมนอนไม่หลับอยู่หลายคืน คิดมากว่าเรามีส่วนทําให้เพื่อนต้องตายหรือเปล่า แต่ก็มาคิดถึงความจริงที่ว่า สมรภูมิบ้านนาขณะนี้คือนรกที่ใครมาตกอยู่ก็ต้องวัดดวงชีวิตกันทั้งนั้นเสมอกันทุกคน ซึ่งในคืนที่เพื่อนผมตายก็มีทหารพวกเราตายหมู่ 4-5 คนในรูหลบภัย เพราะถูกกระสุนปืนใหญ่ ดินถล่มทับ ไม่สามารถกู้ออกมาได้ทัน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าโดนกระสุนปืนใหญ่ใกล้ที่หลบภัยใต้ดินห่างไม่เกิน 5 เมตร ไม่ค่อยมีใครรอด น้อยมากที่ไม่เป็นอะไร หรือตะกุยตะกายและช่วยกันออกมาได้ทัน
แต่อย่างไรผมก็ยังเสียใจที่ต้องเสียเพื่อนรักไปอีกคน ก่อนเพื่อนจะจากไปยังมาเยี่ยมผม เหมือนสั่งลากันเป็นครั้งสุดท้ายขณะอยู่ในสนามรบ ขอให้เพื่อนไปสู่สุขติ สงบชั่วกาลนาน เพื่อนได้ทําหน้าที่สมชายชาติทหารกล้าด้วยการเสียสละชีวิตเพื่อประเทศชาติอันเป็นเกียรติอันสูงสุดของทหารแล้ว
ผมมารบที่ประเทศลาว ขณะนี้ได้เสียเพื่อนรุ่นเดียวกันไป 3 คน แล้ว คือ ร.ต.ศฤงคารฯ, ร.ต.เทียนชัยฯ สิทธิเวช(ปิ้ง),และ ร.ต.คำรบ แสงจันทร์ไทย (มอส)
ขอดวงวิญญาณที่กล้าหาญ และเสียสละของเพื่อนทั้ง 3 คน จงสู่สรวงสวรรค์และสงบสุขตลอดไป...
พวกเราเพื่อนๆที่ยังเหลือจะต่อสู้กันต่อไป.
“กระชับวงล้อม”
.........ผมเห็นการดัดแปลงพื้นที่ของมันใกล้กับฐานสุรินทร์ มันขุดสนามเพลาะปิดล้อมฐานสุรินทร์เกือบทุกด้านแล้ว.......
“บทเรียนจากการรบ”
1.การรุกคืบเข้ามาของข้าศึกด้วยการยึดเนินสําคัญทั้งด้านใต้และด้านตะวันตก ด้วยการสร้างฐานที่มั่นและดัดแปลงภูมิประเทศเป็นที่มั่นแข็งแรง สร้างแรงกดดันต่อฝ่ายเรามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกองร้อยสุรินทร์ที่เป็นฐานชั้นนอกฐานเดียวที่เหลืออยู่ของเรา ถูกข้าศึกขนาบด้านข้างทั้งซ้ายและขวา สร้างความกดดันแก่เราที่บ้านนาเป็นอย่างมาก
2.การโจมตีฝ่ายเราในตอนกลางคืนโดยถล่มด้วยปืนใหญ่อย่างหนักและมีการยิงรบกวนเป็นระยะตลอดทั้งคืนเป็นการทําลายขวัญและกําลังใจในการต่อสู้ให้ลดลงจากการอ่อนล้า ไม่ได้พักผ่อนหลับนอน
3.การสูญเสียกําลังพลทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิตแทบทุกวันจากการยิงถล่มด้วย ป. ของข้าศึก แต่ไม่สามารถดําเนินการส่งกลับและช่วยเหลือได้ในทันที ต้องรอจังหวะเวลาที่ปลอดภัยและเหมาะสมในห้วงที่มีการตรวจการณ์และโจมตีทางอากาศของฝ่ายเราเท่านั้น ทําให้ขวัญและกําลังใจของฝ่ายเราตกต่ําลง โดยเฉพาะผู้บาดเจ็บที่ต้องทนรอการช่วยเหลือและการส่งกลับ โดยไม่มีความหวังที่แน่นอน
“ยุทธวิธีของข้าศึกในการรุกคืบเพื่อประชิดฐาน”
ในเวลาเช้าของแต่ละวันหลังจากที่มันถล่มเราในตอนกลางคืนแทบทุกคืน ก่อนทําธุระส่วนตัวและกินอาหารเช้า ผมต้องสังเกตการณ์ด้วยกล้องส่องทางไกลทุกวัน เพื่อตรวจดูสถานการณ์รอบๆบ้านนา
จากกล้องส่องทางไกลสังเกตเห็นมีการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่หลายแห่งโดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ช่องว่างระหว่างเนินอานม้ากับฐานกองร้อยสุรินทร์ และระหว่างกองร้อยสุรินทร์กับเนินตรวจการณ์ของเราที่ถูกข้าศึกยึดไปในช่วงสัปดาห์ก่อนที่มันถล่มเราหนักมากในตอนกลางคืนที่ผมเสียเพื่อนไป
ผมสังเกตการณ์มาตลอด แต่ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
แต่เช้าวันนี้ ภาพที่เห็นจากกล้องส่องทางไกลของผมมันชัดเจนมาก ไม่ต้องพิสูจน์อะไรกันอีกแล้ว
มีการดัดแปลงพื้นที่เป็นแนวที่มั่น
และหลุมบุคคลหลายจุดตามเนินเล็กๆในพื้นที่ช่องว่างใกล้ๆฐานสุรินทร์ทั้งสองข้าง เห็นแนวคันดินสีแดงต่างจากสีของดินเดิมอย่างชัดเจนด้วยกล้องส่องทางไกล การดัดแปลงที่มั่นของมันกระจายเป็นกลุ่มมากน้อยตามภูมิประเทศที่เป็นเนินเล็กๆ บางพื้นที่เห็นเป็นหลุมบุคคลขุดลึกเข้ามาห่างจากฐานเราไม่ถึง 1 กิโลเมตรจนสามารถเห็นพวกมันกําลังขุดดัดแปลงพื้นที่กันเมื่อมองด้วยกล้อง
จุดที่กินลึกเข้ามามากน่าจะเป็นจุดยามคอยเหตุและจุดสังเกตการณ์หน้าสุดของมันเพื่อเฝ้าดูพวกเราตลอดเวลา
ข้าศึกเริ่มกดดันฝ่ายเราอีกรูปแบบหนึ่งนอกเหนือจากการโจมตีด้วยปืนใหญ่ในตอนกลางคืน ด้วยการขุดสนามเพลาะและรุกคืบกระชับวงล้อมฝ่ายเราเข้ามา ลึกเข้ามา คืบเข้ามาทุกๆวัน โดยมันใช้การดัดแปลงพื้นที่ในตอนกลางคืน ระหว่างที่ปืนใหญ่ของมันถล่มเราทุกๆคืน ลักษณะเหมือนขุดเจาะลึกเข้ามาเป็นแนวคูยาวได้ระยะหนึ่งก็หยุด และดัดแปลงพื้นที่เป็นหลุมบุคคลขนาดหมู่ ต่อระยะกันมาเรื่อยๆ เพื่อประชิดฐานฝ่ายเราโดยเฉพาะกองร้อยสุรินทร์
ผมเห็นการดัดแปลงพื้นที่ของมันใกล้กับฐานสุรินทร์ มันขุดสนามเพลาะปิดล้อมฐานสุรินทร์เกือบทุกด้านแล้ว เว้นด้านที่ติดกับฐานใหญ่ BI - 15 เท่านั้น สถานการณ์เริ่มเขม็งเกลียวมากขึ้นโดยการรุกคืบดัดแปลงพื้นที่ของข้าศึกเพื่อกระชับปิดล้อมพวกเรามากขึ้น.
ในตอนบ่ายวันนั้นผมเห็น บ.ตรวจการณ์ของฝ่ายเรามาบินวนรอบๆ พื้นที่บ้านนาเป็นชั่วโมง แต่ไม่มีการโจมตีทางอากาศแต่อย่างใด น่าจะเป็นการตรวจการณ์เพื่อดูการเคลื่อนไหวของข้าศึกรอบๆพื้นที่บ้านนา และคงทราบการรุกคืบของข้าศึก รวมทั้งรายงานให้หน่วยเหนือและ บก. BI - 15 ทราบ ถึงสถานการณ์นี้แล้ว
ในวันนี้ทั้งวันไม่มีการปฏิบัติของข้าศึกใดๆต่อฝ่ายเรา แต่ตอนบ่ายใกล้จะมืด ผมได้ยินเสียงปืนเล็กยิงแบบปะทะกัน 2-3 ชุด บริเวณพื้นที่กองร้อยสุรินทร์ ได้ยินเสียงชัดเจน หลังจากนั้นได้ยินเสียงปืน ดัง ตึ้ม! ตึ้ม! เป็นเสียงการยิงปืนใหญ่ของฝ่ายเรา 2-3 นัด แล้วก็เงียบไป น่าจะเป็นการยิงช่วยฝ่ายเราที่เกิดการปะทะบริเวณฐานสุรินทร์อย่างแน่นอน
หลังจากเหตุการณ์ที่ฐานสุรินทร์ผ่านไป ความมืดในวันนั้นก็เริ่มปกคลุมพื้นที่บ้านนา
พวกเราส่วนใหญ่รีบมุดลงในรูหลบภัย แต่ผมยังไม่มุดลงในรูหลบภัย ผมยังออกมาสังเกตการณ์อยู่ข้างนอกต่อไปในบังเกอร์ที่หน้าแนว
มืดมากแล้วทุกอย่างยังคงเงียบเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แล้วเสียงดัง ครืนๆ ครืนๆ เหมือนฟ้าร้องทางด้านทิศเหนือก็ดังขึ้น มันส่งกระสุนมาแล้วเหมือนเคย ผมรีบหลบลงรูหลบภัยแบบเคยชิน ชั่วอึดใจเสียงกระสุนแหวกอากาศผ่านแนวของเราไปเสียงดังแซดๆ รู้สึกว่าไปตกไกลออกไปมาก และเสียงดัง กรึมๆ กรึมๆ ติดกัน 2-3 นัดในชุดแรกของมันตกระเบิดไกลออกไปน่าจะเป็นบริเวณฐานสุรินทร์
หลังจากนั้นมันก็ถล่มเราตามมาอีก 2-3 ชุด ติดต่อกัน ตกระเบิดในพื้นที่บ้านนา ฐานปืนและฐานสุรินทร์ จากนั้นก็หยุดประมาณ 20-30 นาทีมันก็เริ่มยิงอีก 2-3 ชุด แล้วก็เว้นระยะอีก มันคงยิงรบกวนประสาทเราแบบนี้ในคืนนี้ทั้งคืนตามยุทธวิธีและความพอใจของมัน ฝ่ายเราคงไม่มีอะไรไปยับยั้งหรือตอบโต้มันได้ในยามนี้
คงต้องวัดดวงอยู่ในรูหลบภัยกันอย่างเดียวเหมือนเดิม.
“เฉียดตายอีกครั้ง”
......ทันใดนั้นเสียง หวีด แซดๆ ดังมาจากกระสุนที่ตกลงในแนวดิ่ง 2 นัดของ ค. 82 ก็ตกลงหน้าคูเรด พอดีเสียง กรึมๆ แน่นสนั่นจนหูอื้อ ผมยังยืนงงอยู่ตรงทางขึ้นตรงคูเรด......
“ การเข้าตีกวาดล้างเพื่อตอบโต้การรุกคืบของข้าศึกที่ขุดสนามเพลาะยึดพื้นที่ลึกเข้ามาใกล้ฐานฝ่ายเรา”....
รุ่งเช้าหลังคืนที่ข้าศึกยิงรบกวนเราทั้งคืนในตอนเช้า ผมได้รับข่าวสารจากพลนําสารของกองพันให้ไปรับคําสั่งจากผู้พัน BI -15 ตอนเวลา 09.30 น.
ผมรีบทําธุระส่วนตัวแล้วเรียกจ่าบุญมาสั่งการให้ทุกคนเตรียมพร้อม รอคําสั่งผมเมื่อกลับมา วันนี้ต้องมีอะไรให้เราทําแน่นอน งานเข้าแน่ๆ ผมนึกในใจจากเหตุการณ์เมื่อวานที่ บ.ตรวจการณ์มาบินวนหลายรอบ และมีการปะทะที่กองร้อยสุรินทร์ในตอนเย็น
ประมาณเกือบ 3 โมงเช้า ผมสั่งให้ ผบ.หมู่ ปล. มาพบและไปรับคําสั่งกับผมด้วยกัน เมื่อ ผบ. หมู่มาพบผม แล้ว เราก็เริ่มถึงวิ่งกึ่งเดินไปตามแนวคสนามเพลาะเพื่อไปยัง บก.พัน ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากฐานเราเกือบ 400 เมตร เราต้องวิ่งลัดเลาะไปในคูเพื่อความปลอดภัย
ระหว่างเคลื่อนที่ไป ได้ยินเสียง บ.ของฝ่ายเรา น่าจะเป็นเครื่อง แฟนท่อม F4 เข้าโจมตีทิ้งระเบิดต่อที่หมายบริเวณสันเขาด้านทิศตะวันตก ระหว่างฐานสุรินทร์กับเนินตรวจการณ์ซึ่งเป็นที่ตั้ง ค. ของข้าศึก ซึ่งมักจะยิงมายังที่หมายฝ่ายเราที่ บ.นาเป็นประจํา ทั้งเสียงแฟนท่อม 2 ลําที่ไต่ระดับนานแล้วปักหัวลงมาทิ้งระเบิดขนาด 500 ปอนด์ลงที่หมาย เสียงระเบิดดังก้องสนั่น จากนั้นก็มีเสียง ฮ.2 ลำได้ยินเสียงใบพัดตัดอากาศดังปั๊บๆ มาลงบริเวณสนามบินเพื่อรับผู้บาดเจ็บและศพผู้เสียชีวิตที่ตกค้างมานานเพื่อส่งกลับไปส่วนหลัง ในระหว่างที่ทั้งเสียงฮ.และเสียงการโจมตีทางอากาศจาก F4 แฟนท่อมที่ดังกลบไปหมด มีเสียงระเบิด แซด-กรึมๆ...แซด- กรึมๆ ตกระเบิดบริเวณพื้นที่ใกล้ ฮ. ลง เสียงมันดังแน่นชัดเจน ผมรู้ว่ามันยิง ค.ใส่ ฮ. เราแน่นอน
เราไม่ได้ยินเสียงมันยิงและไม่รู้ว่ามันยิงมาจากทิศทางไหน เพราะทั้งเสียงแฟนท่อมและ ฮ. กลบเสียงหมด
ผมและลูกน้อง ผบ.หมู่อีก 2 คน ยังคงวิ่งไปตามคูเรดต่อไปจนสุดแนว ท่ามกลางเสียงที่สับสน ปนกัน เสียงระเบิดของ ค. จากข้าศึกที่ยังยิงลงมาอีกหลายนัด เมื่อถึงจุดที่จะต้องวิ่งขึ้นจากคูเรดไปยัง บก.พัน ไม่รู้มีสิ่งใดมาสั่งให้ผมหยุดกะทันหัน ผมหยุดทันที แต่ลูกน้อง ผบ.หมู่ 2 คนของผมไม่หยุด ทั้ง 2 คน วิ่งเลยผมไปขึ้นไปบนคูเรด
ทันใดนั้นเสียง หวีด แซดๆ ดังมาจากกระสุนที่ตกลงในแนวดิ่ง 2 นัดของ ค. 82 ก็ตกลงหน้าคูเรด พอดีเสียง กรึมๆ แน่นสนั่นจนหูอื้อ ผมยังยืนงงอยู่ตรงทางขึ้นตรงคูเรด
หลังจากหายงง ผมรีบขึ้นไปดูลูกน้องของผม ทั้ง 2 คน ปรากฏว่านอนกองอยู่หน้าคู โดนสะเก็ด ค. 82 ของมันเข้าอย่างจัง ผมรีบตะโกนให้ทหารที่บังเกอร์ตรงบริเวณนั้นมาช่วยปฐมพยาบาลลูกน้องของผม 2 คน โชคดีที่บริเวณนั้นเป็น มว.ทหารเสนารักษ์ของกองพันพอดีจึงช่วยกันรีบนําลูกน้องของผมทั้งสองคนเข้าไปรักษาพยาบาลทันทีในบังเกอร์พยาบาล ผมตามเข้าไปฝากฝังกับ หน.หน่วยเสนารักษ์ ขอให้ดูแลคนของผม 2 คนให้ดีด้วย เพราะทั้งคู่บาดเจ็บสาหัส หากมี ฮ. มาลงอีก ถ้าทําได้ให้ส่งกลับไปรักษาที่อุดรเลย ผมย้ำและบอกว่าผมต้องรีบไปรับคําสั่งจากผู้พัน
ผมรีบออกจากบังเกอร์พยาบาลนั้นขึ้นจากสนามเพลาะวิ่งอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุด เพื่อที่จะไปให้ถึงบังเกอร์ บก.พันให้เร็วที่สุด พอดีช่วงนั้นไม่มี ฮ.มาลงที่บริเวณสนาม ฮ. ของกองพันมีเพียงการโจมตีทางอากาศของฝ่ายเรา และ บ. ตรวจการณ์ที่ยังบินวนอยู่รอบๆพื้นที่บ้านนา
เมื่อถึงบังเกอร์ บก.พัน ผมรีบเข้าไปทันทีและเข้าไปที่ห้องยุทธการ ผมเห็นผู้พันนั่งอยู่กับนายทหารผู้ใหญ่ 2-3 คน น่าจะเป็นฝ่ายอํานวยการของกองพันที่โต๊ะในห้องยุทธการ ผมรีบเข้าไปรายงานตัวกับผู้พันทันที “ขออนุญาตครับ...ผม หน.ใจมารับคําสั่งครับ” ดูใบหน้าท่านเคร่งเครียดดําจากการกรําศึกและสถานการณ์ คงไม่ต้องอธิบายอะไร ทุกคนน่าจะมีสภาพไม่ต่างกันมากนักในสมรภูมิบ้านนาแห่งนี้
ท่านเห็นผมและจําได้ และไม่มีการทักทายใดๆจากท่านในสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ ท่านสั่งผมทันที
" หน. ใจ จัดกําลังเข้าลาดตระเวนและโจมตีข้าศึกที่ขุดบังเกอร์หรือสนามเพลาะลึกเข้ามาด้านตะวันตกของกองพันในบ่ายวันนี้ เริ่มปฏิบัติใน 14.00 น. ทันที” .
เครื่องยิงระเบิด 120 มม.ของกองทัพเวียดนามเหนือ.
“ทหารอาชีพ”
...ผมเห็นใจผู้พัน เพราะรู้ว่าท่านก็ไม่รู้จะใช้ใครนอกจากหน่วยของผมเท่านั้นที่เป็นหน่วยรบที่อยู่กับท่านแม้จะเหลือกําลังเพียงครึ่งหมวดก็ตาม...
" หัวหน้าใจ จัดกําลังเข้าลาดตระเวนและโจมตีข้าศึกที่ขุดบังเกอร์หรือสนามเพลาะลึกเข้ามาด้านตะวันตกของกองพันในบ่ายวันนี้ เริ่มปฏิบัติใน 14.00 น. ทันที”
คําสั่งของผู้พันได้ยินเข้าหูผมชัดเจน
“มีปัญหาหรือให้ช่วยอะไรไหม?”
ผมรีบตอบ “ไม่มีครับผู้พัน... แต่ เอ้อ มีเรื่องเดียวครับ”
“อะไร?”
“ เมื่อกี้ผมมารับคําสั่งกับลูกน้อง เป็นผู้บังคับหมู่สองคนระหว่างวิ่งมารับคําสั่ง โดน ค. ข้าศึกบาดเจ็บสาหัสครับ รักษาพยาบาลอยู่ที่ มว.พยาบาล หากมี ฮ. มาอีก โปรดช่วย ส่งลูกน้องผมกลับด้วย”
ท่านบอกผมว่า
“ไม่ต้องห่วงจะจัดการให้ ...
อ้อ....วัน นี้จะมีการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายพวกอาวุธหนักของมันรอบๆพื้นที่เราเกือบทั้งวันและจะมี บ.ตรวจการณ์ ลาดตระเวนให้ระหว่างพวกเราเข้ากวาดล้างมัน ขอให้ประสานกับ บ.L.19 ตรวจการณ์ให้ดีระหว่างเคลื่อนที่ออกจากแนว...
แล้วเมื่อวานกองร้อยสุรินทร์จัดการมันได้ 1 คน คาหลุมของมันเพราะมันหนีไม่ทันจากการเข้าชาร์จของพวกเรา”
ท่านรับทราบปัญหาของผมแล้วบอกสถานการณ์ต่างๆ เพิ่มเติมให้ผมทราบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น การบาดเจ็บล้มตายเวลานี้ที่ บ.นาเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง
ผมทําความเคารพอีกครั้งก่อนออกจากบังเกอร์ บก.พัน และถือโอกาสสอบถามสถานการณ์ต่างๆเพิ่มเติมจากทหารฝ่ายยุทธการจึงทราบว่าขณะนี้กองกําลังพี่น้องเสือพรานของเราจัดตั้งเสร็จแล้วและกําลังถูกส่งลงพื้นที่ เพื่อรุกกลับข้าศึกแล้ว และมีแผนที่จะมาช่วยเราผลัดเปลี่ยนกําลังของเราในเร็วๆนี้ ...
ข่าวนี้ทําให้ผมมีกําลังใจและมีความหวังมากขึ้น พร้อมที่จะอดทนรอเพื่อนเสือพรานที่จะมาช่วยผลัดเปลี่ยนกําลังเพื่ออยู่ที่นี่แทนพวกเรา น่าจะเป็นความหวังเดียวที่เรามีและต้องอดทนรอกันต่อไป
ผมรีบออกจากบังเกอร์ บก.พัน และรีบวิ่งอย่างเร็วเพื่อให้ถึงจุดที่จะลงไปในคูเรด เสียง บ.ตรวจการณ์ยังคงได้ยินอยู่ และยังมีการโจมตีทางอากาศต่อที่หมายที่ตั้งอาวุธหนักของข้าศึก
เพียงแต่เปลี่ยน บ.โจมตีมาเป็น T-28 และสกายเรดเดอร์สลับกันไป
ผมวิ่งสลับเดินมายังหน่วยของผมตามร่องคูเรดจนถึงที่ตั้งหมวดของผมและเรียกจ่าบุญให้จัดกําลังพร้อมรบ 2 ชุดปฏิบัติการให้ผม ชุดละ 9 นาย ทิ้ง ผบ.หมู่ ที่เหลือให้จ่าบุญเฝ้าฐานที่มั่นกับทหารที่เหลือ และให้จัดการกินอาหารกลางวันให้เสร็จ ไม่ต้องนำอาหารติดตัวไป แต่ให้นํากระสุนไปให้มากที่สุด ไม่ต่ำกว่า 3 เบสิคโหลด นําปืนกล M-60 ไปด้วย รวมพลรับคําสั่งในคูเรดเวลา 13.00 น. หน้าบังเกอร์ผู้หมวด
ผมออกคําสั่งเตรียมกับจ่าบุญเพื่อเตรียมการให้ผม ผมดูเวลาแล้วขณะนี้เวลา เกือบ 11.00 น.แล้ว เรามีเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อเตรียมการในภารกิจตามคําสั่ง
ความเป็นทหารอาชีพที่ถูกหล่อหลอมมาจากโรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนนายร้อย จปร. รวมทั้งได้ผ่านสงครามเวียดนาม ในตําแหน่ง ผบ.หมวด ปล. มาแล้ว ทําให้ผมไม่มีปัญหาใดๆที่จะโต้แย้งกับคําสั่งนี้ ถึงแม้ว่าช่วงไปรับคําสั่งจะเสียลูกน้องไปอีก 2 คนแล้วก็ตาม
แต่คําสั่งก็คือคําสั่ง ในสนามรบต้องปฏิบัติตามในทันทีและไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น
ผมเห็นใจผู้พัน เพราะรู้ว่าท่านก็ไม่รู้จะใช้ใครนอกจากหน่วยของผมเท่านั้นที่เป็นหน่วยรบที่อยู่กับท่านแม้จะเหลือกําลังเพียงครึ่งหมวดก็ตาม มันเป็นความจําเป็นตามสถานการณ์ ผมเองก็ทําใจได้อยู่แล้ว
ผมรีบกินอาหารกลางวันและเตรียมการตัวเองให้พร้อมก่อนเวลา 13.00 น. เวลามันช่างเคลื่อนมาเร็วเหลือเกินที่เราจะต้องออกไปวัดดวงกันตามคําสั่ง.
“เป็นฝ่ายรุก”
......เรายังคงใช้รูปขบวนแถวตอนเรียงหนึ่ง ลาดตระเวนค้นหาข้าศึกต่อไป......
ใกล้เวลา 13.00 น. เมื่อลูกน้องผมทั้ง 2 หมู่มารวมพร้อมกันในคูเรต ผมชี้แจงถึงคําสั่งและภารกิจแบบย่อๆให้ทุกคนเข้าใจ โดยเฉพาะการโจมที่หมาย...
เมื่อพบหลุมบุคคลหรือรังปืนของข้าศึกเราก็จะใช้ปืนกล M -60 ยิงกดต่อเป้าหมายและให้หมู่หน้าเคลื่อนอ้อมด้านขวาเพื่อเข้าเคลียร์เป้าหมาย
ในระหว่างที่ปืนกล M-60 กําลังยิงกดอยู่ หากมีการต่อต้านรุนแรงจากข้าศึกจะให้อีกหมู่ขึ้นอ้อมทางซ้ายเพื่อเคลียร์ที่หมายตามคําสั่ง
แต่ละหมู่ให้เหลือไว้ 2 นายระวังด้านหลังให้หมวดและชุดปืนกล ...
ผมสั่งการสั้นๆและถามถึงความเข้าใจของทุกๆคน จนแน่ใจว่าเข้าใจที่ผมสังการถึงยุทธวิธีปฏิบัติต่อที่หมายที่พบ
สําหรับการเคลื่อนที่ ใช้การเคลื่อนที่แบบชุดลาดตระเวน โดยมุ่งตะวันตกมุมประมาณ 270 องศา ห้ามเคลื่อนในที่โล่งถ้าไม่จําเป็น บนอากาศจะมี บ. ตรวจการณ์บินคุ้มกันให้เราตลอดเวลา แต่การโจมตีทางอากาศจะหยุดเมื่อใกล้เวลา 14.00 น. เมื่อพวกเราเริ่มเคลื่อนที่ออกจากฐานที่มั่นแล้ว
นอกจากนั้นกองร้อยสุรินทร์จะออกกวาดล้างโจมตีที่หมายด้วยบริเวณใกล้ฐานมาทางทิศเหนือโดยเริ่มเวลาเดียวกัน ถ้าเป็นไปได้ให้ไปรวมกําลังกันและกวาดล้างข้าศึกให้มากที่สุด...
นี่คือภารกิจ
ผมชี้แจงลูกน้องให้เข้าใจในทุกๆเรื่องที่ต้องรู้
“มีใครมีปัญหาหรือไม่”
ไม่มี ไม่มีใครพูด ทุกคนรู้และเข้าใจกันดีในสถานการณ์และพร้อมที่จะทําตามคําสั่ง ถึงแม้จะรู้ว่าไปคราวนี้จะได้กลับหรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้ แต่ทุกคนก็เต็มใจไปทําหน้าที่
ผมเรียกพลวิทยุ (PRC-25) มาตรวจสอบคลื่นความถี่และความพร้อมในการติดต่อกับ บก.พัน - กองร้อยสุรินทร์ -ฐานปืนพันเชอร์ รวมทั้ง บ.ตรวจการณ์ เพื่อเช็คการติดต่อกับทุกหน่วยว่าติดต่อกันได้หรือไม่ PRC-25 เครื่องเดียวของเรายังใช้ได้ดี
ผมเลยถือโอกาสคุยกับเพื่อนย้ง -ฝ่ายยุทธการปืนพันเชอร์ โดยแกล้งถามมันว่า “มึงรู้ไหม กูกับไอ้เหมียวกําลังจะไปทําอะไร”
ไอ้ย้ง (ร.ต. ประเสริฐ กาสุวรรณ)
“รู้โว้ย ไม่ต้องห่วง เต็มที่อยู่แล้ว” เพราะผมรู้ว่ามันยัง มี ป.105 เหลืออยู่อีกหนึ่งกระบอก น่าจะพอช่วยผมกับไอ้เหมียว (ร.ต.พนา สมิตานนท์)ได้ยามคับขันถ้าต้องการให้ช่วย และลองติดต่อกับไอ้เหมียวก็ติดต่อกันได้ ผมก็แค่บอกมันว่า
“เฮ้ย โชคดีนะ เดี๋ยวเจอกัน”
ไอ้ย้งรู้แล้วบอก
“ไม่ต้องห่วง เต็มที่”
ผมอุ่นใจขึ้นที่ติดต่อกับเพื่อนเหมียวและเพื่อนย้งได้ ผมไม่อยากพูดอะไรทางวิทยุมากกว่านี้ ตอนไปรับคําสั่งผู้พันผมไม่เห็นใคร การที่จะมาประชุมรับคําสั่งที่ บก.พัน BI-15 สําหรับกองร้อยสุรินทร์คงยาก เพราะอยู่ไกลออกไปจาก บก.พันมากเกือบ 1 กิโลเมตร ส่วนฐานปืนพอทําได้ และผมไม่แน่ใจว่าข่ายการสื่อสารทางสายของเรายังมีอยู่หรือไม่ในปัจจุบัน หรือถูกทําลายด้วย ป.ข้าศึกไปหมดแล้ว
เหลือเพียงการติด สื่อสารทางวิทยุเท่านั้น
“การโจมตีข้าศึกและ LinkUp กับกองร้อยสุรินทร์”
14.00 น. วันนั้น ผมกับลูกน้องเดนตายของผมทั้ง 2 หมู่ที่มีกำลังไม่ครบ เริ่มออกจากแนวที่มั่น เนื่องจากเป็นเวลากลางวันจึงออกตรงช่องทางที่ข้าศึกมองเห็นได้ยากและลงหุบลึกไปทันทีแบบชุดลาดตระเวนอากาศในช่วงบ่ายมืดครื้มน่าจะเกิดฝนตกในช่วงบ่าย ก็ดีเหมือนกันที่จะช่วยให้ข้าศึกเห็นเราได้ยากขึ้น
ผมกับลูกน้อง 2 หมู่ลาดตระเวนมุ่งไปทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นพื้นที่ช่องว่างระหว่างฐานสุรินทร์กับเนินตรวจการณ์ที่ข้าศึกยึดไปจากเรา นานแล้วที่เราไม่ได้ออกไปลาดตระเวนนอกฐาน จากสถานการณ์และเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่อํานวย แต่เราก็คุ้นเคยกับภูมิประเทศรอบๆ บ.นา เป็นอย่างดี
เราลัดเลาะไปตามภูมิประเทศที่เป็นป่าโปร่งบ้างทึบบ้างลงไปในหุบลึกข้างล่าง ซึ่งเป็นลําธารน้ำเล็กๆมีน้ำไหลริน ซึ่งเมื่อก่อนตอนที่เหตุการณ์ที่นี้ไม่หนัก เราต้องลงมาเอาน้ำจืดอาบน้ำและตัดไม้ไปทําบังเกอร์กัน เราเคลื่อนที่ลาดตระเวนไปอย่างระมัดระวังที่สุดและไม่ให้เกิดเสียงดัง ป่าในร่องลําธารยังรกทึบ ซ่อนพรางพวกเราได้เป็นอย่างดี แต่ก็เคลื่อนที่ไปได้ช้า ภูมิประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ป่าถูกทําลายลงเป็นจํานวนมากจากการสู้รบในสมรภูมินี้มานาน
เราข้ามลําธารและเริ่มไต่ขึ้นลาดเนิน ผมบอกให้ลาดตระเวนนําพยายามเคลื่อนที่เฉียงลงไปทางใต้เล็กน้อย เพื่อต้องการให้พบกับกองกําลังของกองร้อยสุรินทร์ที่ลาดตระเวนกวาดล้างมาทางทิศเหนือตามลาดเนิน
พื้นที่ข้างหน้าเริ่มอันตรายแล้ว เริ่มเป็นลาดเนินสูงต่ำไม่ลาดชันและเป็นป่าโปร่ง บางแห่งราบโล่งจากการโจมตีทางอากาศของฝ่ายเรา ยิ่งใกล้สันเนินด้านตะวันตกมากเท่าไหร่ พื้นที่เริ่มโล่งเตียนมากขึ้นเท่านั้น
เราเคลื่อนที่ลาดตระเวนมาเกือบ 1 ชั่วโมง น่าจะเข้าสู่พื้นที่เป้าหมายแล้ว บ.ตรวจการณ์ของฝ่ายเรายังคงบินอยู่รอบๆพื้นที่เหนือหัวพวกเรา ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังเบาๆทําให้พวกเราอุ่นใจ แต่การโจมตีทางอากาศจะหยุดลงตั้งแต่ 14.00 น. เมื่อเราเริ่มออกจากที่มั่นแล้วตามแผนที่ตกลงกันไว้
พลลาดตระเวนนําเคลื่อนที่ช้าลงและให้สัญญาณหยุดบ่อยครั้งมากขึ้นเมื่อสงสัย ผมพยายามใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูเป้าหมายและสถานการณ์ข้างหน้าซึ่งภูมิประเทศเป็นป่าโปร่ง ลักษณะเป็นเนินเตี้ยๆสูงๆต่ำๆ ไม่ค่อยมีต้นไม้ใหญ่เนื่องจากถูกโจมตีทางอากาศบ่อยครั้งมาก บรรยากาศเริ่มมืดครื้มลงและมีฝนโปรยลงมาแต่ไม่หนัก ทําให้เสื้อผ้าพวกเราเปียกชุ่มมากขึ้นจากที่เปียกเหงื่ออยู่แล้ว เพิ่มน้ำหนักของพวกเรามากขึ้น ฝนไม่ได้เป็นอุปสรรคกับพวกเรามากนักแต่พื้นดินที่เปียกชุ่มและดินที่เป็นดินเปียกทําให้เดินยากและเคลื่อนที่ช้าลงกว่าเดิม
เรายังคงใช้รูปขบวนแถวตอนเรียงหนึ่ง ลาดตระเวนค้นหาข้าศึกต่อไป
สันเนินด้านตะวันตกที่ดูใกล้เข้ามาและเห็นชัดมากขึ้นกําลังเริ่มถูกปกคลุมด้วยหมอกฝนและเมฆขาวทําให้ดูไกลออกไปมากไม่ชัดเจน สภาพอากาศยามนี้ทําให้ข้าศึกตรวจการณ์เราได้ยากขึ้น น่าจะเป็นผลดี เพราะภูมิประเทศใกล้สันเนินขณะนี้เริ่มโล่งเตียนมาก
และแทบไม่มีต้นไม้เลย.
