นิทานเรื่องจริง เรื่อง " แหกคอก "
ตอนที่ 1 : พี่เลี้ยงนางนม
อเมริกาพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ที่วันนี้กำลังถูกท้าทาย จะรักษาตำแหน่งหมายเลขหนึ่งได้หรือไม่ ได้อีกนานเท่าไร ชาวโลกกำลังจับตามอง อเมริกา ขยับขา อ้าแขน แหกปาก ไม่ว่าจะทำอะไรเป็นข่าวไปทั่วโลก แต่เป็นข่าวในทางร้ายมากกว่าดี แต่ถึงอย่างนี้ก็ยังมีชาวโลกสวยชื่นชอบอเมริกา ผู้นำความเจริญมาสู่โลก ผู้นำเศรษฐกิจเสรี โลกาภิวัฒน์มันไปทุกอย่าง ไม่ว่าการค้า การศึกษา วัฒนธรรม ฯลฯ ไม่มีอเมริกาเป็นเพื่อน ไม่มีอเมริกาตบหัวลูบหลัง หรืออเมริกาไม่เห็นด้วย ไม่ว่าเรื่องอะไร จะเป็นจะตายเสียให้ได้
แต่ถ้าถามชาวแหกคอกไม่ว่าพันธ์เทศพันธ์ไทย ต่างบอก ถุด ! อเมริกา มันก็แค่นักล่า(อาณานิคม)รุ่นใหม่ กระสันอยากจะป็นจักรวรรดิอเมริกา แต่ใจไม่ถึงที่จะประกาศให้โลกรู้ ได้แต่ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก อย่างงี้นักเลงจริงเขาดูถูก (โปรดนึกถึงหน้าพี่ปูตินเวลาพูดกับนายโอบามาก็แล้วกัน) แล้วสมันน้อยว่าไงจ๊ะ เห็นอเมริกาเป็นพี่เบิ้ม ผู้นำ ผู้พิทักษ์ ผู้ปกครอง ฯลฯ หรือเป็นนักล่ารุ่นใหม่ ไม่ต่างกับจิ๊กโก๋ปากซอย กล้าเบ่งแต่กับผู้อ่อนแอกว่า เจอนักเลงใหญ่อย่างพี่ปู หรือแค่อาเฮียยืนหน้าเฉย อย่าติดเบรคใส่เกียร์ว่างก็แล้วกัน
แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพึ่งลงมติ นี่ยังไม่ถึงตีสี่ มีเวลาตัดสินใจ อ่านนิทานกันไปเรื่อยๆก่อนแล้วกัน อ่านๆไปก็จะมองออกเองแหละ ว่าอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์ของโลกสวย หรือเป็นนักล่าของชาวแหกคอก รู้จักเขาให้ชัดเจน จะได้รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวเองหรือปฏิบัติกับอเมริกาอย่างไร
นักวิเคราะห์การเมืองรุ่นใหม่(สมัยนั้น) ต่างประสานเสียงเชียร์ บอกว่าอเมริกาเป็นนักล่าแน่นอนที่สุดและไม่ได้เป็นนักล่าแบบอุบัติเหตุ ไม่ใช่ประเภทเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีใครเลี้ยงดู เลยต้องปากถีบตีนกัด ออกมาล่าเหยื่อเลี้ยงตัวเองตั้งกะเด็ก ไม่ใช่นะ อย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด อเมริกาเป็นลูกคนรวย ที่ถูกเลี้ยง ถูกฝึก ถูกเลือกให้เป็นนักล่าเหยื่อต่างหาก ถูกเลือก เข้าใจไหม (America was chosen to be an empire) มันมีการวางยุทธศาสตร์ หารือ วางแผนและปฏิบัติการให้อเมริกาเป็นนักล่าเป็น American Empire !
เอาละซิ แล้วใครล่ะที่เป็นพี่เลี้ยงนางนม เป็นคนฝึก เป็นคนวางแผนให้อเมริกาเป็นนักล่า จะรู้ให้แน่ต้องแกะรอยเก่าของนักล่าย้อนไปให้เห็นภาพตั้งแต่ยังเป็นละอ่อน เริ่มตั้งไข่ ดูว่าเขาหัดเดิน หัดคลานอย่างไร ใครเป็นพี่เลี้ยง เป็นพี่เลี้ยงแบบไหน ประเภทวิ่งไปตามเนินเขา แล้วร้องเพลง The Sound of Music หรือเปล่า (ท่านที่เกิดไม่ทันหนังเรื่องนี้ ขออำไพนะครับ ถึงไม่เคยดู ก็น่าจะเคยได้ยินเพลงบ้างน่า พระเอกมีลูกเป็นพรวน เมียตาย หรือไงเนี่ย ผมก็จำไม่ค่อยได้ จ้างนางเอกมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ดูแลเด็ก ในที่สุดพระเอกก็รักกับคุณพี่เลี้ยงตามฟอร์ม เด็กก็ดีใจไชโย เรื่องแสนจะธรรมดา สมัยนั้น ไม่มีอะไรซับซ้อนจนแบบเดาไมได้ ไม่ใช่หนังจบแล้ว หันหน้ามองกัน เลิกลั่ก มึนไปหมด ไม่มีครับ) หรือถ้าไม่เป็นพี่เลี้ยงแต่เป็นแม่เลี้ยง แบบแม่เลี้ยงใจร้ายของหนูน้อย Cinderella หนังการ์ตูนยอดฮิตของ Walt Disney ก่อนมาทำเป็นหนังใหญ่ เห็นไหมครับ ขนาดจะอธิบายเรื่องพี่เลี้ยง แม่เลี้ยง ยังต้องยกตัวอย่างหนัง Hollywood เลย เห็นอิทธิพลของเขาไหม จะให้ยกตัวอย่างเป็นปลาบู่ทอง จะมีใครรู้เรื่องบ้าง
ผู้ที่ร่วมมือกัน ทำหน้าที่พี่เลี้ยง ป้อนนม ป้อนน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม จับอเมริกาตั้งไข่ หัดเดิน ซ้อมให้เป็นนักล่า ไม่ใช่ใครที่ไหนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่เป็นกลุ่มชนชั้นนำในสังคมอเมริกา คือ พวก Elites นั่นแหละ ที่ประกอบด้วย นายธนาคารและบรรดาบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอเมริกา (Americas Industrial Revolution) ในปลายศตวรรษที่ 19 รวมทั้งพวกมูลนิธิ ที่อ้างตัวว่าก่อตั้งขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ Philanthropic Foundations (พวกมูลนิธิแบบนี้น่ะในบ้านเราก็มีจับตากันให้ดี สอดไส้กันง่ายเหลือเกิน) สถาบันการศึกษาชั้นนำต่างๆ และสถาบันที่เป็นถังความคิด (Think Tank) รวมทั้งกลุ่มทุนธุรกิจ ซึ่งเดินกร่างอยู่บนเส้นทางของอำนาจ สรุปง่ายๆ ว่าเป็นกลุ่มคน ที่ถ้าเปรียบแบบฝรั่ง เขาก็จะบอกว่าเป็นเหมือนพวก cream หรือ topping ที่อยู่ชั้นบนสุดของขนมเค้กนั่นแหละ คือกลุ่มผู้ที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงนักล่า
ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มต้น พี่เลี้ยงนักล่าที่เดินร้องเพลงเชียร์นำมาก่อนคือพวกนักยุทธศาสตร์อเมริกัน เริ่มประสานเสียงเรียกหา New Global American Empire จักรวรรดิอเมริกาที่จะครองโลกอยู่ไหน นำโดย Henry R. Luce บัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Yale ผู้ก่อตั้งหนังสือ Time Magazine, Life และ Fortune ซึ่งเป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการสำนักพิมพ์ ที่มีอิทธิพลในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 และเป็นหัวหน้ากองเชียร์ เสียงดังของพรรค Republican ซึ่งต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย ขนาดไปเป็นที่ปรึกษาให้กับพวกนักการเมืองเผด็จการทางฝั่งยุโรป เช่น Mussolini ของอิตาลีและพวกนาซีของเยอรมัน ด้วยความเชื่อว่าวิถีของเผด็จการ จะหยุดการแพร่พันธ์ของคอมมิวนิสต์ได้ เชื่อกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ในปี ค.ศ.1941 นาย Luce เขียนบทความดังเป็นพลุแตก (แบบนิทานจิกโก๋ปากซอย ฮา) ลงในนิตยสาร Life ชื่อ The American Century ศตวรรษของอเมริกา เขาบอกว่าศตวรรษที่ 20 นี้ จะเป็นเวลาของอเมริกา เป็นช่วงเวลาที่โลกจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้นำโลกตัวจริงมาแล้ว มันไม่เหมือนกับการเป็นจักรวรรดิแบบโรม หรือเจ็งกิสข่านหรือจักรภพอังกฤษ ที่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่จะเป็นจักรวรรดิเพื่อมนุษย์ชาติทั้งปวง ไม่ใช่เฉพาะแต่อเมริกันชนเท่านั้น ว่าเข้านั่น พูดแบบอเมริกันแท้ ไม่มีเทียมเลยคุณพี่ คุณพี่ Luce นี่นอกจากเชียร์สุดลิ่ม และยังเป็นนักฝันดีอีกด้วย
ในขณะที่นาย Luce เป็นนักร้องนำ เขียนบทความสรรเสริญอเมริกา ลงทุนผ่านปากกา แต่ผู้ที่ลงแรง ลงมือ ลงขัน จัดการให้ ศตวรรษอเมริกาเกิดขึ้นจริงๆ ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด มาจากความคิดริเริ่มและการผลักดันของ the Council on Foreign Relations (CFR) กลุ่มนักคิด นักวางแผนโคตรชั่ว ตัวแสบนั่นเอง และนักยุทธศาสตร์คนสำคัญ CFR ที่เป็นหัวรถจักร ของรถไฟสายพี่เลี้ยง คือนาย Dean Acheson นาย Acheson นี้ มีประวัติน่าสนใจ เขาเป็นทนายความ ต่อมาเปลี่ยนเส้นทางมาเข้าวงการเมือง ไต่กระไดขึ้นมาเรื่อย จนในที่สุดได้เป็น Secretary of State ช่วงปี ค.ศ.1949 - 1953 สมัยนาย Truman เป็นประธานาธิบดี เขามีส่วนสำคัญในการร่างนโยบาย ตปท. ของอเมริกาในช่วงสงครามเย็น (เอ! ใครเอาอย่างนะ จากทนายหน้าหอ มาเป็น รอ มอ ตอ ต่างประเทศ)
ตั้งแต่ปี ค.ศ.1939 เมื่อเยอรมันบุกโปแลนด์ นาย Acheson เขียนหนังสือเรื่อง An American Attitude เป็นใบสั่งล่วงหน้าว่า หลัง สงครามโลกจบ อเมริกาจะต้องทำอะบ้าง (เขาสั่งกันได้ตั้งแต่ก่อนเข้าไปร่วมทำสงคราม) สิ่งที่สำคัญอเมริกาจะต้องทำคือ ทำให้โลกมีเสรีภาพในทางเศรษฐกิจการค้า หลังจากนั้นนาย Acheson ก็เป็นหนึ่งในคณะผู้ทำงานของ CFR ในการวางแผน ตั้งไข่ ให้แก่นักล่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
แม้ว่าอเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการในปลายปี ค.ศ.1941 แต่ CFR วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่า อเมริกาจะต้องเข้าสู่สงครามโลก เลิกยืนกอดอกดูอยู่ข้างสนามแบบนั้นมันจะไปได้เรื่องอะไร กระโดดลงไปในสนามรบได้แล้ว อันที่จริงพวกเขาวางแผนตั้งแต่ก่อนสงครามโลกจะเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ ที่จะให้อเมริกากระโจนลงไปในสนามรบ
คนเล่านิทาน
29 พค. 57
ตอนที่ 2 : ทุ่งใหญ่
CFR แอบทำโครงการลับๆ อย่างเงียบๆ และต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1939 ถึง 1945 ชื่อ War and Peace Studies ซึ่งเป็นการประสานงานร่วมมือกันระหว่างสมาชิกของ CFR กับ State Department ของรัฐบาล แต่เงินทุนที่ใช่ในการทำโครงการนี้ทั้งหมด ไม่ต้องบอกก็คงเดากันออก มาจากนายทุนโคตรรวย กระเป๋าของมูลนิธิ Rockefeller ทั้งหมด (อย่าเพิ่งเบื่อชื่อนี้นะครับ ถึงเบื่อ ก็ต้องทนเอา เพราะเขาเป็นตัวจริงเสียงจริง ในการกำกับพวกพี่เลี้ยง หรือเรียกให้ถูก น่าจะต้องใช้คำว่า เขาเป็น เจ้าของ คงไม่เป็นการแดกดันเขานัก)
โครงการ War and Peace Studies นี้ วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อสร้างให้อเมริกาเป็นจักรวรรดิอเมริกา เช่นเดียวกับ จักรวรรดิ หรือจักรภพอังกฤษ เพียงแต่จะเป็นจักรวรรดินักล่าที่วิธีการล่าต่างกัน อังกฤษเป็นนักล่าอาณานิคมที่ต้องการขยายดินแดน เพราะประเทศตัวเองเป็นเกาะเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย ต้องการเอาประเทศของคนอื่นมาเป็นอาณานิคม เพื่อขยายอาณาจักรตัวเอง เพื่อปกครองและเพื่อใช้ทรัพยากรของเขา เพื่อสร้างความเจริญและความยิ่งใหญ่ของตนเอง แหม ! ให้ใครๆ เรียกว่า Empress of India หรือ Viceroy of Burma มันก็สมเป็นนายเหนือของอาณานิคมกร่างดีออก ภูมิใจนักหนากับประโยคที่พูดซ้ำซากว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกในจักรภพอังกฤษ แสดงให้เห็นถึงอาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาล
แต่ผู้คิดสร้างอเมริกานักล่ารุ่นใหม่บอก คิดแบบนั้นมันไม่ฉลาดเท่าไหร่หรอก เอาไปทำไมประเทศคนอื่น ต้องไปเลี้ยงดูประชาชนพลเมืองเขาอีก ตัวเล็ก ตัวดำ ตัวเหลือง พูดกันไม่รู้เรื่อง คิดก็ต่างกัน ไม่เอาหรอก เราอย่าไปคิดเอาประเทศเขามาเป็นอาณานิคมเลยนะ ภาระมันแยะ เราแค่คิดวิธีที่จะทำอะไรก็ได้ ในแผ่นดินเขาดีกว่า ใช้ทรัพยากร ใช้คน ใช้เงิน ใช้กลอุบายทุกอย่าง ให้ผู้คนในแผ่นดินนั้น มันตกหลุมเราทุกประการ โดยเราไม่ต้องไปรับผิดชอบว่าเขาเป็นคนของเรา มันไม่ดีกว่าหรือ เราแค่อ้างว่าเราจะนำความเจริญมาให้เขา เราทำเพื่อความเจริญของโลก แค่นั้น เขาก็รีบเปิดประตูเมืองรับเรามือไม้สั่นไปหมดแล้ว
แล้วเราอย่าไปเรียกตัวเองว่า จักรวรรดิอเมริกาด้วย มันล่อแหลม (ต่อความล้มเหลว !) ในทางตรงกันข้าม เรากลับต้องปลอมตัว (ลวงโลก) ว่า อเมริกาต่างหากที่เป็นผู้สนับสนุนให้เสรีภาพ อิสระภาพให้เกิดขึ้นกับประเทศอาณานิคม (ถือโอกาสตบหน้าอังกฤษแถมให้) ให้มีประชาธิปไตยเกิดขึ้นในโลกอันสวยงามใบนี้ และให้มีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย ไม่มีการปิดกั้น โดยเราจะใช้กลไกที่จะเราจะตั้งขึ้นใหม่ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่โลกจะดูไม่รู้ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
มันเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ที่สวยหรู ที่บิดเบือนความจริง ลวงโลก ที่ได้ผลอย่างยอดเยี่ยมที่สุดแห่งศตวรรษ จนบัดนี้ยังไม่มีโฆษณาชวนเชื่อใดมาลบล้างได้ !
