นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 1
อาทิตยา หนุ่มอินเดีย ที่ไปตั้งรกรากอยู่เมืองฝรั่ง เขียนบทความเกี่ยวกับการขับไล่ผู้เช่า ให้ออกจากบ้านเช่า เพราะค้างค่าเช่าที่รัฐมิลวอกกี Milwaukee ลงใน the Guardian สื่อของอังกฤษ เกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ (ที่แตกแล้ว?) เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.2016 บทความ ชื่อ " One day, nine cruel evictions. How supersized inequallity looks in the US" ของ Aditya Chakrabortty
เป็นบทความที่ทำให้เราได้เห็นภาพ ที่สะท้อนถึงความโหดของอเมริกา หรือ ของมือที่ชักใยรัฐบาลอเมริกา อย่างน่าสนใจ
อาทิตยา เล่าตอนหนึ่งว่า ... มันเป็นการขับไล่ผู้เช่า ที่บริษัท Eagle Moving (ช่างเลือกชื่อจริง) รับจ้างมาทำ ...วันนั้น แม้อากาศจะหนาวยะเยือก แต่พวกเขาก็มาถึง 7โมงเช้า พร้อมรถขนของ พวกเขาอยู่ในชุดพร้อมทำงาน ทุกคนใส่เสื้อแจ๊กเก็ตหนาสีดำ มีฮูดปิดหัว ด้านหลังของเสื้อเขียนว่า "Service With A Grunt" บริการพร้อมเสียงคำราม มือหนึ่งถือถ้วยกาแฟ อีกมือคีบบุหรี่
(ขาดแส้หนัง และโซ่เหล็ก : ผมเพิ่มให้เองครับ )
.
....Eagle Moving อินทรีถีบ เป็นผู้ชำนาญการในการขับไล่ และขนย้ายผู้เช่า พร้อมสมบัติ ให้ออกจากบ้านเช่า วันนั้น อินทรีถีบ มีงานต้องทำถึง 9 ราย แต่ไม่มีปัญหา พวกเขาเป็นผู้ชำนาญการ...
... การทำงานของพวกเขาเป็นไปตามขั้นตอน ... พวกเขามาพร้อมกับผู้ช่วยนายอำเภอ 2 คน แต่ละคนมีเครื่องมือติดตัวมา 2 ชนิด ชนิดหนึ่งคือ ปืน ที่หลบนิ่งอยู่ในซองคาดติดตัว อีกชนิดคือ เครื่องมือไฟฟ้า สำหรับใช้ในการล้อมลวดหนาม...
.... ผช.นายอำเภอทุบประตูบ้านเช่า อย่างแรงและถี่ ผู้เช่าที่ขาดส่งค่าเช่า ส่วนใหญ่ยืนตัวสั่นแอบอยู่ในบ้าน ไม่กี่นาทีผ่านไป ถ้าไม่มีใครออกมา ผช.นายอำเภอก็เอากระดาษสีส้ม ตอกเปรี้ยงที่หน้าประตู มันเป็นหมายขับไล่ ที่ศาลออกตามคำขอของเจ้าของ....หลังจากนั้น ผช.นายอำเภอ ก็จะตะโกนบอกผู้เช่า
...เฮ้ย... พวกเอ็งมีเวลาไม่นานนะ ....เลือกเอา จะให้เราขนสมบัติของเอ็งไปไว้ที่รับฝาก (แต่ต้องจ่ายเงินค่ารับฝาก หรือ ค่าเช่าเป็นรายเดือน) หรือจะให้พวกเรา เข้าไปรื้อสมบัติของพวกเอ็ง แล้วโยนออกไปกองที่ฟุตบาทหน้าบ้าน....
.... ถ้าเลือกวิธีแรก ทีมฮูดดำ บริการพร้อมคำราม ของอินทรีถีบ ก็จะเข้าไปในบ้าน ขนย้ายทุกอย่างขึ้นรถบรรทุกที่เตรียมมาด้วย เอาไปเก็บที่โกดัง โดยคนเช่าต้องจ่ายค่าฝากสมบัติเป็นรายเดือน
....ถ้าเลือกวิธีหลัง ข้าวของสมบัติทุกอย่าง จะถูกเอาลงกล่องกระดาษ เท่าที่อินทรีถีบจะทำให้ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีกล่องใส่ให้หรอก จึงเป็นรื้อ และขนออกจากบ้าน ไปกองโชว์อยู่ที่ฟุตบาทหน้าบ้าน ให้รู้กันหมด ว่า มีหม้อ มีกะทะกี่ใบ ตู้เย็นโทรมแค่ไหน จะทิ้งโชว์ไว้นานเท่าไหร่ ไม่มีใครรู้ บางทีเจ้าของก็กลับมาเอาทัน บางทีก็มีคนช่วยเอาไปใช้ต่อ บางทีอากาศก็ช่วยทำลายให้ และหลายครั้ง.....ข้าวของก็ทิ้งค้างอยู่อย่างนั้น ...เพราะเจ้าของ...ฆ่าตัวตายไปเสียแล้ว....
.... คนเช่าส่วนใหญ่ ไม่ใช้บริการฝากสมบัติกับอินทรีถีบ เพราะไม่มีปัญญาจ่ายค่าฝาก พวกเขายอมเสี่ยงให้สมบัติกองอยู่ที่ฟุตบาท แล้วรีบไปหาที่ซุกหัวนอนก่อน หลังจากนั้น ค่อยๆย่องกลับมาเก็บสมบัติตัวเอง ถ้ามันยังกองรออยู่....