“ปะทะ”
….“หมวดครับ มันเผ่นไปแล้ว เห็นแว็บๆ 2-3 คน มันกดเคลย์โมร์ใส่พวกเรา แล้วใส่อาก้ามา 2-3 ชุดแล้วก็เผ่นไปเลยตอนเราเริ่มยิง M-60 ใส่มัน”.....
“การปะทะกับยามคอยเหตุของข้าศึกและการเคลียร์ที่หมาย”...
พวกเราดํารงความมุ่งหมาย ด้วยการลาดตระเวนเพื่อค้นหาข้าศึกต่อไปตามคําสั่ง โดยเคลื่อนที่มุ่งสู่เนินเขาด้านทิศตะวันตกเฉียงลงทางใต้เล็กน้อย
ฝนยังตกพรําๆไม่มีท่าทีว่าจะหยุด อากาศค่อนข้างมัวซัวไม่มีแสงแดด เวลาน่าใกล้ 16.00 น. แล้ว ขณะกําลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า พลลาดตระเวนหน้าให้สัญญาณมือหยุดการเคลื่อนที่และตรวจการณ์ไปข้างหน้าและให้สัญญาณว่าพบข้าศึก พวกเรารีบทําตัวให้ต่ำลงกว่ายอดหญ้า หลายคนหมอบลงติดพื้น ผมพยายามมองสังเกตการณ์ไปข้างหน้าตามทิศทางที่ลาดตระเวนหน้าส่งสัญญาณมา
สังเกตเห็นมีกลุ่มต้นไม้ใหญ่อยู่ข้างหน้า 2-3 ต้น ห่างออกไปประมาณ 150-200 หลา ที่โคนต้นไม้มีลักษณะคล้ายมีการดัดแปลงพื้นที่เมื่อใช้กล้องสองตาส่องดู ก็แน่ใจว่าคือหลุมบุคคลแน่นอน แต่ยังไม่เห็นตัวข้าศึก ถ้ามีตัวมันคงมุดอยู่ในหลุม ผมสั่งให้ชุดปืนกล M-60 เข้าที่ตั้งยิงข้างหน้าซึ่งเป็นเนินดินเล็กๆมองเห็นที่หมายชัดเจน
ผมส่งสัญญาณให้หมู่นําเคลื่อนที่อ้อมไปทางขวาของที่หมาย พวกเราเริ่มปฏิบัติตามที่วางแผนกันไว้ในการเข้าเคลียร์ที่หมายถ้าพบ ขณะที่หมู่นําเคลื่อนที่ออกไป ชั่วอึดใจและ M-60 ตั้งพร้อมยิงแล้ว ผมกําลังจะให้สัญญาณให้ M-60 ยิงต่อที่หมายหลุมบุคคลข้างหน้าตรงโคนต้นไม้ เสียงบึ้มๆก็ดังสนั่นขึ้นพร้อมกับเสียงปังๆปังๆของอาก้า 2-3 ชุด และเสียงกระสุนที่ผ่านหัวพวกเราไป
M-60 ของเราเริ่มยิงตอบโต้ทันทีโดยที่ผมไม่ต้องสั่งยิงไปยังที่หมายหลุมบุคคลข้างหน้าเป็นชุดๆ เป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง ไม่มีเสียงอาก้าสวนกลับมาอีกเมื่อเราอัด M-60 ไปยังโคนต้นไม้ที่เป็นหลุมบุคคลของมัน ทําให้ดินแถวนั้นกระจุยเห็นได้ชัดเจน
M-60 ของเรายังคงยิงไปยังบริเวณโคนต้นไม้ต่อไปเป็นชุดๆอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นเสียง M-16 ของหมู่ที่อ้อมขึ้นไปทางขวาก็เริ่มขึ้น หมู่นําด้านขวาเริ่มเข้าเคลียร์ที่หมายแล้ว
ผมสั่ง M-60 หยุดยิงและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าพร้อมยิงและให้หมู่ข้างหลังแบ่งกําลังขึ้นไปทางซ้าย 4-5 คน เพื่อระวังด้านซ้ายด้วย ที่เหลือให้ระวังด้านหลัง
เราเคลื่อนที่ออกไปพร้อมๆกันเข้าเคลียร์ที่หมายที่โคนต้นไม้ที่เห็น หมู่ทางขวาของเราบุกประชิดที่หมายเป็นหน้ากระดานแล้วยิงเคลียร์อีก 2-3 ชุดก็ถึงรังของมันที่โคนต้นไม้
ผมไปถึง ลูกน้องกําลังเข้าตรวจที่หมาย ผมสั่งให้ชุดของหมู่ทางซ้ายขึ้นไประวังป้องกันด้านหน้าระหว่างเข้าตรวจที่หมาย ผบ.หมู่ที่คุมด้านขวารายงานผมว่า
“หมวดครับ มันเผ่นไปแล้ว เห็นแว็บๆ 2-3 คน มันกดเคลย์โมร์ใส่พวกเรา แล้วใส่อาก้ามา 2-3 ชุดแล้วก็เผ่นไปเลยตอนเราเริ่มยิง M-60 ใส่มัน”
ผมเห็นหลุมบุคคลที่โคนต้นไม้ 2-3 หลุมลักษณะขุดติดโคนต้นไม้ใหญ่ เป็นหลุมบุคคลแบบรูหมาจิ้งจอก และอีก 1 หลุมอยู่ถัดออกไปด้านหลัง น่าจะเป็นจุดเฝ้าตรวจเพื่อดูและสังเกตการณ์การปฎิบัติของฝ่ายเราที่บ้านนาเนื่องจากอยู่บนเนินเล็กๆ ห่างจากฐานบ้านนาไม่เกิน 1 กิโลเมตร มันคงเผ่นเข้าที่มั่นใหญ่ไปแล้ว
และการปฏิบัติของพวกเราได้เปิดเผยตัวตั้งแต่บัดนี้
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะสั่งลูกน้องเพื่อจะปฏิบัติอย่างไรต่อไป เสียงบึมๆ และเสียงปืนเล็กหลายชุดก็ดังขึ้น มีการยิงปะทะกันทางด้านซ้ายของพวกเรา ดูไม่ไกลมากนัก เพราะได้ยินเสียง M-16 และอาก้าหลายชุดได้อย่างชัดเจน
กองกําลังของกองร้อยสุรินทร์คงปะทะเช่นเดียวกัน แต่ฟังเสียงการปะทะแล้วหนักกว่าเรามาก ผมใช้วิทยุติดต่อกับกองร้อยสุรินทร์ทันที เพราะยังไงก็เปิดเผยกันแล้ว พอดีติดต่อกับไอ้เหมียว (ร.ต.พนา สมิตา นนท์) ได้
“เฮ้ย ไอ้เหมียว กูกําลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางใต้เล็กน้อย ถ้ายิงกวาดพวกมันมาทางทิศเหนือ เดี๋ยวเจอกันโว้ย !
บอกลูกน้องมึงดูให้ดีด้วย อย่าเข้าใจกันผิดนะโว้ย”
“เออ กูกําลังไล่พวกมันอยู่ แล้วเจอกัน”
ผมสั่งลูกน้องจัดขบวนแบบเดิม แต่คราวนี้ให้หมู่ที่อยู่ข้างหลังขึ้นไปนําบ้าง เราค่อยๆเคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันตกที่เป็นสันเนินอยู่ข้างหน้า
พื้นที่ค่อนข้างเป็นทางลาดเนินสลับป่าโปร่ง พอสังเกตการณ์ออกไปข้างหน้าได้ไกลพอสมควร
จนในที่สุดหมู่นําก็ให้สัญญาณหยุด เมื่อพวกเราทําตัวให้ต่ำลง พลลาดตระเวนนําก็รายงานผมว่า น่าจะเป็นพวกเรากองร้อยสุรินทร์อยู่ห่างออกไปประมาณ 200-300 หลา ทางซ้ายมือของเรา ผมรีบพูดกับ ไอ้เหมียว “เฮ้ย ไอ้เหมียวกูเห็นพวกมึงแล้ว บอกลูกน้องด้วยพวกกูอยู่ข้างหน้ามึงประมาณ 200 หลาโว้ย”
ผมให้ลูกน้องตะโกนคําว่า “โคราช” และมีเสียงตอบกลับมาว่า “สุรินทร์” พอดีเราไม่ได้ตกลงเรื่องสัญญาณผ่านกันไว้ก็ใช้ 2 คํานี้เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าพวกเดียวกันไป
เลยไม่มีปัญหา .
“ด้วยกำลังที่ด้อยกว่า”
....การจัดหน่วยขนาด มว.ปล. (-) เข้าโจมตีกวาดล้างข้าศึกที่ขุดสนามเพลาะปิดล้อมและรุกคืบเข้ามา ซึ่งได้ผลในระดับหนึ่ง เนื่องจากไม่มีกําลังมากพอ รวมทั้งขาดการยิงสนับสนุนจาก ป. และอาวุธหนักของฝ่ายเราที่ทําได้อย่างจํากัดและถูกทําลายลงเกือบหมด จึงได้แค่ขับไล่ข้าศึกออกไปจากพื้นที่ชั่วเวลาหนึ่ง ไม่สามารถยึดพื้นที่ไว้ได้ ในวันรุ่งขึ้นข้าศึกก็กลับเข้ามาใหม่…..
ผมให้ลูกน้องตะโกนคําว่า “โคราช” และมีเสียงตอบกลับมาว่า “สุรินทร์” พอดีเราไม่ได้ตกลงเรื่องสัญญาณผ่านกันไว้ก็ใช้ 2 คํานี้เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าพวกเดียวกันไป เลยไม่มีปัญหา
ผมได้พบกับเพื่อนเหมียว เราหยุดหน่วยและระวังป้องกันรอบตัวโดยไม่ประมาท ได้พบกับเพื่อนยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ คงไม่ต้องคุยอะไรกันมาก เลยถามมันว่า
“มึงจะเอายังไง กูมีอยู่ 2 หมู่ไม่เต็มดี ก่อนมาเจอมึงเจ็บไปแล้ว 2 โดน ค. ของมัน ผู้หมู่ทั้งคู่”
ไอ้เหมียวบอก “กูมี 3 หมู่ ไม่เต็มดีเหมือนกัน แต่ก็มากกว่ามึง กูจะนําเอง เมื่อวานกูนําลูกน้อง 4-5 คน ไล่ชาร์จมันจนหนีไม่ทัน จัดการมันได้ 1 โว้ย คาหลุมเลย มันกล้ามากมาขุดรูใกล้ๆฐานกู ห่างไม่ถึงร้อยหลา วันนี้เลยมีคําสั่งให้กูตีไล่มันอีก รู้ว่ามึงก็โดนสั่งด้วย กูกับลูกน้องกําลังไล่ตามมันหลังจากการปะทะเมื่อกี้ว่ะ มันจะใช้วิธีกดเคลย์โมร์แล้วยิงใส่เราแล้วก็เผ่นเมื่อพวกเราออกไล่ตีมัน ดีว่าระยะมันยังห่างเลยไม่มีใครเป็นอะไร เพราะมันเองก็กลัวจะหนีพวกเราไม่ทันเหมือนกัน”
ผมเลยบอก เพื่อนว่า “กูก็เจอเหมือนมึงเมื่อกี้ แต่มีเพียง 2-3 คนว่ะไม่มาก”
“กูได้ยินแล้วมึงปะทะ" เพื่อนเหมียวบอก
“ของกูมันมาเกาะอยู่รอบฐานหลายจุด ขุดขยับเข้ามาทุกวันจนมองเห็นตัวมันกําลังขุด มันแน่มาก ทําให้พวกกูอึดอัดที่เห็นมัน เลยทนไม่ได้ต้องออกมาไล่มันว่ะ ...
เฮ้ย เอาอย่างนี้ เดี๋ยวพวกกูนำลาดตระเวนตามรอยพวกมันไป มึงคอยระวังหลังให้พวกกูก็แล้วกัน กูเห็นรอยมันมุ่งเฉียงไปทางสันเนินด้านตะวันตก มีสายโทรศัพท์ด้วย จะตามพวกมันไปตามสายโทรศัพท์”
ผมบอกว่า
“เออ กูให้มึงเป็นพระเอก”แต่ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนผมเลยบอกเตือนว่า “บอกพวกเราระวังอย่าได้ประมาทนะโว้ย”
เมื่อตกลงกับเพื่อน เพื่อนผมก็ออกไปสั่งการและนําหน่วยเคลื่อนที่ต่อไปแบบระมัดระวัง ขณะนี้น่าจะเป็นเวลาเกือบ 5 โมงเย็นแล้ว บรรยากาศอึมครึมจากเมฆฝนที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้า ฝนยังตกพรําๆอยู่ตลอดเวลาร่างกายเราเปียกโชกไปด้วยน้ำฝน เริ่มรู้สึกหนักตัวมากขึ้นจากชุดรบที่เปียกชุ่มน้ำ
ชุดกองร้อยสุรินทร์ลาดตระเวนนําเราไป สังเกตดูเป็นเส้นทางของคนเดิน ทางด้านขวามือมีสายโทรศัพท์วางทอดไปตามพุ่มไม้ ลักษณะเป็นป่าโปร่งไม่ทึบมากนัก เราจําเป็นต้องเดินในรูปขบวนแถวตอน ค่อยๆเคลื่อนไปช้าๆไปตามเส้นทางคนเดินเล็กๆอย่างระมัดระวังและเงียบ
ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นหนึ่งนัดข้างหน้า ทุกคนรีบหมอบลงทันที ตามมาด้วยเสียง M-16 ของพวกเรา 2-3 ชุดที่ยิงแบบกราดออกไป เสียง ปังๆ ปังๆ ชุดลาดระเวนข้างหน้าคงปะทะแล้ว
ผมสั่งลูกน้องให้กระจายกําลังออกระวังด้านหลังและด้านข้างของขบวนทันที ได้ยินเสียงเอะอะอยู่ข้างหน้า และได้ยินเสียงเพื่อนของผมสั่งการให้เข้าเคลียร์ที่หมายข้างหน้า เสียงปืน M-16 ดังขึ้นหลายชุดเสียง ปังๆ ปังๆ ตามมาด้วยเสียงระเบิดจาก M-79 2-3 นัด หลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบ
ผมเดินขึ้นไปข้างหน้าเพราะอยากทราบเหตุการณ์ของเพื่อนและได้ยินเสียงแต่ละคนพูดต่อๆกันมาแบบเบาๆว่าพวกเราถูกยิง ชั่วครู่ก็มีทหาร 2 คน แบกทหารที่ถูกยิงมายังหมู่หลังที่ผมอยู่ ผมเห็นทหารสุรินทร์คนนั้น คอห้อยหน้าหงาย มีแผลถูกยิงที่หน้าผากด้านหน้าทะลุด้านหลังเสียชีวิตไปแล้ว
เลือดของนักรบไทยผู้กล้ายังหยดลงบนพื้นดินตลอดเวลาที่เพื่อนแบกมา มันยิงแม่นมาก นัดเดียวจริงๆ คงเป็นสไนเปอร์พลแม่นปืนของมันที่คอยดักซุ่มเพื่อสกัดพวกเราไม่ให้ตามพวกมันไป
ผมเจอกับเพื่อนเหมียว เราหยุดหน่วยลง เพื่อหารือว่าจะเอายังไงกันต่อไป
ขณะนี้น่าจะเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว จากสภาพอากาศที่อึมครึมและฝนยังตกปรอยๆ พรําๆอยู่ ทําให้มืดเร็วกว่าปกติ ไอ้เหมียวบอกผมว่า "มันเล่นงานพลลาดตระเวนนําด้วยสไนเปอร์นัดเดียวจอดแบบไม่ต้องสั่งเสียเลยว่ะ ไม่เห็นตัวมัน มีแต่เสียงปืนดังปังนัดเดียว เคลียร์แล้วไม่เจอตัวมันว่ะ คงเผ่นไปแล้ว เล่นลอบกัดแบบนี้คงไม่ไหวโว้ย ขืนตามไปอีกอาจเจอหนักกว่านี้ อาจโดนซุ่มหรือโดนเคลย์โมร์ของมันเข้า เดี๋ยวจะหามกลับฐานกันไม่ไหวว่ะ"
ผมว่า “กูเห็นด้วยกับมึง ตามมันไปตอนนี้อันตรายมาก เพราะเป็นเส้นทางไปยังที่มั่นใหญ่ของมันตามสายโทรศัพท์ที่มันวางไว้ แล้วนี่ก็มืดแล้ว ปะทะกันก็ทําอะไรยาก เพราะมองไม่เห็นกันแล้ว”
เพื่อนผมก็เห็นด้วย เกมไล่ล่าวันนี้คงจบกันแค่นี้ ทั้งลูกน้องก็เหนื่อยกันเต็มที่แล้ว สภาพอากาศก็ไม่อํานวย ฝนก็ยังตกพรำๆอยู่ตลอดเวลา หลายคนเริ่มมีอาการหนาว
ผมบอกไอ้เหมียว
“มึงบอกผู้พันขออนุมัติกลับฐานทีวะก่อนที่มันจะมืดกว่านี้ และก่อนจะเคลื่อนย้ายกลับจึงบอกไอ้ย้งยิงถล่มขู่มันซัก 2-3 นัดด้วย ป.105 ที่มีอยู่กระบอกเดียวของเรา มึงกับกูจะได้กลับฐานอย่างสบายใจหน่อยดีไหมวะ”
ไอ้เหมียวเห็นด้วยและรีบติดต่อเพื่อนย้งทันที่ที่ฐานปืนพันเชอร์ หลังจากนั้นไอ้เหมียวบอกผมว่า
“ไอ้ย้งทราบแล้ว OK ไม่มีปัญหา อีก 5 นาทีจะถล่มให้ตามพิกัดที่มึงบอก เรารีบกลับกันดีกว่า”
หลังจากนั้นขบวนลาดตระเวนของเราก็เคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ เพียงไม่กี่อึดใจ เสียงปืนใหญ่ 105 มม. ของเพื่อนย้งก็ดังขึ้น ตึ้ม! กรึ้ม ! แล้วก็เงียบตามที่ขอมัน ขืนยิงมากกว่านี้คงไม่ได้ เพราะเดียวโดน ปรส. ของมัน ถ้ายิงเพลิน 2-3 นัดแบบยิงเร็ว มันคงเล็งไม่ทัน ไอ้ย้งคงรีบเข็นปืนของมันซึ่งเหลืออยู่กระบอกเดียวเข้าบังเกอร์แล้ว ผมเดาเอา
ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรขู่มันเลย
เราเดินอย่างเร่งรีบใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงฐานสุรินทร์ เราบอกลากันและขอให้เพื่อนโชคดี ผมต้องเร่งกลับฐานเช่นกันและต้องใช้เวลาเดินจากฐานสุรินทร์พอสมควร แต่เป็นพื้นที่ของฝ่ายเรา ความมืดเริ่มเข้าคลุมพื้นที่บ้านนา ช่วยให้หน่วยของผมกลับฐานได้อย่างปลอดภัยจากการมองเห็นของข้าศึก
ผมและทหารรีบเข้าแนวพักผ่อนจากการปฏิบัติตามคําสั่งของกองพัน ถือว่าวันนี้เราปฏิบัติภารกิจได้สําเร็จตามคําสั่ง แม้ว่าจะต้องสูญเสียเพื่อนทหารลูกน้องเราไป 3 คน ทั้งของผมและของเพื่อนก็ตาม
ชีวิตทหารในสนามรบ มันก็เป็นอย่างนี้ คําสั่งและหน้าที่เป็นเรื่องที่ต้องทํา ถึงแม้รู้ว่าไปแล้วจะได้กลับมาหรือไม่ก็ตาม
ขอให้ดวงวิญญาณของทหารผู้กล้าที่เสียไปในวันนี้ จงสู่สุขติ พวกเราพี่น้องที่ยังอยู่จะต่อสู้กันต่อไป
หลังจากกําชับจ่าบุญเรื่องเวรยามแล้ว ผมก็หลับอยู่ในรูหลบภัยด้วยความเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียจากการปฏิบัติหน้าที่ในบ่ายวันนั้นแบบไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นในคืนนั้นหรือแม้ว่ามันจะยิงถล่มเราในคืนนี้แบบที่เคยผมก็ไม่สนใจ
ให้มันยิงตามสบายเพราะเหนื่อยล้าและเพลียเต็มที.
“บทเรียนจากการรบ”
1.การปิดล้อมฝ่ายเราด้วยการขุดสนามเพลาะ กระชับลึกเข้ามาเรื่อยๆเพื่อปิดล้อมฐานกองร้อยสุรินทร์ ซึ่งเป็นที่มั่นด่านนอกของบ้านนา ที่ฝ่ายเรามีอยู่ฐานเดียว รวมทั้งขุดสนามเพลาะและหลุมบุคคลรุกเข้ามาเพื่อสังเกตการณ์การปฏิบัติของฝ่ายเราด้านทิศตะวันตกของกองพัน BI – 15 เป็นยุทธวิธีที่กดดันและกระชับวงล้อมรูปแบบหนึ่งของข้าศึก นอกเหนือจากการยิงถล่มด้วย ป. ในเวลากลางคืน
2.ฝ่ายเราแก้ไขด้วยการจัดหน่วยขนาด มว.ปล. (-) เข้าโจมตีกวาดล้างข้าศึกที่ขุดสนามเพลาะปิดล้อมและรุกคืบเข้ามา ซึ่งได้ผลในระดับหนึ่ง เนื่องจากไม่มีกําลังมากพอ รวมทั้งขาดการยิงสนับสนุนจาก ป. และอาวุธหนักของฝ่ายเราที่ทําได้อย่างจํากัดและถูกทําลายลงเกือบหมด จึงได้แค่การขับไล่ข้าศึกออกไปจากพื้นที่ได้ชั่วเวลาหนึ่ง ไม่สามารถยึดพื้นที่ไว้ได้ ในวันรุ่งขึ้นข้าศึกก็กลับเข้ามาใหม่ เพื่อดํารงความมุ่งหมายที่จะกดดันฝ่ายเราต่อไปและมากขึ้นมากขึ้นทุกวัน
3.ข่าวการรุกกลับของฝ่ายเราด้วยการส่งกําลังทหารเสือพรานลงเพื่อรุกกลับสร้างแรงกดดันกับข้าศึกพอสมควร แต่ก็เป็นการเร่งให้ข้าศึกจัดการกับพวกเราที่บ้านนาให้เร็วขึ้น
4.การส่งกําลังทหารเสือพรานลงเพื่อรุกกลับ ข้าศึกจึงมีการปรับกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ ทําให้สถานการณ์ที่บ้านนาเริ่มเบาบางลงโดยเฉพาะการยิงถล่มด้วยปืนใหญ่และอาวุธหนักของข้าศึกน้อยลง.
“แนวรบที่สงบเงียบ”
...หรือข่าวทหารเสือพรานที่กําลังส่งลงพื้นที่ทําให้ข้าศึกต้องคิดหนัก กําลังเสือพรานดึงความสนใจของข้าศึก จึงปล่อยเราอยู่ไปก่อน ผมคิดแต่ในแง่ดีเพื่อให้เกิดความสบายใจ....
“เข้าตีที่มั่นข้าศึก”
รุ่งขึ้นหลังจากวันที่ผมลาดตระเวนกวาดและโจมตีข้าศึกร่วมกับกองร้อยสุรินทร์ คืนนั้นไม่มีการโจมตีและยิงถล่มด้วยปืนใหญ่จากข้าศึกแต่อย่างใด ทําให้ผมหลับสนิทและตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น เพราะได้นอนอย่างเต็มที่โดยไม่มีอะไรมารบกวนหรือกังวลและทําให้นอนไม่เต็มอิ่ม นานๆจะมีซักวัน รู้สึกสดชื่นและแข็งแรงขึ้น
ในตอนเช้าอากาศในช่วงเดือนมีนาคมซึ่งเป็นฤดูร้อนที่สมรภูมิบ้านนากําลังสบาย แต่ตอนกลางวันค่อนข้างร้อน แต่ก็ไม่ถึงกับร้อนมากเพราะเป็นที่ราบสูงที่ล้อมรอบด้วยภูเขา
บรรยากาศเงียบสงบดีไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ไม่มีการโจมตีทางอากาศจากฝ่ายเรา ไม่มีการยิงอาวุธหนักหรือปืนใหญ่จากข้าศึก
หลังพยายามกลืนอาหารกระป๋องและผลไม้กระป๋องเป็นอาหารเช้าเช่นเคย ผมเรียกจ่าบุญรองผู้บังคับหมวดให้รวมทหารตรวจสอบอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่และให้ทหารทําความสะอาดอาวุธประจํากายให้สะอาด ให้พร้อมรบและอยู่ในฐานที่มั่น
ผมทราบว่าเรายังมีกระสุนและเสบียงกระป๋องจํานวนมากพอที่จะอยู่ได้อีกนาน เพราะตุนไว้มากตอนที่หน่วยเหนือทิ้งลงมาให้ก่อนที่ข้าศึกจะโจมตีเราด้วยปืนใหญ่ และกระสุนนาปาล์ม แนวลวดหนามป้องกันหน้าที่มั่นก็มีความแข็งแรงพอหากถูกข้าศึกเข้าโจมตี
พวกเราเดนตายทุกคนพร้อมที่จะต่อสู้จนนาทีสุดท้าย อนาคตข้างหน้าเดาไม่ได้ ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นกับเรา รู้แต่ว่ามันจะต้องจัดการพวกเราที่บ้านนาอย่างแน่นอนในเร็วๆนี้ ถ้าสถานการณ์ทุกอย่างพร้อมสําหรับมัน
วันรุ่งขึ้นถัดจากนั้นมา ทุกอย่างที่สมรภูมิบ้านนายังคงเงียบเหมือนเดิมเช่นเมื่อวานที่ผ่านมา เงียบจนผมรู้สึกแปลกและผิดปกติ …
หรือข่าวทหารเสือพรานที่กําลังส่งลงพื้นที่ทําให้ข้าศึกต้องคิดหนัก กําลังเสือพรานดึงความสนใจของข้าศึก จึงปล่อยเราอยู่ไปก่อน ผมคิดแต่ในแง่ดีเพื่อให้เกิดความสบายใจ
ในวันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่มีแต่ความเงียบสงบ เมื่อมันเงียบเราก็เงียบ คงพักผ่อนกันตามสบายอยู่ในคูเรดในบังเกอร์ บางคนก็นอนพักในรูหลบภัย ไม่มีใครโผล่ออกไปเดินนอกคูหรือนอกที่มั่น หน่วยเหนือก็ไม่มีการปฏิบัติใดๆ
ผมได้เรียกพลวิทยุมาและเปิดเครื่องจูนหาคลื่นเพื่อดักฟังข่าวสาร จากการส่งข่าวสารของฝ่ายเราทําให้พอรู้ข่าวได้ว่าขณะนี้ทหารเสือพรานฝ่ายเราเข้าสู่พื้นที่แล้ว โดยเข้ายึดเนินสกายไลน์ มีการโจมตีทางอากาศอย่างหนักต่อฝ่ายข้าศึกที่เนินสกายไลน์และจะรุกเข้ายึดเมืองซำทองในขั้นต่อไป
การเปิดวิทยุดักฟังทําให้ผมรู้สถานการณ์มากขึ้น สร้างความหวังและกําลังใจให้ผมและลูกน้องเดนตายที่เหลือให้อดทนต่อสู้และรอต่อไป ถ้าไม่โชคร้ายจนเกินไป พวกเราที่เหลือกันเท่านี้คงมีโอกาสรอดจากนรกนี้กลับไปบ้านเกิดเมืองนอนได้
ความเงียบจากสถานการณ์ทําให้พวกเราใช้ชีวิตกันสบายๆในที่จํากัด แต่ก็ยังดีกว่าสถานการณ์ที่อยู่ในช่วงถูกโจมตีอย่างหนักด้วยปืนใหญ่ของข้าศึก.
“วัดดวงอีกครั้ง”
.....ถาม ผบ.หมู่ ว่าจัดกําลังมาจากไหน จึงได้ทราบว่าจัดมาจากพวกพยาบาลบ้าง สื่อสารบ้าง และอื่นๆผสมกันมา ผมจะต้องนําทหารช่วยรบเหล่านี้เข้าตีข้าศึกแบบไหนดี……
วันและคืนนั้นจึงผ่านไปด้วยความเงียบสงบ ในวันรุ่งขึ้นผมได้ยินเสียง บ.ตรวจการณ์มาบินวนรอบๆ บ.นาแต่เช้า ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เบาๆอยู่ในระดับสูง แต่ไม่มีการโจมตีทางอากาศแต่อย่างใด
ผมนั่งพักอยู่ที่ในคอกบังเกอร์หน้าแนว เฝ้าฟังข่าวสารการติดต่อกันทางวิทยุของฝ่ายเรากับกําลังทหารเสือพรานที่กําลังปฏิบัติงานกันอยู่หลายหน่วย บ้างกําลังเคลื่อนย้ายกําลัง บ้างก็กําลังเข้าโจมตีข้าศึก บริเวณเมืองซำทอง เหตุการณ์ที่ผมฟังอยู่ขณะนี้ น่าจะทําให้
สถานการณ์ที่บ้านนาสงบลง มีส่วนอย่างมาก ผมคิดและคิดว่าก็ดี พวกเราจะได้พักคลายเครียดกันบ้าง เพื่อนทหารเสือพรานแบ่งไปบ้างก็ดี
ขณะกําลังเพลิน สนใจแต่การดักฟังข่าวสารทางวิทยุอยู่ มีลูกน้องมารายงานผมว่า
“หมวดครับ มีข่าวสารของกองพันมาให้ทราบและเซ็นรับทราบคําสั่งครับ !”