ตราบใดที่เศรษฐกิจของอเมริการุ่งเรือง แบงค์ดอลล่าร์สีเขียวของอเมริกา ยังเป็นแผ่นกระดาษที่โลกยอมรับและต้องการ การลวงโลกแบบนี้จะบอกว่าไม่สำเร็จได้อย่างไร และตราบใดที่ยุโรปตะวันตก ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง และเอเซียตะวันออก เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ยังต้องพึ่งพากองทัพ (ที่อ้างว่า) เกรียงไกรของอเมริกาในการปกป้องภูมิภาคของตน นี่แหละคือข้อพิสูจน์ว่า จักรวรรดิอเมริกามีจริงเป็นจริง จักรวรรดิอเมริกา พี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งของโลก ใหญ่อย่างชนิด ไม่มีใครกล้ามาท้าทาย (แน่ใจหรือเปล่า ? !)
นอกจากนี้ โครงการ War and Peace Studies นี้ เสนอความคิด และแนวทาง (shopping list) เพื่อให้อเมริกาปฏิบัติการอีกมากมาย ภายหลังสงครามโลกสิ้นสุด ที่สำคัญคือเขากำหนด บริเวณ ของโลกใบนี้ที่อเมริกาจะต้องประทับตรา ควบคุมหรือครอบครอง เพื่อส่งเสริมให้อเมริกามีเศรษฐกิจที่แข็งแรง บริเวณที่อเมริกาจะควบคุมนี้เขาเรียกกันว่า "Grand Area" ทุ่งใหญ่สำหรับนักล่า ซึ่งอยู่ในบริเวณต่อไปนี้
- ลาตินอเมริกา (ดินแดนกว้างใหญ่ ทรัพยากรแยะ นักล่าจะเอาไว้ทำอะไร ถ้าจำไม่ได้ช่วยกลับไปอ่านนิทานมายากลยุทธอีกรอบนะครับ)
- ยุโรป ซึ่งจะต้องยับเยินหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด (เป็นพี่เลี้ยงที่สุดเจ๋งจริงๆ คาดการณ์ได้แม่นยำเหมือนลงมือจัดการเอง ! ! เป็นการควบคุมให้ล้มอย่างมีระเบียบ ฮา)
- เหล่าอดีตอาณานิคมของจักรภพอังกฤษ (นายเหนือเจ๊ง แล้วขี้ข้าจะทำยังไง ไม่ฉวยโอกาสฉกมาตอนนี้ แล้วจะไปรอหลังสงครามโลกครั้งหน้าหรือไง)
- เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (มาแล้ว ทุ่งหญ้าของพวกเราไง ที่เหล่าสมันน้อยอยู่แบบกินอิ่ม นอนหลับ ตื่นมาก็วิ่งเล่นเต๊าะแต๊ะน่ารัก) เพราะบริเวณนี้ ยังอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งทรัพยากรและวัตถุดิบ ที่ Great Britain และญี่ปุ่น จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้ผลิต และเหล่าสมันน้อยในทุ่งหญ้านี้จะได้ใช้สอย ในฐานะผู้บริโภคผลผลิต ของญี่ปุ่น (โอ ! นายท่าน ช่างเก่งจริงๆ อ่านขาดล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกแบบนี้ ถ้านักการเมืองไทยมันรู้ว่า CFR สุดโปรดของผม มันเยี่ยมขนาดนี้นะ หมอดูอีที เห็นทีจะหมดอาชีพ มิน่าเล่าไอ้หมาไนโจรร้ายมันถึงไปใช้บริการของไอ้ก๊วนพวกนี้ !)
ดังนั้นโปรดเข้าใจด้วย เวลาเขาพูดถึงผลประโยชน์ของอเมริกา เขาบอกว่าจะต้องนับเอา Grand Area ทุ่งใหญ่ รวมทั้งการปกป้อง คุมครองดูแลทุ่งใหญ่นี้ เข้าไปด้วย อ้าว ! สมันน้อยกลายเป็นผลประโยชน์ของเขา ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยนะ รู้ตัวกันบ้างหรือเปล่า และในที่สุดจะรวมไปถึงโจทย์ที่ว่า จะพิจารณาปกป้องเวียตนาม ให้พ้นจากลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วยหรือไม่ นี่เขียนไว้ตั้งแต่ ค.ศ.1939 นะเนี่ย ! ศักดิ์สิทธิจริงๆ หลวงพ่อ CFR ! ผมเลื่อนตำแหน่งให้แล้ว เพราะการวิเคราะห์ แบบนี้ หมอดูคนไหนก็ไม่มีทางสู้หลวงพ่อ CFR ได้แน่นอน
คนเล่านิทาน
29 พค. 57
ตอนที่ 3 : ซ่อนรูป
ในปี ค.ศ.1940 หลวงพ่อ CFR ก็ทำการศึกษาวางแผนระยะยาวเพิ่มเติมอีก เกี่ยวกับเศรษฐกิจของอเมริการะหว่างการทำสงคราม ซึ่งจะต้องมีการดูแลจัดการเกี่ยวกับเรื่องปากท้อง เงินทอง เพื่อให้อเมริกา นักล่าเข้าไปทำสงครามแบบสบายใจ หลวงพ่อนี่ดูแลแบบ ไม่มีตกไม่หล่นเลย รอบคอบมาก พวกเขาสรุปว่า อเมริกาต้องหาทางทำให้เกิดรายได้เข้าประเทศ โดยหาหรือสร้างตลาดใหญ่ สำหรับรองรับการผลิตสินค้าของอเมริกา และเพื่อให้แน่ใจว่า อเมริกาจะเข้าไปถึงแหล่งวัตถุดิบในบริเวณที่ประทับตรา ควบคุม (ขโมย !) ได้อย่างสะดวกเสรี ปราศจากการปิดกั้น หรือต้องตีตั๋วผ่าน รวมทั้งดูแลส่วนที่เกี่ยวกับ การค้าขาย การลงทุน เพื่อให้การล่าราบรื่น ไม่มีสดุด ติดขัด อเมริกาจำเป็นต้องมีกองทัพอันแข็งแกร่ง Military Supremacy เพื่อการนี้ด้วย แม่เจ้าโว้ย ! ฟันน้ำนมยังไม่ขึ้น พี่เลี้ยงสั่งให้แยกเขี้ยวแล้ว
เริ่มต้น Grand Area Project บอกว่าศึกษาเพื่อเตรียมให้อเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และดูแลเศรษฐกิจของอเมริการะหว่างรบ ไม่ใช่รบๆ ไปกระเป๋าฉีก กางเกงขาด มันคงทุลักทุเล ทุเรศน่าดู แต่นั่นแหละพี่เลี้ยงนักล่า ระดับหลวงพ่อ CFR ทำอะไรจะให้มันเปิดเผยเหมือนยืนล่อนจ้อนอยู่หน้าจอได้ยังไง มันต้องซ่อนต้องซ้อนกันหน่อย แท้จริงแล้ว Grand Area Project ได้ถูกออกแบบตั้งแต่แรก เพื่อให้อเมริกาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลกเป็นผู้ครองโลก คุมเศรษฐกิจโลกทั้งหมด หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง และเพื่อจะควบคุมเศรษฐกิจตามเป้าหมาย ก็จะต้องมีการจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศขึ้นอีกเพียบ เพื่อมาจัดตั้งระบบวางกฎระเบียบ ที่เหมาะสมกับการค้า การลงทุน และระบบการเงินระหว่างประเทศ ให้ทุกอย่างอยู่ในระบบเดียวกับที่อเมริกาต้องการ เอาถึงขนาดนั้นเลยล่ะ และเพื่อจะให้ได้ผลเช่นนั้น อเมริกาจะต้องมีกองกำลังกล้ามใหญ่เอาไว้เบ่ง เวลาพูดจะได้มีคนฟัง ไม่ใช่ทำหูทวนลม แบบนี้เสียหน้ามาถึงหลวงพ่อ CFR ด้วย
น่าสนใจจริงๆ Grand Area Project นี้ ออกแบบไว้ล่วงหน้า โดยใช้ข้อสมมุติฐานว่า
1. อเมริกาต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง
2. เยอรมันจะต้องเป็นผู้แพ้สงครามในตอบจบ
3. หลังจากสงครามโลกจบ อเมริกาจะก้าวขึ้นเป็นพี่เบิ้มหมายเลขหนึ่งขึ้นครองโลก หลวงพ่อ CFR ไม่ใช่ธรรมดา ไม่ได้ทำนายหรือศึกษาเหตุการณ์ แต่ดูเหมือนจะ สร้าง เหตุการณ์ได้ด้วย ! ?
ภายหลังจากเหตุการณ์ Pearl Harbor เมื่อ ค.ศ.1941 อเมริกาประกาศตัวโดดเข้าเล่นสงครามโลกด้วยจริงๆ ทันทีที่อเมริกาประกาศ CFR รีบออกข่าวตามไปติดๆ สำทับว่าฝ่ายอักษะแพ้สงครามแน่นอน แค่ยังไม่ออกข่าวว่าจะแพ้วันไหนเท่านั้นเอง และพร้อมกันนั้น CFR ขอแก้ไข Grand Area ทุ่งใหญ่ ไม่ใช่มีแค่ 4 แหล่ง ตามที่ศึกษาไว้ตอนแรก แต่มันต้องหมายรวมถึงโลกทั้งใบนี้ด้วย โอ้โห ! หลวงพ่อ CFR หนุนนักล่าสุดตัวไปเต็มตีนเลย แนวความคิดการจัดระเบียบโลกใหม่ จึงเกิดขึ้น (New World Order !) เราจำเป็นต้องจัดระเบียบใหม่ เกี่ยวกับการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ซึ่งต้องสอดคล้องกันกับแผนการ ที่จะให้อเมริกาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง การรวมเป็นหนึ่งเดียวของประเทศทั้งหลายในโลก Unification จึงควรเป็นเป้าหมาย ตามแนวทางความคิดของ CFR พี่เลี้ยง/รัฐบาลอเมริกัน หรือควรจะเรียกว่าผู้กำกับหรือเจ้าของ ! ?