ผมรับเอาข่าวสารมาอ่านในทันที
จาก หน. พรหม (ผบ.พัน BI – 15 ) ถึง หน.ใจ
ภารกิจ ให้นํากําลัง 1 มว.ปล.เข้ายึดที่มั่นข้าศึกที่รุกเข้ามาตั้งฐานที่มั่นบริเวณพิกัด .............เพื่อขับไล่ข้าศึกและยึดพื้นที่คืน ให้เริ่มปฏิบัติการได้ ตั้งแต่ 13.00 น. วันนี้
BI - 15 จะจัดกําลังสมทบให้ 2 หมู่ ปล. ขึ้นการบังคับบัญชากับ หน.ใจ รายงานให้ BI -15 ทราบ เมื่อเริ่มปฏิบัติการ
การสนับสนุน ระหว่างปฏิบัติการจะมี บ.ตรวจการณ์บินคุ้มกันและสนับสนุนการยิงให้เมื่อร้องขอและประสานกับพันเชอร์โดยตรงเมื่อต้องการ ป. ยิงสนับสนุน
ลงชื่อ จาก หน. พรหม (ผบ.พัน BI - 15)
และมีช่องให้ผมเซ็นรับทราบคําสั่ง ผมอ่านคําสั่งแล้วเซ็นทันที ถึงมันจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมมารบในสมรภูมินี้ที่ต้องเซ็นคําสั่ง
ผมคิดในใจสถานการณ์มันคับขันก็ต้องเป็นเช่นนี้ ว่ากันไม่ได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เรากําลังรบอยู่ในสนามรบ ผู้บังคับบัญชาสั่งต้องปฏิบัติตามอยู่แล้วไม่มีข้อแม้ใดๆ ถึงแม้ว่าการไปเข้าตีที่มั่นข้าศึกในครั้งนี้จะได้กลับมาอีกหรือไม่ก็ตาม
ก็ต้องไป
ยังดีที่จัดกําลังมาให้ผม 2 หมู่เต็ม ไม่งั้นผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะใช้กําลังอะไรที่ไหนเข้าตีที่มั่นข้าศึก เพราะผมเหลือลูกน้องอยู่ 18-19 คน รวมกับส่วนของ มว. ได้ 20-21 คน ไม่ถึง 2 หมู่ดี
2 หมู่เต็มๆที่มาสมทบจากกองพัน จะเป็นอย่างไรยังบอกไม่ได้
ผมเรียกจ่าบุญมาบอกให้รับทราบภารกิจคร่าวๆให้เข้าใจและให้จัดกำลังให้ผม 1 หมู่เต็ม 12 นาย ใช้ผู้หมู่หลักที่ยังเหลืออยู่คุมทั้ง ผบ.หมู่และรองผบ.หมู่ ในหมู่เอา M-60 ไปพร้อมทั้งเครื่องยิงระเบิด M-203 ด้วย 2 กระบอก
ครั้งนี้เราจําเป็นต้องใช้อํานาจการยิงอย่างเต็มที่ในการเข้าตีที่มั่นข้าศึกตามคําสั่งของกองพัน
ส่วนเรื่องธุรการผมบอกให้จ่าบุญสั่งทหารให้นํากระสุนไป 4 เบสิค ระเบิดมือเต็มที่ คงต้องใช้มากและอาหารกระป๋อง 1 วัน น้ำจืดเราไม่มี ไปหาเอาในลําธารข้างหน้าหรือกินจากน้ำผลไม้
ผมดูเวลาขณะนี้เกือบ 11.00 น. แล้ว จึงบอกให้จ่าบุญสั่งทหารให้กินข้าวให้เสร็จก่อนเที่ยง และ 12.30 น. ให้รวมทหารกับ 2 หมู่สมทบจากกองพันในคูเรดหน้า บก.มว. เพื่อรับคําสั่งจากผม และคงไม่มีเวลาตรวจภูมิประเทศและลาดตระเวนที่หมายเพื่อวางแผน
มันเป็นคําสั่งเร่งด่วนจากกองพันที่แทบจะไม่มีเวลาเตรียมการใดๆให้ถูกต้องตามยุทธวิธีเลย
จากประสบการณ์ ผบ. มว.ปล. ในเวียดนามและประสบการณ์จากการได้รับการฝึกหลักสูตรชั้นนายร้อยตอนอยู่ปี 5 รวมทั้งการฝึกจู่โจมและหลักสูตรการรบอื่นๆตอนจบแล้วเช่นหลักสูตร ตปส. และเข้ากวาดล้าง ผกค.จริงจากการเป็น ผบ.หมวด ตปส. บริเวณพื้นที่ นาแก จ.สกลนคร เป็นประสบการณ์ที่ผมมีและผ่านมาแล้ว ก่อนที่จะมารบลาว
แต่ต่างสมรภูมิก็ต่างยุทธวิธี ต้องหาทางเอาเองในการที่จะปฏิบัติภารกิจให้สําเร็จ
ผมศึกษาแผนที่เพื่อเช็คพิกัดของเป้าหมาย รวมทั้งแนวทางที่ควรจะเคลื่อนที่เข้าสู่ที่หมายตามพิกัดที่กองพันให้มาและขึ้นไปบนหลังคาบังเกอร์เพื่อใช้กล้องส่องสองตามองดูที่หมายตามทิศทางและพิกัดที่กําหนด
ผมกวาดกล้องไปตามมุมที่วัดไปยังที่หมายตามแผนที่
ผมเห็นแล้วมันเป็นลักษณะที่มั่นไม่ใหญ่มาก เห็นการดัดแปลงที่มั่นลักษณะเป็นคูเรดและบังเกอร์ เห็นดินเป็นสีแดงๆต่างกันชัดเจนจากกล้อง มันคงมีกําลังไม่เกิน 1 หมวด เป็นที่มั่นเล็กๆ ที่ยื่นลึกเข้ามาใกล้ฐานกองพันที่บ้านนามากที่สุด จากเดิมที่ผมและไอ้เหมียวกองร้อยสุรินทร์เพิ่งไล่ตีมันถอนไปเมื่อ 2-3 วันก่อน ตอนนี้มันกลับเข้ามาใหม่และขุดสนามเพลาะเป็นที่มั่นลึกเข้ามามากกว่าเดิม น่าจะห่างจากที่มั่นผมไม่เกิน 1 กิโลเมตร
ภูมิประเทศเป็นลาดเนินเล็กๆสูงๆต่ําๆ ก่อนถึงที่มั่นเป็นที่โล่งแทบไม่มีต้นไม้เลยที่เกิดจากการโจมตีทางอากาศและอาวุธหนักจากการรบที่ผ่านมา มันอยู่ใกล้ๆที่เดิมที่เราเคยไปไล่มันในคราวที่แล้ว
ผมวางแผนปฏิบัติการในใจ ก่อนที่จะจัดการกับอาหารกลางวันที่ลูกน้องนำมาให้ แล้วรีบเตรียมให้ตัวเองพร้อมรบก่อน 12.30 น. ผมใช้ AK-47 พับฐานที่ยึดได้จากแซปเปอร์เป็นอาวุธประจําตัว มันสั้นกะทัดรัด ถึงจะหนักบ้างแต่ก็ไม่ต้องกังวลกับเรื่องติดขัดและความสะอาด ขอให้ภายในและลูกเลื่อนมีการหล่อลื่นและไม่สกปรกมาก ก็เชื่อถือได้ไม่มีขัด
ผมไปที่หน้าบังเกอร์ บก.หมวดในชุดพร้อมรบ เห็นว่าจ่าบุญและทหารรวมกันอยู่ที่นั่นแล้วทั้ง 3 หมู่ นั่งเบียดอยู่ในคูเพื่อฟังคําชี้แจงจากผม
ผมตรวจยอดกําลังพลทั้ง 3 หมู่ครบ 36 นาย มี ผบ.หมู่และรองครบทุกหมู่ รวม กับ บก.หมวดมีกําลังรวม 39 คน ผมลองสอบถามหมู่จาก บก.พัน ที่ส่งมาให้กับผม ดูแล้วทั้ง ผบ.หมู่และลูกน้องไม่น่าเป็นทหารราบหรือทหารเหล่ารบ จากลักษณะท่าทางการแต่งกายไม่เหมือนลูกน้องผมเลย
ถาม ผบ.หมู่ ว่าจัดกําลังมาจากไหน จึงได้ทราบว่าจัดมาจากพวกพยาบาลบ้าง สื่อสารบ้าง และอื่นๆผสมกันมา ผมจะต้องนําทหารช่วยรบเหล่านี้เข้าตีข้าศึกแบบไหนดี
แต่คิดแล้วก็ยังดีกว่าไม่มี.
“นาทีระทึก”
.....ผมกลัวอย่างเดียวคือไม่อยากปะทะกับข้าศึกระหว่างเคลื่อนที่เข้าสู่ที่หมายทั้งหน่วยลาดตระเวนหรือชุดยามคอยเหตุของข้าศึกเพราะจะทําให้เราเปิดเผยและยุ่งยากต่อการปฏิบัติภารกิจให้สําเร็จได้ยากขึ้น หรือภารกิจอาจจะล้มเหลวเลยก็ได้……
ผมถาม ผบ.หมู่ ว่าจัดกําลังมาจากไหน จึงได้ทราบว่าจัดมาจากพวกพยาบาลบ้าง สื่อสารบ้าง และอื่นๆผสมกันมา ผมจะต้องนําทหารช่วยรบเหล่านี้เข้าตีข้าศึกแบบไหนดี แต่คิดแล้วก็ยังดีกว่าไม่มี ผมทําใจ ไม่อยากถามมากไปกว่านี้อีกแล้ว จึงชี้แจงภารกิจให้ทราบ เราได้รับภารกิจให้เข้าตีที่มั่นข้าศึกอยู่ห่างจากที่นี่ไปประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อยึดและขับไล่ข้าศึกให้ออกไปจากพื้นที่ในบ่ายวันนี้ จะเริ่มออกใน 13.00 น.
การเคลื่อนกําลังข้างต้นใช้รูปขบวนแถวตอนแบบลาดตระเวน โดยให้หมู่ 1 ของผมนํา และ 2 หมู่ 2,3 สมทบตามหลัง เราจะมุ่งสู่ที่หมายด้วยมุมทิศประมาณ 250-260 องศาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ การปฏิบัติระหว่างเคลื่อนที่ให้ฟังคําสั่ง เราจะมี บ.ตรวจการณ์ติดอาวุธบินคุ้มกันพวกเราระหว่างเคลื่อนที่สู่ที่หมาย มีใครมีปัญหาหรือข้อสงสัยอะไรไหม ผมถาม ...
“ไม่มี”
ผมรู้ในใจของทุกคนว่าการไปวัดดวงครั้งนี้หนักแน่ ยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า
ผมบอกว่าขณะนี้เวลา 12.50 น.อีก 10 นาทีจะออกจากฐาน ให้ทุกคนเตรียมให้พร้อม และ ผบ.หมู่ตรวจอาวุธให้เรียบร้อยพร้อมใช้งานทุกคน
จากนั้นผมขึ้นไปนอนหมอบอยู่บนหลังคาบังเกอร์ และใช้กล้องส่องสองตาดูเป้าหมายและภูมิประเทศอีกครั้งและวางแผนในใจว่าจะต้องหาจุดรวมพลครั้งสุดท้ายใกล้ๆที่หมายและตรวจที่หมายอีกครั้ง ก่อนเคลื่อนกําลังเข้าสู่แนวตะลุมบอน
มันเป็นหลักนิยมที่ได้รับการฝึกมาอย่างนี้เท่าที่ผมจําได้และไม่เคยปฏิบัติงานจริง
ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
ผมรบในเวียดนาม เข้าลาดตระเวนกวาดล้างข้าศึก ส่วนใหญ่ก็เป็นการลาดตระเวนแล้วเกิดการปะทะและภูมิประเทศเป็นป่ารกทึบส่วนใหญ่ เมื่อปะทะแล้วก็จะใช้กลยุทธ์เข้าเคลียร์ที่หมายแบบใช้หมู่ปืนเล็กเข้าดําเนินการ
ส่วนใหญ่ปะทะกันในระยะประชิดแล้วเพราะเป็นป่ารกทึบ แต่ครั้งนี้มันต่างกัน
ผมลงจากหลังคาบังเกอร์ และไม่ลืมที่จะบอก “เพื่อนย้ง”ยุทธการปืนใหญ่ฐานพันเชอร์ ไอ้ย้งรับทราบและบอกผมว่า “ไม่ต้องห่วง เต็มที่”
เราพูดกันเท่านี้เป็นอันรู้กัน
ก่อนสั่งลูกน้องออกจากฐาน ผมรายงาน บก. BI-15 ว่า เราเริ่มออกปฏิบัติการแล้วตามคําสั่งโดยใช้รหัสตัวอักษรภาษาอังกฤษ “OP” ตามที่ใช้กัน
13.00 น. พอดี
ผมสั่งลูกน้องลงตรงช่องเดิมตรงหุบลึก เราใช้เวลาไม่นานก็ลงมาถึงลําธารเล็กๆ ซึ่งเป็นร่องลําธารที่คั่นระหว่างเนินของฐานบ้านนากับเนินด้านตะวันตก และให้หมู่นําลูกน้องผมรีบขึ้นไปวางตัวซุ่มบนเนินฝั่งตรงข้าม ตัวผมเองคุมลูกน้องอยู่กับหมู่นำ เมื่อถึงฝั่งตรงข้ามเห็นว่าปลอดภัยจึงให้สัญญาณอีก 2 หมู่ตามขึ้นไป
2 หมู่หลังเคลื่อนตาม ทหารหลายคนจึงถือโอกาสกรอกน้ำเข้ากระติกของตัวเองให้เต็มแล้วรีบข้ามไป ผมไม่ว่าอะไร เพียงแต่บอกให้เร็วๆเท่านั้น เกือบทุกคนกรอกน้ำและวักน้ำเข้าปาก เพราะเราไม่ได้ดื่มน้ำจืดมานานแล้วไม่มีใครอยากละโอกาสนี้ ลูกน้องผม 2-3 คน เอากระติกเพื่อนมากรอกน้ำโดยเร่งรีบ แล้วรีบขึ้นไป เราต้องการน้ำจืดไว้แก้กระหาย เพราะงานนี้เหนื่อยแน่นอน ผมเร่งให้ทุกคนรีบขึ้นไปวางตัวยังฝั่งตรงข้ามให้หมดเพื่อจะสั่งเคลื่อนย้ายต่อ
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของ บ.ตรวจการณ์
ผมรีบให้พลวิทยุเรียกขานตามรหัสและก็สามารถติดต่อกับ บ.ตรวจการณ์ได้ เราส่งข่าวโดยเข้ารหัสสั้นๆว่า “กําลัง OP ตามคําสั่ง คุ้มกันด้วย" บ.ตรวจการณ์รับทราบ หลังจากนั้นผมก็สั่งหมวดของผมเคลื่อนที่ต่อไปด้วยรูปขบวนแถวตอนแบบลาดตระเวนตามเดิม
ภูมิประเทศยังเป็นป่ารกทึบ ช่วยซ่อนพรางพวกเรา แต่ก็เคลื่อนไปได้ช้า
ก่อนออกปฏิบัติการผมวัดระยะในแผนที่ ที่หมายห่างจากเราประมาณ 1 กิโลเมตร แต่เดินจริงในภูมิประเทศน่าจะใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง
ผมคุมหมู่นําซึ่งเป็นหมู่ของผมนํา 2 หมู่สมทบของกองพันมุ่งสู่ที่หมายข้างหน้าต่อไป
กําลัง 1 หมวดของผมลาดตระเวนมาประมาณ 1 ชั่วโมงแล้ว ป่าเริ่มไม่รกทึบ มีร่องรอยจากการถูกโจมตีทางอากาศ แต่ก็ยังพอมีต้นไม้และหญ้าคาขึ้นช่วยพรางเราได้พอสมควร หมวดผมยังลาดตระเวนอยู่ด้วยรูปขบวนแถวตอนด้วยความระมัดระวัง บางครั้งก็หยุดขบวนเพื่อดูเหตุการณ์ข้างหน้า หรือสงสัย
ผมกลัวอย่างเดียวคือไม่อยากปะทะกับข้าศึกระหว่างเคลื่อนที่เข้าสู่ที่หมายทั้งหน่วยลาดตระเวนหรือชุดยามคอยเหตุของข้าศึกเพราะจะทําให้เราเปิดเผยและยุ่งยากต่อการปฏิบัติภารกิจให้สําเร็จได้ยากขึ้น หรือภารกิจอาจจะล้มเหลวเลยก็ได้ เราต้องการการจู่โจมและไม่อยากให้ข้าศึกรู้ตัว จนกว่าเราจะออกจากแนวตะลุมบอนเข้าตีที่หมาย
และก็โชคดีที่ยังไม่พบและปะทะกับข้าศึก
ผมพาหมวดลาดตระเวนมาได้เกือบ 2 ชั่วโมงแล้วและได้มาถึงบริเวณชายป่าซึ่งข้างหน้าเป็นที่โล่ง มีแต่หญ้าคาและต้นไม้ตายเป็นตอสั้นยาวที่เกิดจากไฟไหม้และการโจมตีทางอากาศ
ผมสั่งหยุดหน่วยและคิดว่าจะเลือกบริเวณนั้นเป็นจุดรวมพลครั้งสุดท้ายจึงเรียก ผบ.หมู่มาสั่งการและมอบพื้นที่ระวังป้องกันรอบตัวให้แต่ละหมู่ และให้ ผบ.หมู่ไปลาดตระเวนที่หมายกับผม
ผมพา ผบ.หมู่ทั้ง 3 หมู่ ค่อยๆเดินก้มต่ำไปข้างหน้าแบบระมัดระวังประมาณ 30-40 หลา เราพอจะมองเห็นที่หมายแล้ว ข้างหน้าเป็นเนินดินและมีวัชพืชปกคลุมพอหลบได้ เราคลานแบบคลานสูงเข้าไปวางตัวเพื่อตรวจที่หมาย
ผมใช้กล้องส่องตา ตรวจดูที่หมายเห็นชัดเจนว่า มันเป็นที่มั่นที่ขุดดัดแปลงแบบหลุมบุคคลเห็นชัดเจน 4-5 หลุม ผมพยายามดูว่ามีการเคลื่อนไหวของข้าศึกหรือไม่ก็ไม่เห็น เราไม่เห็นส่วนลึกและด้านข้างของที่หมาย
แต่ก็พอประมาณได้ว่าน่าจะเป็นหลุมบุคคลและที่มั่นดัดแปลงไม่เกินหมวดปืนเล็ก และมองไม่เห็นรังปืนกลหรือที่ตั้งอาวุธหนัก.
“ตายในสนามรบเป็นเกียรติของทหาร”
...รวมแล้วผมเสียไปอีกครึ่งหมู่ 6 คน ผมปลงแล้ว หมวดผมมันละลายแล้ว ผมไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไปแล้ว....
ผมและ ผบ.หมู่ คลานกลับมายังที่รวมพลเพื่อวางแผนการเข้าโจมตีข้าศึก...
ณ จุดรวมพล ผมบอกกับ ผบ.หมู่ ว่า เราจะขอให้ บ.คุ้มกันโจมตีที่มั่นของข้าศึกด้วยจรวดอากาศ เมื่อ บ. เริ่มโจมตี เราทั้ง 3 หมู่จะเคลื่อนออกจากที่รวมพลกันตามรูปขบวนแถวตอน แยกเป็น 3 หมู่ ผมจะคุมอยู่หมู่กลางอีก 2 หมู่อยู่ด้านข้าง ระยะห่างด้านข้างระหว่างหมู่ไม่เกิน 100 หลา เราจะใช้โอกาสและเวลาที่ข้าศึกถูกกดดันจากการถูก บ.โจมตีเคลื่อนที่เข้าประชิดแนวที่มั่นข้าศึกให้ใกล้ที่สุด แล้ววางตัวเป็นหน้ากระดาน
ทั้งสามหมู่ให้ดูหมู่กลางเป็นหลัก
เมื่อทุกหมู่วางตัวพร้อมผมจะให้สัญญาณเคลื่อนที่ออกจากแนวตะลุมบอน เข้าโจมตีเพื่อยึดที่หมายทันที ความสําเร็จขึ้นอยู่กับการเคลื่อนที่ให้เร็วและถึงแนวตะลุม
บอนพร้อมกัน
เมื่อผมให้สัญญาณโจมตีก็เคลื่อนออกจากแนวตะลุมบอนพร้อมกัน และใช้อํานาจการยิงของหมู่ให้เต็มที่ก็จะยึดที่หมายได้
ผมชี้แจงจนทุกคนเข้าใจและรับปฏิบัติและให้ทุกหมู่ไปเตรียมการได้
ผมรีบใช้วิทยุติดต่อกับ บ.ตรวจการณ์ที่คุ้มกันเรา เพราะตั้งแต่เราเริ่มออกมาจากฐานที่มั่นยังได้ยินเสียงบินอยู่ และสามารถติดต่อได้ ผมขอการยิงสนับสนุนจาก บ.คุ้มกันทันที ก็ได้รับคํา ตอบว่า OK จะจัดการให้ ผมถามว่าเห็นที่หมายหรือไม่ ก็ได้รับคําตอบว่าเห็นเป้าหมายแล้ว แต่อยากเห็นที่อยู่ของเราให้แน่นอนก่อน
ผมรีบเอากระจกสัญญาณออกมาทันที แล้วบอก บ.ตรวจการณ์ว่าผมจะแสดงที่ตั้งด้วยกระจกสัญญาณ การใช้ระเบิดควันคงไม่ได้
ผมนอนหงายมือจับกระจกสัญญาณให้มีแสงสะท้อนขึ้นไป เมื่อ บ.ของเราบินวนมาบริเวณที่เรารวมพลอยู่ ครู่เดียว บ. คุ้มกันก็บอกมาว่าเห็นคุณแล้วและมาร์คจุดเรียบร้อย จะเริ่มโจมตีข้าศึกในทันที
ผมเตรียมให้สัญญาณกับอีก 2 หมู่ ซึ่งตั้งขบวนแถวตอนเตรียมการเคลื่อนที่เข้าสู่ที่หมายทุกหมู่แล้ว เราอยู่ห่างจากที่หมาย ประมาณ 300-400 หลา เราต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้าให้ได้ประมาณ 100 กว่าหลาเพื่อวางตัวเตรียมเข้าตะลุมบอนระหว่างที่ บ.ใช้จรวดโจมตีที่มั่นข้าศึก
ผมได้ยินเสียงเครื่องยนต์ บ. คุ้มกันเร่งเครื่องดังสนั่น ไต่ระดับสูงขึ้นและเริ่มปักหัวลงเกือบจะเป็นแนวดิ่งจากนั้นก็ได้ยินเสียงจรวดที่ยิงลงมาเสียง แซด! กรึม! แซด! กรึม! ลงบริเวณที่หมายข้างหน้า
ผมสั่งให้ทั้ง 3 หมู่เคลื่อนที่ออกทันที เราวิ่งลัดเลาะไปตามภูมิประเทศค่อนข้างโล่งเตียน สูงต่ำ แทบไม่มีต้นไม้ มีแต่ตอไม้ แบบเคียงคู่ขนานกันไป ห่างกับด้านข้างพอสังเกตได้ พยายามวิ่งแบบทําตัวเองให้ต่ำที่สุด ลัดเลาะไป
เราเข้าใกล้ที่หมายแล้ว มองเห็นเนินดินและสนามเพลาะที่ถูกขุดชัดเจนอยู่ข้างหน้า ยังไม่มีการตอบโต้ใดๆจากข้าศึก
บ.คุ้มกันเริ่มไต่ระดับและเข้าโจมตีด้วยจรวดรอบสองเสียง แซด! ของจรวดวิ่งผ่านอากาศ เข้าสู่ที่หมายบริเวณที่มั่นของข้าศึกข้างหน้าพวกเราไม่เกิน 200 หลา ตกระเบิดเสียงดัง กรึม! กรีม!
ผมสั่งให้ลูกหมู่ของผมที่คุมอยู่หยุด ทุกคนคลานเข้าหาที่กําบังวางตัวเป็นแนวหน้ากระดาน หมู่ด้านข้างของผมทั้งสองข้างตามมาหยุดอยู่ทางด้านข้างหมู่ของผม ผมให้สัญญาณทุกหมู่วางตัวเป็นแนวหน้ากระดาน พอดี บ.ตรวจการณ์พูดเข้ามาบอกว่า หยุดการโจมตีเท่านี้ ขอกลับไปก่อน และบอกเพื่อนกําลังมาเปลี่ยนแล้ว
ผม OK ขอบคุณ
ผมก็รู้ว่า บ.คุ้มกันจรวดหมดแล้ว มันยิงครั้งละ 2 ลูก 2 ครั้ง ก็จบเพราะมีอยู่เท่านั้นสําหรับ บ.ตรวจการณ์ติดจรวด
ผมไม่ช้าและลังเลอีกต่อไปสั่งลูกน้องเข้าเคลียร์ที่หมายทันทีตามแผนที่วางกันไว้ ทุกคนในหมู่ผมลุกขึ้น ปืนทุกกระบอกระดมยิงเข้าสู่ที่หมายข้างหน้าเป็นชุดๆ พวกเราเคลื่อนที่ไปยิงไปทั้ง M -16,M -79 และ M -60
ผมคุมหมู่กลางและสั่งให้ยิงเข้าใส่ที่หมายพร้อมกับเคลื่อนที่ไปไม่มีการหยุด พวกเรายิงเป็นชุดๆ ปลดซองกระสุนแบบไม่ต้องเก็บ โดยเฉพาะ M -60 ยิงอย่างต่อเนื่องเป็นชุดๆ ไม่มีการหยุดจนหมดสาย ทั้ง M -79 (M-203) ที่ติดอยู่คู่กับลํากล้อง M -16 ก็สามารถยิงเล็งตรงไปยังหลุมบุคคลได้
เราเดินเข้าไปเคลียร์ที่หมาย ด้วยอำนาจการยิงของหมู่อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะหมู่ที่ผมคุมอยู่
หมู่ของผมดาหน้าเข้าเคลียร์ที่หมาย โดยเคลื่อนที่ค่อนข้างเร็วผสมกับการระดมยิงเพื่อชาร์จให้ถึงที่หมายได้เร็วที่สุด
ผมมัวแต่คุมหมู่ผมโดยไม่ได้สังเกตหมู่ด้านข้างว่าเข้าชาร์จตามแผนที่วางไว้หรือไม่ เพราะสั่งการกันไว้หมดแล้ว ยังไม่มีการต่อต้านใดๆจากข้าศึกเลย หรือมันจะรู้และรีบเผ่นจากที่มั่นของมันไปแล้วตั้งแต่ บ.ตรวจการณ์โจมตีมันด้วยจรวดอากาศ เพราะข้าศึกเสียเปรียบเราอย่างเดียวคือการโจมตีทางอากาศ
ขณะที่หมู่ของผมเคลื่อนที่พร้อมกับระดมยิงไปยังที่มั่นข้าศึกอีก 40-50 หลาก็ถึงแนวหลุมบุคคลของข้าศึก พวกเราระดมยิงเข้าใส่หนักที่สุดเพื่อเข้ายึดที่หมาย
แต่แล้วเสียงระเบิดดังก้องสนั่นก็ระเบิดขึ้นข้างหน้าหมู่ของผม ตึม! ตึม! ตึม! ติดต่อกัน 2-3 ครั้ง ทําให้ตาผมพร่าและหูอื้อ แรงอัดจากแรงระเบิดปะทะกับหมู่ผมเต็มๆ
หมู่ของผมที่กําลังดาหน้าเข้ายึดที่หมายยุบฮวบหายวับไปต่อหน้าผมแทบไม่เหลือ
ผมยังยืนทื่องงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกน้องของผมทั้งหมู่
ลูกน้อง 3-4 คนนอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้าผม เป็นตายยังไม่รู้
ผมยังยืนอยู่ด้วยอารมณ์ที่อัดอั้นเคียดแค้นต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ผมเงยหน้ามองฟ้าร้อง เหี้ย! ออกมาดังลั่นด้วยอารมณ์ที่อัดอั้น เคียดแค้น มือผมทุบอกตัวเองไปด้วย ปากก็พูดว่า “ทําไม กูไม่โดนบ้างวะ ทําไม !...ทําไม ! กูไม่โดนบ้างวะ !”
มันเกิดอารมณ์เช่นนั้นจริงๆ ไม่ใช่การเสแสร้งใดๆ การสูญเสียลูกน้องและผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นความเจ็บปวดของผู้บังคับบัญชาอย่างยิ่ง ไม่อาจจะบรรยายความรู้สึกได้ โดยเฉพาะผมที่เหลือลูกน้องเดนตายไม่ถึง 2 หมู่และเสียไปอีก
ผมคงไม่เหลือลูกน้องอีกแล้ว
จากนั้นสติแตกของผมก็เริ่มกลับคืนมา พอดีหมู่ 2 หมู่ด้านข้างเข้ามาถึงที่ผมยืนอยู่ จึงสั่งให้อีกหนึ่งหมู่เข้ายึดที่หมายและเข้าวางตัวไปข้างหน้าอีก 1 หมู่ซึ่งส่วนใหญ่มีทหารพยาบาลหลายคน ช่วยปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บและจัดการเก็บศพผู้เสียชีวิต
ผมเสียทหารที่เห็นข้างหน้าผม 2 นาย ผู้หมู่ 1 ทหารบาดเจ็บอีก 4 คน ทั้งสาหัสและไม่สาหัส
รวมแล้วผมเสียไปอีกครึ่งหมู่ 6 คน ผมปลงแล้ว หมวดผมมันละลายแล้ว ผมไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไปแล้ว
นึกสาบานในใจว่า ต่อไปกูจะไม่ยอมเสียใครอีก
10 กว่าคนต้องรอดกลับบ้านให้ได้ทุกคน
ผมนั่งเซ็งอยู่ข้างหลุมระเบิดของที่มั่นข้าศึกที่ยึดได้
มองดูลูกน้องกําลังปฐมพยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตด้วยผ้าปันโจกันฝน.
“No One Left Behind”
......ความมืดเริ่มเข้ามาสู่บริเวณที่เรายึดอยู่ ผมดูเวลามัน 6 โมงเศษแล้ว เมื่อทุกอย่างมืดสลัวลง มองทุกอย่างเลือนรางลงกับความมืดที่กําลังปกคลุมพื้นที่ๆเรามุดหลบอยู่ ผมจึงโผล่ออกมาดูบรรยากาศรอบตัวและสั่งถอนตัว......
ผมรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและการสูญเสีย ผมไม่โทษ 2 หมู่ที่มาสมทบจากกองพันที่ให้ผมมา เพราะพวกเขาไม่ใช่ทหารเหล่ารบตามที่ผมได้บอกเล่าไปแล้ว เวลาเข้าด้ายเข้าเข็มจึงไม่เป็นไปตามแผน มีหมู่ของผมที่ผมคุมอยู่หมู่เดียวเท่านั้นที่เข้าโจมตี
ก็ยังดีที่ให้คนมาช่วยแบกหามและพยาบาลผู้บาดเจ็บ ถ้าเข้าตามแผนอาจจะเจ็บตายกันมากกว่านี้
ชั่วครู่ลูกน้องผมที่เหลือคนหนึ่งเป็นรอง ผบ.หมู่มารายงานว่า
“หมวดครับ พวกเราโดนเคลย์โมร์ฆ้องของมัน 2-3 ลูก มันลากสายไปจุดหลัง แนวที่เราเข้ายึดเกือบ 100 เมตร สายโทรศัพท์ก็ยังอยู่
รองหมู่เอาขาเคลย์โมร์ให้ผมดู แล้วเอาเคลย์โมร์ฆ้องอีกลูกที่ยังไม่ได้จุดให้ผมดู มันเหมือนลูกฆ้องลูกใหญ่ๆที่เล่นดนตรีไทย เป็นโลหะมีขาตั้ง ไม่เหมือนเคลย์โมร์ของเราที่อเมริกันจ่ายให้มา
ผมรับทราบ
“และอีกอย่างครับ มันน่าจะมีกําลังไม่เกิน 1 หมวดดูจากหลุมบุคคลที่ขุด และเป็นที่มั่นดัดแปลงชั่วคราวไม่ใช่ที่มั่นดัดแปลงแข็งแรง กําลังส่วนใหญ่ของมันถอนไปก่อนแล้ว เหลือไม่เกินหมู่ที่รอกดเคลโมร์เมื่อเราบุกเข้าตีมัน”
ผมคิด นี่เราถูกหลอกล่อให้ตีที่หมายเสียแล้ว เพราะจากการตรวจการณ์ทางอากาศ อาจจะเห็นเป็นที่มั่นดัดแปลง และเห็นเป็นที่มั่นใหญ่จึงต้องจัดการ อีกอย่างมันอยู่ใกล้ฐาน บก.พัน BI-15 มาก
คงเป็นบทเรียนราคาแพงอีกครั้ง
ระหว่างที่ผมนั่งคิดว่าจะทําอะไรต่อไปและสั่งให้พลวิทยุมาหาผมเพื่อรายงานกองพันว่า เรายึดที่มั่นตามพิกัดได้แล้ว แต่มีการสูญเสียและบาดเจ็บหลายคน
กองพันก็รับทราบ แต่ยังไม่สั่งให้ผมถอนกําลังและนําผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตกลับแต่อย่างใด
จากเหตุการณ์ทําให้ผมลืมดูเวลา เมื่อมองดูเวลาก็พบว่าเกือบ 5 โมงเย็นแล้ว ขณะที่กําลังคิดว่าจะขออนุมัติถอนกําลังเพื่อนําผู้บาดเจ็บกลับไป
เสียง แวด กรึม! แวด กรึม! ก็ดังขึ้นบริเวณที่มั่นของข้าศึกที่เรายึดอยู่ มันตกใกล้ๆเรา
ผมรีบกลิ้งตัวเผ่นลงไปคุดคู้ในหลุมระเบิดที่อยู่ใกล้ตัว มันไม่ลึก แต่ก็พอมุดหลบลงไปต่ำกว่าพื้นดิน ลูกน้องผมก็เหมือนกัน ไม่ต้องสั่ง ทุกคนมุดหลบตามหลุมบุคคลหรือหลุมระเบิดที่อยู่ใกล้ๆ คนเจ็บเสนารักษ์ได้นําลงปฐมพยาบาลในหลุมบุคคลอยู่แล้ว
เสียง แวด กรึม! แวด กรึม! ของลูกปืนใหญ่น่าจะเป็นขนาด 70 -85 มม. และ ค. 82 ของข้าศึกยังตกระเบิดบริเวณที่มั่นที่เรายึดอยู่ และมีผสมด้วยเสียง แซด กรึม! แซด กรึม! ของกระสุนที่แหวกอากาศในแนวดิ่งตกลงบริเวณที่มั่นที่เราอยู่ตลอดเวลา
พวกเราอาศัยมุดหลบตามหลุมระเบิดและหลุมบุคคลอย่างเดียว
ถึงเวลาที่พวกมันเริ่มไล่เราแล้วด้วยการถล่มเราด้วย ค. และปืนใหญ่ขนาด 75-85 มม.ของมัน ไม่มีหนทางใดที่จะตอบโต้มันได้ ผมนึกถึง บ.ตรวจการณ์ขึ้นมาทันที เพื่อนของลําที่แล้วมาเปลี่ยนหรือไม่ เลยลองติดต่อทางวิทยุดู ได้รับคําตอบว่ายังบินตรวจการณ์และคุ้มกันเราอยู่ แต่ใกล้จะต้องกลับแล้ว ผมเลยบอกว่า เรากําลังถูกถล่มด้วย ป. และ ค. อยู่ ช่วยดูด้วยถ้าเห็นที่ตั้งมันช่วยถล่มก่อนกลับด้วย
บ.ตรวจการณ์บอก OK
หลังเลิกการติดต่อกับ บ.ตรวจการณ์แล้ว ผมวิทยุรายงาน บก.พันเพื่อขออนุญาตถอนตัว เนื่องจากมีผู้ที่บาดเจ็บและเสียชีวิตต้องนําไปรักษาพยาบาล กองพันก็อนุมัติ ผู้พันท่านคงเข้าใจสถานการณ์ดี ถ้ายึดอยู่หมดแสงสว่างเมื่อไหร่ บ.คุ้มกันเรากลับแล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเราถ้าดันทุรังอยู่ มันอาจจะส่งกําลังเข้าจัดการเราก็ได้ และมันคงจะเดาได้ว่าเราต้องมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
ผมตะโกนสั่งลูกน้องบอกให้เตรียมการถอนตัวและให้บอกต่อๆกันไปให้รู้ทุกคน ผมและลูกน้องยังคงหลบอยู่ในหลุมระเบิดและหลุมบุคคลในที่มั่นข้าศึกที่เรายึดได้ การยิงเริ่มหยุดลงหลังจากที่มันถล่มเราอย่างหนักนานพอสมควร
เสียงจรวดจาก บ.ตรวจการณ์ที่ยิงหลังจากมันหยุดถล่มเราระเบิดกรึมๆ จากนั้นก็ไม่ได้ยินอะไรอีก
ความมืดเริ่มเข้ามาสู่บริเวณที่เรายึดอยู่ ผมดูเวลามัน 6 โมงเศษแล้ว เมื่อทุกอย่างมืดสลัวลง มองทุกอย่างเลือนรางลงกับความมืดที่กําลังปกคลุมพื้นที่ๆเรามุดหลบอยู่ ผมจึงโผล่ออกมาดูบรรยากาศรอบตัวและสั่งถอนตัว เกือบทุกคนรีบโผล่ออกมาจากหลุมหลบภัยมารวมพลบริเวณที่ผมอยู่
ผมรีบสั่งการให้จัดรูปขบวนอย่างรวดเร็ว ดีว่าหมู่ที่รับผิดชอบการปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ เตรียมทุกอย่างในการนำผู้บาดเจ็บไว้พร้อมแล้วโดยไม่ต้องสั่งในรายละเอียดใดๆอีก
ผมสั่งให้หมู่ที่เหลือของผมเป็นชุดลาดตระเวนนำ ผมบอกมุมคร่าวๆและชี้มือตามทิศทางให้ตรงไปทางทิศนั้นจากมุมแบคอาซิมุธ เพื่อตัดลงหุบให้เร็วที่สุด พวกหมู่ที่ต้องหามผู้บาดเจ็บและศพผู้เสียชีวิตอยู่กลาง อีกหมู่ของกองพันที่ให้มาปิดท้ายขบวน
ผมเร่งเดินค่อนข้างเร็ว พาลูกน้องตัดลงหุบ ความมืดช่วยปิดบังพวกเราให้ถอนกําลังจากที่มั่นข้าศึกที่เรายึดได้ จากที่มั่นข้าศึกเป็นที่โล่งจนถึงชายป่าใกล้ลงหุบลึก เราเดินได้อย่างเร็วไม่เสียเวลามากนัก แต่ความยากลําบากในการแบกหามคนเจ็บและศพค่อนข้างยากและไปได้ช้า เมื่อเริ่มเข้าป่าและเริ่มลงหุบลึก แต่ก็ไม่มีใครบ่น ไม่แสดงอาการเหนื่อยล้า
วันนี้เราปฏิบัติภารกิจได้สําเร็จตามคําสั่งของกองพัน แต่ก็ต้องเสียเพื่อนรักร่วมรบไป 2 คนและบาด เจ็บอีก 4 คน เราต้องเอาเพื่อนกลับไปเพื่อรักษาพยาบาลให้เร็วที่สุด ผมไม่สั่งให้ลูกน้องหยุดเลย
จนในที่สุดเราก็โผล่ขึ้นจากหุบลึกสู่ที่ราบใกล้ฐานบ้านนา
เราใช้เวลาเดินทางกลับเพียงชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น นับว่าเร็วมาก เราหยุดรวมพลเพียงครู่เดียวเมื่อขึ้นจากหุบลึก ผมถามแต่ละหมู่มาครบเรียบร้อยทุกคนหรือไม่ ได้รับคําตอบว่าเรียบร้อย จึงเร่งเดินเข้าสู่ฐานที่มั่น
มาถึงที่มั่นของผมประมาณ 20.30 น.
ก่อนที่หมวดสมทบจะแยกไป ผมบอกย้ำกับ ผบ.หมู่ที่นําผู้บาดเจ็บลูกน้องผม บอกให้ช่วยดูแลให้ดีด้วย
ถ้ามีโอกาสให้รีบส่งกลับไปอุดรทันที
ผบ.หมู่เข้าใจและรับปาก
อีกหมู่ก็แยกย้ายกันกลับไป.
“เมื่อหวังยังมี”
.........ผมนั่งปลงชีวิตอยู่หน้าบังเกอร์ตรวจการณ์ในคูเรด กินอาหารเช้าเมนูเดิมจากต้มเนื้อกระป๋องและผลไม้กระป๋องเช่นเดิม ผมนั่งกินเงียบๆ ผมไม่อยากสั่งการใดๆกับลูกน้องของผมอีกแล้ว สั่งเมื่อใดก็เหมือนกับสั่งให้ใครต้องไปตายอีก ผมไม่อยากสูญเสียใครอีกแล้ว.....
ผมบอกจ่าบุญให้จัดเวรยามให้ดี เราเหลือคนน้อยลง แต่อย่าประมาท ให้จัด 2 จุดเป็นยามคู่เหมือนเดิม อดทนกันหน่อย ดีกว่าให้มันมาเยี่ยมเราแบบไม่ทันตั้งตัว ผมไม่ได้พูดอะไรกับจ่าบุญอีกจากการอ่อนเพลียและเหตุการณ์ที่ผ่านมาในวันนี้ ต้องเสียลูกน้องทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิตไปอีกหลายคน
ผมถอดชุดรบเหลือแต่ชุดฝึกที่สกปรกเปียกชุ่ม หมักหมมไปด้วยเหงื่อและคราบไคลผสมกับกลิ่นที่เคยชินของตัวเอง นั่งพิงกระสอบทรายในคอกบังเกอร์ใกล้รูหลบภัยของผม นั่งหลับตา คิดไปเรื่อยเปื่อย ผมเหลือลูกน้อง 10 กว่าคน อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นอีกก็ยังเดาไม่ได้ในสมรภูมินรกบ้านนาแห่งนี้ เราจะเหลือกันอีกเท่าไหร่ เสียไปอีกไหร่ หรือไม่อย่างไร ยังบอกอะไรไม่ได้ ตราบใดที่เรายังอยู่ที่นี่ หากโชคดียังมีลมหายใจอยู่ เรา 10 กว่าคนคงต้องอดทนดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดกันต่อไป
ผมเริ่มคิดได้ และทําใจเพื่อกระตุ้นตัวเองไม่ให้ท้อแท้และหมดหวัง ผมยังมีลูกน้องต้องรับผิดชอบอีก 10 กว่าคน ต้องเอาทุกคนกลับบ้านให้ได้ ผมยังคงนั่งอยู่อย่างเงียบๆไม่สนใจ สิงใดๆ พอดีลูกน้องหิ้วหม้อสนามเป็นซุบเนื้อกระป๋องร้อนๆมาให้ผม บอกจ่าบุญให้เอามาให้ผู้หมวดครับ ผมบอกขอบใจ ค่อยๆกินซุบแบบยากลําบากใจ ค่อนข้างเหม่อลอย
บรรยากาศที่ บ.นาคืนนี้ช่างเงียบเชียบเสียจริงๆ หลังทานซุปผมรู้สึกอยากนอน จึงคลานลงรูหลบภัยและหลับไปแบบไม่สนใจอะไรจะเกิดขึ้นอีกในคืนนั้น
“บทเรียนจากการรบ”
1.ข้าศึกใช้มาตรการลวงฝ่ายเราทุกวิถีทางทั้งการกระชับวงล้อม การดัดแปลงที่มั่นเพื่อยึดพื้นที่รุกเข้ามา โดยใช้กําลังขนาดเล็กเข้าดัดแปลงที่มั่นให้ใกล้ฐานและที่มั่นตั้งรับของฝ่ายเรา ทั้งที่กําลังส่วนใหญ่อาจเคลื่อนย้ายไปใช้ดําเนินกลยุทธในพื้นที่การรบอื่น เพื่อแสดงให้เห็นว่ายังมีกําลังยึดพื้นที่อยู่ เช่นเคลื่อนย้ายไปสกัดกั้นกําลังทหารเสือพรานของฝ่ายเรา
2.ข้าศึกใช้การรบยืดหยุ่น เมื่อฝ่ายเราเข้ารุกโจมตีที่มั่น ก็ใช้กําลังส่วนเล็กเฝ้าอยู่ กําลังส่วนใหญ่จะถอนออกไป เพื่อลดการสูญเสียจากการรุกโจมตีจากฝ่ายเรา และใช้การลอบจุดระเบิดเพื่อทําลายล้างกําลังที่เข้าโจมตีของฝ่ายเราให้เกิดการสูญเสียแล้วถอนตัวออกไป เมื่อฝ่ายเราถอนกําลังออกก็จะกลับเข้ามาใหม่
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ผมนํากําลัง 1 มว. เข้าตีที่มั่นข้าศึกที่ขุดสนามเพลาะลึกเข้ามาจ่อฐานกองพัน BI-15 ตามคําสั่ง โดยมีกําลังของผมจริงๆ เพียงหมู่เดียว นอกจากนั้นอีก 2 หมู่ เป็นกําลังของ บก.พัน BI-15 ที่ให้มาสมทบและขึ้นการบังคับบัญชาเพื่อปฏิบัติการ แต่ไม่ใช่หน่วยรบและผมต้องสูญเสียลูกน้องในการปฏิบัติการครั้งนี้ไปอีก 6 คนทั้งตายและบาดเจ็บ ทําให้ผมเหลือลูกน้องปัจจุบันรวมทั้งผมและ บก.มว. ด้วย ไม่ถึง 20 คน
หมวด ปล. ที่ 1 กองร้อยโคราช BI-15 ของผมความจริงมันหมดสภาพความเป็น มว ปล. ไปแล้ว นอกจากจะเสริมกําลังและอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ใหม่เพื่อให้ปฏิบัติการณ์ได้ต่อไป แต่สถานการณ์ขณะนี้ทําอะไรไม่ได้ นอกจากจะให้ทนและอยู่ต่อไปตามสภาพ
ฝอ.1 กองพัน (นายทหารฝ่ายกำลังพล) คงจะรู้แล้วและ ผบ.พันท่านคงจะไม่ใช้งานหน่วยผมอีกแล้ว
เช้าวันนี้น่าจะเป็นช่วงต้นเดือนเมษายน เหลือเวลาอีกเพียง 2 เดือนเศษก็จะครบ 1 ปีเต็มที่รบในสมรภูมิลาว ตั้งแต่จากโคราชมา
ความจริงผมได้พักเพียงเดือนเดียวหลังจากที่กลับจากเวียดนาม ความรู้สึกเหมือนได้เข้าสมรภูมิติดต่อกัน เพียงแต่ต่างสนามรบเท่านั้น ในเวียดนามหมวดผมตอนกลับมาเหลืออยู่ครึ่งหมวดจาก 40 กว่านาย แต่ในสมรภูมิลาวครั้งนี้เหลือไม่ถึงครึ่งหมวดแล้ว มันหนักหนาสาหัสกว่าที่เวียดนามมาก แต่ก็ใกล้จบภารกิจอยู่แล้ว ผมคิดและปลงชินชากับความสูญเสียที่ผ่านมาทั้งที่เวียดนามและลาว
ผมนั่งปลงชีวิตอยู่หน้าบังเกอร์ตรวจการณ์ในคูเรด กินอาหารเช้าเมนูเดิม จากต้มเนื้อกระป๋องและผลไม้กระป๋องเช่นเดิม ผมนั่งกินเงียบๆ ผมไม่อยากสั่งการใดๆกับลูกน้องของผมอีกแล้ว สั่งเมื่อใดก็เหมือนกับสั่งให้ใคร ต้องไปตายอีก ผมไม่อยากสูญเสียใครอีกแล้ว
ในหมวดผมเราไม่มีอะไรจะเสียให้อีกแล้ว เหลือ 18-19 คน จาก 52 คน น่าจะพอได้แล้ว ผมคิด
แต่อย่างไรก็ตามเรายังอยู่ในนรกแห่งนี้ บ.นา และสถานการณ์ปัจจุบันที่ฝ่ายเราตกเป็นรองอยู่ในทุกๆด้าน เรากําลังถูกปิดล้อมด้วยข้าศึกเกือบทุกด้านและตกเป็นเป้าหมายของ ป.ข้าศึกทุกชนิด รวมทั้งอาวุธหนักทุกชนิดที่มีที่ตั้งล้อมรอบพวกเราอยู่ที่บ้านนา และพร้อมที่จะถล่มเราได้ทุกเมื่อทั้งกลางวันและกลางคืน หรือมันอาจทุ่มกําลังภาคพื้นเข้าโจมตีบดขยี้พวกเราเลยก็ได้ในสถานการณ์ขณะนี้
ความหวังเดียวของพวกเราคือรอพี่น้องทหารเสือพรานซึ่งจากข่าวสารทราบว่าได้ส่งเข้าพื้นที่ยึดแนวสกายไลน์และกําลังมุ่งเข้าสู่เมืองชําทองแล้ว นี่คือความหวังที่พวกเราที่ บ.นา ต้องอดทน รอกันต่อไปให้ถึงที่สุด ผมทบทวนสถานการณ์ในขณะนี้แล้วทําให้เกิดกําลังใจที่จะต่อสู้และทําทุกอย่างให้ทุกๆคนในหมวดผมที่ยังเหลืออยู่ มีชีวิตรอดกลับบ้านให้ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าก็ช่างมัน
เราต้องพยายามรักษาชีวิตให้รอดกันต่อไป ตราบที่ยังมีลมหายใจอยู่.
“ถล่มฐานสุรินทร์”
.....นั่นฐานสุรินทร์โดนถล่มนี่ เสียงระเบิดยังดังอยู่ตลอดเวลาพร้อมกับแรงระเบิดและเปลวเพลิง ไม่ใช่ ค. ปรส. หรือ ป. แน่นอน มันน่าจะเป็น RPG ของข้าศึกที่ระดมยิงเข้าใส่บริเวณฐานกองร้อยสุรินทร์อย่างหนักแบบประชิดฐาน .....
ผมเรียกจ่าบุญมาสั่งการ บอกให้ทหารพักผ่อนตามสบาย อย่าออกไปนอกแนว และจัดเวรยามตรวจการณ์ไปข้างหน้า 2 จุด โดยเฉพาะด้านทิศใต้และทิศตะวันตก ที่เหลืออยู่ให้เตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ให้พร้อม และทําความสะอาดอาวุธ
ผมเข้าไปที่บังเกอร์ตรวจการณ์ใช้กล้องสองตาตรวจสถานการณ์หน้าแนวด้านตะวันตกและด้านทิศใต้จุดเนินอานม้าจากกล้องสองตา มองเห็นข้าศึกตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่เนินอานม้าชัดเจน
ถัดลงมาจากเนินอานม้า พอจะมองเห็นการดัดแปลงพื้นที่เป็นจุดๆใกล้ฐานสุรินทร์ รวมทั้งช่องว่างระหว่างฐานสุรินทร์กับเนินตรวจการณ์ที่ข้าศึกยึดไปแล้วมีแนวบังเกอร์ข้าศึกหลายจุดเต็มไปหมด เนื่องจากด้านนี้เปิดว่างมากจากการที่เราเสียเนินตรวจการณ์ไป
สถานการณ์ที่บ.นาขณะนี้ไม่มีอะไรดีขึ้นสําหรับฝ่ายเรา มีแต่จะเสียเปรียบข้าศึกลงเรื่อยๆ
วันนี้ดูเงียบๆไม่มีการเคลื่อนไหว หรือปฏิบัติการใดๆทั้งข้าศึกและฝ่ายเรา มีแต่ความเงียบ ไม่มีเครื่องบิน ตรวจการณ์ของเรามาบินดูสถานการณ์ที่บ้านนา ไม่มีการจู่โจมด้วยอาวุธหนักจากข้าศึก
ผมนั่งอยู่ในคูเรดตรงบังเกอร์หน้าแนวของจุดตรวจการณ์ เปิดวิทยุ PRC-25 ฟังสถานการณ์ของพวกเราพี่น้องเสือพราน และพอจะทราบว่าได้ยึดแนวสกายไลน์ได้แล้ว และกําลังมุ่งสู่เมืองซำทอง
นี่คือความหวังเดียวที่พวกเราที่บ้านนารอและลุ้นให้พี่น้องเสือพรานของเรารุกโต้ตอบ และยึดพื้นที่กลับคืนมาให้เร็วที่สุดเพื่อมาช่วยพวกเราที่กําลังถูกปิดล้อมอยู่ที่นี่
ขณะนี้ทางหน่วยเหนือคงมุ่งเน้นไปที่กองกําลังเสือพรานเป็นหลัก และคงอยากให้เราอยู่นิ่งๆแบบนี้ไปก่อน ให้เราอดทนรอ
ข้าศึกก็เช่นเดียวกัน มันคงมีการปรับกําลังและเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์เช่นเดียวกัน จึงทําให้ สถานการณ์ที่ บ.นาเงียบและเบาลง
อากาศในฤดูร้อนเดือนเมษายนที่บ้านนาไม่ร้อนมากนัก กําลังเย็นสบายในตอนเช้า ในตอนบ่ายอุณหภูมิจะสูงขึ้นบ้างแต่ก็ไม่ร้อนมาก และจะ เริ่มเย็นลงในตอนบ่ายและใกล้ค่ำ
พวกเราทําธุระส่วนตัวในคูเรดและบางคนนอนพักผ่อนในอุโมงค์ใต้ดินเงียบๆไม่มีใครออกไปนอกคูนอกแนว
บ่ายใกล้ค่ำประมาณ 4 โมงเย็นเกือบ 5 โมงแล้ว ทุกอย่างยังเงียบเป็นปกติ
จนความมืดย่างกรายเข้ามา หลัง 6 โมงเย็น อากาศเริ่มเย็นลง ความมืดเข้าปกคลุมบ้านนาอีกวันหนึ่ง ไม่มีการโจมตีและถล่มเราด้วย ป. จากทุ่งไหหินอย่างที่มันเคยทํา มันคงหยุดให้เราพักสบายๆสักวันหรือหยุดเพื่อวางแผนอะไร เราไม่อาจคาดเดาได้
ประมาณ 1 ทุ่มแล้ว ผมถือโอกาสเดินตรวจแนวเยี่ยมเยียนลูกน้องและตรวจเวรยาม กําชับเรื่องเวรยามในตอนกลางคืน ส่วนใหญ่ออกมานั่งเล่นคุยกันในคูเรด เพราะกลางวันหลายคนมักมุดอยู่ในรูดินนอนพักผ่อน จึงออกมาสูดอากาศนอกอุโมงค์รูดินซึ่งสดชื่นกว่า
ระหว่างที่ผมตรวจแนวเยี่ยมพูดคุยกับลูกน้องผมและคิดว่าจะเดินกลับมานั่งที่บังเกอร์และรูหลบภัยของผมบัดดลนั้นได้ยินเสียงระเบิดกึกก้องถี่ยิบทางด้านทิศใต้เสียงดังกรึมๆ กรึมๆ กรึมๆ เห็นเปลวไฟจากลูกระเบิดไกลออกไปข้างหน้าแวบวับอยู่ตลอดเวลา
นั่นฐานสุรินทร์โดนถล่มนี่ เสียงระเบิดยังดังอยู่ตลอดเวลาพร้อมกับแรงระเบิดและเปลวเพลิง ไม่ใช่ ค. ปรส. หรือ ป. แน่นอน มันน่าจะเป็น RPG ของข้าศึกที่ระดมยิงเข้าใส่บริเวณฐานกองร้อยสุรินทร์อย่างหนักแบบประชิดฐาน
พวกเราที่แนวได้แต่มองดูอย่างช่วยอะไรไม่ได้ เห็นเปลวเพลิงเริ่มลุกไหม้ฐานสุรินทร์แล้วในความมืด
ในช่องว่างของเสียงระเบิดที่ฐานสุรินทร์ได้ยินเสียงปืนเล็กและปืนกลยิงหลายชุด ไม่ทราบฝ่ายเราหรือข้าศึก และจากนั้นก็เกิดเสียงระเบิดหนักแน่นตามมาที่ฐานสุรินทร์ บึม! บึม! บึม! ตลอดเวลาอีกนานพอสมควร แต่ไม่ใช่การระเบิดของลูกปืนใหญ่ของข้าศึกอย่างแน่นอน และเกิดเพลิงลุกไหม้อย่างมากที่ฐานสุรินทร์
ชั่วอึดใจที่หมดเสียงระเบิดก็ได้ยินเสียงปืนเล็กและปืนกลยิงกราดต่อเนื่อง ได้ยินชัดเจนผสมกับเสียงระเบิดจากระเบิดขนาดเล็ก น่าจะเป็นระเบิดขว้างดังสลับกับเสียงปืนกลและปืนเล็ก
ผมเดาได้นั่นคือการเข้ายึดฐานและกวาดล้างพวกเราที่ยังหลงเหลืออยู่ในฐานสุรินทร์...
“เสียฐานสุรินทร์”
.......ภาพที่เห็น ทั้งฐานและบังเกอร์เปลี่ยนไปบ้างจากการถูกโจมตีและถล่มด้วยระเบิดเมื่อคืน ฐานยังมีไฟเบอร์ ควันไฟที่ยังลุกไหม้อยู่บ้าง แต่ภาพที่เห็นชัดเจนมากจากกล้องคือ ธงเวียดนามสีแดงเข้มปักอยู่เหนือฐานสุรินทร์...
ชั่วอึดใจที่หมดเสียงระเบิดก็ได้ยินเสียงปืนเล็กและปืนกลยิงกราดต่อเนื่อง ได้ยินชัดเจนผสมกับเสียงระเบิดจากระเบิดขนาดเล็ก น่าจะเป็นระเบิดขว้างดังสลับกับเสียงปืนกลและปืนเล็ก
ผมเดาได้นั่นคือการเข้ายึดฐานและกวาดล้างพวกเราที่ยังหลงเหลืออยู่...
ได้ยินเสียงปืนกล ยิงออกมา 2-3 ชุด แล้วก็เงียบไปน่าจะเป็นของฝ่ายเรา
จากแสงสว่างของเปลวเพลิง ผมมองเห็นจุดเล็กๆของคนหลายคนวิ่งลงมาจากฐานด้านที่ติดกับฐานปืนพันเชอร์ จากนั้นก็เป็นเสียงของปืนเล็กดังเป็นระยะๆ มันคงยึดฐานสุรินทร์ได้แล้ว และเข้ากวาดล้างพวกเราจากกําลังภาคพื้นดินของมันที่รุกเกาะติดฐานสุรินทร์มาหลายวันแล้ว เราสูญเสียฐานสุรินทร์ด้านนอกที่มีอยู่ฐานเดียวแล้วอย่างแน่นอน ไม่ต้องสงสัยใดๆ
ชั่วอึดใจที่เสียงปืนเล็กเงียบลง ที่ฐานสุรินทร์มองเห็นเพลิงยังไหม้ฐานอยู่ในความมืด แล้วเสียงฟ้าร้องด้านทิศเหนือบริเวณทุ่งไหหินก็ดังขึ้น ผมและลูกน้องที่กําลังดูเหตุการณ์ที่เกิดกับฐานสุรินทร์และกําลังประจําแนวคูเรดอยู่รู้ทันทีว่ามันส่งลูกปืนใหญ่มาแล้ว ทุกคนรีบหลบลงรูใครรูมันทันที เลิกดูเหตุการณ์ทันที
ชั่วอึดใจเสียงกระสุน ป. ที่พวกเราเคยชินก็ส่งเสียง แซดๆ แซดๆ 3-4 นัดตกระเบิด กรึม! กรึม! ตามมา ส่วนใหญ่ตกบริเวณฐานปืนพันเชอร์และฐานกองพัน มันยิงกดเราอีกหลายชุดคล้ายเตือนว่าอย่าคิดช่วยอะไรเลยกับฐานสุรินทร์
ผมนั่งคุดคู้หลบอยู่ในรูดินมืดแบบเคยชินกับสถานการณ์ในการถูกถล่มด้วย ป. โดยไม่คิดอะไร คิดแต่เรื่องสถานการณ์ของฝ่ายเราที่มันเลวร้ายลงเรื่อยๆเป็นลําดับ ขณะนี้เราถูกโดดเดี่ยว 100% แล้วจากการสูญเสียฐานสุรินทร์สุดท้ายไปในวันนี้ เราคงเหลือฐานกองพัน BI-15 และฐานปืนพันเชอร์เท่านั้น ส่วนฐาน บก. กองร้อย 1 BI-15 กับ มว.2 คงไม่มีผล เพราะอยู่ติดกับฐานกองพัน BI-15 ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่มีความหมายอะไรต่อการคุ้มกันฐานใหญ่
มันคงต้องการเร่งยึดฐานสุรินทร์เพื่อให้หมดฐานคุ้มกันด้านนอกไม่ให้มีปัญหากับมันต่อไปในการจัดการเราขั้นสุดท้ายที่บ้านนา มันคงปล่อยให้เราที่บ้านนาอยู่ไปก่อนเพื่อปรับกําลังยุทโธปกรณ์ของมันใหม่ เข้าสกัดกั้นการรุกคืบของพี่น้องเสือพรานไม่ให้รุกเข้ามาช่วยพวกเราที่บ้านนาได้
ผมนั่งคิดและคาดเดาสถานการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ น่าจะเป็นไปตามนี้ถ้าผมเดาไม่ผิด มันก็รู้แผนเรา และทําทุกอย่างเพื่อทําลายแผนของฝ่ายเราไม่ให้ประสบความสําเร็จ จากนั้นมันคงมาจัดการกับเราที่บ้านนาให้เรียบร้อยในภายหลังต่อไป
คืนนี้ไม่น่าจะมีเหตุการณ์อะไรอีกแล้ว ผมคลานขึ้นไปที่คูเรด ตรวจดูเวรยามอีกครั้งและกําชับเรื่องเวรยามอย่าได้ประมาทเด็ดขาด จึงคลานลงรูหลบภัยและพักผ่อนเพื่อสู้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าต่อไป
ผมตื่นออกจากรูหลบภัยใต้ดินแต่เช้าหลังจากได้นอนเต็มที่แบบไม่มีเหตุการณ์อะไรอีกหลังเหตุการณ์ที่เราต้องเสียกองร้อยสุรินทร์ไปในคืนนั้น
ผมรีบเข้าตรวจการณ์ที่คอกบังเกอร์ตรวจการณ์ทันทีเพื่อดูสภาพกองร้อยสุรินทร์ที่ข้าศึกยึดไปเมื่อคืนนี้
ภาพที่เห็นทั้งฐานและบังเกอร์เปลี่ยนไปบ้างจากการถูกโจมตีและถล่มด้วยระเบิดเมื่อคืน ฐานยังมีไฟ ควันไฟที่ยังลุกไหม้อยู่บ้าง แต่ภาพที่เห็นชัดเจนมากจากกล้องคือ ธงเวียดนามสีแดงเข้มปักอยู่เหนือฐานสุรินทร์ ฐานสุรินทร์อยู่ห่างจากฐาน บก.พัน BI-15 ประมาณ 700-800 เมตร และอยู่ใกล้กับฐานปืนพันเชอร์มาก ถ้ามันยึดอยู่อย่างนี้ก็เท่ากับเอามีดจ่อคอหอยเราแล้ว คงทนให้มันยึดไปแบบนี้ไม่ได้แน่
แล้วผู้พันท่านจะแก้ปัญหานี้อย่างไรต่อไป
ผมพยายามส่องกล้องสองตาดูความ เคลื่อนไหวที่ฐานสุรินทร์อยู่ตลอดเวลา บางครั้งเห็นมัน 2-3 คนขึ้นมาบนหลังคาบังเกอร์ที่มีธงแดงปัก โบกไม้โบกมือเหมือนเยาะเย้ยพวกเรา
บางครั้งก็โบกธงแดงไปมาบนบังเกอร์ มันตั้งใจทําสงครามจิตวิทยากับฝ่ายเรา.
“ข่าวดีของเพื่อนรัก”
.....กองร้อยมันเมื่อคืนละลายเกือบหมดกองร้อย เหลือรอดวิ่งหนีออกมาจากฐานไม่กี่คน เพราะโดนถล่มทั้ง RPG และระเบิดดัมเบลขนาดใหญ่……
ผมพยายามติดต่อกับเพื่อนย้งที่ฐานปืนจนติดต่อกันได้เลยบอกมันว่า
“เฮ้ย ไอ้ย้ง มึงทนเห็นมันเยาะเย้ยเราได้อย่างไรวะ มึงมีปืน 105 ที่เหลืออยู่ อัดมันที่กําลังเยาะเย้ยเราซักนัดสองนัดเถอะวะมันจะได้ไม่ซ่าอีกต่อไป”
ไอ้ย้งเพื่อนผมรับปาก
“เฮ้ย เดี๋ยวรอจังหวะเหมาะก่อน เดี๋ยวกูจะอัดมันถึงไม่ต้องห่วงโว้ย กูเองก็หมั่นไส้มันเต็มที่แล้ว ..