แล้วเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามแผน พี่เลี้ยงบอกนักล่า จำเป็น ต้องเข้าไปมีส่วนร่วม ในกิจการภายในบ้าน (Internal Affairs) ของประเทศหลัก ที่นักล่าจะไป (หลอก) เอาวัตถุดิบที่อยู่ในบ้านเขามาใช้ ต้องเข้าไปควบคุม ไปล้วงลูก ไปจัดการบ้านของพวกเขา ให้เป็นไปตามแผนเรา และต้องทำให้ประเทศนั้น นอกเหนือจาก ยินยอม ส่งวัถตุดิบให้เราแล้ว เราต้องทำให้เขารู้สึก อยาก ที่จะเป็นผู้บริโภคสินค้าที่เราผลิต (ด้วยวัตถุดิบของเขา) อีกด้วย นี่มันเดินหมากกิน 3 ต่อเลยนะ เพื่อให้นโยบายทั้งหมดสัมฤทธิผล เราจะต้องจัดตั้ง IMF และ IBRD (Bank For Reconstruction and Development ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น World Bank) มาเป็นส่วนสำคัญในการชักใย
พี่เลี้ยง CFR บอกหน่วยงานพวกนี้ จำเป็นต้องมี เพื่อมาทำหน้าที่สร้างกลไกที่จะทำให้เงินสกุลของประเทศโลกที่ 3 ที่เราจะไปลงทุน และค้าขายด้วย มีความมั่นคงมีเสถียรภาพ (ใช้ศัพท์วิชาการเลยนะลุง) แหม ! ถ้าเงินของไอ้พวกโลกที่ 3 มันขึ้นลงแบบลิฟท์เสีย ผู้ลงทุนสร้างนักล่าก็ล้มทั้งยืนซิโยม แล้ว CFR ก็ลงมือร่างแผนการจัดตั้ง World Bank กับ IMF ตั้งแต่ ค.ศ.1941 ในที่สุดโดยการประชุมที่ Bretton Woods ค.ศ.1944 World Bank และ IMF ก็คลอด
แต่ถึงยังงั้นก็เถอะ พี่เลี้ยง CFR ก็ยังเป็นห่วง พวกเขาดูแลนักล่าแบบพี่เลี้ยงมือโปร จะล่าเหยื่อกินแบบตะกรุมตะกรามให้ชาวบ้านเขาด่าได้ยังไง เรามันพวกครีม อยู่ชั้นบนของขนมเค้กเป็นชนชั้นสูงของสังคมมิใช่หรือ ฉะนั้นเราต้องเอาผ้าเช็ดปากมาปิดปาก เวลาจะอ้าปากเคี้ยว อำพรางตัวเองหน่อย ตั้งอะไรขึ้นมาบังหน้า แล้วเราคุมมันอีกต่อไม่ดีหรือ United Nations สหประชาชาติยังไงเล่า เพราะนายทุนกระเป๋าใหญ่ของ CFR อย่างมูลนิธิ Rockefeller และ Carnegie Corporation ต่างก็เคยฝัน อยากให้ประเทศต่างๆ รวมตัวกันเป็น League of Nations ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แล้ว แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรหนักหนา ก็ได้แต่มารวมตัวกัน คุยกันหลวมๆ เหมือนมางานสังสรร ระดับ CFR จะคิดจะทำอะไรมันต้องหนักแน่นแม่นยำกว่านั้น มันต้องเป็นเครื่องมือของการล่าเหยื่อชนิดพิเศษ Informal Agenda Group จึงถูก CFR ตั้งขึ้นมาทำการบ้าน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1942 (ไอ้พวกนี้มันบ้าจัดตั้งหน่วยงานกันจริงนะ!) เพื่อสร้างฉาก จัดการ ให้มีหน่วยงานตามเป้าหมาย คือ องค์การสหประชาชาติ United Nations นั้นแหละ
คณะสร้างฉากนี้มีสมาชิกทำงาน 6 คน รวมทั้งตัวนาย Cordell Hull รัฐมนตรีของ State Department คณะสร้างฉากนี้นอกเหนือจากตัวรัฐมนตรีแล้ว ที่เหลืออีก 5 คน เป็นสมาชิกของ CFR ทั้งสิ้น คณะสร้างฉาก ได้ข้อสรุปว่า เพื่อไม่ให้ชาวบ้านจับได้ไล่ทัน ว่าเราจะทำอะไร เราควรเอาตัวละครอื่นมาร่วมเข้าฉากด้วย เป้ามันจะได้กระจาย เช่น สหภาพโซเวียต แคนาดา อังกฤษ ซึ่งประธานาธิบดี Roosevelt ก็ตกลง (คุณประธานาธิบดีนี่ เวลาหลวงพ่อ CFR เสนอ มีบ้างไหมที่แกไม่ตกลงชักสงสัย) ดังนั้นปี ค.ศ.1944 องค์กรสหประชาชาติก็ถูกจัดตั้งขึ้นเรียบร้อย มีกฎบัตร จัดร่างตีตราประทับอย่างถูกต้อง โดยลากเอาสมาชิก CFR ที่เป็นนักกฎหมายอีกเป็นกระบุงเข้ามาดูแล เข้ามาร่วมจัดร่างด้วย CFR ทำงานกันเป็นทีมแบบนี้ นายทุนกระเป๋าหนัก John D. Rockefeller หน้าบานยิ้มจนหุบปากไม่ลง ว่าแล้วก็ยกที่ดินกลางเมืองนิวยอร์ค ราคา 8.5 ล้านเหรียญ ให้เป็นของขวัญ (สมัยนั้น แปลว่าแยะนะครับ สมัยนี้ก็แยะ ถ้าเป็นเงินของเรา) เพื่อสร้างตึกสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ
ตกลงนับตั้งแต่ ค.ศ.1939 เป็นต้นมา อเมริกานักล่าอยู่ภายใต้การกำกับชักใยอย่างเปิดเผย โดยกลุ่มพี่เลี้ยง CFR ตกลงหลวงพ่อ CFR เป็นเจ้าของนักล่า หรือแค่เป็นผู้จัดการ ยังมีใครอื่นที่กำกับหลวงพ่ออีกหรือเปล่า เรารู้กันแน่ไหมว่าใครเป็นคนสั่งให้โลกหมุน ใครเป็นคนกำหนดอนาคตของโลกใบนี้
คนเล่านิทาน
29 พค. 57
ตอนที่ 4 : ทองห่อผ้าขี้ริ้ว
อำนาจคือทุน ทุนคืออำนาจ คาถาง่ายๆ สั้นๆ ท่องให้ฟังอยู่ในนิทานเกือบทุกเรื่อง โลกใบนี้ไม่ได้ซับซ้อนเกินเข้าใจ ความซับซ้อนถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้เหยื่อสับสนมึนงง แล้วจะได้ถูกล่าง่ายขึ้นต่างหาก
การจะสร้างนักล่าหมายเลขหนึ่งขึ้นมาครองโลก แบบไม่มีใครกล้ามาท้าทาย ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ มันออกจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และเพ้อฝันเสียด้วยซ้ำ แต่มันมีคนคิดจริง ขบวนการสร้างนักล่า ใช้เวลาทั้งหมดกว่า 100 ปี เริ่มตั้งแต่ประมาณ ปี ค.ศ.1890 คนคิดสร้างไม่ได้คิดเล่นๆ เขาคิดจริง ทำจริง อดทน วางแผน เป็นขั้นเป็นตอน และที่สำคัญคนคิดนอกจากมีทุนหนามหึมาแล้ว มันต้องมีความบ้าเต็มขั้น มีความอยากทะเยอทะยานเต็มร้อย บวกกับความเหี้ยมโหด อีกไม่รู้กี่พันเท่า มันถึงจะทำได้
มันเป็นความคิดของพวกนายทุนที่เป็นเจ้าของ และมีอำนาจเหนือธนาคารกลาง และตลาดหุ้น ตลาดทุนที่ Wall Street และ London ไม่กี่ตระกูล ที่หวังจะจัดระเบียบโลกใหม่อย่างที่เขาต้องการ เป็นโลกที่ควบคุมด้วยเงิน ด้วยระบบการเงินที่พวกเขาวางแผนคิดสร้างมานั้น จะทำให้พวกเขาเป็นผู้ควบคุมชักใย รัฐบาล กองทัพ และประชาชนอีกต่อหนึ่งไม่ว่าเป็นชนชาติใด โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการครองโลก และจัดระเบียบโลกใหม่
มันไม่ง่ายนักหรอก แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของพวกเขา พวกเขาคิดว่าถ้าเราสามารถสร้างระบบที่ให้เราเป็นผู้ สร้าง เงินได้ การควบคุมปริมาณและกระแสเงินของโลกนี้ ก็อยู่ในมือพวกเรา ระบบนี้จะทำงานไม่ต่างกับการควบคุมด้วยอาวุธ แต่มันเป็นอาวุธทางการเงิน
New World Order จัดระเบียบโลกใหม่ Globalization โลกาภิวัฒน์เป็นหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ประมาณ 500 ปี มาแล้ว (นานแล้วครับ แต่ใช้เวลานานมาก กว่าสมันน้อยจะรู้เรื่อง) เรื่องราวมันย้อนไปตั้งแต่สมัยอเมริกายังถูกนับเป็นอาณานิคม อยู่ในอำนาจของอังกฤษ ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1600 กว่าประมาณนั้น อิทธิพลของอังกฤษครอบงำอเมริกาจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้อเมริกาจะทำสงครามกลางเมืองเหนือใต้เมื่อ ค.ศ.1861 - 1865 โดยฝ่ายเหนือมีอังกฤษสนับสนุน ฝ่ายใต้มีฝรั่งเศสสนับสนุน และอ้างว่าอังกฤษไม่สามารถจะกระทืบอเมริกาซ้ำได้ ต้องถอยกองทัพกลับไปก็ตาม แต่คราบของอังกฤษก็ยังคงครอบอเมริกาอยู่อย่างที่อเมริกาไม่รู้ตัวหรือแกล้งไม่รู้ตัว
อิทธิพลของอังกฤษ ระบบของอังกฤษในด้านการค้าครอบงำอเมริกามาตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1700 แล้ว ก็พวกที่อพยพมาอยู่อเมริกาส่วนหนึ่ง (ไม่น้อย) ก็มาจากอังกฤษนั่นแหละ นอกจากพูดภาษาเดียวกันแล้ว อิทธิพลและวัฒนธรรม ผู้อพยพก็เก็บใส่กระเป๋าเอาติดมาด้วย
ประมาณปี ค.ศ.1890 หลังอเมริกาปฏิวัติอุตสาหกรรม เกิดเศรษฐีใหม่ขึ้นมาหลายตระกูล ในอเมริกา เช่น Rockefeller, J.P Morgan, Astors, Vanderbits, Carnegies ฯลฯ
อเมริกาจะเป็นคนรวยแบบไหนล่ะ แบบอินเดียนแดงเจ้าของถิ่นที่อเมริกาไล่ล่าเขา แล้วยึดเอาดินแดนเขามาหรือ ถ้างั้นก็ต้องเดินห้อยลูกปัด เอาขนนกติดหัว แน่นอนอเมริกาไม่เอาหรอกอเมริกาต้องเลือกเป็นคนรวยแบบที่ผู้ดีอังกฤษเขาเป็นกัน แบบที่อเมริกาแอบนับถือปนเกรงกลัวและอิจฉา เพราะรู้สึกด้อยกว่าเขา จึงต้องอพยพมาก่อร่างสร้างตัวในดินแดนใหม่นั่นแหละ ระบบอังกฤษจึงยังครอบงำอเมริกาในหลายๆ รูปแบบ ไม่มากก็น้อย จนถึงทุกวันนี้
เมื่อคนอเมริกันเริ่มรวย รวยพอที่จะเดินเชิดหน้าในสังคมโลก ก็เริ่มทำการค้าแบบคนอังกฤษ ในระบบอังกฤษ โดยเฉพาะด้านการเงิน และการอุตสาหกรรม ประมาณปี ค.ศ.1890 การร่วมมือ รวมลงทุนระหว่างคนรวยฝั่งอเมริกากับฝั่งอังกฤษก็เริ่มเพิ่มขึ้น Anglo American Establishment ก็เกิดขึ้น แนวคิดที่จะครองโลกร่วมกัน จึงค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
อังกฤษรู้อยู่แก่ใจว่า วันหนึ่งดวงอาทิตย์ต้องตกดินในดินแดนที่ เคย เป็นอาณานิคมของตัว จะอุ้มจะแบกอาณานิคมไปตลอดกาล เป็นไปไม่ได้ อังกฤษเองไม่มีทรัพยากรของตัวเอง เกาะเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย ที่แผ่ไพศาลมาได้ขนาดนี้ ก็ต้องชื่นชมในความตะกรามทยานอยากได้อย่างสุดขีด แล้วจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นประวัติศาสตร์ หลุดมือไปหมดกระนั้นหรือ อังกฤษเป็นนักล่ารุ่นเก๋า ย่อมมองเห็น ใครจะขึ้นมาเป็นนักล่ารุ่นใหม่ ดูท่วงทีลีลาของนักล่ารุ่นใหม่แล้ว แยกกันเดินคงเหนื่อย ร่วมกันเดินหลอกชาวบ้านน่าจะรุ่งกว่า ว่าแล้วคนรวย 2 ฝากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกก็จับมือกัน แท้จริงแล้วใครนำใคร ใครหลอกใคร เป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูไปอีกนาน น่าสนใจอย่างยิ่งจนถึงทุกวันนี้ ย้ำ จนถึงทุกวันนี้ !
คนเล่านิทาน
30 พค. 57
ตอนที่ 5 : สร้างพระเจ้าองค์ใหม่
หลัง Anglo American Establishment กอดคอจับมือกันชัดเจน เมื่อประมาณ ค.ศ.1890 ทั้ง 2 ฝ่าย ร่วมกันสร้างกลไก สร้างระบบด้านการเงินการธนาคารเป็นอันดับแรก เพื่อเอาตัวเองนำหน้าชักใยรัฐบาล และลดบทบาทของประเทศ
ระบบธนาคารกลาง เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1694 ที่อังกฤษ เป็นการรวมตัวกันของ เครือข่ายธนาคารกลางนานาชาติ ซึ่งไม่ได้เป็นของรัฐ แต่เป็นของเอกชน ! มีผู้ถือหุ้นเป็นเอกชนคนโคตรรวย ธนาคารกลางนี้เป็นผู้อนุญาตให้รัฐบาล (จำกันให้ดี เงินเป็นใหญ่กว่ารัฐบาล มาตั้งแต่ ค.ศ.1694 แล้ว !) ในการพิมพ์ธนบัตร เงินสกุลต่างๆ ของแต่ละประเทศ โดยอนุญาตให้กำหนดอัตราดอกเบี้ย และทำกำไรจากดอกเบี้ยนั้น ธนาคารกลางเหล่านี้ เป็นผู้ให้เงินกู้แก่รัฐบาล และผู้ประกอบการอุตสาหกรรม เท่ากับควบคุมลูกค้าใหญ่ 2 กลุ่ม 2 ขาของประเทศไปพร้อมๆ กัน ต่อมาภายหลังประมาณ ปี ค.ศ.1930 ธนาคารกลางเหล่านี้ พร้อมใจกันอยู่ในระบบที่พวกตัวเองสร้างขึ้น เรียกว่า Bank for International Settlements (BIS) ตั้งอยู่ที่เมือง Basle ในสวิสเซอร์แลนด์ เป็นธนาคารของเอกชนเช่นเดียวกัน ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางของเหล่าสมาชิกซึ่งเป็นธนาคารกลางต่างๆ (เขียนแล้วมึนเอง คนอ่านก็คงมึน) เอาแบบง่ายๆ BIS ธนาคารกลางตัวแม่นี้ถือหุ้นโดย ธนาคารกลางตัว ลูกๆ ทั้งหลาย ธนาคารกลางตัวลูกก็ถือหุ้นโดยพวกเอกชนคนโคตรรวยอีกต่อหนึ่ง สรุปว่า พวกคนรวยลงทุนลงขันกันเอง เพื่อตั้งธนาคารกลาง และไม่ให้ใครมายุ่ง เขาดูแลเงินของเขากันเอง ตั้งกฎกติกาเอง โดยให้แม่ BIS คุม รัฐบาลได้แต่ทำตาปริบๆ ดู หน้าจ๋อย มือกุม ก้มหน้า รับคำสั่งรับอำนาจมาจากคนรวยอีกทีหนึ่ง เข้าใจไหม คนรวยใหญ่กว่ารัฐบาล ถึงพูดกันว่าเงินเป็นพระเจ้า
ระบบธนาคารกลางนี้ หลังจากเกิดขึ้นครั้งแรกที่ London ไปได้สวย คนรวยติดใจ จึงขยายตัวข้ามมาในทวีปยุโรปตะวันตก และกระจายทั่วไปในทวีปยุโรป การปฏิวัติในฝรั่งเศส ทำให้นโปเลียนขึ้นมามีอำนาจ และยอมให้บรรดานายทุนที่รวมตัวกันให้เงินกู้นโปเลียนไปทำการปฏิวัตินั่นแหละ จับมือร่วมกันจัดตั้งธนาคารในฝรั่งเศสขึ้น เป็นธนาคารส่วนบุคคล ที่พวกนายทุนนี้ควบคุมกันเอง รัฐบาลไม่เกี่ยว ธนาคารนี้เป็นต้นกำเนิดของตระกูลโคตรรวยทางฝั่งยุโรป คือ ตระกูล Rothshilds ชาวยิวในยุโรป ซึ่งขยายธุรกิจการเงินของตระกูล โดยการตั้งธนาคารใน London, Paris, Frankfurt, Vienna และ Naples ทำให้ตระกูลนี้ยิ่งรวยเละขึ้นไปอีก และยิ่งรวยเพิ่มขึ้น จากการไปถือหางทุกฝ่ายในการรบทุกครั้งของนโปเลียน (ต้นกำเนิดของการถือไพ่ทุกใบในการต่อสู้ มีเงินซื้อไพ่ทุกใบ มีไพ่ให้เลือกเล่นแยะ เล่นยังไงก็ชนะ ยกเว้นโคตรโง่ หรือ โคตรเลว จนเทวดาบอกมีเงินมากมายมหาศาลแค่ไหนก็ช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้ ตัวอย่างกำลังมีให้เห็นในบ้านเรา !)
นาย Carroll Quigley นักประวัติศาสตร์ นักทฤษฎี เจ้าความคิดกำเนิดแห่งศิวิไลย์ของมนุษยชาติ แห่งมหาวิทยาลัย Georgetown เขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งบรรดาสาวกทั้งหลายถือเป็นคัมภีร์ ชื่อ Tragedy and Hope บอกว่าในช่วง ค.ศ.18101850 พวกวาณิชธนกิจใน London ได้สร้าง ธนาคารแห่งอังกฤษ (Bank of England) ตลาดหุ้นและตลาดเงินแห่ง London และไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็ขยายธุรกิจ โดยการสร้างธนาคารย่อยในระดับเมืองต่างๆ ดำเนินกิจการ ในรูปแบบของธนาคารพาณิชย์ และธนาคารออมสิน รวมทั้งทำธุรกิจประกันภัย ธุรกิจ 3 อย่างนี้ มันหมุนเงิน สร้างเงินในตัวของมันเองตามวงจร เขาจึงรวมธุรกิจพวกนี้ไว้ด้วยกัน ในระดับที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นระดับระหว่างประเทศ จากเมืองไปสู่ประเทศ และด้วยวิธีนี้พวกเขาสามารถชักใย ควบคุมการไหลเข้าออก ของเงินระหว่างประเทศ แน่นอนการดำเนินการแบบนี้ ถึงแม้ในบางครั้งอาจจะควบคุมไม่ได้เบ็ดเสร็จ แต่ก็เรียกว่ามีอิทธิพล เหนือทั้งรัฐบาลและธุรกิจอุตสาหกรรม เงินไม่มี กิจการต่างๆไม่ว่าทางการเมืองหรือธุรกิจก็เป็นง่อยเรียบร้อย ตรงไปตรงมา ไม่ต้องฉลาดมากก็คิดได้ ขอให้มีเงินไว้ก่อน !
ในขณะเดียวกัน ทางอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ในอเมริกาก็มีการรวมตัวของกลุ่มธนาคารและธุรกิจอุตสาหกรรมในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน โดยพวก Morgans, Astors, Vanderbilts, Rockefellers และ Carnegies กลุ่มทุนพวกนี้ก็เริ่มครอบงำอุตสาหกรรมทั้งหมด ตลอดศตวรรษที่ 19 และต่อมาผลประโยชน์ของนายทุนทั้ง 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติคก็เชื่อมโยงกัน คนมีเงินก็ย่อมเลือกที่จะคบกับคนมีเงินด้วยกัน Anglo American Establishment ก็เกิดขึ้น
คนรวยมีเงินแล้วก็อยากมีอำนาจ เป็นโรคเดียวกันทั้งนั้น ไม่มีใครต่างกัน กลับมาดูคนรวยที่อังกฤษ พวกคนรวยในอังกฤษเริ่มจับกลุ่มรวมตัวกัน เพื่อแสดงอิทธิพลของตนในระดับชาติ ช่วงนั้นนักล่าแถบนั้น กำลังรุมทิ้งเหยื่ออยู่แถวอาฟริกา ซึ่งเกือบทุกประเทศในอาฟริกา ยกเว้นเอธิโอเปีย ตกเป็นอาณานิคมของนักล่าผมทองจากอังกฤษและยุโรปทั้งสิ้น นักล่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้นคือ นาย Cecil Rhodes นักล่าชาวอังกฤษเป็นคนลงไม้ลงมือล่า แต่กระเป๋าที่อุดหนุนให้เขาปฏิบัติการล่า คือ ตระกูล Rothshilds ซึ่งในช่วงนั้น เป็นแหล่งเงินทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก นาย Cecil Rhodes เป็นคนสุดโต่งอีกคนหนึ่ง เขามองว่าอเมริกายังเป็นอาณานิคมของจักรภพอังกฤษอยู่ จะปล่อยให้มาทำท่ารวยยะโส เดินหน้าเชิด เทียบชั้นกับอังกฤษ เจ้านายเก่าแบบนี้น่ะ มันจะมากไปหน่อยไหม นาย Rhodes มองตัวเองไม่ใช่แค่เป็นนักล่าเงินรางวัล แต่เขาเป็นนักสร้างอาณาจักร empire builder อย่าลืมเขาสร้างเมือง Rhodesia ในอาฟริกา ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Zimbabwe
Carroll Quigley เล่าต่อไปว่า ค.ศ.1891 คนโคตรรวยอังกฤษ 3 หนุ่ม แอบพบกัน เพื่อสมคบกันสร้างสมาคมลับ 3 หนุ่มคือนาย Cecil Rhodes, William T. Stead พี่เบิ้มแห่งวงการหนังสือพิมพ์สมัยนั้น (น่าสังเกตว่า ถ้าจะทำอะไรให้ดังต้องมีสื่อยักษ์มาร่วม มิน่าเล่า มันถึงอยากเป็นสื่อใหญ่กันทั้งนั้น ถีบตัวเองขึ้นมา จนลืมจรรยาบรรณ ฐานันดรที่ 4) และนาย Reginald Baliol Brett ซึ่งเป็นพระสหายผู้ได้รับความไว้วางใจ จากพระราชินีวิกตอเรีย แห่งจักรภพอังกฤษ และต่อมาก็ได้เป็นที่ปรึกษาผู้มีอิทธิพลต่อพระเจ้า Edward ที่ 7 และพระเจ้า George ที่ 5 ปู่ของพระราชินีElizabeth ที่ 2 ของอังกฤษคนปัจจุบัน สมาคมลับนี้มีนาย Rhodes เป็นหัวหน้า และพระอันดับอีก 3 คน คือ นาย Stead, นาย Brett และคนสุดท้ายแต่มาแรง คือ นาย Alfred Milner
วัตถุประสงค์ของสมาคมลับนี้ ซึ่งต่อไปจะนำฝูงโดยนาย Alfred Milner คือจัดการให้อังกฤษปกครองไปทั่วโลก ด้วยระบบของอังกฤษ ไม่ว่าจะในด้านปกครองประชาชนหรือทำการค้า พูดให้ชัด เป้าหมายคือจัดการให้อเมริกากลับมาอยู่ในอาณานิคมของอังกฤษ ใช้ระบบอังกฤษดำเนินชีวิต และอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม Rothshilds และกลุ่มธนาคารต่างๆ เต็มที่อย่างลับๆ
คนเล่านิทาน
30 พค. 57
ตอนที่ 6 : พระเจ้าเงินตรา
ไม่นานเกินรอ ทางฝั่งอเมริกาในปี ค.ศ.1907 การเงินประเทศเกิดอาการสะอึก จากฝีมือที่มองไม่เห็น ทำให้วงการธนาคารเกิดอาการซวนเซ ข่าวลือว่าเป็นแผนการของ J.P Morgan นก 2 หัว พยายามกดดันให้รัฐบาลอเมริกัน สร้างระบบการธนาคารที่มั่นคง ปี ค.ศ.1910 ได้มีการประชุมกันที่ Jekyll Island ซึ่งมีการวางแผนที่จะตั้ง National Reserve Association มีสาขา 15 แห่ง ควบคุมโดยนายธนาคาร ซึ่งได้รับมอบอำนาจมาจากรัฐบาลกลาง เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลาง สามารถพิมพ์เงินเองได้ และให้เงินยืมแก่ธนาคารเอกชนได้ ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ยินยอมเดินตามแผนนี้เกือบทุกอย่าง ในที่สุด ปี ค.ศ.1913 Federal Reserve หรือ Fed ก็ก่อตั้งขึ้น สามารถหารายได้เองได้ กำหนดงบประมาณของตนเองได้ โดยไม่ต้องผ่านสภาสูง Fed มีสาขา 12 แห่ง แต่ละแห่งถือหุ้นโดยธนาคารพาณิชย์ (ผมได้เคยเล่านิทานตอนนี้ไว้อย่างละเอียด อยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ ท่านใดยังไม่เคยอ่าน ช่วยกลับไปอ่านหน่อยนะครับ จะได้ไม่ต้องเขียนซ้ำ)
แล้วอำนาจที่แท้จริงในการครองโลก ก็อยู่ในกำมือของกลุ่มผู้ถือหุ้นเอกชน Anglo American Establishment ไม่กี่ตระกูล ซึ่งเป็นเจ้าของธนาคารระหว่างประเทศ ที่เข้าไปถือหุ้นในธนาคารกลางของโลกทั้งนั้นแหละ คือผู้มีอำนาจควบคุมโลกตัวจริง เป็นผู้สร้างผู้ปกครองผู้บริหารประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ ใครมันจะทำอะไรได้ถ้าไม่มีเงิน เงินเท่านั้น ที่มนุษย์ทั่วไปมองเห็นและให้ความเคารพนับถือ เชื่อ ใช้ บูชา ทุนคืออำนาจ อำนาจคือทุน จริงหรือไม่
ที่ว่าไม่กี่ตระกูลที่ครองโลกอยู่ขณะนี้เป็นใครบ้างล่ะ มารู้จักชื่อแซ่พระเจ้าเงินตรากันหน่อย เขาว่ามี 8 ตระกูล หรือกลุ่ม หรือก๊วน แล้วแต่จะเรียก 4 ก๊วนอยู่ทางฝั่งอเมริกา อีก 4 อยู่ทางอังกฤษและยุโรป
ฝั่งอเมริกา
- Goldman Sachs
- Rockefellers
- Lehman of New York
- Kuhn Loebs of New York
ฝั่งอังกฤษและยุโรป
- Rothschilds of Paris, London
- Warburg of Hamburg
- Lazards of Paris
- Israel Moses Seifs of Rome