ที่ห่วงที่สุดคือไอ้เหมียวเพื่อนมึง...เป็นตายร้ายดีอย่างไรยังไม่รู้" ไอ้ย้งบอก “ที่รู้แน่ๆคือกองร้อยมันเมื่อคืนละลายเกือบหมดกองร้อย เหลือรอดวิ่งหนีออกมาจากฐานไม่กี่คน เพราะโดนถล่ม ทั้ง RPG และระเบิดดัมเบลขนาดใหญ่ ถล่มเละแบบไม่มีโอกาสได้สู้เลย ทั้งฐาน 100 กว่าคนจะเหลือกี่คนยังไม่รู้ เพื่อนมึงไอ้เหมียวกูไม่ได้ข่าวอะไรเลย”
ผมเลยบอกเพื่อนย้งไปว่า “เดี๋ยวกูจะไปตามหาลูกน้องมันเพื่อสอบถาม เพราะมันมาหลบอยู่ที่ บก.พันหลายคน รู้ข่าวอะไรเกี่ยวกับมันก็จะบอกถึงให้รู้ทันที”
แต่ผมทบทวนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้ว รู้สึกความหวังริบหรี่เต็มที่ คงต้องทําใจกับเพื่อนแล้วโว้ย ไอ้เหมียว กู ไอ้ย้ง เพื่อนๆ ไม่รู้จะทําอย่างไร จะช่วยมึงอย่างไร ทุกอย่างไม่มีอะไรอํานวยให้เลย ที่นี่ดวงใครดวงมัน ถ้ามึงเสร็จมันไปแล้ว ก็ขอให้มึงไปสบายเถอะ หมดทุกข์เสียที ไม่ต้องทนทรมานในนรกนี้อีกต่อไปเหมือนพวกกูที่ยังอยู่
ผมปลงในเหตุการณ์เมื่อคืน และคิดว่าคงจะต้องเสียเพื่อน-ไอ้เหมียวไปอีกคน มันคงกวาดล้างพวกเราที่ทั้งบาดเจ็บล้มตาย คงไม่เอาพวกเราไว้ให้เป็นภาระของพวกมันต่อไปแน่ ผมคิดปลงกับเพื่อนเหมียวที่รักกันและสนิทกันมากตอนเป็นนักเรียนนายร้อย
ถ้ากูรอดกลับไปกูจะไม่ลืมทําบุญตรวจน้ำให้มึงกับไอ้ปิ้งทันที ขอให้มึงไปอยู่กับไอ้ปิ้งให้สบายนะเพื่อน อย่าห่วงอะไรอีกต่อไปเลยเพื่อนรัก
ในสายวันนั้น ผมพยายามหาข่าวเกี่ยวกับกองร้อยสุรินทร์และเพื่อนผมจากคนที่รอดออกมาได้ประมาณ 20 กว่าคนและไปรวมกันอยู่ที่ฐานกองพัน
ทราบว่ากองร้อยสุรินทร์สูญเสียไปเกือบหมดทั้งกองร้อยประมาณ 80-90 นายที่ไม่ได้ออกมาจากฐานและไม่รู้ชะตากรรมทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิต ที่ไม่เสียชีวิตอาจถูกจับเป็นเชลยหรือไม่ก็ถูกเก็บหมด แต่ไม่มีเพื่อนผมไอ้เหมียวที่รอดออกมากับพวกที่หนีออกมาได้ ซึ่งผมก็ทําใจตั้งแต่ต้นแล้ว รวมทั้งทราบว่าผู้พันกําลังเครียดกับเรื่องนี้ที่ต้องสูญเสียกองร้อยสุรินทร์ไปเมื่อคืนและกําลังคิดจัดการเรื่องนี้ เพราะไม่ต้องการให้มันมายึดพื้นที่จ่อคอหอยเราอยู่อย่างนี้และทราบว่าท่านกําลังหารือหน่วยเหนือและจะขอโจมตีทางอากาศ เพื่อทําลายข้าศึกที่ยึดฐานสุรินทร์อยู่ในบ่ายวันนี้
ผมกลับจากการหาข่าวที่กองพันเรื่องไอ้เหมียวเพื่อนผม ด้วยความหมดหวัง กลับมาที่มั่นพอดีพลวิทยุเอา PRC-25 วิ่งมาหาผม บอกว่ามีข่าวจากฐานปืนพันเชอร์ ผมรีบเอาหูฟังมาและพูดทันที “พันเซอร์...จาก หัวหน้าใจ”
มีเสียงพูดกลับมาทันที “เฮ้ย! ไอ้จักษ์ กูไอ้ย้งโว้ย กูได้ข่าวไอ้เหมียวแล้ว มันยังไม่ตายโว้ย มันส่งวิทยุมาหากูเสียงเบามาก กูจําเสียงมันได้แม่น ใช่มันแน่ มันบอกว่ามันติดอยู่ในบังเกอร์ บก. ร้อย อยู่กับลูกน้องรวมทั้งหมด 5 คน บังเกอร์ถล่มทับปิดพวกมันไว้ ทุกคนยังมีชีวิตอยู่ แต่ไอ้แกวเต็มฐานไปหมดได้ยินจากเสียงของพวกมันพูดคุยกัน แต่มันยังไม่รู้ว่ามีมันกับลูกน้องติดอยู่ในบังเกอร์ที่ถล่มทับอยู่
มันบอกกูแค่นี้ เสียงก็เบามาก มันกลัวพวกไอ้แกวจะรู้ถ้าติดต่อกันมากกว่านี้ และเพื่อประหยัดแบต.ด้วย”
ผมดีใจมากที่รู้ว่าเพื่อนผมยังไม่ตายและยังมีชีวิตอยู่ แต่ติดอยู่ในฐานรวมกับลูกน้อง 5 คน
ผมรีบบอกไอ้ย้งว่า “เฮ้ย! ไอ้ย้ง มึงกับกูยังไงก็ต้องหาทางช่วยไอ้เหมียวมัน ...
แต่ก่อนอื่น กูขอไปบอกผู้พันก่อนว่าอย่าเพิ่งขอแฟนธอมมาถล่มฐานสุรินทร์ในบ่ายวันนี้ เพราะว่ายังมีพวกเรา 5 คนติดอยู่ในฐานและยังมีชีวิตอยู่ มี ร.ต.พนา ผบ.มว.ปล. ติดอยู่ด้วย แล้วกูจะรีบกลับมาคุยกับมึงเรื่องแผนที่จะช่วยมัน
ยังไง...ยังไง กูก็ไม่ยอมให้ผู้พันถล่มฐานสุรินทร์แน่โว้ย !”.
“เพื่อน”
......กูจะพูดกับมึงครั้งเดียวนะเพื่อน ฟังให้ดี...กูจะเข้าตีฐานมึงเพื่อช่วยมึงและลูกน้องออกมาในคืนนี้.....
ผมรีบเผ่นกลับไปที่ฐานกองพันอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว รีบไปที่บังเกอร์ห้องยุทธการทันที ผู้พันท่านอยู่พอดีกับฝ่ายยุทธการและนายทหารฝ่ายอํานวยการ 2-3 คน น่าจะกําลังหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ที่กําลังตึงเครียดมากขึ้นขณะนี้
ผมตรงเข้าไปขออนุญาตพบทันที เมื่อเห็นผมท่านทําหน้างงเล็กน้อย
“ขออนุญาตครับ ผม หน.ใจ ขออนุญาตพบ มีเรื่องด่วนที่จะรายงานท่านครับ”
“มีเรื่องอะไร หน.ใจ”
“ผมขอให้ผู้พันระงับการโจมตีทางอากาศที่ฐานสุรินทร์ในบ่ายวันนี้ด่วนครับ” ท่านบอกผมว่า “แล้วทําไมล่ะ”
ผมบอกว่า “เพื่อนผม ร.ต. พนาฯ ผบ.มว. ปล. กองร้อยสุรินทร์และลูกน้องรวม 5 คน ติดอยู่ในบังเกอร์ บก.ร้อย ทุกคนยังมีชีวิตอยู่ครับ” ท่านถามว่า “รู้ได้ยังงัยล่ะ"
"เพื่อนผมไอ้เหมียวมันพูดวิทยุมาบอกกับไอ้ย้งยุทธการปืนที่ฐานพันเชอร์ครับ แล้วไอ้ย้งรีบมาบอกผม จึงมาเพื่อขออนุญาตผู้พันขอระงับการโจมตีทางอากาศที่ฐานสุรินทร์ไว้ก่อน ขอโอกาสและเวลาให้ผมช่วยเพื่อนและพวกเราทั้ง 5 คนด้วย”
ท่านอึ้ง ไปชั่วครูมองหน้าและแววตาของผมที่เอาจริงและรู้ถึงความตั้งใจของผมที่มีความตั้งใจจริงที่จะทํา สักครู่ท่านตอบว่า
“ได้...จะให้โอกาสครั้งเดียว ภายในวันนี้เท่านั้น เพราะปล่อยไว้ให้มันยึดไว้อย่างนี้ไม่ได้แน่นอน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพรุ่งนี้จะต้องโจมตีทางอากาศถล่มฐานสุรินทร์ที่มันยึดไว้ทันที” ผมรีบตอบ “ขอบคุณครับ” เพราะกลัวว่าท่านจะเปลี่ยนใจ แล้วท่านก็รีบสั่งการกับฝ่ายยุทธการว่า
“ให้บอกหน่วยเหนือขอระงับการโจมตีทางอากาศที่ฐานสุรินทร์ไว้ก่อนในวันนี้ เนื่องจากมีนายทหารและกําลังพลรวม 5 คน ยังติดอยู่ในฐานและยังมีชีวิตอยู่ จะขอตัดสินใจเรื่องนี้อีกครั้งและจะขอใหม่ภายหลัง”
ผมได้ยินชัดเจนและผมทําท่าจะรีบกลับท่านรีบบอกผม “เดี๋ยวก่อน หน.ใจ แล้วมีแผนยังไง” ผมตอบทันที “ผมขออนุญาตนํากําลัง เข้าตีฐานสุรินทร์คืนนี้เพื่อช่วยพวกเราครับ”
ท่านถามผมว่า “แล้วมีกําลัง อยู่เท่าไหร่ล่ะ" ผมตอบว่า “ หมวดผมเหลืออยู่ 18-19 คนทั้งผม และจะขออนุญาตรวมกําลังพวกกองร้อยสุรินทร์ที่รอดมาได้โดยขออาสาสมัคร คงจะได้ผู้อาสาสมัครรวมแล้วประมาณ 1 มว.ปล. ที่เต็มใจไปช่วยเพื่อนครับ”
ท่านมองผมอีกครั้ง คงจะรู้ถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงของผมในเรื่องนี้ รวมทั้งท่านเองเมื่อรู้เรื่องนี้ความเป็นผู้บังคับบัญชาและเป็นผู้นําของท่านที่มีความรักลูกน้องอยู่ในจิตใจของท่านอยู่แล้วจึงไม่ขัดผม
ท่านบอกผมว่า “อนุมัติ ให้ปฏิบัติการนี้ได้ แต่อยากจะบอกว่าขอให้วางแผนให้ดีที่สุด ผมไม่อยากให้มีการสูญเสียอย่างหนักอีก เท่าที่เสียกองร้อยสุรินทร์ไปเมื่อคืนเกือบทั้งกองร้อย ก็เป็นการสูญเสียที่หนักที่สุดยากที่จะยอมรับได้แล้วตั้งแต่รบกันมา
ขอให้วางแผนและประสานกันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทําได้และขอให้โชคดี หน.ใจ"
ผมรีบทําความเคารพผู้พันและขอบคุณครับอีกครั้ง ในใจผมก็ไม่อยากให้สูญเสียใครอีก แล้วรีบเผ่นจากบังเกอร์กองพันมายังที่มั่นของผมทันที เพราะเวลาปฏิบัติการครั้งนี้มีจํากัดมาก ขณะนี้บ่ายกว่าแล้ว ผมลืมกินข้าวกลางวันและไม่นึกถึงมัน
มาถึง มว. ผมเรียกจ่าบุญมาสั่งการทันที เพื่อจัดกําลังพลให้ผมและเรียก ผบ.หมู่อาวุโสมาเพื่อให้ไปประสานและตาม หน. ผู้คุมกําลังของกองร้อยสุรินทร์ที่รอดมาได้มาพบผมทันที
หลังจากนั้นผมรีบติดต่อกับไอ้ย้งทันที่ทางวิทยุ บอกมันว่ากูขออนุมัติผู้พันเพื่อไปช่วยไอ้เหมียวกับลูกน้องแล้วและระงับการโจมตีทางอากาศไว้ก่อน กูกําลังรวบรวมกําลังทั้งของไอ้เหมียวและของกูทํางานในคืนนี้เดี๋ยวจะบอกแผนกับมึงทีหลังและไม่ลืมถามว่าไอ้เหมียวยังติดต่อถึงอยู่หรือเปล่า ได้รับคําตอบว่ายังติดต่ออยู่ แต่เสียงเบามากเหมือนแบตใกล้จะหมด งั้นกูต้องขอติดต่อพูดกับมันหน่อยก่อนที่แบตมันจะหมด
ผมรีบจูนคลื่น PRC-25 ของผมทันทีและเรียกขาน “ไอ้เหมียว” จาก “ไอ้จักษ์” เรียกซ้ําอีกครั้งจึงได้รับคําตอบ “กูไอ้เหมียว” แต่เสียงค่อนข้างเบามาก ผมถามว่าได้ยินกูหรือเปล่า
“กูไอ้จักษ์...กูจะไปช่วยมึงในคืนนี้แน่นอน” มันตอบว่า “ได้ยิน”
ผมบอกมันว่า “กูจะพูดกับมึงครั้งเดียวนะเพื่อน ฟังให้ดี...กูจะเข้าตีฐานมึงเพื่อช่วยมึงและลูกน้องออกมาในคืนนี้
เมื่อเริ่มมืดมึงเตรียมการขุดรูออกเตรียมไว้ให้พร้อมที่จะออกมาได้ทันทีเมื่อกูโจมตีระดมยิงอาวุธทุกชนิดเข้าใส่ฐานมึงเพื่อดึงความสนใจและกดหัวพวกมันไว้ไม่ให้เห็นมึงและลูกน้อง มึงต้องเผ่นออกมาจากบังเกอร์ ทันที่ ห้ามลังเลเด็ดขาด มึงมีโอกาสครั้งเดียวเท่านั้น มึงได้ยินกูพูดหรือเปล่า”
มันตอบว่า “ได้ยิน...ได้ยิน”
แต่เสียงพูดแผ่วเบามาก คิดว่าแบตมันใกล้หมดแล้ว หรือไม่ก็กลัวพวกไอ้แกวในฐานจะได้ยิน มันจึงพูดเบามาก.
“ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
.....ผมเล่าสถานการณ์ให้กําลังพลฟังว่าขณะนี้มีเพื่อนเรา 5 คนมี ร.ต.พนาฯ ซึ่งเป็น ผบ.มว.ปล.กองร้อยสุรินทร์รวมอยู่ด้วยติดอยู่ในบังเกอร์ บก.ของฐานสุรินทร์ที่ถล่มปิดทับอยู่และยังมีชีวิตอยู่ทุกคน ภารกิจคือเราต้องไปช่วยเพื่อนออกมาให้ได้.....
ผมเปลี่ยนมาเรียกเพื่อนย้งอีกครั้งและบอกมันว่าได้คุยกับไอ้เหมียวแล้ว และมันก็รู้ว่ามึงกับกูจะช่วยมันในคืนนี้และคงพูดกับมันไม่ได้อีกแล้วเพราะแบตมันคงจะหมดแล้ว
ผมบอกแผนกับเพื่อนย้งคร่าวๆว่า หลังมืดกูจะเคลื่อนกําลังและเข้าตีฐานสุรินทร์เพื่อช่วยไอ้เหมียวมัน เมื่อกูวางกําลังพร้อมที่จะเข้าตีจะบอกมึง ขอให้มึงช่วยอัด ป.105 ไปเหนือฐานมัน ใช้กระสุนแตกอากาศดีที่สุดซัก 2-3 นัดก็พอ หลังจากนั้นพวกกูก็จะระดมอาวุธทุกชนิด ยิงอัดใส่มันทันที เมื่อพวกกูหยุดยิง ขอให้มึงยิงแฟร์แถมให้อีก 1 นัดเหนือฐานมัน
กูขอมึงแค่นี้ โอเคไหมเพื่อน
ไอ้ย้งตอบ “OK” กูจะเตรียม ป.105 ไว้ มึงบอกพร้อมเมื่อไหร่กูจะยิงให้ทันที่ตามแผนที่มึงบอก ผมขอบคุณเพื่อนย้ง และย้ำเรื่องอัดสั่งสอนพวกมันก่อนสักนัดสองนัด เพื่อไม่ให้แสดงความซ่าเยาะเย้ยเรา อย่าลืมโว้ย
เออ เดี๋ยวกูอัดมัน เพื่อนย้งรับปาก
พอดี หน.หน่วยของกองร้อยสุรินทร์ จ่าอาวุโสมารอพบผมอยู่แล้วที่คอกบังเกอร์ ผมสั่งการทันทีและบอกว่าให้รวบรวมผู้อาสาสมัครให้ได้มากที่สุด สมทบกับกําลังของผม เพื่อที่จะเข้าไปช่วยพวกเรา 5 คนที่ยังมีชีวิตอยู่ในคืนนี้ให้หนีรอดออกมาให้ได้
ให้รวบรวมคนมาพร้อมอาวุธ กระสุนให้มากที่สุด และมาประชุมเพื่อปฏิบัติตามแผนในเวลา 16.30 น.วันนี้
ผมสั่งการเพียงเท่านี้กับจ่าผู้ควบคุมกําลังที่เหลือของกองร้อยสุรินทร์
หลังจากนั้นมานั่งที่คอกบังเกอร์ตรวจการณ์ของผม ใช้กล้องส่องสองตาตรวจไปข้างหน้าที่ฐานสุรินทร์ ยังพอเห็นความเคลื่อนไหวของข้าศึกอยู่ ในฐานและธงแดงของมันยังคงปักอยู่เห็นได้ชัดเจน
ผมคิดแผนว่าจะต้องนํากําลังทั้งหมดประมาณหมวดหย่อนกำลังเคลื่อนออกจากที่ตั้งเมื่อเริ่มมืด อาศัยความมืดปิดบังการเคลื่อนกําลังของพวกเราเพื่อเข้าพื้นที่วางตัวให้ใกล้ฐานสุรินทร์ให้มากที่สุดประมาณ 100-150 หลา วางตัวเป็นหน้ากระดาน เปิดหน้าให้กว้างที่สุดทั้ง 3 หมู่ ไม่ต้องมีการวางกําลังด้านหลัง เพราะต้องการระดมยิงทั้ง 3 หมู่พร้อมๆกันให้เกิดอํานาจการยิงมากที่สุดเพื่อให้คิดว่าเราทุ่มกําลังเข้าตีพวกมัน
การเข้าวางตัวต้องเงียบที่สุด ต้องไม่ให้ข้าศึกรู้ตัวก่อน ทุกคนต้องวางตัวและหาที่กําบังที่ดีที่สุดเพื่อให้ตัวเองปลอดภัยจากการยิงโต้ตอบและเคลย์โมร์ของข้าศึกด้วย
ผมคิดเรื่องนี้มากเพราะไม่อยากสูญเสียลูกน้องและใครๆอีก
ผมคิดว่าเราวางกําลังเป็นแนวยาว ไม่มีกําลังทางลึกน่าจะปลอดภัยที่สุด และต้องระดมยิงให้นานต่อเนื่องพอสมควร เพื่อเปิดโอกาสและเวลาพอให้เพื่อนเราทั้ง 5 คนออกมาจากฐานได้ในระหว่างที่เราระดมยิงใส่ฐาน และต้องยิงให้สูงเข้าไว้เพื่อความปลอดภัยของคนที่จะเล็ดรอดออกมาด้วย
ผมคิดว่าแผนนี้ดีที่สุดและไม่สุ่มเสี่ยงกับการสูญเสียของพวกเราด้วย
ถ้าผมเดาสถานการณ์ไม่ผิด ถ้าเราทุ่มกําลังชาร์จเข้ายึดฐานมันคงเตรียมเคล์โมร์ไว้ต้อนรับเราแน่ อย่างที่ผมเคยเจอมาแล้ว เพียงทิ้งคนคอยจุดชนวนไว้ไม่กี่คน เมื่อเห็นเราดาหน้าเข้ามา แค่จุดแล้วเผ่นหนีคือยุทธวิธีของมัน และคงทําให้พวกเราต้องสูญเสียหนักกันอีก
และถ้าผมเดาสถานการณ์ไม่ผิด เมื่อมันยึดฐานสุรินทร์ได้แล้ว มันต้องคิดว่าเราต้องยึดคืนหรือไม่ก็ถล่มมันด้วยการโจมตีทางอากาศแน่นอน
ผมคิดว่ามันคงทิ้งกําลังไว้ไม่เกิน 1 หมวด เพื่อแสดงลวงพวกเราว่ามันจะยึดอยู่และไม่หนีไปไหน สร้างความกดดันกับฝ่ายเราให้มากยิ่งขึ้น
ขณะที่ผมนั่งวางแผนอยู่ในใจคนเดียวที่คอกบังเกอร์ที่ตรวจการณ์หน้าแนวที่มั่นของ มว. ก็ได้ยินเสียงระเบิดของการยิง ป.105 ของเรา 2 นัด เสียงดัง ตรึม กรึม! ตรึม กรึม! กระสุนแตกอากาศเหนือฐานสุรินทร์ เห็นกลุ่มควันลอยเหนือฐาน แล้วก็เงียบทันที ไอ้ย้งอัดสั่งสอนมันแล้วแต่ยิงมากไม่ได้ เพราะต้องรีบเข็นปืนของมันเข้าบังเกอร์ทันทีก่อนจะถูกอัด ปรส. มาใส่ที่ปืน
มันคงเงียบไม่ซ่าออกมาโบกธงโบกมือให้เห็นอีกแล้วหลังจากนี้
ผมดูนาฬิกาดูเวลาเกือบ 5 โมงแล้ว พอดีว่าจ่าบุญมาบอกว่าทหาร พร้อมฟังคําชี้แจงจากผู้หมวดแล้ว ผมรีบไปที่รวมพลในคูเรด สังเกตดูมีกําลังพลมารวมกันมากพอสมควร ถามจ่าบุญว่ามียอดรวมเท่าไหร่ ได้รับรายงานว่า ของสุรินทร์อาสาสมัครมา 15 คน ของเรา 16 คน รวม 31 คนครับ จ่าบุญรายงาน
ผมบอกให้จัดกําลังเป็น 3 หมู่ ให้มีผู้หมู่หรือจ่าควบคุมทุกหมู่ จ่าบุญบอกจัดเรียบร้อยแล้วครับ
ผมเล่าสถานการณ์ให้กําลังพลฟังว่าขณะนี้มีเพื่อนเรา 5 คนมี ร.ต.พนาฯ ซึ่งเป็น ผบ.มว.ปล.กองร้อยสุรินทร์ รวมอยู่ด้วยติดอยู่ในบังเกอร์ บก.ของฐานสุรินทร์ที่ถล่มปิดทับอยู่และยังมีชีวิตอยู่ทุกคน
ภารกิจคือเราต้องไปช่วยเพื่อนออกมาให้ได้
ฟังแค่นี้ลูกน้องผมหลายคนมองหน้าผม คงคิดว่างานนี้หนักแน่ๆ ตอนนี้เหลือกันแค่ 18-19 คน หมดงานนี้จะเหลือกันกี่คน ผู้หมวดกูเอาอีกแล้ว
ผมรู้ว่าลูกน้องผมต้องคิดเช่นนี้ จึงชี้แจงต่อ งานนี้ผู้หมวดขอแค่พวกเราเข้าไปวางตัวเป็นแนวใกล้ๆฐานสุรินทร์เท่านั้น แล้วก็ขอแรงระดมยิงอาวุธของทุกๆคนเข้าใส่ฐานสุรินทร์อย่างต่อเนื่อง เอาแค่ 3 แม็กพอแล้วหยุด แต่ต้องยิงให้สูงเข้าไว้ เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อเพื่อนเรา 5 คนที่ต้องเล็ดรอดวิ่งออกมาเมื่อได้ยินเสียงพวกเรายิงโจมตี
ทุกคนต้องยิงหลังจาก ป.105 ของเรายิงจบ 2-3 นัด เมื่อผู้หมวดออกคําสั่งแล้วให้ยิงติดต่อกันเข้าฐานได้เลย M.60 ด้วยให้ยิงเป็นชุดๆ จนหมดสายกระสุน
ระหว่างยิงให้ตะโกนโห่ร้อง และร้อง เอี้ย! ดังๆ ผู้หมู่มีนกหวีดให้เป่านกหวีดด้วย ร้อง เอี้ย! ดังๆ อย่าลืมทุกคน
หลังจากนั้น ป.จะยิงแฟร์ส่องสว่าง 1 นัดเหนือฐานเพื่อส่องสว่างให้พวกเราออกมาและคอยดูด้วยว่ามีพวกเราออกมาจากฐานหรือไม่
ถ้าเห็นคนวิ่งออกมาจากฐานห้ามยิงเด็ดขาดนั้นคือพวกเราจําไว้ ขอแค่นี้ มีใครมีปัญหาไหม ผมถาม หรือใครไม่ต้องการไปงานนี้ให้กลับไปได้ ผมย้ำอีกครั้ง ไม่มีใครสงสัยและไม่มีใครขอกลับ
ผมบอก “ขอบใจ” และให้ทุกคนพักรอและพร้อมเตรียมรับคําสั่งเคลื่อนกําลังออกจากแนว
ก่อนที่ผมจะไปเตรียมตัวเองบ้าง นึกขึ้นได้เรื่องสัญญาณบอกฝ่าย ผมรีบบอกทุกคนว่ากําหนดสัญญาณบอกฝ่ายคืนนี้คือ ถาม” สุรินทร์” ตอบ “โคราช” ถ้าถาม “โคราช” ให้ตอบ “สุรินทร์” จําไว้ให้ดี.
ขอบพระคุณเจ้าของภาพ.
“เพื่อนตาย สหายศึก”
…..“เฮ้ยไอ้ย้ง กูพร้อมโจมตีแล้ว มึงอัดมันตามแผนได้เลย” …
แล้วผมก็กลับไปที่คอกบังเกอร์เพื่อเตรียมการตัวเอง มันใกล้จะมืดแล้ว ผมนั่งรอความมืดที่กําลังย่างเข้ามาเพื่อรอเวลาเคลื่อนกําลังและรู้สึกหิวขึ้นมาเพราะลืมกินอาหารกลางวันด้วยใจที่กังวลเรื่องต่างๆที่จะต้องทําในการช่วยเพื่อนและพวกเราในครั้งนี้
ผมค้นหาเสบียง พอดีได้เนื้อกระป๋องและลิ้นจี่กระป๋อง เลยรีบจัดการเพื่อให้มันหายหิวและมีกําลังที่จะออกไปกับทหารในคืนนี้ ในใจนึกถึงขั้นตอนการปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา
เริ่มมืดแล้วทุกอย่างอยู่ในความเงียบ ยังไม่มีวี่แววของการโจมตีด้วยอาวุธหนักและปืนใหญ่ในเวลานี้ ซึ่งผมก็ภาวนาว่าอย่าให้มีเลยในคืนนี้ ถ้ามี แผนช่วยเพื่อนผมและพวกเราอาจจะล้มหรือยากลําบากมากขึ้น
ระหว่างที่รอความมืดที่จะปิดบังการเคลื่อนกําลังและเพื่อปรับสายตาของพวกเราให้ชินกับความมืด ก่อนนํากําลังเคลื่อนออกจากแนวที่มั่น ผมควักพระที่ห้อยคอและแขวนด้วยสายร่มขนาดใหญ่ออกมาอาราธนา มือกําท่านไว้ทุกองค์เหนือศีรษะ ในใจขอให้ท่านช่วยให้แผนในครั้งนี้สําเร็จด้วยและอย่าให้มีการสูญเสียพวกเราอีกเลย
พระในคอผมยังอยู่ครบทุกองค์ เพียงแต่เต็มไปด้วยความสกปรกของเหงื่อไคล มองไม่เห็นองค์แม้แต่องค์เดียว เพราะผมไม่เคยถอดท่านออกจากคอเลย
เมื่อมืดสนิทก่อนเคลื่อนกําลังออกจากแนว แกล้งตะโกนถามว่า “สุรินทร์” ทุกคนตอบ “โคราช” และถามอีกครั้ง “โคราช” ทุกคนตอบ “สุรินทร์ เป็นอันใช้ได้ จึงนํากําลังออกจากแนวและทิ้งกําลังไว้ 2-3 คนเท่านั้นกับจ่าบุญเฝ้าฐาน ยังไงก็ต้องเสี่ยงเพื่อให้แผนสําเร็จ
ผมให้ 2 หมู่ของกองร้อยสุรินทร์นําหน้าออกไปยังฐานสุรินทร์ในความมืด เพราะทุกคนมีความชํานาญต่อภูมิประเทศและเส้นทางดี ถึงแม้จะเป็นเวลากลางคืนก็ตาม
ผมอยู่กับหมู่ตรงกลางกับลูกน้องของผม แต่ก็ไม่ลืมดูเข็มทิศว่าหมู่นําเดินในทิศทางไปทางใต้ประมาณ 170-180 องศาหรือไม่เพื่อตรงไปยังฐานสุรินทร์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 800-900 เมตร เราคงใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง น่าจะไปถึงใกล้ฐานสุรินทร์และวางกําลังตามแผนได้ ผมให้บอกต่อๆกันว่าให้หมู่นําเคลื่อนที่ช้าๆและให้เงียบที่สุด อย่าให้มีเสียงใดๆหรือเกิดเสียงดัง
เราเริ่มออกประมาณ 1 ทุ่ม ผมคาดว่าเราน่าจะถึงแนววางตัวไม่เกิน 2 ทุ่ม เราเคลื่อนที่เป็นแถวตอนแบบลาดตระเวนตอนกลางคืนแบบเงียบที่สุด ภูมิประเทศเป็นที่โล่ง มีแต่เศษซากของวัสดุอุปกรณ์ต่างๆที่กระจัดกระจาย เต็มพื้นที่และค่อยๆลาดลงไปเรื่อยๆไปทางทิศใต้ของพื้นที่บ้านนา ทุกที่โล่งเตียนไม่มีต้นไม้
ทุกอย่างจากฐานผมไปยังฐานสุรินทร์เป็นเป้าหมายของอาวุธหนักและปืนใหญ่ของข้าศึกแทบทุกตารางเมตร เราเดินเป็นแถวตอนเรียงหนึ่งแบบลาดตระเวนมาเกือบ 1 ชั่วโมง เกือบ 2 ทุ่มแล้ว ผมดูนาฬิกา พวกเราเดินช้ามากเพราะอยากให้เงียบที่สุด จนหมู่นําจากกองร้อยสุรินทร์ให้สัญญาณหยุดหน่วยลง ผมให้ทุกคนหยุดและวางกําลังรอบตัวซ้ายขวาตรวจการณ์ไปข้างหน้า
สักครู่จ่าที่นําหมู่หน้าเดินตะคู่มๆมาพบผมและบอกว่าเกือบถึงฐานแล้ว เหลืออีกไม่เกิน 300 เมตร ผมให้ ผบ.หมู่ ทั้ง 4 หมู่มาหาผมและฟังคําสั่งการวางกําลัง ผมตรวจการณ์ไปข้างหน้า ทําสายตาให้ชินกับความมืด ด้วยสายตาพอจะมองเห็นฐานสุรินทร์อยู่ข้างหน้าในความมืดน่าจะไม่เกิน 300 เมตร มองเห็นแนวลวดหนามอยู่ข้างหน้าและแนวบังเกอร์อยู่บนเนินสูง พอจะมองเห็นทุกอย่างอยู่ในความเงียบ มองไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆของข้าศึก
ผมสั่งให้หมู่นำ 2 หมู่ของกองร้อยสุรินทร์ คลานต่ำและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอีกประมาณ 50 - 100 เมตร และเลือกวางตัวหาที่กําบังทางด้านซ้าย ส่วนอีก 2 หมู่ของผมให้คลานตามมา แล้วแยกวางตัวทางด้านขวามือ เว้นระยะห่างแต่ละหมู่ประมาณ 5 เมตร ผมและพลวิทยุเข้าหาที่กําบังตรงกลางระหว่างกําลังของสุรินทร์และของผม ทุกอย่างยังเงียบมาก พวกเราน่าจะวางกําลังพร้อมแล้ว ผมใช้กล้องสองตามองไปในความมืดพอมองภาพของฐานชัดขึ้น การวางตัวในระยะนี้น่าจะปลอดภัยจากเคลย์โมร์ของข้าศึก หากมันกดเคลย์โมร์โดยนึกว่าเราจะบุกเข้ามาในฐาน ประมาณเกือบๆ 200 หลาน่าจะปลอดภัย
ผู้หมู่ทางซ้ายของสุรินทร์และผู้หมู่ทางขวาคลานมากระซิบผมว่าทุกหมู่พร้อมแล้ว ผมรีบเอาวิทยุมาพูดติดต่อกับเพื่อนย้ง ต้องรีบปฏิบัติการทันทีไม่อยากช้าไปกว่านี้ เพราะกลัวข้าศึกจะรู้ตัวก่อนและเสียแผน
ผมพูดวิทยุกับเพื่อนย้ง “พันเชอร์” จาก หัวหน้าใจ”
ทันทีที่ผมเรียกเพื่อนยังตอบทันที “พันเชอร์ตอบ” ผมรีบพูดกับเพื่อนย้ง
“เฮ้ยไอ้ย้ง กูพร้อมโจมตีแล้ว มึงอัดมันตามแผน ได้เลย”
จากนั้นไม่กี่อึดใจ เสียงปืนใหญ่ 105 ของเพื่อนย้งก็คํารามขึ้น เสียง ตึม! กรึม!ตึม!กรึม! มันยิงกระสุนแตกอากาศเหนือฐานสุรินทร์ 2-3 นัดแล้วก็หยุด
ทันทีที่สิ้นเสียงปืนใหญ่ การระดมยิงเข้าใส่ฐานสุรินทร์ของเราก็เริ่มต้นทันที ทั้ง M-16 M-79 M-60.
“ยุทธวิธีลวง”
....ยุทธวิธีการลวงยังใช้ได้ผล ในการเข้าที่ลวงเพื่อดึงความสนใจข้าศึกและช่วยคนของเราออกมาได้อย่างปลอดภัย......