กว่าจะมาเป็น 8 ก๊วนคนโคตรรวย เขาผ่านการหักหลัง หักคอ ควบรวม ไปจนถึงคลุมถุงให้แต่งงาน เพื่อจะรักษาความรวยและเลือดเนื้อ เชื้อไข คนรวย ให้อยู่แต่ในกลุ่มก้อนเดียวกัน ส่วน BIS ซึ่งเป็นธนาคารกลางตัวแม่ มีอิทธิพลสูงสุด ควบคุมธนาคารเกือบทั้งหมดในประเทศแถบตะวันตก และประเทศที่กำลังพัฒนา (อย่างเราๆ ) ก็ถือหุ้นโดย Federal Reserve (ของอเมริกา), Bank of England, Bank of Italy, Bank of Canada, Swiss National Bank, Nederlandsche Bank, Bundesbank และ Bank of France โดยมี 8 ก๊วนคนโคตรรวย ต่างถือหุ้นใน 8 ธนาคารกลางดังกล่าวอีกต่อหนึ่ง
ประธาน BIS คนแรกคือ นาย Gates McGarrah ซึ่งมาจาก Chase Manhatton Bank ของตระกูล Rockefeller และเป็นเจ้าหน้าที่ของ Federal Reserve ด้วย นาย McGarrah นี้ เป็นปู่ของนาย Richard McGarrah Helmes หัวหน้า CIA ตัวใหญ่ สมัย ค.ศ.1966-1973
รัฐบาลอเมริกาเอง ในประวัติศาสตร์ก็ขยาด BIS และพยายามที่จะล้ม BIS มาแล้ว ในการประชุมที่ Bretton Woods เมื่อปี ค.ศ.1944 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ถูก 8 ก๊วนโคตรรวยจับมือกันป่วน นอกจากล้ม BIS ไม่ได้แล้ว 8 ก๊วน ยังท้าทายด้วยการตั้ง IMF และ World Bank ตามแผนของพวกเขา เพื่อสั่งสอนรัฐบาลอเมริกันอีก
BIS ถือ 10% ของเงินสำรอง (Reserves) ในประมาณ 80 ธนาคารกลางทั่วโลก รวมทั้งใน IMF และสถาบันการเงินนานาชาติอีกหลายแห่ง BIS นอกจากเป็นแม่ใหญ่ของธนาคารกลางของ 8 ก๊วนแล้ว ยังแอบทำกิจกรรมสำคัญด้วยคือ เก็บข้อมูลเกี่ยวกับการเงินและเศรษฐกิจของทั้งโลก (รู้มากที่สุด ได้เปรียบมากที่สุด) และเป็นแหล่งเงินกู้ให้ธนาคารพาณิชย์กู้ ในเวลาวิกฤติเพื่อไม่ให้สถาบันการเงินโลกล้มระเนระนาดด้วย ยังมีข้อมูลน่าศึกษาเกี่ยวกับ BIS อีกแยะ วันนี้เอาแค่ให้เห็นภาพกว้างๆ ก่อน
คนเล่านิทาน
30 พค. 57
ตอนที่ 7 : ถังความคิด
แม้เศรษฐกิจจะอยู่ในกำมือพวกนายทุนใหญ่แล้วก็ตาม แต่พวกเขาบอกว่าแค่อยู่ในมือเรา มันไม่อยู่นาน (พวกนี้คิดรอบคอบ) เราต้องสร้างพรรคพวก ต้องทำให้สังคม โดยเฉพาะสังคมในระดับสูง เห็นคล้อยตามเราด้วย ประเภทเราว่าไงเขาต้องว่าตามกัน มันจะได้คุม (หลอก) กัน ง่ายๆ หน่อย แล้วจะทำให้พวกคนในสังคมระดับสูงเขาเห็นพ้องด้วยได้อย่างไรล่ะ คนพวกนี้ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่จะให้เรียกให้มาประชุมคงไม่ง่ายนักหรอก พวกเขาหยิ่งยะโสเล่นตัวกันจะตาย แต่จะให้เดินสายไปคุยด้วยทีละราย กว่าจะรู้เรื่องเห็นพ้องกันหมด พวกตูก็แก่ตายหมด ไม่ได้ครองโลกกันเสียที !
นายทุนใหญ่ ทั้งหลายจึงสรุปว่า อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรมอบให้ใครมันไปช่วยคิดช่วยทำให้เราดีกว่านะ รวยแล้ว อย่าต้องลงมือลงแรงเองหมด ใช้ให้ผีมันโม่แป้งแทนก็แล้วกัน แล้วพวกเขาก็ตั้งสถาบันประเภทนักคิด (think tank มาแล้ว) เพื่อให้มีหน้าที่จัดการคิด การชี้นำสังคม วิธีล้อมคอกพวกคนรวย (อื่นๆ) คนในสังคมชั้นสูงจากทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ สื่อ และแม้แต่พวกคุณทหาร เข้ามารับความเข้าใจ และควบคุมความคิดของบุคคลเหล่านั้น ให้เป็นไปในทิศทางเดียว กับที่นายทุนใหญ่ต้องการ เข้าใจไหม มันเป็นการย้อมความคิด โดยคนถูกย้อมไม่รู้ตัว ว่ากำลังถูกย้อมสมอง ย้อมความคิด เป็นไปไม่ได้น่ะ ไม่มีทางหรอก ไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะทำอะไรแบบนั้น พวกโลกสวยคงกำลังคิดในใจ ฮา มันเป็นวิธีที่เฉียบมาก จูงจมูกคนรวย หรือคนมีอำนาจ หรือนักวิชาการด้วยกัน นี่ถือว่าสุดยอดจริงๆ หรือว่ามันก็ไม่ยากเกิน คนรวย คนมีอำนาจ นักวิชาการ ใช่ว่าจะฉลาดเสมอไป ฮา อีกหน
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 กลุ่มนักวิชาการชาวอเมริกัน ได้รับมอบหมายให้วาดภาพสถานการณ์ให้ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ฟังเกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ ของอเมริกา ในกรณีที่สงครามโลกจบและ Kaiser และจักรวรรดิเยอรมันหล่นจากบัลลังก์ นักวิชาการกลุ่มนี้เรียกว่ากลุ่ม The Inquiry เวลาวาดภาพให้ประธานาธิบดีฟัง เขามีวิธี เขาใช้วิธีเล่าผ่านคนสนิทที่ประธานาธิบดีเชื่อใจอย่างมาก (จำวิธีนี้กันไว้นะครับ เขาใช้กันทั้งนั้น ปากก็บอกผมไม่เคยเจรจา ไม่เคยพูด แต่ให้คนสนิทเป็นคนพูด ไม่ได้โกหกนี่หว่า !) นายคนสนิท ชื่อ พันเอก Edward M. House นี้สำคัญมาก เป็นผู้เดินสาส์นลับของประธานาธิบดี กับฝ่ายยุโรป ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี ค.ศ.1914 จนถึงช่วงที่อเมริกาเข้าไปมีส่วนด้วยในช่วง ค.ศ.1917 ปากก็บอกว่าฉันสันโดษ Isolist แต่ส่งคนเดินสาส์น จนซ่นร้องเท้าสึกไปหลายคู่ นักการเมืองก็เป็นยังงี้ทั้งนั้นและไม่ว่าพันธุ์เทศ พันธุ์ไทย ปากก็พูดไปอย่าง แล้วก็ไปทำอีก 3 อย่าง คนละเรื่องกัน ท่านนายพันเอก House นี้ เป็นคนสำคัญในการผลักและดันให้ประธานาธิบดี Wilson เห็นชอบในการที่อเมริกาจัดตั้งระบบ Federal Reserve (ตกลงคุณ House นี้ เป็นพวกใครกันแน่ !)
กลุ่ม The Enquiry นี้เอง เป็นผู้ปูทางการสร้าง the Council on Foreign Relations (CFR) CFR เป็น think tank ถังความคิด ที่ทรงอิทธิพลสูงสุดในอเมริกาตั้งแต่เริ่มตั้งจนถึงปัจจุบัน
เดือนพฤษภาคม ค.ศ.1919 กลุ่มนักวิชาการและนักการฑูตจากอังกฤษและอเมริกา รวมทั้งกลุ่ม The Inquiry นั่งสุมหัววางแผนกันที่โรงแรม the Majestic ในปารีส เพื่อที่จะร่วมกันตั้งสถาบันเกี่ยวกับกิจการระหว่างประเทศ โดยมีสาขาหนึ่งที่ London และอีกสาขาหนึ่งที่ New York เมื่อบรรดาพวกไปสุมหัวกลับมาถึง New York ก็รายงานผลการคุย ให้กับนักการเงินและนักกฏหมายที่ New York (นายทุนตัวจริง !) ฟัง ทุกคนไชโยโห่ตบมือเป่าปากกับข้อสรุปที่ตกลงกันมา แน่นอนคนที่ดีใจที่สุดคงไม่ใครเกิน นาย Cecil Rhodes นักล่ารุ่นเก๋า ที่แค่ซ่อนเขี้ยวของตัวเองให้มิดชิด นักล่ารุ่นกะเตาะ ก็นึกว่านักล่ารุ่นเก๋าเขี้ยวหลุดหมดปากไปแล้ว แหม ! หลอกง่ายจัง นึกว่าเด็กรุ่นใหม่ ฉลาดกว่ารุ่นโบราณ ! แต่ในที่สุดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน มันคงแปร่งหูเกินกว่าคนอังกฤษจะทนฟังได้ สถาบันนักชักใย CFR เลยเปลี่ยนแผนแยกตัวเป็น 2 แขนง แต่มาจากตอเดียวกัน ต่างคนต่างไปตั้งกลุ่มของพวกตัวเอง อังกฤษกลุ่มหนึ่ง อเมริกากลุ่มหนึ่ง แต่ยังจับมือกอดแขนจิกหัวกันไว้ ยังไงก็ต้องร่วมมือใกล้ชิด ก็คิดจะครองโลกด้วยกัน
The Milner Group ของก๊วนนาย Cecil Rhodes รับบทเป็นตัวตั้งตัวตีในการตั้ง Royal Institute of International Affairs (Chatham House) ถังความคิด think tank สัญชาติอังกฤษ ในปี ค.ศ.1919 ส่วนกลุ่ม The Inquiry ก็รับมอบหน้าที่ไปตั้ง Council of Foreign Relations think tank สัญชาติอเมริกัน ในปี ค.ศ.1921
นอกจากนี้ ยังมีองค์กรลับที่มีแนวคิดเดียวกับ Milner Group ทยอยเกิดขึ้นอีกในหลายๆ ประเทศ เขาเรียกกลุ่มพวกนี้ว่าพวกโต๊ะกลม เอามาจากอัศวินโต๊ะกลม Knights of the Round Table สมัย King Arthur ของอังกฤษนั่นแหละ Round Table Groups ในบรรดาพวกโต๊ะกลม โต๊ะใหญ่ในกลุ่มนี้ก็คือ Royal Institute of International Affairs (Chatham House) ที่ลดหลั่นลงมาก็มี โต๊ะกลม Canada, Australia, New Zealand, South Africa และ India จักรภพอังกฤษถึงล่มก็ยังไม่สลาย ดึงเอาลูกกะเป๋งเก่า ตามมาเข้าขบวนตั้งโต๊ะกลมด้วย กลุ่มโต๊ะกลมนี้ ก็คือ กลุ่มถังความคิด (think tank) นานาชาติรุ่นแรก ซึ่งยังดำเนินการอย่างแข็งขัน และมีอิทธิพลในแต่ละประเทศของตัว จนถึงทุกวันนี้ ในฐานะเป็นรุ่นใหญ่มีชื่อเสียงอยู่ในอันดับต้นมาตลอด รักษาตำแหน่งไว้ไม่เคยปล่อยให้ตกอันดับ
ส่วนถังความคิดรุ่นใหญ่ในอเมริกา ที่ได้รับความนิยมตาม CFR มาติดๆ ก็มี Brookings Institution, Carnegie Endowment for International Peace, RAND Corporation, Heritage Foundation, Woodrow Wilson International Centre for Scholars, the Centre for Strategic and International Studies และ American Enterprise Institute (นักอ่านนิทานท่านใด ที่อยากรู้วิธีคิด หรืออยากรู้ว่านักล่ากำลังคิดทำอะไรอยู่ อยากติดตามด้วยตัวเองก็ค้นได้จากอากู กดชื่อตัวถัง พวกนี้แหละครับ มีเรื่องให้อ่านเพียบเลย)
สำหรับถังความคิดที่ไม่ได้สังกัดกับอเมริกา ก็จะมี Chatham House เป็นถังหมายเลขหนึ่งของอังกฤษ เป็นที่นับหน้าถือตา มีอิทธิพล ทำนองเดียวกับ CFR, the International Institute for Strategic Studies in the UK, the German Council on Foreign Relation, the Adam Smith Institute in the UK, the Fraser Institute ใน Canada, the European Council on Foreign Relations, the International Crisis Group in Belgium และ Canadian Institute of International Affairs
คนเล่านิทาน
30 พค. 57
ตอนที่ 8 : นักวิ่ง
มีกลุ่มนักคิด แล้วจะให้ดีก็ต้องมีกลุ่มคนพูด คนดำเนินการ คนวิ่งเต้นเหมือนเป็น lobbyist แต่เป็น lobbyist ระดับ cream หน้าขนมเค้ก แต่คราวนี้ไม่ใช่เค้กธรรมดา เป็นขนมเค้กประดับมงกุฎเสียด้วย ปี ค.ศ.1954 พวกคนในสังคมระดับสูง ถึงสูงมากๆ ในยุโรป อังกฤษ และอเมริกา จึงรวมตัวกันจัดตั้ง the Bilderberg Group ขึ้นที่ประเทศ Netherlands หลังจากน้ันทุกปี กลุ่มนี้จะจัดประชุมลับ มีคนเข้าร่วมประมาณ 100 กว่าคน จากบุคคลชั้นสูงในวงการเมือง ธุรกิจการเงินการธนาคาร การทหาร บรรษัทข้ามชาติใหญ่ นักวิชาการ สื่อจากอเมริกา (เหนือ) และยุโรปตะวันตก เป็นเครือข่ายของผู้ทรงอิทธิพลรวมถึงพระราชวงศ์ในยุโรป ซึ่งสามารถจะคุยกันได้อย่างเปิดอก และไม่ต้องเกรงว่าจะมีการรั่วไหลของการคุย ขาประจำจะเป็นพวกหัวหน้าผู้บริหาร หรือประธานของบรรดาบรรษัทข้ามชาติใหญ่ๆ ในโลก บริษัทน้ำมันเช่น Royal Dutch, British Petroleum, Total SA รวมทั้งพระราชวงศ์ในยุโรป นายธนาคารระดับนานาชาติ เช่น (แน่นอน) นาย David Rockefeller ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และพวกธนาคารกลางของโลก Bilderberg เป็นถังความคิด แบบเปิดฝาแต่ปิดตัว ตั้งขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะเป็นห่วงคล้อง (ชักใย) รัฐบาลกับเศรษฐกิจของยุโรปกับอเมริกา ในระหว่างสงครามเย็นให้ไปในทิศทางเดียวกัน
ปี ค.ศ.1970 David Rockefeller เป็นประธานของ CFR และเป็นประธานกรรมการและประธานผู้บริหารของ Chase Manhattan Bank ไปเชิญนักวิชาการเข้ามาร่วมอยู่ใน CFR (ใช่แล้วครับ เจ้าเก่า) นาย Zbigniew Brzezinski ซึ่งเขียนหนังสือ Between Two ages : Americans Role in the Tecnetronic Era บอกว่าปัจจุบันนี้ ความสนิทสนมกลมเกลียว ความร่วมมือระหว่างรัฐประเทศมันน้อยลง แทนที่จะหันหน้าเข้ามาหากัน ดันตะแคงข้างหรือหันหลังใส่กัน ขณะเดียวกันความร่วมมือระหว่างบรรษัทข้ามชาติด้วยกันมีมากขึ้น เงินมันมีแรงดึงดูดสูงกว่า ดังนั้นจึงควรมีการรวมตัวกันระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว คือ ประเทศในยุโรปตะวันตก อเมริกา และญี่ปุ่น เพราะต่อจากนี้ไป ธนาคารและบรรษัทข้ามชาติทุนใหญ่ เช่น ธนาคาร บริษัท หรือ องค์กรระหว่างประเทศ จะเป็นผู้มีบทบาทใหญ่ขึ้น ในการกำหนดทิศทางการเมืองของโลกนี้
แล้วในปี ค.ศ.1972 David Rockefeller และนาย Brzezinski ก็เสนอความคิดนี้ในที่ประชุมประจำปีของ Bilderberg หลังจากนั้นผู้ทรงอิทธิพลรุ่นใหญ่เกือบ 20 คน ก็พากันยกโขยงมาพบนาย David ที่บ้าน แล้วก็บอกว่า พร้อมแล้วครับท่าน พวกเราเห็นพ้องกันตามที่ท่านกล่อม (สั่ง !) ค.ศ.1973 Trilateral Commission ซึ่งถือเสมือนเป็นน้องน้อยของ Bilderberg ก็คลอด เป็นการเชื่อมผู้ครองโลกใน 3 ทวีป เข้าด้วยกัน ยุโรปตะวันตก อเมริกา และญี่ปุ่น
ขอแจ้งข้อมูลปัจจุบันหน่อยครับ ผมเคยเขียนเกี่ยวกับ Trilateral Commission นี้ เมื่อตอนเขียนนิทานเรื่องมายากลยุทธและผมได้แพลมออกไปว่า มีสมาชิกของ Trilateral Commission เป็นคนไทยด้วย ผมนำชื่อมาลงทั้งหมด ปรากฎว่าหลังจากลงไปได้ไม่เท่าไหร่ เพจผม (บังเอิญ ? !)ออกอาการเหมือนถูกกวนจนเละ หน้าจอเดี๋ยวดับบ้าง เปิดไม่ได้บ้าง ข้อความที่ลงก็หายเป็น ตอนๆ โดยเฉพาะตอนที่มีรายชื่อสมาชิกคนไทยที่โด่งดัง หายแล้วหายอีก ต้องลงซ้ำลงซาก คราวนี้ต้องเขียนถึงกลุ่มนี้อีก เพื่อให้ต่อเนื่องกัน ก็เลยแวะไปเช็คข้อมูล ซึ่งก็มีท่านผู้อ่านรายหนึ่ง inbox มาบอกล่วงหน้าแล้ว (ขอบคุณนะครับ) ผลการเช็คข้อมูลล่าสุดนี้ ปรากฎว่ากรรมการชุดเก่าเปลี่ยนตัวไปกันเกือบหมด ! เขาตั้งคนอื่นมาแทน เลยขอลงรายชื่อ ทั้งเก่าทั้งใหม่ให้ชื่นชมกัน ว่าคนไทยเราก็ติดอันดับโลก แบบนี้เหมือนกัน (แหม ! ไม่กล้าอ้างความดีความชอบว่า เป็นผู้แฉจนต้องมีการเปลี่ยนตัว เดี๋ยวมีคนเชื่อ ฮา !)
- รายชื่อเมื่อปี ค.ศ.2011
นายอานันท์ ปันยารชุน
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี
มรว. เกษมสโมสร เกษมศรี
นายสารสิน วีรผล
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ
- รายชื่อใน ค.ศ.2013 (น่าจะออกมาปลายปี ค.ศ.2013 หลังจากที่เขียนนิทานมายากลยุทธ หน่อยหนึ่งครับ)
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ (อดีตเลขาธิการอาเซียน ปริญญาโท ปริญญาเอก มหาวิทยาลัย Harvard)
นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีตผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศ ปริญญาตรี, โท ทางเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย เคโอะ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น)
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ (ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ปริญญาโทและเอก วิทยาการคอมพิวเตอร์ จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว )
นายกานต์ ตระกุลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ ไทย ปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ (จุฬา) ปริญญาโท บริหารธุรกิจ The Georgia Institute of Technology (อเมริกา) )
คนเล่านิทาน
30 พค. 57
ตอนที่ 9 : สร้างคอก
เมื่อมีใบสั่งออกมาว่า อเมริกาจะต้องเป็นผู้ครองโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เลี้ยงก็เริ่มเตรียมการ จะให้นักล่าครองโลก ไปแต่หัวได้อย่างไร แขนขามือเท้าก็ต้องไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีการจัดเตรียมหลักสูตรการศึกษา ภายใน ประเทศเสียใหม่ เพื่อเตรียมตัว พวก technocrat และพวกชนชั้นระดับสูงในสังคม elites ให้เข้าใจให้รู้จักกันไว้ว่า ระดับประเทศเขาจะทำอะไร เมื่ออเมริกาจะควบคุม Grand Area ก็จำเป็นต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับ area พวกนี้ไว้ ให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน ผู้คนมีหน้าตาอย่างไร มีอะไรน่าขะโมย น่าเคี้ยวบ้าง ไม่ใช่พูดถึง area ไหน แล้วนั่งเซ่อ ยังขี่ช้างอยู่หรือเปล่า งูบ้านยูแยะไหม แบบนั้นไม่เอานะ หลักสูตรและโครงการศึกษาที่เรียกว่า Area Studies จึงเกิดขึ้น โดยการนำเอาปัญญาชน นักวิชาการ นักผู้เชี่ยวชาญจากทุกแหล่ง มาช่วยจัดสร้างหลักสูตร สำหรับ Area Studies นี้ และนาย Kenneth ตัวแสบของเรา จึงน่าจะได้รับภาระกิจให้ไปเป็นนักสำรวจรุ่นแรกๆ ที่นำข้อมูลมาร่วมในการจัดทำหลักสูตร Area Studies นี้ด้วย
มูลนิธิ Rockefeller รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างใหญ่ ในการจับอเมริกามาแต่งตัว แต่งหน้าใหม่ (ทำ face lift !) จากอยู่ในสังคมแบบสันโดษ isolist society เปลี่ยนมาเป็นอยู่ในสังคมโลก globalist society (จริงๆ จะกำหนดสังคมโลกใหม่น่ะ แต่มันต้องค่อยๆ ทำ จากคุณลุงวัย 60 พุงห้อย กล้ามเหี่ยว เป็นหนุ่มแน่นกล้ามท้องเรียงเป็นตับ มันต้องใช้เวลาสร้างนะ)
ขบวนการแต่งตัวใหม่ให้อเมริกา เริ่มดำเนินการโดย CFR มาตั้งแต่ ค.ศ.1921 เป็นต้นมา แต่มาเห็นเด่นชัด เมื่อมีการศึกษา War and Peace Studies ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างทีม CFR กับทีม State Department โดยมูลนิธิ Rockefeller เป็นผู้อุปถัมภ์ควักกระเป๋าจ่ายเองทั้งหมด นอกจากนี้มูลนิธิยังให้ทำการศึกษาวิจัยอีกหลายโครงการ ในช่วง ค.ศ.1930 - 1940 ในช่วงนักล่าตั้งไข่หัดเดิน เพื่อช่วยให้ผู้บริหารของรัฐบาลระดับวางนโยบายและฝ่ายวิชาการ มีความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมโลกและเป้าหมายการครองโลกของอเมริกาในทิศทางเดียวกัน
นอกจากนี้ระหว่างปี ค.ศ.1927-1945 มูลนิธิยังตั้ง study group เพื่อเตรียมออกสิ่งพิมพ์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้มากในช่วงเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ การจัดทำสิ่งพิมพ์ publications นี้ ก็เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง CFR กับ State Department อีกเช่นเดียวกัน นาย William P. Bundy ถึงกับเอ่ยปากว่ายังไม่เคยมีหน่วยงานเอกชนใด ก็มีโอกาสทำงานกับฝ่ายรัฐอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อนเลย ในประวัติศาสตร์ของอเมริกา (ตกลงใครเป็นผู้นำประเทศกันแน่ รัฐบาลหรือ CFR ?) นาย Bundy ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เด็กในคาถาที่ CFR แอบส่งมาประกบรัฐบาลตั้งแต่ต้น ต่อมาปี ค.ศ.1950 เขาได้เป็นนักวิเคราะห์สังกัดหน่วยงาน CIA และเป็นที่ปรึกษาให้ประธานาธิบดี Kennedy และเป็นผช.รมว.ใน State Department เป็นผู้ดูแลงานด้าน East Asian and Pacific Affairs ในสมัยรัฐบาล Lyndon Johnson ทำให้เขากลายเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของประธานาธิบดี ในการตัดสินใจในสมัยสงครามเวียตนาม เมื่อนาย David Rockefeller ลงมาคุม CFR เต็มตัวในตำแหน่งประธาน CFR เมื่อปี ค.ศ.1970 เขาได้ขอ (สั่ง !) ให้นาย William Bundy มาเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Foreign Affairs ของ CFR ซึ่งเป็นนิตยสารที่ได้รับการยอมรับและมีอิทธิพลสูงมากในวงการเมืองระหว่างประเทศ นาย Bundy ทำหน้าที่นี้อยู่ตั้งแต่ปี 1972 ถึง 1984 ส่วนพี่ชายของเขา นาย McGeorge Bundy ก็มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงให้แก่ประธานาธิบดี Kennedy ประธานาธิบดี Johnson รวมทั้งรับตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิ Ford ด้วย ตั้งแต่ ค.ศ.1966-1979 (เอาว่าเด็กในคาถาของ CFR เข้ายึดตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลเกือบหมด)
นอกจากจัดหลักสูตรติวเข้มให้กับสังคมระดับไข่แดงแล้ว มูลนิธิ Rockefeller ก็ได้เตรียมการสำหรับสังคมระดับไข่ขาวด้วย เพื่อให้สังคมทั่วไปรู้จักการก้าวเข้าไปสู่สังคมนานาชาติของอเมริกา โดยเขาตั้ง Foreign Policy Association (FPA) และ Institute of Pacifics Relations (IPR) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการสร้างความเห็นของมวลชน (เริ่มรายการฟอกย้อม ความคิดคนในประเทศก่อน) โดยย้อมความคิดทางสิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง ให้ตั้งแต่ระดับเด็กนักเรียนมัธยม นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ครู โรงเรียน สหภาพ นักธุรกิจ และสมาคมสตรีทั้งหลาย และสังคมทั่วไป โครงการนี้เพื่อสนับสนุนนโยบายต่างประเทศ ยุคใหม่ของอเมริกานั่นแหละ แต่ขณะเดียวกัน ทางมูลนิธิได้ระบุไว้ในการเสนอโครงการนี้ว่า เป็นโครงการที่ไม่มีวัตถุประสงค์ในทางการเมือง (เขาเขียนกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ !)