เสียงปืนดังกึกก้องถี่ยิบ ผสมด้วยปืนกล M-60 ยิงเป็นชุดๆอย่างต่อเนื่องเข้าใส่ฐานสุรินทร์ เห็นแนวกระสุนส่องวิถีเป็นแนวค่อนข้างสูง ผสมด้วยเสียง เอี้ย! เอี้ย! และเสียงเป่านกหวีดจากพวกเรา ดังลั่นอยู่ตลอดเวลา ผสมกับการยิงของปืนทุกกระบอกทั้งกึ่งอัตโนมัติและยิงแบบอัตโนมัติ
เราได้ยินเสียง ตึม! ตึม! 1-2 ครั้ง ดังแทรกอยู่กับเสียงปืนของพวกเราที่ระดมยิงเข้าไปสู่ฐานประมาณ 2-3 อึดใจที่เราระดมยิงใส่ฐาน
เสียง ตึม! อยู่ด้านหลังเราพอได้ยินจาก ป.105 ของไอ้ย้ง จากนั้นชั่วครู่พลุส่องสว่างก็ระเบิดขึ้นเหนือฐานสุรินทร์ ทําให้พวกเรามองเห็นฐานได้ชัดเจน
จากแสงสว่างของพลุส่องสว่าง ขณะนี้พวกเราหยุดยิงแล้ว
หลังจากพลุส่องสว่างขึ้นเหนือฐานสุรินทร์ ผมมองไปที่ฐานก่อนที่แสงสว่างของพลุจะหมดลงและพอจะมองเห็นคน 4-5 คนกําลังวิ่งตามกันออกมาตรงช่องทางออกของฐานสุรินทร์
เห็นได้ชัดเจนไม่ต้องสงสัยเป็นเพื่อนผมและลูกน้องแน่นอนทั้ง 5 คน
ไม่มีการยิงจากพวกเราอีก เพื่อนผมไม่ลังเลที่จะวิ่งออกมาตามแผน ข้าศึกกดเคลย์โมร์และมันคงมุดอยู่ในบังเกอร์ตอนเราระดมยิงเข้าใส่ฐานหรือไม่ก็ถอนตัวออกไปอีกด้านของฐานโดยคิดว่าเราต้องทุ่มกําลังเข้าโจมตีแน่ๆ
ผมรีบรวมกําลังและถอนตัวออกจากพื้นที่วางตัวหน้าฐานสุรินทร์ทันที ผมรู้ว่าแผนเราน่าจะสําเร็จและจบแล้วและไม่มีเหตุการณ์อื่นๆเข้ามาแทรก ต่อมาได้ทราบว่าเพื่อนผมและลูกน้องอีก 5 คนได้หนีออกมาได้แล้วและกําลังกลับเข้าไปที่ฐานกองพัน BI-15 โดยไม่รั้งรอใดๆ
ผมพาลูกน้องของผมและกําลังของกองร้อยสุรินทร์ถอนตัวเร่งฝีเท้าเดินอย่างเร่งรีบมุ่งสู่ฐานของผมทันที กลัวอย่างเดียวว่าถ้ามันยิง ป. มาจากทุ่งไหหินมาในตอนนี้คงเกิดปัญหาแน่นอน แต่ก็โชคดีไม่มีเหตุการณ์
ผมกลับเข้าฐานของผมพร้อมลูกน้องเดนตายของผมและกําลังของกองร้อยสุรินทร์ได้อย่างปลอดภัย
เมื่อถึงฐานผมนั่งพักในคูเรดหน้าบังเกอร์ด้วยความโล่งใจ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
แผนผมสําเร็จและช่วยให้เพื่อนของผมและลูกน้องหนีออกจากนรกทั้งเป็นออกมาได้เหมือนตายแล้วเกิดใหม่
ผมรู้สึกผ่อนคลายกับความเครียดที่ลดลงจากสถานการณ์ในวันนี้และไม่ลืมวิทยุบอกเพื่อนย้งว่า ไอ้เหมียว ออกมาได้แล้วและปลอดภัยแล้ว และขอบคุณเพื่อนย้งที่ช่วยกันให้เป็นไปตามแผนทุกอย่าง
คืนนี้ผมขอนอนพักข้างนอกในคอกบังเกอร์เพื่อจะได้สูดอากาศสดชื่นข้างนอกบ้าง ถ้ามันถล่มมาด้วย ป. จึงจะลงไปนอนในรู…
แล้วผมก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลียในคืนนั้น
“บทเรียนจากการรบ”
1.การปิดล้อมของข้าศึกและการกระชับวงล้อมโดยการยึดภูมิประเทศด้วยการขุดบังเกอร์ดัดแปลงภูมิประเทศกระชับรุกคืบเข้ามายังฐานฝ่ายเราเรื่อยๆ สร้างแรงกดดันต่อฝ่ายเราทั้งขวัญและกําลังใจ เพื่อให้เราทนอยู่ไม่ได้ และจํากัดการปฏิบัติต่างๆของฝ่ายเรา ให้เราถอนตัวออกจากพื้นที่ บ.นา
2.การสูญเสียฐานกองร้อยสุรินทร์ ซึ่งเป็นฐานด้านนอกเพียงฐานเดียวของฝ่ายเราด้านทิศใต้ ทําให้ฐาน BI-15 และฐานปืนโดดเดี่ยวไม่มีฐานป้องกันด้านนอก สร้างแรงกดดันต่อฝ่ายเราอย่างมาก ทําให้สถานการณ์ฝ่ายเราตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
3.กําลังพี่น้องเสือพรานที่ส่งลงมาและกําลังรุกคืบเพื่อยึดพื้นที่คืนจากข้าศึก ทําให้ข้าศึกเบนน้ำหนักมาที่ทหารเสือพรานและปรับกําลังคน อาวุธ ยุทโธปกรณ์ใหม่ เพื่อขัดขวางการรุกคืบของทหารเสือพรานที่จะเข้าสู่บ้านนาเพื่อช่วยพวกเราทําให้สถานการณ์ที่บ้านนาเบาลงโดยเฉพาะการยิงด้วยอาวุธหนักและ ป. จากทุ่งไหหิน
4.ยุทธวิธีการลวงยังใช้ได้ผล ในการเข้าที่ลวงเพื่อดึงความสนใจข้าศึกและช่วยคนของเราออกมาได้อย่างปลอดภัย
5.ขวัญและกําลังใจของการต่อสู้ของทหารในยามคับขันและอยู่ในสถานการณ์ถูกกดดันจากข้าศึกทุกๆด้านจะตกอยู่ในภาวะสูญเสียอย่างหนัก
แต่จะมีกําลังใจและอดทนต่อสู้ต่อไปได้เมื่อรู้ว่าผู้บังคับบัญชาไม่ทอดทิ้งและหาทางช่วยเหลือทุกวิถีทาง ทําให้ทุกคนมีความหวังและมีกําลังใจที่จะอดทนต่อสู้ต่อไปได้ เป็นเรื่องสําคัญ.
“พี่น้องเสือพราน”
......เราต้องทนเพราะหน่วยเหนือยังไม่ให้เราถอนตัวและเรากําลังแย่ลงเรื่อยๆ ต้องสูญเสียทุกวันจากการถูกโจมตีด้วย ป. และอาวุธหนักของข้าศึก แต่ตอนนี้เบาลงบ้างจากที่พี่น้องเสือพรานของเรากําลังรุกเข้ามาช่วยเรา......
“สถานการณ์ที่บ้านนาหลังเสียฐานกองร้อยสุรินทร์”
ผมได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่หลังจากได้นํากําลังเข้าตีฐานสุรินทร์ และสามารถช่วยเพื่อนผมและทหารอีก 5 คนออกมาจากฐานได้สําเร็จ ในคืนนั้นไม่มีเหตุการณ์ใดๆอีก โดยเฉพาะการยิง ป.จากฝ่ายข้าศึกบริเวณทุ่งไหหินซึ่งมันเคยทําเป็นประจํากับฝ่ายเราที่บ้านนา
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนฟ้าสางของวันใหม่ พอดีทหารเอาซุปเนื้อร้อนๆมาให้เป็นอาหารเช้า เมื่อคืนผมนอนอยู่ในบังเกอร์ตรวจการณ์ทั้งคืน ผมกินมื้อเช้าไปด้วยสายตาก็กวาดไปข้างหน้า โดยเฉพาะที่ฐานสุรินทร์และเนินอานม้าทางด้านทิศใต้รวมทั้งทิศตะวันตกจนถึงเนินตรวจการณ์ซึ่งเป็นภูมิประเทศโดยรอบที่สําคัญด้านนอกบริเวณบ้านนาที่ถูกข้าศึกยึดไปหมดแล้ว
มองเห็นฐานปืนพันเชอร์ห่างไปไม่ไกลทางตะวันออกเฉียงใต้ สภาพฐานปืนทั้งแนวป้องกันลวดหนามดู ทรุดโทรมพังเป็นส่วนใหญ่ บังเกอร์พังร่องแร่งมองเห็นด้วยตาเปล่า บริเวณที่ว่างและสนามบินบ้านนาเต็มไปด้วยกองวัสดุเศษซากต่างๆมากมายจากการโจมตีด้วยปืนใหญ่และอาวุธหนักของข้าศึกมาเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน
ตอนนี้อยู่ในช่วงปลายเมษายนแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างเป็นความวิกฤตที่สุดของพวกเราที่บ้านนา ในเวลานี้ เราไม่เหลืออะไรที่จะสู้กับข้าศึกนอกจากการโจมตีทางอากาศอย่างเดียวในเวลากลางวันเท่านั้น ส่วนช่วงเวลากลางคืนเป็นเวลาที่ข้าศึกจะดําเนินการต่อฝ่ายเราได้ทุกอย่าง
อีกความหวังก็คือหน่วยเหนือได้ส่งกําลังพี่น้องเสือพราน ซึ่งกําลังรุกมุ่งมาที่บ้านนา น่าจะรุกมาทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้จากเมืองชําทองมาที่บ้านนามาช่วยพวกเรา
นั่นคือความหวังเดียวและเราต้องอดทนรอกันต่อไป
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ ผมยังตรวจการณ์อยู่ที่คอกบังเกอร์ตรวจการณ์ และใช้กล้องส่องทางไกลตรวจ ทําให้เห็นแนวที่มั่นข้าศึกที่ปิดล้อมเราอยู่ตั้งแต่เนินอานม้าด้านตะวันออกเฉียงเหนือจนยาวมาถึงเนินตรวจการณ์ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ เห็นแนวบังเกอร์ของข้าศึกเต็มไปหมด หันกล้องมาที่ฐานสุรินทร์ มองเห็นฐานชัดเจนเพราะอยู่ใกล้ ไม่มีการเคลื่อนไหวของข้าศึก ไม่มีธงแดง ไม่มีการโบกมือเยาะเย้ย ที่ฐานไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเลย
ชั่วครู่ผมได้ยินเสียง บ.ตรวจการณ์น่าจะเป็น L19 ได้ยินเสียงเบาๆมองแทบไม่เห็นตัวเครื่อง แต่รู้ว่ากําลังบินวนอยู่รอบๆพื้นที่บ้านนา จากนั้นก็ได้ยินเสียงเครื่องบิน JET ความเร็วสูงน่าจะเป็น F-4 แฟนทอม บินในระยะสูงมากมองไม่เห็นตัวเครื่อง ได้ยินแต่เสียงเครื่องในระดับสูง น่าจะ 2 ลําวนอยู่รอบพื้นที่บ้านนา แล้วเสียงจรวดอากาศก็ถูกยิงออกมาจาก L-19 เป็นจรวดควันตกระเบิดมีควันใกล้ๆฐานสุรินทร์
อีกไม่กี่อึดใจต่อมาได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของเครื่องไอพ่น JET แผดเสียงดังกึกก้องลงมาจากระดับสูงมาก แล้วเสียงก็จางไป แต่ตามมาด้วยเสียงระเบิดดังแน่นมาก ตึม! ตึม ! บริเวณใกล้ฐานสุรินทร์ ติดตามมาด้วยเสียงระเบิดดังแน่นติดต่อกัน เสียง ตึม! ตึม! จากลําที่สองที่พุ่งลงมาจากระดับสูงเช่นเดียวกัน
แรงระเบิดทําให้เกิดฝุ่นควันทั่วบริเวณฐานสุรินทร์จนมองไม่เห็นฐาน แล้วเสียง JET ของแฟนทอม ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ยังเหลือแต่เสียงของ บ.ตรวจการณ์ L-19 เบาๆ ที่ยังบินวนอยู่รอบพื้นที่บ้านนา ส่วนระเบิดจะตกทําลายฐานสุรินทร์หรือไม่นั้นคงไม่สําคัญ
แต่ที่ผมพอจะเดาได้คือมันคงเผ่นแน่บไปตั้งแต่ บ. L.19 มาบินวนแล้ว และยังไม่ได้ยิงจรวดชี้เป้าด้วยซ้ำ คงไม่ยอมเป็นเป้าระเบิดขนาด 500 ปอนด์ของแฟนท่อมแน่ การโจมตีทางอากาศของฝ่ายเราจากระดับสูงอาจไม่แม่นยําต่อเป้าหมาย แต่ก็คงสามารถขับไล่ข้าศึกไม่ให้ยึดฐานสุรินทร์ได้อีกต่อไป ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของเครื่องและนักบินและก็ไม่มีการต่อต้านใดๆหรือ ปตอ.จากฝ่ายข้าศึก
การขับไล่ข้าศึกจากการยึดฐานสุรินทร์คงได้ผลสําหรับฝ่ายเรา
ในช่วงบ่ายหลังจากการโจมตีทางอากาศที่ฐานสุรินทร์ ยังมี บ.ตรวจการณ์ของฝ่ายเราบินสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลา ผมได้ยินเสียงเครื่องของ L-19 แต่อยู่ในระดับสูง มองเห็นเครื่องเล็กมาก ในช่วงเวลาเดียวกัน มี ฮ. แบบ UH-1 มาลงที่ บ.นา เพื่อส่งอุปกรณ์และรับคนเจ็บป่วยน่าจะมาลงถึง 2 เที่ยว
ในเที่ยวแรกมี จนท. CIA ถ้าผมจําชื่อไม่ผิดชื่อจอห์นลงมาด้วย เหมือนมันรู้ว่าที่บ้านนาตอนนี้ปลอดภัย ผมถือโอกาสไปพูดคุยกับจอห์น พอคุยกันรู้เรื่องจากภาษาอังกฤษ มันคงเห็นสภาพผมโทรมมาก เจ้าจอห์นบอกว่าพวกคุณทนอยู่ได้อย่างไร ผมเห็นสภาพบ้านนาบนอากาศเต็มไปด้วยหลุมระเบิดเต็มไปหมด ไม่มีที่ใดไม่มีหลุมระเบิดยิ่งกว่าดวงจันทร์ซะอีก
แล้วก็หัวเราะ
ผมพยายามอธิบายมันว่า เราต้องทนเพราะหน่วยเหนือยังไม่ให้เราถอนตัวและเรากําลังแย่ลงเรื่อยๆ ต้องสูญเสียทุกวันจากการถูกโจมตีด้วย ป. และอาวุธหนักของข้าศึก แต่ตอนนี้เบาลงบ้างจากที่พี่น้องเสือพรานของเรากําลังรุกเข้ามาช่วยเรา
มันบอกว่าที่สมรภูมิเวียดนามที่เกซาน สถานการณ์คล้ายกับเราที่บ้านนา แต่ทนอยู่ได้ไม่ถึง 2 เดือน ตอนนี่เกซานที่เวียดนามแตกแล้ว ผมนึกอยู่ในใจโดยไม่ได้พูดกับมัน แต่อยากจะบอกมันว่า “กูก็แทบทนไม่ไหวอยู่แล้วโว้ย กําลังจะถึงที่สุดแล้ว ในความอดทนของพวกกูที่นี่ ไม่ต้องมาชมกูหรอก”
มันยิ้มจะสมเพชเราหรือชมเราผมไม่รู้ แล้วมันก็พูดเป็นภาษาอังกฤษว่า
“พวกคุณแน่จริงๆ ที่ยังทนกันอยู่ได้มาจนถึงวันนี้”
แล้วจอห์นก็รีบไปกับ ฮ. เที่ยวที่ 2 ที่มารับคนเจ็บป่วย เหมือนมันรู้ว่าตอนนี้ที่บ้านนาปลอดภัย ลงมาดูเหตุการณ์ได้
พวกนี้มันรู้ทุกอย่าง.
“รบหนักที่เนินอานม้า”
....พวกเราทุ่มกําลังเข้ายึดหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่สําเร็จและถูกข้าศึกต่อต้านอย่างหนักจากอาวุธหนัก แม้พวกเราจะระดมโจมตีข้าศึกด้วยอาวุธอย่างหนักก็ตาม ทั้งกําลังคนและอาวุธสองกรมเสือพรานก็ยังไม่สามารถบุกยึดเนินอานม้าได้….
วันนี้ตอนบ่ายใกล้ค่ําหลังเจ้าจอห์นกลับไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น บ.ตรวจการณ์หายไปแล้ว ไม่ได้ยินเสียงเครื่อง ผมเปิดวิทยุ PRC-25 ฟังข่าวสถานการณ์จึงทราบว่า เพื่อนพี่น้องเสือพรานของเรากําลังรุกใกล้ บ.นาเข้ามาแล้ว ถ้าเข้าใจไม่ผิดน่าจะเป็นกรมทหารเสือพราน 2 กรมกําลังรุกคืบเข้ามาที่บ้านนาใช้รหัสว่า “สวนกุหลาบ” กับ “เทพศิรินทร์” กําลังเล่นแข่งฟุตบอลกันเข้ามาแล้ว
ผมเริ่มมีความหวังและเข้าใจกับสถานการณ์ของเราที่บ้านนา และนั่งฟังมอนิเตอร์เหตุการณ์พี่น้องเสือพรานของเราพูดวิทยุติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็รู้ว่ากําลังปะทะกับข้าศึก ฝ่ายเรากําลังดําเนินกลยุทธ์ต่างๆกับข้าศึก บางครั้งหูก็ได้ยินเหมือนเสียงระเบิดดังอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ แต่ได้ยินเสียงเบาๆ แต่ก็พอจะรู้ว่ามีการสู้รบกันบริเวณนั้นและในทิศทางนั้นแน่นอน
ผมยังคงเปิดวิทยุ PRC-25 ฟังข่าวการสู้รบของพี่น้องเสือพรานของพวกเราในคูเรดหน้าบังเกอร์ เมื่อเริ่มมืด ความมืดย่างเข้ามา ผมยังติดตามสถานการณ์ของฝ่ายเราต่อไปและที่บ้านนาไม่มีสถานการณ์ใดๆนอกจากความเงียบเท่านั้น ข้าศึกคงกําลังพะวงกับการสกัดการรุกของพี่น้องเสือพรานของเราที่กําลังเร่งรุกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ช่วงเวลานี้มันจึงปล่อยพวกเราที่ บ.นาไว้ก่อน
เป็นอีกวันและคืนหนึ่งที่พวกเราที่ บ.นา อยู่กันอย่างสบายโดยไม่มีเหตุการณ์ใดๆ
รุ่งขึ้นอีกวันน่าจะเกือบสิ้นเดือนเมษายนแล้ว ในตอนเช้าผมตื่นขึ้นมากินอาหารเช้าพร้อมกับเปิดวิทยุฟังข่าวการสู้รบของพวกเราพี่น้องเสือพรานต่อ
ตั้งแต่เช้าวันนี้ สถานการณ์การสู้รบเริ่มชัดเจนมากขึ้น เสียงระเบิดและเสียงปืนจากการสู้รบด้านเนินอานม้าเริ่มชัดเจนได้ยินชัดมากขึ้นเรื่อยๆ และมีการรบกันอย่างหนัก เห็นเนินอานม้าโดนระเบิดจากฝ่ายเราและมีเสียงปืนยิงโต้ตอบกันทั้งจากเนินอานม้าและพื้นที่โดยรอบอยู่ตลอดเวลา
จากการดักฟังทางวิทยุทราบว่า 2 กรมเสือพรานของเรากําลังเล่นฟุตบอล คือเข้าตีและปิดล้อมเพื่อยึดเนินอานม้าตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนี้ มีการสู้รบกันอย่างหนักระหว่างฝ่ายเราและข้าศึก ซึ่งเนินอานม้ามีภูมิประเทศที่เหมาะที่จะตั้งรับและได้เปรียบจากการเข้าตีของฝ่ายเรามากเนื่องจากเป็นยอดเขาที่มีสันเขาเล็ก บางยาวและสูงพอสมควรเป็นปราการตั้งรับอย่างดีกับฝ่ายข้าศึก
ทราบว่าพวกเราทุ่มกําลังเข้ายึดหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่สําเร็จและถูกข้าศึกต่อต้านอย่างหนักจากอาวุธหนัก แม้พวกเราจะระดมโจมตีข้าศึกด้วยอาวุธอย่างหนักก็ตาม ทั้งกําลังคนและอาวุธสองกรมเสือพรานก็ยังไม่สามารถบุกยึดเนินอานม้าได้
จากการฝังข่าวสารการรบทราบว่าฝ่ายเรามีการสูญเสียพอสมควรในการเข้าตีเนินอานม้า จากการฟังได้รู้ว่าพวกเราได้ถอนกําลังในการเข้าตีมายึดที่มั่นอยู่บนเนินห่างจากเนินอานม้าประมาณ 400-500 เมตรทางด้านทิศใต้ของเนินหนึ่งกรมเสือพราน
ส่วนอีกหนึ่งกรมน่าจะถอยลงมายึดพื้นที่ด้านล่างอีกด้านและยังเกาะติดอยู่บนลาดเนินเช่นเดียวกันและยังปักหลักยิงถล่มกันด้วยอาวุธหนัก ค. และ ปรส. อยู่ตลอดเวลา ได้ยินเสียงระเบิดดังอยู่เป็นระยะๆ พวกเราคงถอยมาตั้งหลักเพื่อปรับแผนกันใหม่ เนื่องจากความเสียเปรียบในภูมิประเทศที่เป้าหมายเป็นเนินสูงชัน จึงทําให้ยากต่อการเข้าตีและรุกเข้าถึงแนวตั้งรับของข้าศึกจึงถอนกําลังลงมาก่อนและดัดแปลงพื้นที่เกาะติดอยู่ใกล้กับเนินอานม้าที่ข้าศึกยังยึดอยู่ แต่ยังไม่ได้ล้มเลิกแผน
หากยึดเนินอานม้าได้ หนทางที่จะเข้าสู่บ้านนาก็จะสะดวกและเปิดโล่งทันที.
“ผิดพลาดครั้งใหญ่”
.........ผมเห็นบริเวณที่ระเบิดตกไม่โดนเนินอานม้า แต่มันตกระเบิดใกล้เนินมาทางทิศตะวันตกห่างจากเนินไม่มาก มองเห็นฝุ่นดินบริเวณนั้นฟุ้งกระจุยขึ้นไปในอากาศสูง มองเห็นชัดมากและเสียงการติดต่อทางวิทยุของพวกเราเงียบลงทันที......
“ความผิดพลาดของนักบินรบแฟนท่อมของอเมริกันจากการโจมตีเป้าหมายทางอากาศที่เนินอานม้าดับความหวังของพวกเราที่ บ.นาจนหมดสิ้น”
ผมยังเกาะติดสถานการณ์ต่อไปในช่วงบ่ายของวันนั้น เสียงการสู้รบเบาบางลง ยังคงมีการยิงใส่กันด้วยอาวุธหนักเป็นช่วงๆ ได้ยินจากเสียงอาวุธหนักที่ถล่มใส่กันเป็นระยะๆอยู่บริเวณเนินอานม้าและพื้นที่โดยรอบ ใกล้กับเนินอานม้า
ผมยังคงฟังข่าวสารการสู้รบของพี่น้องเสือพรานกับข้าศึกบริเวณเนินอานม้าตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงบ่ายของวันนั้นที่บังเกอร์ตรวจการณ์หน้าแนวที่มั่นของผม โดยไม่มีเหตุการณ์ใดๆที่บริเวณพื้นที่ บ.นา
พอจะสรุปสถานการณ์ได้ว่า ในช่วงเช้าของวันนั้น ฝ่ายเราพี่น้องหน่วยเสือพราน 2 กรม เข้าตีและปิดล้อมข้าศึกที่เนินอานม้าอย่างหนักเพื่อยึดและกดดันข้าศึกให้ถอนตัวออกไป แต่ยังไม่สําเร็จ
ข้าศึกมีการต่อต้านฝ่ายเราอย่างหนักและยังยึดเนินอานม้าอยู่
ฝ่ายเรามีการสูญเสียมากพอควรจึงถอนกําลังลงมาจากลาดเนินอานม้าและยึดที่มั่นเพื่อเกาะเป้าหมายและปิดล้อมเนินอานม้าห่างจากเนินประมาณ 400-500 เมตรทางด้านทิศใต้และตะวันตกของเนินเพื่อจะปรับแผนและปรับกําลังใหม่เพื่อยึดเนินอานม้าให้ได้ต่อไป ...
ผมพอสรุปเหตุการณ์ได้เท่านี้
และในช่วงบ่ายได้เห็น บ.ตรวจการณ์ L-19 มาบินวนอยู่เหนือพื้นที่บ้านนาและเนินอานม้าอยู่นานพอสมควร จากนั้นหูผมก็ได้ยินเสียงเครื่องไอพ่นน่าจะเป็น F-4 แฟนท่อมบินเข้ามาในพื้นที่ 2 ลําเกาะติดกันมาและวนอยู่บริเวณพื้นที่บ้านนาไม่สูงมากมองเห็นเครื่องได้ชัดเจนว่าเป็น F-4 แฟนท่อม
จากนั้นจรวดอากาศก็ถูกยิงจาก บ.ตรวจการณ์ L-19 ทันที มองเห็นควันจางๆใกล้เนินอานม้าและเห็น F-4 แฟนท่อมกําลังไดฟ์ลงมาเพื่อทิ้งระเบิดโดยพุ่งมาทางด้านทิศตะวันออกของเนินอานม้าในระยะต่ําได้ยินเสียงเครื่องชัดเจนมากและน่าจะปล่อยระเบิดลงบริเวณเนินอานม้า เสียงระเบิดดังสนั่น บึม! บึม! 2 ลูก ไม่ทราบว่าเป็น 500 หรือ 750 ปอนด์ แล้วเครื่องก็เชิดขึ้นตีวงเลี้ยวซ้ายออกไป
ผมเห็นบริเวณที่ระเบิดตกไม่โดนเนินอานม้า แต่มันตกระเบิดใกล้เนินมาทางทิศตะวันตกห่างจากเนินไม่มาก มองเห็นฝุ่นดินบริเวณนั้นฟุ้งกระจุยขึ้นไปในอากาศสูง มองเห็นชัดมาก...
และเสียงการติดต่อทางวิทยุของพวกเราเงียบลงทันที
ชั่วอึดใจ มีการพูดวิทยุอย่างตกใจจากเหตุการณ์ พอจับใจความได้ว่าให้หยุดการโจมตี ระเบิดตกใส่พวกเราขอให้หยุดการโจมตีทางอากาศ แล้วเสียงวิทยุของพวกเราก็เงียบไปอีก ส่วนแฟนท่อมอีกลําหนึ่งไม่ทําการโจมตีทิ้งระเบิดต่อจากลําแรกและผมไม่เห็นเครื่องและไม่ได้ยินเสียงระเบิดอีกของ F-4 ลําที่สอง
L-19 บ.ตรวจการณ์คงเห็นเหตุการณ์ชัดเจน และบอกให้หยุดการทิ้งระเบิดของลําที่ 2 ไว้ทันท่วงที จากนั้นเสียงพูดวิทยุของพวกเราอย่างสับสนวุ่นวายที่ได้ยินพอสรุปได้ว่า
มีระเบิดจากการทิ้งระเบิดตกใส่พวกเรา 2 ลูกเต็มๆ เป็นหน่วยกรมทหารเสือพรานของเรา กรมอะไรผมจําชื่อหน่วยไม่ได้ซึ่งตั้งมั่นเกาะติดเนินอานม้าอยู่ทางด้านตะวันตก 400-500 เมตรด้านล่างเนินอานม้า ทั้งกรมมีการสูญเสียอย่างหนักทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิตจากแรงระเบิด 2 ลูก มีนายทหารและผู้บังคับบัญชาหลายคนบาดเจ็บและเสียชีวิต ผมได้ยินการรายงานทางวิทยุที่สับสนอย่างยิ่ง และกรมเสือพรานนี้ขอถอนตัวออกจากพื้นที่ทันที่ น่าจะถอนกลับไปยังบริเวณเมืองชําทองเพื่อนําส่งผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจํานวนมากกลับไป
ส่วนอีกกรมก็ขอถอนตัวออกจากพื้นที่สู้รบเช่นเดียวกันเพื่อคุ้มกันและช่วยเหลือเพื่อนกรมเสือพรานที่ต้องสูญเสียอย่างหนักจากการทิ้งระเบิดผิดพลาดของพวกเรากันเองแทบละลายทั้งกรม
ผมฟังข่าวสารจากการดักฟังวิทยุด้วยความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่น้องเสือพรานของพวกเราที่บริเวณเนินอานม้าที่ต้องบาดเจ็บล้มตายอย่างหนักต่อความผิดพลาดของพวกเรากันเองอย่างไม่น่าให้อภัย
ปลงต่อชีวิตและเหตุการณ์ คิดอีกทีอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นในสนามรบ เหตุการณ์กับพี่น้องกรมเสือพรานทั้ง 2 กรมในวันนี้ดับความหวังของพวกเราที่บ้านนาลงหมดสิ้น ซึ่งเป็นความหวังเดียวที่เราจะรอดจากนรกที่บ้านนาแห่งนี้ได้
อะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเราที่บ้านนาหลังจากนี้ ผมเดาออกและรู้อยู่แล้ว
ไม่ยากที่จะเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป แต่ตราบใดที่ผมและลูกน้องเดนตาย 18-19 คนที่ยังมีลมหายใจอยู่ก็จะขอต่อสู้และดิ้นรนกันต่อไป เพื่อจะเอาชีวิตรอดกลับบ้านเกิดให้ได้
จากนี้มันคงให้เวลาเรา 2-3 วัน เพื่อมันจะได้ปรับกําลังอาวุธยุทโธปกรณ์ให้พร้อมและจัดการกับพวกเราที่บ้านนาอย่างแน่นอน.
“ทางรอด”
......เมื่อเหตุการณ์พลิกผันไปเช่นนี้ ความหวังที่ใครจะมาช่วยพวกเราคงไม่มีแล้ว BI-15 จะดําเนินการอย่างไรต่อไปเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้.......