คนเล่านิทาน
30 พค. 57
ตอนที่ 10 : ล้อมเข้าคอก
อีกงานหนึ่งที่มูลนิธิ Rockefeller ทำไปพร้อมๆ กัน คือการคิดหลักสูตรใหม่ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา คือหลักสูตร International Relations ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเขามอบให้ มหาวิทยาลัย Yale เริ่มศึกษาคิดหลักสูตรนี้ ตั้งแต่ ค.ศ.1930 โดยมูลนิธิควักกระเป๋าเช่นเคย ในที่สุดในปี ค.ศ.1935 Yale Institute of International Studies ก็เกิดขึ้นและต่อมา Yale Institute นี้ ได้ร่วมทำงานกับรัฐบาล ผ่านหน่วยงาน State Department, War Department และ Board of Economic Warfare รับหน้าที่อบรมให้กองทัพอเมริกาโดยเฉพาะ ซึ่ง Yale Institute ก็ตั้ง School of Asiatic Studies ในปี ค.ศ.1945 เพื่อเตรียมตัวกองทัพในการรับมือกับภาระกิจที่จะเกิดขึ้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาล หรือพูดให้ชัดเป็นไปตามที่ CFR วางแผนไว้
ทั้งหมดนี้ มูลนิธิ Rockefeller วางยุทธศาสตร์การดำเนินการ เพื่อให้แน่ใจว่า สถาบันองค์กรต่างๆ มหาวิทยาลัย หรือผู้นำทางสังคม มีความเข้าใจ มองโลก และมองบทบาทของอเมริกา ตามที่พี่เลี้ยง CFR กำหนดไว้ และสถาบันเหล่านี้จะสามารถทำให้ประชาชนเชื่อถือและ มีความเห็นคล้อยตาม เขาเรียกโครงการนี้ว่า Scientific Management of Society มันเป็นการสร้างพื้นฐานความคิดให้แก่สังคม หรือการสร้างคอกล้อมความคิด ของสังคมเพื่อให้คิดอย่างที่นายทุนนักล่า ต้องการให้สังคมเห็นด้วยคล้อยตาม มันคือการฟอกย้อมความคิด สร้างทั้งคอก มีเชือกผูกคอ ไว้ลากจูงเสร็จ มันเป็นงานใหญ่ที่เอาไว้ใช้ครอบคลุมคนทั้งโลก ทุกชนชั้น และเกือบทุกอาชีพ เขาเริ่มโครงการสร้างคอกในบ้านก่อน จึงไม่น่าแปลกใจว่าแม้คนอเมริกันเองก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลของตนเอง
เมื่อจัดการวางแผนสร้างคอกในบ้านแล้ว ก็เริ่มโครงการสร้างคอกนอกบ้านทางอ้อม ตั้งแต่ ค.ศ.1934 เป็นต้นมา ทั้งมูลนิธิ Rockefeller, มูลนิธิ Ford และ Caregie ต่างช่วยกันสนับสนุนเงินทุนในการศึกษาโครงการ Area Studies ในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของประเทศที่เป็น non-western วิชานี้ เดิมเริ่มมาจากหลักสูตรที่คิดขึ้นโดยสถาบันการศึกษาของอังกฤษ ซึ่งแสดงการแบ่งแยกชัดเจนว่า เป็นเรา (ตะวันตก) เป็นเขา (ตะวันออก) และมีการแสดงออกถึงความเป็นผู้อยู่ในสถานะสูงกว่า (นายเหนือและขี้ข้า) อย่างชัดเจน พี่เลี้ยงบอกว่าวิธีการสอนแบบนี้มันคงไม่ได้ผล เราจะหลอกต้มเขา เราต้องทำให้เนียน บอกแล้วเราต้องพรางตัว เราคิดหลักสูตรใหม่แล้วกัน สอนแบบอื่น ให้ได้ผลเหมือนกันน่ะ ให้เราก็ยังคุมเขา เป็นนายเขา เหมือนเดิมโดยเขาไม่รู้ตัว เราต้องทำให้เขาคิดว่า ถ้าเขาคิดแบบเรา มีความรู้แบบเรา แล้วจะทำให้เขาเหมือนเรา เป็นที่ยอมรับของเราน่ะ ทำได้ไหม แค่ใส่ความคิดให้เขาน่ะ แต่ความจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในที่สุดโดยเงินทุนสนับสนุนจากมูลนิธิใจกว้างทั้ง 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ตั้งแต่ University of Chicago, Columbia, North Carolina, Harvard, Yale, Virginia, Texas, Stanford etc. ต่างก็นำนโยบายของพี่เลี้ยง CFR ไปตั้งหลักสูตรทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไปปรับความคิด จัดการฟอกย้อมสังคมโดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของอเมริกาสำเร็จ
อันที่จริงหลักสูตรการสร้างคอกนี้ ไม่ใช่ทำอยู่แต่ในอเมริกาเท่านั้น ช่วงระหว่าง ค.ศ.1919 - 1940 หลักสูตรการสร้างคอกนี้ ขยายไปถึงอังกฤษผ่านการสนับสนุนทางการเงินแก่ London School of Economics, the Graduate Institute of International Studies ในสวิส, the Centre dEtudies Politiqnes Etrangeres ในฝรั่งเศส รวมทั้งใน Norway, Sweden, Denmark, Germany และ Holland เขาสร้างหลักสูตรวิชารัฐศาสตร์ สัมพันธ์ระหว่างประเทศ, สังคมวิทยา ฯลฯ ตามทฤษฎีของอเมริกา ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม มันเป็นการฝั่งรากความคิดเกี่ยวกับสังคม/การเมือง เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดระเบียบโลกใหม่ ต้องถือว่าการสร้างคอกความคิด ทำได้สำเร็จ คอกยาวล้อมไปทั่วโลก ไม่ว่าจะไปเรียนที่ไหนไม่สำคัญ เพราะอัดสำเนา ถ่ายก็อปบี้มาเหมือนกันหมด
ทั้งหมดนี้เป็นการให้ทุนสนับสนุนแก่สถาบัน และให้โดยตรงกับนักศึกษา ส่วนผู้สนับสนุนเงินทุน ไม่ต้องเสียเวลาเดา มีอยู่ไม่กี่เจ้าแต่เอาจริงกระเป๋าหนัก เพื่อการครองโลกของเขา Rockefeller Foundation, Carnegie Foundation, Ford Foundation etc.
ในบ้านเราหลักสูตรการล้อมคอกนี้ มีสอนอยู่ในหลายมหาวิทยาลัย ที่โดดเด่นมาก น่าจะเป็นคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะอาจารย์ที่สอนส่วนใหญ่ได้ทุนจากสถาบันต่างๆ ของอเมริกา ตามแนวทางสร้างคอก แต่ถึงจะจบจากประเทศไหนก็คงไม่ต่างกันมาก เพราะอย่างว่าใช้ก็อปบี้สำเนาเดียวกัน ส่วนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็มีและไม่ต่างกันมาก เพียงแต่ช่วงหลังๆ ใส่ผงชูรสจัดเข้าไปตามใบสั่งบวกกับใบเสร็จ และในมหาวิทยาลัยเอกชนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ในระยะ 10 - 20 ปี หลังนี้ ก็มีหลักสูตรเช่นนี้ด้วย
คนเล่านิทาน
30 พค. 57
ตอนที่ 11 : ปฏิบัติการฟอกย้อม
ปี ค.ศ.1913 เกิดเหตุการณ์ที่เหมืองถ่านหินในรัฐ Colorado รู้จักกันในชื่อเหตุการณ์ฆ่าโหด Ludlow (Ludlow Massacre) กรรมกรในเหมืองถ่านหินประมาณหมื่นกว่าคน พร้อมใจกันประท้วงนายจ้าง เนื่องจากหัวหน้ากรรมกรถูกฆาตกรรม กรรมกรพวกนี้เป็นคนต่างชาติ เช่น พวกกรีก อิตาเลียน และเซิร์บ ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาในช่วงอุตสาหกรรมบูม การประท้วงลามไปถึง Colorado Fuel & Iron Corporation ซึ่งเป็นของตระกูล Rockefeller กรรมกรขอขึ้นค่าแรง เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่สุดห่วย แถมยังมีการกดขี่จากนายจ้าง และฝ่ายรัฐซึ่งเป็นเสมือนขี้ข้าของนายทุน (เพราะรับเงินส่วย !) ที่เป็นเจ้าของเหมือง นายทุนบอกโง่มาก คิดว่าเอากำลังคนมาขู่กำลังเงินจะสำเร็จหรือ ว่าแล้วก็ไล่กรรมกรและครอบครัวกระเจิงออกไปจากเหมือง กรรมกรคอตกไม่มีที่ไป จัดการกางเต็นท์ตั้งมันอยู่ที่นอกเมืองนั่นแหละ นายทุน Rockefeller บอกว่าเมื่อพูดด้วยปากไม่รู้เรื่อง ก็เอาปืนมาพูดแทนแล้วกัน แล้วเขาก็ไปจ้างพวกมือปืนรับจ้าง ซึ่งมีทั้งปืนกลและปืนไรเฟิล มายิ่งถล่มใส่เต้นท์กรรมกร
ผู้ว่าการรัฐ Colorado รู้เรื่องเข้าก็บอก นายท่านจัดการเองแบบนี้ไม่ได้ เป็นหน้าที่ของกระผม แล้วขี้ข้าก็ไปรวบรวมเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งแน่นอน กินเงินเดือนของนายทุน Rockefeller มากวาดเต้นท์จนราบ ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1914 ประวัติศาสตร์ได้ บันทึกไว้ว่า กรรมกรที่รวมกลุ่มกันตั้งเต้นท์กลุ่มใหญ่ที่สุด มีคนรวมกันประมาณพันคน มีทั้งผู้หญิงผู้ชายและเด็ก ถูกปืนกลของเจ้าหน้าที่รัฐรัวใส่บาดเจ็บล้มตายระเนระนาดไปหมด และเมื่อกรรมกรยกธงขาวเดินเข้ามาขอเจรจาสงบศึก เขาก็ถูกปืนกลรัวใส่ตายคาที่เรียบร้อยอยู่บนพื้นถนน หลังจากนั้นปืนกลก็รัวต่อจนถึงค่ำ ตามต่อด้วยเจ้าหน้าที่จุดไฟเผาเต้นท์จนไม่เหลือ กรรมกรตายเรียบ ในจำนวนผู้ที่ถูกไฟเผามีทั้งผู้หญิงและเด็ก ชื่อของฆ่าโหด Ludlow ก็เป็นที่รู้จักดังไปทั่วตั้งแต่นั้นมา หนังสือพิมพ์ลงข่าวทุกวัน พร้อมคำด่ามาจากทุกสารทิศ
นายทุน Rockefeller บอกว่าเรื่องแบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ขอโทษอย่าเข้าใจผิดว่า เรื่องสาดปืนกลและเอาไฟเผาจะไม่เกิดขึ้นอีก เขาหมายความว่าการที่สื่อประโคมข่าวด่าแบบไม่เลิกนี้ จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกต่างหาก ดังนั้น Rockefeller Foundation จึงได้รับมอบหมายให้ทำการวิจัย เกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อ propaganda เพื่อหาวิธีปิดปากสังคมเกี่ยวกับความไม่สงบทางสังคม และการเมือง ไหนๆ จะวิเคราะห์วิจัยเกี่ยวกับเรื่องการบิดเบือนข้อเท็จจริงแล้ว มันก็ควรจะทำกันให้ครบถ้วนไปเลย โดยหาวิธีคิดหลักสูตรเพิ่มคือ เอาให้ถึงวิธีชี้นำสังคม ว่าความจริง truth เป็นอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญว่าจะทำให้สังคมคิดอย่างไรกับความจริงนั้นต่างหาก หาวิธีใส่ความคิดเข้าในหัวเรา !
วิธีการนี้มาจากการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งได้มีการทดลองใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 มาแล้ว โดยประธานาธิบดี Woodrow Wilson ได้ตั้งหน่วยงาน US Committee on Public Information (CPI) เพื่อให้ประชาชนสนับสนุนการทำสงคราม ก่อนทำสงครามประชาชนทั่วไป
โดยเฉพาะชนชั้นกรรมกร ไม่มีใครอยากให้ทำสงคราม เพราะมีแต่ความอดอยาก ชาวบ้านบอกว่าสงครามเป็นเรื่องของคนรวย แต่นาย Walter Lippman นักคิด นักเขียน จากมหาวิทยาลัย Harvard ผู้ซึ่งประธานาธิบดี Roosevelt ปลื้มมาก บอกว่าเป็นคนหนุ่มที่ฉลาดที่สุดในพวกวัยเดียวกับเขา (ตอนนั้นเขาอายุ 25 ปี) นาย Lippman บอกว่าที่ทำสงครามเพื่อทำให้ประชาธิปไตยเราปลอดภัย เป็นการพูดที่ฟังแล้วดูสวยหรู แต่เป็นตรรกะที่ห่วยมาก แต่คนก็พากันเชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอ้หนุ่มน้อยนี้เป็นที่ชื่นชมของประธานาธิบดีหรือเปล่า ฝรั่งก็สอพลอเป็น
นาย Lippman ยังมีความเห็นอีกว่า คนส่วนใหญ่จะมีความเห็นชอบหรือไม่ชอบ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ว่างั้นเถอะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผล (ด้วยเหตุว่า) คนพวกนี้ไม่ค่อยมีความเฉลียวฉลาดมากนัก และไม่มีความคิดที่มั่นคง แถมเป็นพวกที่ไม่ชอบใช้ความคิด หรือไม่ใช้เวลามานั่งคิดว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกนี้บ้าง คนพวกนี้คือคนส่วนใหญ่ของสังคม (พวกโลกสวย?!) เป็นมวลชน เป็นกลุ่มชน ที่ควรจะต้องมีการชี้นำ กำกับ โดยผู้นำ ซึ่งก็อาจจะชี้นำถูกหรือผิดก็ได้ ดังนั้นในความเห็นของนาย Lippman คือ ควรจะมีผู้เชี่ยวชาญ ที่จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแนะนำ ให้แก่ผู้มีหน้าที่ตัดสินใจ
ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ เป็นผู้ที่มีความคิดเฉลียวฉลาด มีปัญญามองอะไรทะลุปรุโปร่ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้บริหารชั้นสูง คนระดับสูงของประเทศ หรือผู้นำกลุ่มวิชาชีพ ซึ่งเขาเหล่านี้มักจะอยู่ในระดับสูงสุดของสังคม (นี่มันไม่ใช่ แค่แบ่งชนชั้นทางสังคมนะ เป็นการแบ่งชนชั้นทางปัญญาอีกด้วย !)
นาย Rockefeller ถูกใจมาก เขาเห็นด้วยอย่างยิ่ง บอกใช่แล้วพ่อหนุ่ม เราควรนำมาใช้ในทุกเรื่องเลย โดยเฉพาะใช้ในการครองโลก รวมทั้งด้านธุรกิจสังคมและการเมือง เพื่อชี้นำประชาชน (ฟ้อกย้อมความคิดแบบสมบูรณ์) และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการคิดสร้างถังความคิด (Think Tank) CFR ซึ่งแน่นอนภายหลัง นาย Lippmann เป็นหนึ่งในนักคิดคนสำคัญของ CFR ด้วย
วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ Propaganda พัฒนามาจนถึงปี ค.ศ.1928 Edward Bernays ซึ่งเป็นหลานของ Sigmund Freud และเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้วางแผนโฆษณาชวนเชื่อให้กับประธานาธิบดี Woodrow Wilson ในสำนักงาน CPI เขียนหนังสือชื่อ Propaganda การโฆษณาชวนเชื่อ ถือเป็นตำราที่ผู้นำทั้งหลายนำไปใช้ ในการต้อนประชาชนเข้าคอก เขาบอกว่า ประชาชนสามารถถูกชี้นำได้โดยคนไม่กี่คน ที่เข้าใจขบวนการนึกคิดและรูปแบบของมวลชน คนไม่กี่คนนี้สามารถทำหน้าที่เป็นคนกระตุกเชือกในการคุมและชี้นำความคิดของมหาชน เหมือนเวลาจะต้อนสัตว์เข้าคอกนั่นแหละ
วิธีการเช่นนี้ ปรากฎว่าได้ผลไปในทุกวงการและทั่วโลกและยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ เพียงแต่เขาเรียกเป็นภาษาสมัยใหม่ว่า engineering consent หรือ constructing consent กระบวนการจัดการให้ได้รับความยินยอมความเห็นชอบ ที่นักล่าเอาไว้ใช้ในการล่าเหยื่อ โดยไม่ต้องออกแรงใช้อาวุธ เพียงแค่หาวิธีย้อมความคิดเหยื่อ จนเหยื่อหลงเชื่อคล้อยตาม และเต็มใจเดินเข้าปากนักล่าให้เคี้ยวแบบสบายๆ 60 ปีมานี้สมันน้อยเต็มใจเดินเข้าปากนักล่าให้เคี้ยวอย่างสบายใจกันเกือบหมดแล้ว
คนเล่านิทาน
30 พค. 57
ตอนที่ 12 : ชีวิตในคอก (ตอนจบ)
แล้วเขาสร้าง engineering consent นี้กันอย่างไร จะสร้างคอกล้อมคนยาวไปทั่วโลก มันต้องเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อม คอกมันจะได้มั่นคง เดี๋ยวจะแหกกันง่ายๆ
ประมาณปี ค.ศ.1889 ตระกูล Rockefeller ได้ตั้งมหาวิทยาลัย Chicago ขึ้น โดยเจรจาให้นาย Federic T. Gates ซึ่งเป็นนักวิชาการ และเป็นสาธุคุณของ Baptist Church มาเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย และคิดโครงการที่จะนำวิธีสร้างความเชื่อความศรัทธาที่ใช้ในการเผยแพร่ศาสนา มาปรับใช้ในการเผยแพร่กิจกรรมทางสังคม เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ พูดง่ายๆก็คือใช้วิธีที่หมอสอนศาสนาใช้ในการเผยแพร่ศาสนา เปลี่ยนเป็นเผยแพร่ลัทธิใหม่ของนักล่า ( CFR !?) การจัดระเบียบสังคมใหม่นั่นแหละ เฉียบแหลมจริงๆความคิดของพวกเขา
ปี ค.ศ.1892 มหาวิทยาลัย Chicago ก็ตั้งแผนก Sociology Department สังคมวิทยาขึ้นเป็นแห่งแรกในโลก แผนกสังคมวิทยานี้ ได้สร้างนักส้งคมวิทยาที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับรุ่นแรกๆคือ George Horbert Mead และ W.I. Thomas ทั้งสองคนนี้เป็นบรมครูในการศึกษาวิธี ควบคุมสังคม Social Control นอกจากนี้มหาวิทยาลัย Chicago ยังออกวารสาร The American Journal of Sociology ในช่วงปี ค.ศ.1915-1940 แผนกสังคมวิทยาของมหาวิทยาลัยนี้โดดเด่นมาก ได้ผลิตหลักสูตร แนวความคิดเกี่ยวกับการศึกษาและควบคุมพฤติกรรมสังคมอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับและใช้แพร่หลายในมหาวิทยาลัยต่างๆ ถือเป็นตัวจักรสำคัญที่สุดในการสร้างคอกล้อมความคิดและพฤติกรรมสังคม
ระหว่างที่มหาวิทยาลัย Chicago เดินหน้าขยายหลักสูตรในแผนกสังคมวิทยา มูลนิธิ Rockefeller ก็ให้เงินทุนสนับสนุนแก่มหาวิทยาลัย Yale เพื่อตั้ง Yale Institute of Human Relations (HR) ประมาณปี ค.ศ.1929 เพื่อสร้างหลักสูตรต่อเนื่องในการดูแลสังคม เพื่อให้สังคมเข้าใจในสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในสังคม ( การจัดระเบียบโลกใหม่ การเปลี่ยนตัวเองจากสังคมแบบสันโดษของอเมริกา เป็นสังคมโลก ) ว่ามันเป็นอย่างไร นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ประเทศและคนอเมริกันและประชาคมโลกขนาดไหน
แม้จะคิดหลักสูตรการศึกษาใหม่ๆ สร้างตำรา พิมพ์หนังสือ แจกสิ่งพิมพ์ แต่สิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เร็ว ถ้าไม่มีเครื่องมือสำคัญอีกอย่างมาช่วย มันต้องมีสื่อมีกระบอกเสียง ค.ศ.1930 Princeton Radio Project ก็เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิ Rockefeller (อย่างเคย !) เขาไปเอานาย Frank Stanton ซึ่งเดิมทำงานอยู่ในวงการโฆษณา มาทำการวิเคราะห์รายการวิทยุว่า คนชอบฟังวิทยุรายการใด เพราะอะไร และจะทำให้คนชอบรายการใด ได้อย่างไร (ทำให้นึกถึงการทำข่าวบ้านเราประเภทเล่าข่าว ที่ชาวโลกสวยติดใจนั่งฟังกันอ้าปากหวอ เชื่อฟังแบบต้องมนต์ ทำเอาหัวกลวงกันเป็นแถวๆ)
หลังจากควบคุมสื่อทางวิทยุแล้ว พวกพี่เลี้ยงนักล่าก็เข้าไป ซื้อบริษัทสร้างหนังใหญ่ ในหนังสือ Money Behind the Screen ระบุว่า ประมาณปี ค.ศ.1930 บริษัทสร้างหนังใหญ่ๆสมัยนั้นเช่น Paramount, Warner, 20th Century Fox, MGM, United Artist, Universal, Columbia, และ R.K.O. ถูกถือหุ้นหรืออยู่ในอิทธิพลของกลุ่มทุนใหญ่เช่น Rockefeller, Morgan รวมทั้ง Lehman Brother จากนั้นกลุ่มทุนใหญ่ๆ ก็เข้าไปครอบงำสื่อทางด้านสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์ต่อไป ประมาณปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมา สื่อยักษ์ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ล้วนตกอยู่ในมือกลุ่มทุนใหญ่นี้เกือบทั้งหมด
ด้วยการวางแผนทางด้านระบบการศึกษา การใช้กระบวนการย้อมความคิดของสังคม ผ่านมูลนิธิที่อ้างว่าทำเพื่อมนุษยชาติ การโฆษณาชวนเชื่อ การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การตลาด และใช้สื่อทุกรูปแบบ เพื่อสร้างให้เป็นจักรวรรดิอเมริกา นักล่าผู้ครองโลกรุ่นใหม่ เพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่โดยการ สร้างวงล้อมอุบาทว์ที่ใช้ระบบ และรูปแบบที่ดูเหมือนซับซ้อน หลอกให้เราเป็นเหยื่อ โดยการฟอกย้อมความคิดเรา ให้เราเห็นดีเห็นงามกับระบบและรูปแบบใหม่นั้น จนทำให้ทัศนคติของเราที่มีต่อ ความเชื่อในคุณธรรม คุณค่าของสังคม ความผูกพันต่อแผ่นดินเกิด ความภูมิใจในประเทศชาติและประวัติศาสตร์ชาติของตน การเห็นคุณค่าของสถาบันและศาสนา ฯลฯ หลายๆอย่างถูกบิดเบือนไปจนเกือบหมดสิ้น นี่ยังไม่นับรสนิยมความชอบด้านวัฒนธรรม และระดับของศีลธรรม ที่เปลี่ยนไปเพราะถูกฟอกย้อมความคิดนั้น มันเป็นเรื่องน่าเศร้า น่าสลดใจอย่างยิ่ง
อ่านนิทานมาถึงตรงนี้ คงตัดสินใจกันได้เอง ตกลงอเมริกาเป็นพี่เบิ้มผู้พิทักษ์โลกสวยที่เราจำเป็นต้องคอยจูบมือ ให้เขาตบหัวลูบหลัง สั่งให้ยิ้มให้กลิ้งตามใจเขา หรือเห็นเขาเป็นนักล่าโคตรเหี้ยมที่เราต้องทำความรู้จักกันให้ดี และระวังตัวรักษาบ้านรักษาเมืองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา หากยังตัดสินใจไม่ได้ ยังไม่อยากเชื่อ ไม่เชื่อเอาเลย ก็อย่าพึ่งโยนนิทานนี้ทิ้งไปจากสมอง ไปลองคิดต่อ ศึกษาต่อกันเองบ้าง บ้านเมืองนี้ก็ของเราทุกคน คนเล่านิทานทำหน้าที่พลเมืองอาสา ค้นคว้าหาเอกสารข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง เพียงหวังให้นำไปคิด ทำความเข้าใจ ช่วยให้บ้านเมืองเราหลุดพ้นจากการเป็นเหยื่อ หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ มาช่วยกันแหกคอกเถอะครับ
คนเล่านิทาน
30 พค. 57
ที่มาของข้อมูล นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น