“บทเรียนจากการรบ”
1.การโจมตีทางอากาศเป็นหนทางเดียวของฝ่ายเราที่จะกระทําต่อข้าศึกได้อย่างได้ผลในการขับไล่ข้าศึกที่ยึดครองพื้นที่ฝ่ายเราอยู่ให้ออกไปจากพื้นที่ได้ เช่นที่ฐานสุรินทร์ ไม่มีหนทางปฏิบัติอื่นใด ในสถานการณ์ที่บ้านนาในขณะนั้น
2. การที่พี่น้องกรมทหารเสือพรานหลายกรม ถูกส่งลงมาเพื่อยึดพื้นที่คืนและกําลังมุ่งสู่บ้านนาเป็นการรุกกลับของฝ่ายเราที่ทําให้ข้าศึกต้องปรับแผน ทั้งคน อาวุธยุทโธปกรณ์เสียใหม่ เพื่อเข้าสกัดกําลังทหารเสือพรานและขัดขวางแผนของฝ่ายเราที่จะเข้าสู่บ้านนา ช่วยทําให้สถานการณ์การโจมตีของอาวุธหนักและการปฏิบัติของข้าศึกที่บ้านนาเบาบางลง
3.ความผิดพลาดต่อการทิ้งระเบิดโจมตีทางอากาศของฝ่ายเราที่เนินอานม้า ซึ่งเป็นที่หมายเล็กและบาง ยากที่ระเบิดจะตรงเป้าหมาย น่าจะเป็นบทเรียนราคาแพงต่อฝ่ายเราทั้งเรื่องการประสานงาน การวางกําลังของหน่วยภาคพื้นดินที่วางกําลังใกล้ที่หมายเกินไป รวมทั้งความผิดพลาดของนักบินโจมตีด้วย คงต้องมีการทบทวนกันใหม่ในเรื่องนี้ เพราะการผิดพลาดทําให้เกิดการสูญเสียอย่างหนักต่อพวกเรากันเอง แทนที่จะเป็นข้าศึก และที่สําคัญ แผนในการดําเนินกลยุทธ์สําคัญต้องเสียและยกเลิกไป
“การถอนตัวจากสมรภูมิบ้านนา”
ผมไม่อยากคิดอะไรอีกแล้วจากเหตุการณ์ในวันนั้นที่เนินอานม้าหลังจากการทิ้งระเบิดผิดพลาดโดนฝ่ายเรากันเองคือพี่น้องเสือพรานที่กําลังจะเข้ามาช่วยพวกเราที่บ้านนาต้องสูญเสียอย่างหนักแทบละลายทั้งกรมและต้องถอนกําลังออกไปทั้ง 2 กรมเพื่อตั้งหลักและปรับแผนฟื้นฟูกําลังกันใหม่ ก็คงต้องใช้เวลานานพอสมควร ในการฟื้นฟูกําลังหรือส่งหน่วยใหม่เข้ามาที่บ้านนาเพื่อช่วยพวกเรา
คงต้องทําใจกับเรื่องนี้ เพราะทุกอย่างสูญสลายไปหมดแล้วจากเหตุการณ์ในวันนั้น
สู้มาคิดต่อไปว่าแล้วพวกเราที่บ้านนาจะทําอย่างไรต่อไป
เมื่อเหตุการณ์พลิกผันไปเช่นนี้ ความหวังที่ใครจะมาช่วยพวกเราคงไม่มีแล้ว
BI-15 จะดําเนินการอย่างไรต่อไปเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ผู้พันท่านจะมีแผนอย่างไร คงต้องรอท่านตัดสินใจและหารือกับหน่วยเหนือ พวกเราคงมีเวลาไม่มากนักในการตัดสินใจที่จะอยู่ต่อไปหรือถอนตัวออกจากบ้านนา คงต้องเป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาที่ท่านต้องตัดสินใจแล้ว มันคงจะไม่ปล่อยให้พวกเราอยู่ต่อไปที่บ้านนาแน่
หลังจากนี้มันคงจะเร่งวางแผนปรับกําลังรวมกําลังอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมดเพื่อจัดการกับพวกเรา ซึ่งในสถานการณ์ขณะนี้ไม่มีอะไรไปต่อกรกับมันได้อีกแล้ว
เราถูกปิดล้อมและถูกโดดเดี่ยวโดยสิ้นเชิงและผมเชื่อว่าการจัดการพวกเราที่บ้านนา มันต้องทุ่มกําลังอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกอย่างเข้าถล่มเรา และใช้หน่วยกําลังภาคพื้นดินเข้าโอเวอร์รันในช่วงเวลากลางคืน ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กําลังทางอากาศของเราที่เป็นเครื่องมือของฝ่ายเราอย่างเดียวที่จะช่วยได้
มันคงไม่เสี่ยงเข้าตีเราที่ บ.นา ในช่วงเวลากลางวันอย่างแน่นอน
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งของพวกเราที่ต้องสูญเสียอย่างหนักหลังเหตุการณ์วันเสียกองร้อยสุรินทร์ไป
หลังความมืดเข้าปกคลุมพื้นที่บ้านนา ทุกอย่างมีแต่ความเงียบ มันเป็นความเงียบที่ผมรู้สึกได้ว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นข้างหน้าในเร็ววันนี้แน่นอน หลังจากกําชับเรื่องเวรยามและกินอาหารเย็นอย่างไม่อยากกิน และผมกินแต่ผลไม้กระป๋องแล้วก็ลงไปพักในรูดินหลบภัยของผมเงียบๆแบบอ่อนเพลียในจิตใจและร่างกายที่ตรากตรํากรำศึกมาเกือบปีแล้วที่สมรภูมิลาวและที่บ้านนา
ความเงียบที่ไม่มีเหตุการณ์ ใดๆในคืนนั้นทําให้ผมหลับไปและมาตื่นในตอนเช้าของอีกวัน
ทุกอย่างยังคงเป็นปกติไม่มีเหตุการณ์ใดๆทั้งข้าศึกและฝ่ายเรา
หลังจัดการกับอาหารกระป๋องมื้อเช้า ผมได้รับคําสั่งให้ไปประชุมที่ บก.พัน BI-15 ในเวลา 10.00 น.
ผมเดาไม่ผิด ผู้พันต้องมีการตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอนและเรียกประชุมพวกเราด่วนในเช้าวันนี้
ใกล้เวลา 10.00 น. ผมเรียกจ่าบุญมาสั่งการบอกให้พวกเราพักผ่อนตามสบาย ห้ามออกจากแนวอย่างเด็ดขาด จัดเวรยามตรวจการณ์ไปข้างหน้าตลอดเวลา ผมจะไปประชุมพร้อม ผบ.หมู่ 2 คนของผม
ผมพาลูกน้องเดินลัดเลาะไปในแนวคูจนสุดทางทิศตะวันออกจึงขึ้นจากคูและพวกเราก็วิ่งไปยังบังเกอร์ บก.พันทันที
ผมพา ผบ.หมู่ลูกน้องผมเข้าไปในห้องประชุมโดยเร็ว
ห้องประชุมเป็นบังเกอร์ขนาดใหญ่มีที่นั่งเป็นไม้กลมแบบท่อนซุงวางยาวบนฐานที่เป็นท่อนไม้สั้นๆ สูงพอดีให้นั่งกันได้ห้องประชุม
บก. BI-15 ยังดีอยู่ไม่โดนอาวุธหนักและปืนใหญ่ของข้าศึก ด้านตรงข้ามข้างหน้ามีแผนที่ยุทธการขนาดใหญ่
ผมเห็นนายทหารระดับหัวหน้าหน่วยหลายคนมานั่งรอกันแล้ว น่าจะเป็นการประชุมนายทหารทุกคนทุกระดับ
ผมเป็นนายทหารระดับเด็กๆและเพื่อนผมก็มาประชุมกันหมดทุกคนไอ้ย้ง,ไอ้เหมียวและไอ้มิตรมากันครบทุกคน เว้นเพื่อนที่เสียชีวิตไปแล้ว 2 คน ไอ้ปิ้งกับไอ้มอส มันคงสบายไปแล้วทั้ง 2 คน
ผมเห็นนายทหารฝ่ายอํานวยการเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่นั่งอยู่ซ้ายขวาของโต๊ะประชุมหน้าแผนที่ยุทธการ ในนั้นมีพี่เกริกซึ่งเป็น ผบ.ฐานปืนพันเชอร์นั่งอยู่ด้วย นอกนั้นเป็นนายทหารฝ่ายอํานวยการของกองพัน BI-15
ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ค่อยมีคนคุยกัน
ผมนั่งอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ ดูทุกคนร่างกายหน้าตาทรุดโทรมมาก ไม่ว่าจะเหล่าราบหรือเหล่าปืนโทรมเหมือนกันจากเหตุการณ์และการกรําศึกมาเกือบปี.
“ถอนตัว”
.....เมื่อไม่มีใครนํา กูกับลูกน้องนี่แหละวะขอพาออกจากนรกนี่เอง อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เพราะถึงเวลาต้องเสี่ยงดวงกันแล้ว ดีกว่าอยู่รอวันตายให้มันมาเหยียบกระบาลพวกเราแบบไม่มีทางสู้ ….
ระหว่างรอผู้พันก็พูดคุยกันเบาๆ ผมคุยกับไอ้เหมียวว่า
"เฮ้ย ถึงรู้ไหมว่าเขาจะเอากันยังไงต่อไปวะ ในเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้แล้ว"
ไอ้เหมียวบอก “กูก็ไม่รู้ว่ะกูคุยกับไอ้ย้ง ไอ้มิตร แล้วมันบอกว่า พวกกูก็ไม่มีอะไรจะสู้กับพวกมันแล้ว โดยเฉพาะปืนใหญ่ของกูก็ไม่เหลืออะไรแล้ว 105 ที่เหลืออยู่กระบอกเดียวก็ไม่มีกระสุนจะยิงแล้วเพราะส่งกําลังให้ไม่ได้มานาน” ไอ้เหมียวบอกเพื่อนย้ง เพื่อนมิตร
“กูกับไอ้จักษ์ก็ไม่เหลือเหมือนกัน กูจะขอรวมกําลังกับของมันได้เกือบ มว.ปล.
แล้วพวกเราจะอยู่หรือจะถอนวะ"
ไม่มีใครตอบได้ แต่ฟังเสียงจากพวกเราเป็นส่วนใหญ่แล้ว คงอยู่ให้มันมาเหยียบกระบาลเราไม่ได้แล้ว น่าจะต้องถอน
ส่วนกองพันก็เสียหายเยอะ เหลือส่วนของ บก.ร้อย 1 BI-15 ของผู้กองสุรยุทธกับ มว.ปล.2 ของไอ้เหิรที่ยังดีสมบูรณ์อยู่ไม่มีอะไรเสียหาย นอกนั้นย่ำแย่หมด คงต้องรอผู้พันท่านจะเอาอย่างไรและคงต้องตัดสินใจกันภายในวันนี้แน่ว่าจะเอายังไงกัน อยู่หรือถอน
ถ้าช้าอาจจะไม่ทันการ ถ้ามันทุ่มกําลังเข้าตีเราในคืนนี้หรือคืนพรุ่งนี้ เมื่อเราไม่มีอะไรจะสู้กับมัน
ผมไม่อยากนึกภาพว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเราที่บ้านนา คงจะสับสนอลหม่านไปหมด ไม่มีใครช่วยใครได้ ตัวใครตัวมัน
และคงไม่ต้องบอกถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นตามมา
ผมเห็นผู้พันเดินเข้ามาในห้องประชุมแล้ว
ไม่ต้องบอกสีหน้าท่านเคร่งเครียดมาก ผอมดําจากการกรําศึกเช่นเดียวกันกับพวกเรา
ท่านนั่งลงที่โต๊ะของท่านระหว่างกึ่งกลางของนายทหารชั้นผู้ใหญ่
สักครู่ท่านจึงพูดว่า
“ ที่เรียกกันมาประชุมด่วนในวันนี้ คงจะรู้และทราบถึงสถานการณ์กันดีแล้วนะทุกคน จําเป็นต้องหารือพวกเราระดับ หน.หน่วยและนายทหารทุกๆคน และอยากให้ทุกคนออกความเห็นว่า เราจะทนอยู่ต่อไป เพื่อให้หน่วยเหนือส่งกําลังเข้ามาใหม่และช่วยเรา
หรือจะถอนออกจากพื้นที่ในตอนนี้”
มีเสียงอื้ออึงจากพวกเราในที่ประชุมแบบพูดคุยและถกเถียงกัน
ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าต้องถอนตัวออกจากบ้านนาโดยเร็วก่อนที่ข้าศึกจะทุ่มกําลังเข้าโจมตีเราในเร็ววันนี้
มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคนเหมือนตัวแทนพวกเราที่เป็นนายทหารเด็กๆให้เหตุผลกับผู้พันว่าคงต้องถอน ถ้าอยู่จะต้องเกิดการสูญ เสียครั้งใหญ่มากกว่านี้แน่ และไม่ทราบว่านานเท่าไหร่ ที่จะมีกําลังหน่วยใหม่มาช่วยเราอีกหรือไม่ ยังไม่มีอะไรแน่นอน
นอกจากนั้นการส่งกําลังหรือเสริม
กําลังอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ไม่สามารถทําได้เลยในสถานการณ์ปัจจุบัน
พวกเราก็ทนกันมามากพอสมควรแล้ว และถึงที่สุดแล้ว เนื่องจากแผนการช่วยเหลือของพวกเราล้มเหลวไปแล้วจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้
น่าจะเป็นมติส่วนรวมของพวกเรา และท่านคงตระหนักถึงข้อเท็จจริงและเหตุผลที่มีผู้ออกความเห็นว่าควรถอนตัวออกจากบ้านนา ซึ่งเป็นความเห็นส่วนใหญ่ และแม้ว่าพวกเราจะรู้สึกถึงความเป็นผู้นําหน่วยของท่านที่ต้องรับผิดชอบพวกเราทุกคนที่บ้านนา รวมทั้งเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นทหารไทยด้วย
แต่ด้วยเหตุผลของส่วนรวมทําให้ท่านต้องยอมตามมติของพวกเรา
ท่านนิ่งอยู่สักครู่ แล้วพูดขึ้นว่า
“เอาละ เมื่อทุกคนส่วนใหญ่เห็นว่าเราควรต้องถอนออกจากบ้านนา ผมก็จะถอนและจะขออนุมัติกับหน่วยเหนือทันทีในวันนี้ และในสถานการณ์ขณะนี้ พวกเราถูกข้าศึกล้อมไว้เกือบทุกด้านแล้ว
พวกเราจะแหกวงล้อมข้าศึกไปทางไหนอย่างไร?”
เป็นคําถามที่ท่านถามพวกเรา
ไม่ว่าจะออกทางไหนล้วนมีความเสี่ยงที่จะต้องปะทะกับข้าศึกแทบทุกช่องทาง
และอีกคําถามหนึ่งของผู้พัน
“แล้วใครจะเป็นหน่วยนํา”
เมื่อผู้พันพูดคําถามนี้ออกมา ทุกคนในที่ประชุมเงียบกันหมด ยังไม่มีใครให้คําตอบท่าน เมื่อทุกคนนิ่งและยังไม่มีคําตอบให้ผู้พัน
ใจผมรู้สึกหงุดหงิด นึกในใจว่า กูกับลูกน้องที่เหลือไม่ถึง 20 คนนี่แหละวะขอเป็นหน่วยนําก็ได้โว้ย เพราะอยากจะไปให้พ้นจากนรกที่นี่เต็มที่แล้ว
ใจคิดเมื่อไม่มีใครนํา กูกับลูกน้องนี่แหละวะขอพาออกจากนรกนี่เอง อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เพราะถึงเวลาต้องเสี่ยงดวงกันแล้ว
ดีกว่าอยู่รอวันตายให้มันมาเหยียบกระบาลพวกเราแบบไม่มีทางสู้
เมื่อในที่ประชุมยังเงียบ ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นั่งทันทีพร้อมยกมือขึ้นและพูดกับผู้พันว่า
“ผมครับ...ผม-หัวหน้าใจ ขอเป็นหน่วยนําในการถอนตัวออกจากบ้านนาครับ”.
“แผนถอนตัวของหัวหน้าใจ”
……..“ขออนุญาตครับ ผมขอนําถอนตัวออกจากบ้านนาในคืนนี้ เริ่มเวลา 2 ทุ่มตรงครับ เพื่อไปรวมกับ BI-14 ที่ภูล่องมาด........
“ผมครับ” ผม-หัวหน้าใจ ขอเป็นหน่วยนําในการถอนตัวออกจากบ้านนาครับ”.
ผู้พันท่านจําผมได้แม่น มองมาที่ผมแบบไม่สงสัยว่าเป็นใครมาอาสา เพราะท่านคุ้นหน้าผมอย่างดีแล้ว ท่านพูดว่า
“แน่ใจนะหัวหน้าใจ ที่จะเป็นหน่วยนํา” ผมตอบด้วยเสียงดังชัดเจนว่า “แน่ใจ ครับ”
ท่านรู้สึกถึงความจริงใจในการอาสาของผม เพราะท่านใช้ผมไปเสี่ยงตายมาหลายครั้งแล้วและคงไม่สงสัยในความเอาจริงของผมอย่างแน่นอน
ในที่สุดท่านก็พูดออกมาในที่ประชุมว่า
“เอาละ ถอนก็ถอน เมื่อส่วนใหญ่ต้องการโดยให้หน่วยของหัวหน้าใจเป็นหน่วยนํา ผมจะขออนุมัติถอนตัวกับหน่วยเหนือในวันนี้ พวกเราน่าจะมีเวลาเตรียมการกันทัน
การถอนตัวนั้นมีอันตรายและมีโอกาสมากที่จะต้องปะทะกับข้าศึกที่ปิดล้อมเราอยู่
ก็จะขอถามถึงแผนการถอนตัวกันเลยกับพวกเราว่าจะทําอย่างไร มีแผนอย่างไรที่จะทําให้การถอนตัวปลอดภัยที่สุด
และขอถามหัวหน้าใจก่อนว่ามีแผนอย่างไรในฐานะที่ขอเป็นหน่วยนํา”
ผมมีแผนอยู่ในใจที่ต้องการให้พ้นจากนรกนี้อยู่ก่อนแล้วจากการประมาณสถานการณ์หากถูกข้าศึกเข้าตีแบบทุ่มกําลังหรือโอเวอร์รันเราตามที่เคยชี้แจงกับลูกน้องผมแล้วเพื่อให้มีชีวิตรอดกลับไป เพียงแค่ครั้งนี้เป็นการถอนกําลังทั้งหมดออกจากบ้านนาอย่างเป็นระบบและมีคนจํานวนมาก
ผมรีบชี้แจงกับผู้พันทันที่ด้วยแผนง่ายๆ ตามที่ผมคิดไว้และผมชี้แจงต่อ
“ขออนุญาตครับ ผมขอนําถอนตัวออกจากบ้านนาในคืนนี้ เริ่มเวลา 2 ทุ่มตรงครับ เพื่อไปรวมกับ BI-14 ที่ภูล่องมาด
ผมกําหนดจุดรวมพลไว้ตรงบริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือใกล้กับฐานกองพันและบก.ร้อย BI-15 ผมจะนําลงจุดนั้นซึ่งเป็นหุบลึกที่สุดและนําลงหุบไปให้เร็วที่สุด เพื่อจะไต่สันเขาไปยังฝั่งตรงข้ามและมุ่งสู่สันเขาสูงซึ่งเป็นสันเขาที่ทอดยาวสู่ภูล่องมาดที่ห่างจากเราไปประมาณ 10 กม.ทางด้านทิศเหนือครับ”
ผมชี้แจงแผนคร่าวๆให้ที่ประชุมฟังและไม่มีใครคัดค้านแผนผมในเส้นทางและทิศทางถอนตัวที่ผมกําหนด “ อย่าลืมนะครับ 20.00 น. หรือ 2 ทุ่มตรง ผมจะลงหุบทันที ไม่มีการรั้งรอใดๆ เรื่องธุรการอื่นๆเป็นเรื่องของท่าน
และขออนุญาตครับ ผมขอกําลังของกองร้อยสุรินทร์ที่เหลือรวมกําลังสมทบกับผม โดยเพื่อนผม ร.ต.พนาฯ ควบคุมรวมกันเป็นกําลังประมาณ 1 มว.ปล. (-) เพื่อให้หน่วยนำมีกําลังพอในการดําเนินกลยุทธ์หากปะทะข้าศึกหรือถูกข้าศึกขัดขวางการถอนตัวของฝ่ายเรา”
ผู้พันท่านนิ่งไม่พูดอะไรแสดงว่าท่านเห็นด้วยและอนุมัติ ผมเลยพูดต่อในแผนถอนตัวว่า
“ขออนุญาตประสานกับปืนใหญ่พันเชอร์ว่า เมื่อเริ่มมืดหรือใกล้เวลาถอนตัวขอให้ยิง ป.105 ที่เหลือกระบอกเดียวไปยังบริเวณเนินอานม้าทางทิศตะวันตกเฉียงใต้หลายๆนัดก่อนทําลายทิ้ง เพื่อลวงหรือเบนความสนใจของข้าศึกว่าเรามีการปฏิบัติในทิศทางนั้น”
เพื่อนผมไอ้ย้งได้ยินไม่พูดไม่คัดค้านใดๆ ผมก็รู้ว่า มันต้องช่วยผมตามที่บอกแผนกับมันแน่ๆ ยังไงมันต้องทําลายปืนที่เหลืออยู่กระบอกเดียวของมันอยู่แล้ว ก่อนทําลายทิ้งให้มันยิงสั่งลาให้กระสุนหมดไปเลย
ผมจะเลิกอธิบายแผนแต่มานึกได้ว่าที่ บก.พัน BI-15 มีแม้วอยู่ 4 คน อยู่ที่ บก.พัน เลยคิดว่าถ้ามีแม้วมานําทางก็จะดีในฐานะเจ้าของพื้นที่น่าจะช่วยพวกเราได้ไม่มากก็น้อยก็เลยพูดขอกับผู้พัน
“ขออนุญาตครับ ผมขอแม้ว 4 คน ที่อยู่กับกองพันมาช่วยนําทางได้ไหมครับ!”
ผู้พันนิ่งอึ้งไปซักพัก ท่านก็ตอบว่า “คงไม่ได้ จะให้แม้ว 4 คน อยู่กับกองพันเป็นผู้ติดต่อและประสานงาน”
ผมอึ้งไปในคําปฏิเสธของผู้พัน แต่ก็คิดได้ว่าไม่เป็นไรวะ ไม่ให้ก็ไม่เอา ผมมีทั้งแผนที่และเข็มทิศ ไม่กลัวที่จะหลงอยู่แล้วไม่ต้องพึ่งแม้วก็ได้วะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือเป็นปัญหาสําหรับผม และผมขออนุญาตอีกเรื่องคือ
“ขอให้พวกเราอย่าแสดงออกใดๆที่จะทําให้ข้าศึกรู้ว่าเรากําลังจะถอนตัว ผมขอให้ช่วยกันระวังเรื่องนี้ด้วยในระหว่างเตรียมการ
ตรงข้ามควรจะแสดงออกว่าเราจะยึดที่นี่อยู่ต่อไป
เช่นแสดงว่าเรามีการเสริมความแข็งแรงของที่มั่นตั้งรับก็จะเป็นการดีครับ” .
“คำสั่งสุดท้ายของ ผบ.พัน”
...จะตัดสินใจผิดหรือถูกก็ต้องวัดดวงกัน อะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าไม่มีใครรู้ได้ ผมคิด แต่ยังไงคืนนี้ผมต้องออกจากนรกนี้ให้ได้…
ผู้พันท่านนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วท่านก็พูดว่า “มีใครคัดค้านและมีความเห็นเป็นอย่างอื่นหรือไม่”
สักครู่เมื่อไม่มีใครพูดอะไร ท่านก็บอกพวกเราว่า “ถอนตัว เอาตามแผนนี้” และท่านก็เสริมว่า
“รูปขบวนให้หมวดของ หน.ใจ และกําลังของกองร้อยสุรินทร์เป็นหมวดนํา ตามด้วยกําลังของส่วนกองพันแล้วก็ปืนใหญ่พันเชอร์และปิดท้ายขบวนการถอนตัวด้วยกําลังของกองร้อยที่ 1 BI-15 รับหน้าที่เป็นกองระวังหลัง ป้องกันด้านหลังขบวน
ให้ทุกหน่วยจัดรูปขบวนของตัวเองให้รัดกุม โดยมีผู้บังคับบัญชารับผิดชอบควบคุมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การถอนตัวเป็นระเบียบตามรูปขบวนที่กําหนด ส่วนนําหน้าและส่วนระวังป้องกันหลังต้องจัดหน่วยเพื่อเตรียมดําเนินกลยุทธ์
ถ้าหากปะทะหรือถูกข้าศึกขัดขวางและไล่ติดตามโจมตีให้เป็นหน้าที่ของหน่วยนําและหน่วยป้องกันด้านหลังขบวนเข้าดําเนินกลยุทธ์
ในส่วนกลางขบวนขอให้ระวังป้องกันตัวเองและอยู่ในความสงบ ห้ามตกใจแตกตื่นเด็ดขาด เมื่อมีการปะทะกับข้าศึกไม่ว่าด้านหน้าหรือด้านหลังของขบวน ถ้าถูกโจมตีด้วยอาวุธหนักก็เช่นเดียวกัน อย่าแตกตื่นเข้าหาที่กําบังของตัวเองให้ปลอดภัยและพยายามเคลื่อนที่ต่อไป สังเกตการณ์และป้องกันตัวเอง
ข้อสําคัญที่ต้องเน้นย้ำคืออย่าแตกตื่น อย่าทําให้เสียรูปขบวน
ขอให้ผู้บังคับบัญชาแต่ละหน่วยควบคุมคนของตัวเองให้ดี" และท่านก็เน้นย้ําอย่างหนักแน่นว่า
“นี่คือคําสั่งการถอนตัวในคืนนี้ ขอให้ปฏิบัติตามนี้อย่างเคร่งครัด จะไม่มีคําสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรอีก สําหรับสัญญาณบอกฝ่ายจะให้ ฝอ. 2 กําหนด และแจ้งโดยนําสารไปให้ทุกหน่วยทราบก่อนการถอนตัวคืนนี้”
และท่านด้วยเสียงหนักแน่นว่า “เราจะมุ่ง สู่ภูล่องมาดตามแผนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะไม่มีการถอยอย่างเด็ดขาด จําไว้! และ..อ้อ อย่าลืมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไม่จําเป็นไม่ต้องนําติดตัวไป ให้ทําลายทิ้งให้หมด เอาแต่อาวุธประจํากายกระสุนและอาหารเท่าที่จําเป็นเท่านั้นพอเพื่อความคล่องตัวในการถอนตัว
การเตรียมการทําให้รอบคอบและปิดลับด้วยในการทําลายยุทโธปกรณ์ทิ้ง
พบกันที่จุดนัดหมาย คืนนี้ 2ทุ่มตรงและขอให้ทุกคนโชคดี”
พวกเราได้ยินคําสั่งชัดเจนจากผู้พัน ท่านไม่พูดอะไรอีก
เมื่อท่านลงจากแท่นยกพื้นเพื่อไปพูดคุยกับนายทหารและฝ่ายอํานวยการของท่าน คงไม่มีการเปลี่ยนใจหรือเปลี่ยนแผนอีกอย่างแน่นอนจากคําสั่งของผู้พัน BI-15 ในการถอนกําลังออกจากบ้านนา
ในช่วงเวลาของความเป็นความตายและมีเวลาจํากัด ทุกอย่างต้องทําอย่างรวดเร็วและลังเลไม่ได้ จะตัดสินใจผิดหรือถูกก็ต้องวัดดวงกัน อะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าไม่มีใครรู้ได้ ผมคิด
แต่ยังไงคืนนี้ผมต้องออกจากนรกนี้ให้ได้
ก่อนแยกย้ายกันกลับหน่วยใครหน่วยมันเพื่อไปเตรียมการในการถอนตัวคืนนี้ ผมไอ้เหมียว ไอ้ย้ง และไอ้มิตร ถือโอกาสพูดคุยประสานงานกันก่อนแยกย้ายไป ผมบอกกับไอ้เหมียวว่า
“เฮ้ย! ไอ้เหมียว มึงกับกูต้องร่วมวัดดวงกันอีกครั้งนะโว้ยที่ต้องเป็นหน่วยนําในการถอนตัวครั้งนี้ กูบอกมึงก่อนนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าในคืนนี้ กูลุยลูกเดียวโว้ย!”
ไอ้เหมียว บอก “เฮ้ย! ไอ้จักษ์ มึงไม่ต้องห่วงโว้ย กูกับลูกน้องที่เหลือช่วยมึงเต็มที่อยู่แล้ว จะช่วยมึงลุยแน่นอนถึงไหนถึงกันโว้ย! ไม่มีถอย”
ผมกับไอ้เหมียวหันมามองไอ้ย้งกับไอ้มิตร เพื่อนปืนใหญ่ที่ยังเหลืออยู่ 2 คนแล้วถามมันว่า “แล้วมึง 2 คนจะว่ายังไง!” ไอ้ย้งบอก “กู 2 คน ไม่ว่ายังไงหรอก ขอให้มึง 2 คน นํา พวกกูไปให้ถึงภูล่องมาดก็แล้วกันโว้ย! ขอแค่นั้น”
ผมกับไอ้เหมียวหัวเราะ เพราะตอนนี้รู้แล้วว่าทั้งไอ้ย้งและไอ้มิตร เหลือแต่ตัวกันทั้งคู่แล้ว เมื่อต้องทิ้งปืนใหญ่ของมันเอาไว้ที่บ้านนาและทําลายทิ้งหมด ผมก็เลยสัพยอกเพื่อนว่า “ก็มึงไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว มีแต่ปืนใหญ่ของมึงคนละกระบอกติดตัวไปเท่านั้น ฮ่าๆๆ” ผมกับไอ้เหมียวหัวเราะแกล้งยั่วเพื่อนย้งกับเพื่อนมิตรเพื่อให้คลายเครียดในยามคับขัน แต่ดูมัน 2 คนจะไม่ค่อยขำเท่าไหร่ ผมก็บอกเพื่อนว่า
“ไม่ต้องห่วง กูกับไอ้เหมียวจะพามึง 2 คน ไปให้ถึงภูล่องมาดให้ได้ มึงตามกู 2 คนให้ดีก็แล้วกัน ระวังตัวและโชคดีนะโว้ยเพื่อน แล้วมึงอย่าลืมนะโว้ยคืนนี้ก่อน 2 ทุ่ม ล้างลํากล้องปืนของมึงตามแผนที่กูบอกด้วย” ไอ้ยังบอก “กูไม่ลืมแน่นอน”
แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันไปหน่วยใครหน่วยมัน เพื่อเตรียมการถอนตัวในคืนนี้.
“ไพ่ใบสุดท้าย”
.....เราจะมุ่งไปสู่ภูล่องมาดโดยไม่มีการถอยหลังอย่างเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น.....
สถานการณ์ในช่วงบ่ายหลังที่พวกเราเลิกประชุมแล้วทุกอย่างที่บ้านนายังเงียบสงบไม่มีการปฏิบัติใดๆทั้งของฝ่ายเราและข้าศึก ทุกอย่างเงียบสงบ
ผมจําวันไม่ได้ แต่น่าจะอยู่ในช่วงต้นเดือน พ.ค. แล้ว (ที่ถูกต้องคือต้นเดือนเมษายน 2514) ที่เราต้องถอนตัวออกจากสมรภูมิบ้านนา
ผมกับลูกน้องผู้บังคับหมู่ 2 คน รีบออกจากบังเกอร์กองพันวิ่งไปจนถึงจุดที่ลงคูเรด แล้วก็รีบลงไปเพื่อเดินไปตามแนวคูเรดให้ถึง มว.ของผมให้เร็วที่สุดเพื่อประชุมชี้แจงแผนในการถอนตัวในคืนนี้ เนื่องจากว่ามีเวลาในการเตรียมการน้อย ในจิตใจนึกถึงแต่แผนการในคืนนี้ว่าจะต้องทําอย่างไรเมื่อปะทะหรือถูกข้าศึกขัดขวางจนมาถึง มว.ของผมจึงเรียกจ่าบุญมาบอกให้รวมทุกคนมาฟังคําชี้แจงจากผมด่วนทันที ผมเหลือลูกน้องไม่ถึง 20 คน
ชั่วครูทุกคนก็มารวมกันครบ 18 คน ผมรีบชี้แจงแผนการถอนตัวออกจากบ้านนาในคืนนี้ทันทีโดยไม่รั้งรอ เมื่อลูกน้องผมทราบว่าพวกเรา 18-19 คน โดยผมอาสาเป็นหน่วยนําในการถอนตัว คงนึกกันในใจ เอาอีกแล้วผู้หมวดกู ซึ่งผมรู้ใจลูกน้องทุกคนจึงรีบบอกว่า ที่อาสาเป็นหน่วยนํา เพราะไม่มีใครอาสา ถ้าเราไม่อาสาก็จะไม่ได้ออกไปจากนรกแห่งนี้ ต้องนอนรอให้มันมาเหยียบหัวเราที่นี่ต่อไป จะเอาแบบนั้นไหมและไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเป็นอย่างนั้น และถามว่าหรือทุกคนอยากจะอยู่ต่อไม่ต้องการไปให้พ้นนรกแห่งนี้
ทุกคนเงียบและเข้าใจ ผมบอกถึงเวลาเสี่ยงก็ต้องเสี่ยงเพราะยังมองเห็นทางรอดดีกว่ารอความตายอยู่อย่างนี้โดยไม่มีใครมาช่วยเราอีกแล้ว
ผมคิดว่าทุกคนเข้าใจเรื่องที่ผมอาสาและคิดว่าการวัดดวงครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วและคิดว่าทุกคนคงทําใจได้ ผมเลยบอกอีกว่าเราจะมีกําลังของกองร้อยสุรินทร์มาสมทบอีกประมาณ 30 กว่าคน รวมแล้วเป็น 1 หมวด จะเป็นหน่วยนําในการถอนตัวครั้งนี้
ถัดจากเรากับสุรินทร์จะเป็นส่วนของ บก.พันและปืนใหญ่พันเชอร์และปิดท้ายขบวนด้วยหน่วยของ บก.ร้อย 1 BI-15 และ มว.2 ปิดท้ายเพื่อระวังป้องกันหลังขบวนให้เรา
เราจะถอนตัวจาก บ.นาไปรวมกําลังกับ BI-14 ที่ภูล่องมาด จะเริ่มถอนตัวเวลา 2 ทุ่มตรง จุดรวมพลอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้านนา ใกล้กับฐานกองพันและฐาน บก.ร้อย 1 BI-15 เราจะถอนตัวลงหุบลึกตรงบริเวณนี้
หลังจากนี้ให้ทุกคนไปเตรียมการของตัวเองในการถอนตัว
ให้นําเสบียงติดตัวไป 2-3 วัน อาวุธประจํากายและกระสุน 3-4 เบสิคโหลด สิ่งของที่ไม่จําเป็นให้ทิ้งให้หมดโดยการทําลายทิ้งแยกส่วนฝังดิน โดยเฉพาะอาวุธและยุทโธปกรณ์ อย่าให้ข้าศึกนําไปใช้ได้อีก ของสะสมสมบัติต่างๆต้องสละทิ้งให้หมด เพื่อให้มีความคล่องตัวมากที่สุดเพราะเราเป็นหน่วยนําและเพื่อเอาชีวิตรอดไปให้ถึงภูล่องมาดให้เร็วที่สุด
ปืนกล M-60 ไม่ต้องเอาไป ทําลายโดยการแยกชิ้นส่วนหรือฝังดิน M-79 ทั้งติดและไม่ติดกับ M-16 ให้รวบรวมเอาไปให้มากที่สุดรวมทั้งกระสุนด้วยเพื่อใช้เป็นกําลังยิงหลักทําลายข้าศึกเมื่อถูกขัดขวางหรือปะทะซึ่งผู้หมวดจะสั่งการในภายหลัง ขอให้ฟังคําสั่งและปฏิบัติโดยเร็วและจะมีกําลังของกองร้อยสุรินทร์เป็นกองหนุน หากปะทะจะร่วมกันเข้าดําเนินกลยุทธ์และกวาดล้างข้าศึกทันที
เราจะมุ่งไปสู่ภูล่องมาดโดยไม่มีการถอยหลังอย่างเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนจงจําไว้
ผมย้ำกับลูกน้องเดนตายของผม เพื่อให้ทุกคนเข้าใจแผนและเกิดกําลังใจมุ่งมั่นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในการถอนตัวและบอกว่าถ้าเราถึงภูล่องมาดได้ พวกเราจะรอดกลับบ้านได้ทุกคน ขอรับรอง...
สําหรับสัญญาณบอกฝ่ายจะแจ้งให้ทราบภายหลัง
เรื่องสําคัญ ต่อไปนี้จนถึงเวลาถอนตัวให้ทุกคนปฏิบัติตามปกติ อย่าแสดงออกใดๆให้ข้าศึกรู้ว่าเราจะถอนตัว เป็นเรื่องสําคัญมาก
ขอให้ทุกคนไปเตรียมการของตัวเองให้พร้อม ขอให้ยึดตรึงทุกอย่างให้แน่น อย่าให้เกิดเสียงดัง เวลาเคลื่อนที่ต้องเร็วแต่เงียบที่สุดจําไว้
มีเวลาว่างก่อนมืดให้แสดงถึงการเสริมแนวป้องกัน ทั้งขุดดินและเสริมกระสอบทรายตลอดแนว ให้จ่าบุญควบคุมในเรื่องนี้
เราต้องแสดงลวงว่าเราจะยึดอยู่ที่นี่ต่อไป อย่าลืมว่าเราอยู่ในสายตาของข้าศึกตลอดเวลา เพราะมันล้อมพวกเราอยู่ทุกสันเขา โดยเฉพาะด้านทิศใต้และทิศตะวันตก มันเห็นการปฏิบัติการของเราได้ตลอดเวลา ผมย้ำและขอให้ทุกคนไปเตรียมการได้หลังจากนี้
มีใครมีปัญหาหรือสงสัยอะไรไหม?
ผมสังเกตดูสีหน้าลูกน้องทุกคนมีกําลังใจ มีความหวังและมีความมุ่งมั่นที่จะทํางานครั้งนี้ให้สําเร็จ แม้จะต้องเสี่ยงอีกครั้งก็ตาม
ไม่มีใครสงสัยหรือมีปัญหาใดๆเมื่อผมสั่งการเสร็จ
ผมรู้ใจของลูกน้องผมดีว่าทุกคนก็ไม่อยากอยู่ในนรกแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว ...
ไปให้พ้นได้ก็ดี.
“ภารกิจสุดท้าย”
.......ผมคาดว่าเราอาจจะต้องใช้เวลาไม่เกิน 2 วันในการไปถึงภูล่องมาดถ้าไม่มีอุปสรรคใดๆ เช่นการปะทะกับข้าศึกระหว่างการเคลื่อนย้าย ถ้ามีการปะทะก็อาจจะใช้เวลามากกว่านั้น......
“การถอนตัวออกจากนรกบ้านนา ของ BI-15”
หลังจากสั่งการเรื่องถอนตัวและการปฏิบัติในคืนนี้แล้วกับลูกน้องผมเพื่อให้ไปเตรียมการ ผมก็กลับมาที่หน้าบังเกอร์และรูหลบภัยของผม
ใจผมคิดถึงเรื่องแผนการถอนตัวคืนนี้จนลืมกินอาหารกลางวัน พอดีทหารเอาเสบียงที่จะติดตัวมาให้บอกจ่าบุญให้เอามาให้ผู้หมวดเป็นเสบียงในการถอนตัว ผมเลยกินแค่ผลไม้กระป๋องมื้อนี้ที่ทหารเอามาให้จนเรียบร้อยแบบรวดเร็วจึงเอาเป้ของผมมาเพื่อบรรจุสิ่งของที่จะติดตัวไปในการถอนตัวคืนนี้
ผมมีเป้ส่วนตัวที่ได้ตอนไปรบเวียดนาม เป็นเป้แบบโครงเหล็กผ้าไนล่อนอย่างดี ขึ้นหลังแล้วแบกสบายไม่ถ่วงหลัง ไม่ทําให้ปวดหลังแบบเป้ที่แจกให้ ทุกคนมีเป้ขึ้นหลังคนละใบเท่านั้น ของใครของมัน
ผมคิดถึงความเบาเพื่อให้เกิดความคล่องตัวมากกว่าอย่างอื่น ในเป้ผมมีแค่เสบียงอาหารสองวันซึ่งเป็นเนื้อกระป๋องและผลไม้กระป๋องเท่านั้น ของส่วนตัวก็มีเพียงผ้าห่มปันโจที่เบาและบางมากที่ได้มาตอนไปรบเวียดนามและแจ็คเก็ตฟิลด์ 1 ตัวซึ่งหนักพอสมควร แต่จําเป็นต้องนําไปเพื่อกันความหนาวในเวลานั่งพักหรือนอนพัก ถ้าไม่มีแจ็คเก็ตฟิลด์อาจนอนไม่หลับเวลาพักผ่อน
นอกนั้นก็เป็นกระสุน M-16 3 เบสิคโหลด ผมเอาปืนอาก้าพับฐานที่ยึดได้จากแซปเปอร์ไปด้วย เพราะเสียดายถ้าทิ้งไว้ มันสวยกะทัดรัดดีเลยยอมหนัก กระสุนมีเพียง 3 ซองเท่านั้นที่บรรจุใส่ซองผ้าใบแบบสะพาย ผมใช้มันแทน M-16 ส่ วน M-16 ก็สะพายไปเป็นปืนสํารอง นอกนั้นก็เป็นเครื่องสนามที่ประกอบกับสายเก่ง เช่นไฟฉายสนาม มีดพก พลุสัญญาณ กระติกน้ำคนละกระติก สมบัติที่มีไว้ติดตัวคงมีเท่านั้น นอกนั้นเป็นของสะสมที่เก็บไว้ที่เก็บมาได้จากสนามรบคงต้องสละทิ้งหมดทุกอย่างเพื่อความคล่องตัว เอาชีวิตให้รอดมีความสําคัญกว่าทุกสิ่ง
ผมมีปืนพก 11 มม. ในซองหนังติดไปด้วยเพราะเป็นปืนที่แจกให้ แต่ทุกอย่างจําหน่ายได้หมด ก็เลยไม่ทิ้งไว้กะว่าถ้ารอดตายคงไม่คืนไอ้กันมัน ขอไว้ใช้เป็นที่ระลึกซักกระบอกเถอะวะ ไหนๆก็มารบในลาวแทนเอ็ง คงไม่ว่ากันนะ
ขอไปใช้รบต่อเพื่อบ้านเพื่อเมืองของข้าบ้าง
หลังจากเตรียมการทุกอย่างพร้อม พอมีเวลาผมจึงเอาแผนที่มาศึกษาเส้นทางถอนตัวเพื่อที่จะได้รู้ว่าในคืนนี้เราจะเดินด้วยมุมประมาณเท่าไหร่ เมื่อลงหุบลึกไปแล้วระยะทางประมาณเท่าไหร่ จะข้ามลําธารและไต่ขึ้นจากหุบเขา จากนั้นจะเดินไปตามสันเขาสูงชันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงภูล่องมาดด้วยมุมและระยะทางโดยประมาณโดยศึกษาจากแผนที่และเส้นชั้นความสูงเพื่อนึกภาพให้ออกและจําให้ได้ แต่ว่าผมต้องพาพวกเราลงไปในหุบลึกมากและต้องไต่ขึ้นสูงมาก ต้องผ่านเนิน 2-3 ชั้นจนกว่าจะถึงสันเขาที่สูงที่สุดที่มุ่งไปสู่ภูล่องมาดโดยเกาะสันเขาไปด้วยมุมประมาณทิศตะวันออกอย่างเดียว และจะต้องไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีการลงจนกว่าจะถึงภูล่องมาด น่าจะประมาณเกือบ 10 กม.ในแผนที่
คิดว่าคืนนี้เราคงต้องเดินกันทั้งคืนไม่มีการหยุดเพื่อให้ไปจากบ้านนาให้ไกลที่สุด ไม่ให้เกิดการคับคั่งและให้กําลังที่ปิดท้ายขบวนอยู่ห่างจากบ้านนาให้มากที่สุดก่อนสว่าง และก่อนที่ข้าศึกจะรู้ว่าเราถอนตัวไปแล้วและใช้กําลังไล่ติดตามเรา แต่ในการเคลื่อนที่ในเวลากลางคืน ในสภาพภูมิประเทศที่เป็นป่าทึบหุบลึกและภูเขาสูงชันเป็นไปได้ช้ามากจากประสบการณ์
เราไม่ควรหยุดในช่วงเคลื่อนย้ายในคืนแรกซึ่งเป็นขบวนแถวตอนเรียง 1 ตามกันไป ขบวนคงจะยาวมากเป็นกิโล กว่าคนสุดท้ายจะลงหุบคงใช้เวลาหลายชั่วโมงแน่นอน นอกจากนั้นเมื่อข้ามหุบลึกไปยังสันเขาฝั่งตรงข้ามแล้ว ผมคาดว่าเราอาจจะต้องใช้เวลาไม่เกิน 2 วันในการไปถึงภูล่องมาดถ้าไม่มีอุปสรรคใดๆ เช่นการปะทะกับข้าศึกระหว่างการเคลื่อนย้าย ถ้ามีการปะทะก็อาจจะใช้เวลามากกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม เราจะมุ่งสู่ภูล่องมาดตามแผนให้เร็วที่สุดไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร
ผมมุ่งมั่นและคิดถึงแผนอยู่ในใจตลอดเวลาที่ยังเหลือก่อนถึงเวลาที่จะถอนตัว.
“ตามข้าพเจ้ามา”
....เราจะเคลื่อนไปในรูปขบวนแถวตอนเรียงหนึ่งแบบลาดตระเวนในตอนกลางคืน จะไม่มีการหยุดถ้าไม่จําเป็นและในช่วงแรกต้องไปให้เร็วที่สุด.....
ขณะนี้เวลาบ่ายใกล้ 5 โมงเย็นแล้ว แสงอาทิตย์เริ่มทอแสงอ่อนลง ทุกอย่างที่สมรภูมิบ้านนายังคงเงียบมัน เป็นความเงียบที่น่ากลัว
ผมรู้ว่ามันเงียบแต่มันกําลังทําอะไร เตรียมอะไรกัน ผมรู้ด้วยสัญชาตญาณและประสบการณ์ที่ผ่านเหตุการณ์มามากพอสมควรกับพฤติกรรมของข้าศึกและพวกเราทุกคนก็เงียบไม่แสดงอะไรให้มันรู้ มีทหารหลายคนที่เตรียมการเสร็จแล้วเอาพลั่วมาขุดดินวิดขึ้นไปบนแนวคู มีบางคนถมกระสอบเรียงกระสอบ บางคนก็นั่งพักรอเวลาและตรวจสอบอุปกรณ์ที่จะติดตัวไป
ผมเรียกจ่าบุญมาสั่งการเพราะเห็นแกกําลังดูทหารขุดดินจัดกระสอบทรายอยู่กับทหาร ผมบอกให้แกนํากําลังมารอในแนวคูเมื่อหมดแสงสว่างและเริ่มมืด ขอให้ทําความสะอาดอาวุธประจํากายให้สะอาดและพร้อมใช้งาน จัด ผบ.หมู่ควบคุมแต่ละหมู่ ผมเหลือกําลังอยู่แค่ 2 หมู่ไม่เต็ม ไม่ยากเย็นอะไรในการควบคุมกํากับดูแลลูกน้อง
ผมจัดการกับอาหารมื้อเย็นทั้งเนื้อกระป๋องและผลไม้กระป๋องเต็มที่เพื่อให้มีกําลังพร้อมเดินทั้งคืนในคืนนี้ และคงเป็นมื้อสุดท้ายก่อนที่เราจะออกจากที่นี่นรกแห่งนี้ไปให้เร็วที่สุด ผมไม่กังวลและลังเลอะไรอีกแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อเริ่มหมด แสงประมาณเกือบ 1 ทุ่ม ผมชี้แจงทหารอีกครั้งว่า
“คิดว่าทุกคนพร้อมแล้วใช่ไหมที่จะไปจากที่นี่” มีทหารคนนึงตอบว่า “พร้อมครับ” ผมสั่งการเรื่องหมู่นำ ใครจะนําก่อน และจะผลัดเปลี่ยนกันทุกชั่วโมงผลัดกันนำและในหมู่ของตัวเองให้ ผบ.หมู่จัดลาดตระเวนนําและผลัดเปลี่ยนกันในหมู่ทุกๆ ชั่วโมง
เราจะเคลื่อนไปในรูปขบวนแถวตอนเรียงหนึ่งแบบลาดตระเวนในตอนกลางคืน จะไม่มีการหยุดถ้าไม่จําเป็นและในช่วงแรกต้องไปให้เร็วที่สุด การเดินให้เดินชิดติดกันไม่ต้องเปิดระยะต่อและต้องระวังเรื่องเสียงอย่าให้เกิดเสียงดังอย่างเด็ดขาด ระวังเรื่องการลื่นไถลระหว่างการเดิน ให้ใช้มือเกาะต้นไม้แล้วค่อยๆเคลื่อนไต่ลงไปในหุบ ระวังเรื่องอาวุธให้พร้อมอย่าให้ปืนลั่นเด็ดขาด โดยเฉพาะหมู่นำต้องพร้อมที่จะปะทะกับข้าศึกและเตรียมพร้อมตลอดเวลา เมื่อมีการปะทะให้ฟังคําสั่งจากผู้หมวดเท่านั้น สัญญาณบอกฝ่ายคืนนี้ ถ้าเราเอ่ยชื่อจังหวัดของหน่วยเราเช่นถามว่า “โคราช” ถ้าเป็นหน่วยมาจากสุรินทร์ก็จะตอบ “สุรินทร์” หรือถ้าถามว่า"อุดร” เราตอบว่า"โคราช” ถ้าเป็นสุรินทร์ก็ตอบว่า “สุรินทร์” ถ้าเป็นปืนใหญ่ก็ตอบว่า “พันเซอร์” ให้ใช้แบบนี้ทุกคนจะได้จําได้ไม่ลืมไม่สับสน ใช้ชื่อจังหวัดและหน่วยของตัวเอง ทังถามและตอบ
มีใครสงสัยไหม ผมถาม ถ้าไม่มีเตรียมเคลื่อนย้ายได้อีก 5 นาทีหลังจากนี้ ผมดูเวลาประมาณ 1 ทุ่มแล้ว ทุกอย่างเงียบสงบก่อน 1 ทุ่มตรง ปืนใหญ่จากฐานพันเชอร์ 105 มม. กระบอกเดียวที่ เหลือของไอ้ย้งก็ระเบิดกระสุนเสียงดัง ตึม! ตึม! ตึม! เห็นแสงไฟจากปากกระบอกปืนชัดเจน ได้ยินเสียงของกระสุนที่วิ่งแหวกอากาศออกไปในแนวทิศตะวันตกเฉียงใต้ระหว่างเนินอานม้าและฐานสุรินทร์ เพื่อนผมไอ้ย้ง มันยิงแบบถี่ยิบแบบล้างลํากล้องเลยไม่ต่ํากว่า 5-6 นัด ได้ยินเสียงกระสุนตกระเบิดตามทิศทางที่ยิงเสียง กรึม! กรึม! ติดต่อกันและได้ยินเสียงการระเบิดของกระสุน มองเห็นประกายไฟจากการระเบิดไกลออกไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เห็นได้ชัดเจน
แล้วทุกอย่างก็เงียบลง เป็นไปตามแผนตามที่ผมบอกไอ้ย้งและเหมือนกับเป็นสัญญาณให้ผมสั่งให้กําลังเคลื่อนย้ายออกจากฐานที่มั่นทันที พวกเราเริ่มเดินไปตามคูจนสุดแล้วขึ้นไปข้างบนพื้นราบมุ่งสู่ขอบหน้าผาที่เป็นหุบเหวลึกด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านออกไปข้างฐาน BI-15
ชั่วครู่เราก็มาถึงขอบหน้าของหุบลึก ผมหยุดวางกําลังระวังป้องกันรอบตัวและให้ลาดตระเวนนําและหมู่นําไปตรวจช่องทางลงและวางตัวที่จุดที่จะลงไว้ .
“ตายดาบหน้า”
….“เฮ้ย! ไอ้เหมียว หมู่ของกู 2 หมู่จะนําลงไปก่อน แล้วมึงกับลูกน้องตามพวกกูไปก็แล้วกัน 2 ทุ่มตรงกูจะลงหุบทันทีตามแผน ไม่มีการลังเลเปลี่ยนใจ ใครไม่มาก็ช่างมัน" ไอ้เหมียวบอก “เออ กูจะอยู่ติดกับมึงนี่แหละ ไปไหนไปด้วยกันโว้ย ไม่มีทิ้งกันอย่างเด็ดขาด”...
.
ผมดูนาฬิกาจากพรายน้ำเรืองแสง อีกประมาณ 10 กว่านาทีก็จะ 2 ทุ่มตามเวลาที่กําหนดในการถอนตัว
ก่อน 2 ทุ่มไม่กี่นาทีเพื่อนผม-ไอ้เหมียวก็นํากําลังกองร้อยสุรินทร์มาสมทบกับกําลังของผม ผมได้ยินเสียงไอ้เหมียวพูดเบาๆในความมืดในกลุ่มทหารของมัน และมีพวกเราคนหนึ่งถามสัญญาณผ่านว่า “โคราช” ได้รับคําตอบว่า “สุรินทร์” เพื่อนผมไอ้เหมียวพูดออกมาในกลุ่ม
“เฮ้ย! ไอ้จักษ์ กูอยู่นี่”
แล้วผมกับไอ้เหมียวก็พบกันในความมืด ผมบอกกับมันว่า
“ เฮ้ย! ไอ้เหมียว หมู่ของกู 2 หมู่จะนําลงไปก่อน แล้วมึงกับลูกน้องตามพวกกูไปก็แล้วกัน 2 ทุ่มตรงกูจะลงหุบทันที ตามแผน ไม่มีการลังเลเปลี่ยนใจ ใครไม่มาก็ช่างมัน
ไอ้เหมียวบอก “เออ กูจะอยู่ติดกับมึงนี่แหละ ไปไหนไปด้วยกันโว้ย ไม่มีทิ้งกันอย่างเด็ดขาด”
ผมดูเวลาอีกประมาณ 2 นาทีจะ 2 ทุ่ม พอจะมองเห็นและได้ยินเสียงกําลังพลของพวกเราเป็นกลุ่มๆในความมืดกําลังเคลื่อนย้ายมารวมกันบริเวณที่ราบใกล้จุดที่ผมจะลงเริ่มมีจํานวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนจะสั่งลงหุบ ผมรวบพระในคอของผมออกมาอาราธนา รวมทั้งนึกถึงเสด็จพ่อ ร.5 ขอให้ ปกป้องคุ้มครองพวกเราให้ปลอดภัยและขอให้ออกถูกทางที่ไม่มีอุปสรรคใดๆในครั้งนี้
พอดีได้เวลา 2 ทุ่ม ผมสั่งคนของผมเคลื่อนลงหุบทันที ...
พวกเราค่อยๆไต่ลงไปในหุบลึกประมาณ 40-50 องศา ลาดบ้าง ชันบ้าง ค่อยๆไถลตามกันลงไปในความมืดสนิทข้างล่าง ยิ่งลงลึกไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมืดสนิท แทบมองไม่เห็นกัน ต้องใช้มือคลําและเกาะกันลงไป ส่วนใหญ่ต้องยึดต้นไม้หรือสิ่งใดก็ได้ที่พอยึดได้และแข็งแรงพอที่จะไม่ให้ตัวเองกลิ้งลงหุบไปจากแรงโน้มถ่วงที่พยายามดึงเราให้ไหลลงไปก้นหุบ มันทําให้การเคลื่อนที่ช้ามาก แต่พวกเราก็พยายามไต่ลงไปอย่างช้าๆ เพื่อให้ถึงก้นหุบที่เป็นลําธารให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้
เสียงกิ่งไม้ที่หักจากพวกเราลุยกันลงมาดังทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ถ้าข้าศึกอยู่ใกล้ๆแถวนั้น มันต้องได้ยินเราแน่นอน แต่ก็ไม่มีใครสนใจกันอีกแล้ว ทุกคนพยายามไต่เพื่อไปให้ถึงก้นหุบให้เร็วที่สุด คิดแค่นั้น
เราเคลื่อนแบบเลื่อนไถลกันลงมาเรื่อยๆเกือบชั่วโมงแล้ว ผมดูนาฬิกา แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงก้นหุบลึกและลําธาร ดูเวลามันนานมากพอสมควร แต่ความจริงเราอาจเคลื่อนลงมาจากข้างบนขอบเนินได้ไม่กี่ร้อยเมตร เนื่องจากความมืดของหุบลึกและความชันที่ทําให้การเคลื่อนตัวลงมาช้ามาก
มีพวกเราบางคนเกาะพลาดลื่นไหลลงหุบไป ได้ยินเสียงครูดลงไปและเสียงจากกิ่งไม้ที่หักจากการกลิ้งลงไป ก็คงไปได้เร็วขึ้น แต่คงไม่มากนัก เพราะต้องติดต้นไม้และไขว่คว้าหาที่ยึดจนได้ คงไม่มีใครยอมกลิ้งลงไปถึงก้นหุบแน่เพราะอาจบาดเจ็บได้
ในยามนี้ถ้าเกิดบาดเจ็บหนักคงช่วยกันลําบากแน่นอน ต้องช่วยตัวเองอย่าให้เกิดการบาดเจ็บดีที่สุด
ผมดูเวลาขณะนี้ 4 ทุ่มกว่า เราไต่ลงมา 2 ชั่วโมงกว่าแล้ว หุบลึก ป่ารกทึบและความชันเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อพวกเราในการเคลื่อนย้ายเพื่อถอนตัวออกจากบ้านนา ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเส้นทางการเคลื่อนย้ายที่ปลอดภัยที่สุดกว่าด้านอื่น ผมต้องการความปลอดภัย จึงเลือกไปในภูมิประเทศที่ยากลําบากที่สุด
พวกเรายอมลําบากดีกว่าเกิดปัญหาและอุปสรรคในการเคลื่อนย้ายหรือถูกซุ่มโจมตีระหว่างเคลื่อนย้าย นอกจากนั้นหุบลึกเมื่อเราลงไปลึกพอสมควรแล้วก็จะปิดบังเรื่องเสียงของพวกเราที่มีเป็นจํานวนมากได้เป็นอย่างดี รวมทั้งแสงสว่างด้วย เพราะมีบางคนใช้แสงสว่างจากไฟฉายนําทางก็มีทําให้ข้าศึกมองไม่เห็นแสงจากพวกเราบางคนที่ใช้ไฟฉายเมื่อเกิดปัญหาในการเคลื่อนที่และอุปกรณ์สําคัญหลุดตกหล่นในความมืดมิด
เป็นเรื่องที่ห้ามกันยากเมื่อคนจํานวนมากต้องเดินไปในความมืดมิดเหมือนคนตาบอดในสภาพภูมิประเทศเป็นป่ารกทึบในหุบลึกของภูเขาที่มีความลาดชันมาก.
“พ้นนรก ?”
....นี่เรากําลังจะพ้นจากนรกแล้วหรือ ความคิดที่เกิดขึ้นทําให้ผมมีกําลังใจเป็นอย่างมากที่จะต้องไปให้พ้นจากนรกนี้ให้ไกลที่สุด....
พวกเราพยายามเคลื่อนที่ไป จับยึดเหนี่ยวกิ่งไม้ปล่อยตัวลงไป มือคลําแตะหลังเพื่อนข้างหน้า เพื่อกันกิ่งไม้และหนามแหลมคมที่อาจทิ่มแทงใบหน้าและนัยน์ตาได้ถ้าไม่ระมัดระวัง หรือไม่ก็ใช้มือยื่นไปข้างหน้า
ผมกับไอ้เหมียว เราเดินอยู่ด้วยกันใน มว.นํา มันเกาะหลังผมมา รู้ได้จากมือที่มันแตะหลังผมอยู่ตลอดเวลาความมืดในหุบลึกชัน แทบไม่มีแสงอะไรที่จะทําให้เรามองเห็นอะไรได้เลยแม้สายตาจะชินกับความมืดก็ตาม และผมคิดว่าจะไม่มีการใช้ไฟฉายโดยไม่จําเป็น ผมไม่ได้เช็คมุมเข็มทิศเลย คิดว่าลงไปถึงก้นหุบที่ลําธารก่อนถึงจะหยุดเช็คมุมและแผนที่ และคิดว่าพวกเราได้เคลื่อนที่ตามกันมาเป็นแถวตอนไถลตัวยึดกิ่งไม้ตามกันลงมาเรื่อยๆตามรูปขบวนแถวตอนเรียง 1 เป็นเวลา 3-4 ชั่วโมงมาแล้วและคิดว่าน่าจะได้ระยะทางมากพอสมควรแล้วจากเนินบ้านนา แต่ก็ยังไม่ถึงก้นหุบและลําธารที่ผมดูและศึกษาแผนที่มา
ผมไม่สั่งให้หมู่นำหยุดพัก เพราะคิดว่าพวกเรา อกจํานวนมากอาจจะยังลงมาไม่หมดจากจุดลงที่บ้านนาแต่กําลังตามกันลงมาเรื่อยๆ โดยได้ยินจากเสียงกิ่งไม้ลั่นหักอยู่ตลอดเวลาและเสียงที่ได้ยินอยู่ไกลและสูงขึ้นไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่างที่ผมเคลื่อนตัวลงมีช่วงหนึ่งที่ผมจิกเท้าพลาดลื่นเสียหลักไถลลงไป เลยดึงไอ้เหมียวเพื่อนผม ที่เกาะติดหลังอยู่กลิ้งตามกันลงมาแบบครูดร่วงลงมาหลายสิบเมตรจนผมคว้าต้นไม้ ไว้ได้จึงหยุดตัวเองได้ไม่ไหลตกลงต่อไป ไอ้เหมียวก็ไถลลงมากองติดอยู่กับผม ทําให้เสื้อผ้าขาดวิ่นแขนถลอกไปตามๆกัน ผมติดโคนต้นไม้เลยถือโอกาสพักสักครู่
พอดีไอ้เหมียวร้องถามหาผม “เฮ้ย! ไอ้จักษ์ มึงอยู่ตรงไหนวะ”
“ก็อยู่กับมึงนี่แหละ ถึงตกลงมาด้วยกันกับกู ก็ยังอยู่ด้วยกันมึงเป็นอะไรรึเปล่า” ผมถามแล้วมันค่อยเกาะกิ่งไม้มาหาผมตามเสียง
“กูเจ็บนิด หน่อย” ผมเลยบอกเพื่อนว่า “เฮ้ย! เราพักกันตรงนี้ก่อนโว้ย เดี๋ยวค่อยไปกันต่อ”
“ไม่รู้ว่าอะไรของกูหลุดหายไปบ้าง” ไอ้เหมียวบอก “กูก็เหมือนกัน” ผมบอก “ช่างมันเถอะไม่บาดเจ็บก็ดีแล้วกลิ้งลงมาเหมือนลูกหมาโดนถีบด้วยกันทั้งคู่”
เรานั่งพักอยู่ด้วยกันซักครู่ จนหมู่นําเคลื่อนลงมาใกล้ ผมรีบบอก
“เฮ้ย นี่ผู้ หมวดโว้ย”
หมู่นําทางคลําทางเข้ามาหาผมและไอ้เหมียวตามเสียงเรียกและถามด้วยความสงสัย
“อ้าว แล้วผู้หมวดมาอยู่ตรงนี้ก่อนพวกผมได้อย่างไร” ผมตอบด้วยอารมณ์ขันไม่ได้โกรธในคําถามของลูกน้องผม
“กูก็กลิ้งลงมาซิวะ” เลยถือโอกาสสั่งการลูกน้องว่า “เอ็งรีบนําลงไปให้ถึงก้นหุบและลําธารเร็วๆ พวกเรายังไม่ได้ลงมาอีกมาก อย่าช้า ยังไม่ให้พักจนกว่าจะถึงลําธาร” มีผู้หมู่ในขบวนรีบตอบครับ แล้วค่อยๆเคลื่อนที่ลงไปตามลาดชันของหุบลึกต่อไปตามคําสั่ง
ผมกับเพื่อนเหมียวเห็นว่าลูกน้องเคลื่อนล่วงหน้าไปพอสมควรจึงเข้าขบวนและเคลื่อนที่ต่อไป
ผมดูเวลาน่าจะเกือบ 24.00 นาฬิกา พวกเรา มว.นําเคลื่อนที่มาประมาณ 4 ชั่วโมงแล้ว สังเกตจากป่าเริ่มรกทึบมากขึ้น เริ่มมีโขดหินบ้าง เราน่าจะเกือบถึงก้นหุบและลําธารน้ำแล้ว
พวกเราค่อยๆจับต้นไม้คลําทางและเคลื่อนตัวลงไปเรื่อยๆ จนหูผมได้ยินเสียงน้ำไหลค่อยๆชัดและดังขึ้นเรื่อยๆ และแล้วพวกเราหมวดนําก็ลงมาถึงก้นหุบและลําธารในที่สุด เป็นลําธารไม่กว้างมากในหุบลึก มีน้ำไหลรินอยู่ตลอดเวลาและข้ามได้
ผมสั่งให้หยุดพักจนหมวดนําทั้งของผมและของเพื่อนลงมาถึงลําธาร ผมรีบสั่งการให้หมู่นําเปลี่ยนหมู่นำ เพื่อให้หมู่ที่นําลงมาได้เดินตามบ้างและสั่งการให้รีบจัดการเรื่องน้ำให้เร็วที่สุด แล้วรีบไปวางตัวคอยอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามและพร้อมออกเดินทางเมื่อสั่ง
ผมเห็นแทบทุกคนรีบเอากระติกมาราน้ำที่ไหลจากลําธารให้เต็ม แทบทุกคนวักน้ำใส่หน้าด้วยความสดชื่นจากน้ำจืดในลําธารที่พวกเราไม่ได้สัมผัสกันมาเป็นเวลานานหลายเดือนแล้วตอนที่ยังอยู่บ.นา
ผมกับไอ้เหมียวก็เหมือนกันรีบลุยลงลําธารราน้ำเพื่อกรอกกระติกให้เต็ม วักน้ำล้างหน้าให้เกิดความสดชื่นจากน้ำจืดในลําธารที่ผมและเพื่อนไม่ได้สัมผัสมานานหลายเดือนจนจําไม่ได้
เรารีบล้างหน้าล้างตา ความเย็นของน้ำในลําธารทําให้เกิดความสดชื่นหายเหนื่อยลงมากจากการเคลื่อนตัวลงมาจากข้างบนจนถึงก้นหุบและลําธารเกือบ 5 ชั่วโมงโดยไม่ได้พักกันเลย
แสงสว่างเรืองรองที่กระทบกับกระแสน้ำในลําธาร ทาให้เราพอมองเห็นหน้าพวกเรากันได้ไม่มืดมิดเหมือนตอนลงหุบมา ผมรู้สึกสดชื่นมาก จิตใจเหมือนถูกปลดปล่อยให้หลุดออกมาจากที่ใดที่หนึ่งที่มีแต่ความเคร่งเครียดความกดดันทางจิตใจที่ต้องตกอยู่ในนรกหรือวงล้อมของพญามัจจุราชและความเป็นความตายเป็นเวลานานมาก
ความรู้สึกเหมือนถูกปลดปล่อยออกจากสิ่งเหล่านั้นแล้ว
นี่เรากําลังจะพ้นจากนรกแล้วหรือ ความคิดที่เกิดขึ้นทําให้ผมมีกําลังใจเป็นอย่างมากที่จะต้องไปให้พ้นจากนรกนี้ให้ไกลที่สุด ซึ่งขณะนี้เราได้ห่างออกมาจากมันพอสมควรแล้ว
ผมต้องเร่งไปสู่จุดหมายคือภูล่องมาดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้.