ระหว่างที่อาทิตยาไปสังเกตการณ์ เขาเล่าว่า ดูเหมือนทุกครอบครัวจะเลือกวิธีหลัง... ซึ่งทำให้ทีมฮูดดำคำราม ....เอ้า เฮ้ย ลุย...ฮูดดำทำงานเร็วมาก ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง บ้านชั้นเดียว 2 ห้องนอน ก็เกลี้ยงเกลา ไม่มีอะไรเหลือ
ทีวี ถูกนำออกมาก่อน ต่อมาเป็นที่นอน เครื่องออกกำลังชุดเล็ก โต๊ะทำด้วยกระจกแก้ว ชั้นวางของแบบถอดได้ อาหารกระป๋อง เยลลี่ขวดยักษ์ เนยถั่ว เสื้อผ้า กระดานสแครบเบิล (ต่อคำ) การบ้านเด็ก ถุงเท้าของขวัญจากซานต้า..ฯลฯ ทั้งหมดถูกฮูดดำเอามากองบนฟุตบาทหน้าบ้าน คุณแม่เดินตามออกมาด้วยน้ำตานอง ก้มหน้าหลบสายตาของเพื่อนบ้าน งกเงิ่นรีบเก็บของ เท่าที่จะเก็บได้... ฮูดดำ รีบขึ้นรถขนของ พวกเขาบอกตัวเอง ....ไม่ใช่เวลาที่จะแสดงความสงสาร ตารางงานเต็ม....รีบไปยึดรายการต่อไป...
อาทิตยาบอกว่า จากการสังเกตของตน นี่คือปัญหาของสังคม (อเมริกา) ที่มีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจ (ของประเทศ) ที่เกิดขึ้นมาเกือบ 10 ปีแล้ว จากวิกฤติซับไพรม์ subprime crisis และยังเป็นแผลที่อเมริกายังรักษาไม่หาย...
อาทิตยา ไปมิลวอกกี เพื่อไปสัมภาษณ์ Matthew Desmond คนเขียนหนังสือ เรื่อง กรณีศึกษาของการขับไล่ออกจากบ้านที่อยู่ในเมือง และทั่วอเมริกา
"Study of evictions in the city and across America" ซึ่งมีรายงานว่า มีการขับไล่ และยึดบ้าน เฉลี่ยประมาณวันละ 40 รายทุกวัน ติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปีแล้ว
Desmond บอกว่า 1 ใน 8 ของผู้เช่าในมิลวอกกี ถูกไล่ออกจากบ้าน ในช่วงปี ค.ศ.2009- 2011 ซึ่งสาเหตุมาจากวิกฤติซับไพรม์
มิลวอกกี เป็นเมืองที่มองเห็นความแบ่งแยก ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะ ในด้านของเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ และความยากจน มากกว่า แอตแลนต้า ชิคาโก และดีทรอยท์เสียอีก พวกที่อาศัยอยู่รอบในของตัวเมือง เต็มไปด้วย คนดำ กับละติน ที่ส่วนใหญ่ยากจนมาก แต่รอบนอกของเมือง เป็นคนขาว และเป็นลิพับลิกัน คนรอบใน กับคนรอบนอกตัวเมือง ต่างไม่พูดกัน ไม่มองหน้ากันและไม่ไว้ใจกัน...
จะเป็นคนพรรคไหน อาทิตยาบอกว่า ก็ดูจะชอกช้ำเหมือนกัน
วิกฤติซับไพรม์ของอเมริกา เกิดขึ้นในปี ค.ศ.2008 กระทบภาวะเศรษฐกิจของอเมริกาอย่างรุนแรง จนถึงปัจจุบัน เศรษฐกิจอเมริกา ก็ยังเหมือนคนอ่อนเปลี้ย ไม่มีกำลัง เป็นนักมวยก็กำลังยืนพิงเชือก แต่ยังทำปากดี นักวิชาการบอกว่า มันแย่เกือบเหมือน สมัยภาวะเศรฐกิจตกต่ำ ในปี ค.ศ.1929 เอาเสียด้วย
วิกฤติซับไพรม์ เกิดในสมัยรัฐบาลคาวบอยบุช ของรีพับลิกัน ต่อมา เมื่อนายโอบามาจากเดโมแครต ประกาศก้องตอนหาเสียง ว่า... เราจะต้องแก้ไข ต้องมีการเปลี่ยน แล้วป้าย Change ก็ขึ้นมาเต็มเมือง... เมื่อโอบามาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และเป็นอยู่ 2 สมัย ทุกอย่างก็เหมือนเดิม หรือแย่กว่าเดิม ...
และตอนนี้ก็ใกล้จะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ของอเมริกาอีกแล้ว มันจะมีอะไรต่างไปหรือ ในเมื่อทั้ง 2 พรรค ก็ดูเหมือนจะมีส่วนเกี่ยวข้อง กับที่มาของวิกฤติซับไพรม์ ทั้งนั้น .....
มันไม่ใช่เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ เทียบอย่างนั้น ดูจะดีไปหน่อย ..เพราะเหล้าเก่าบางอย่าง ยิ่งเก่า ยิ่งชวนให้เมาอร่อยดีนัก แต่นี่...มันคลับคล้าย จะเป็นการสมคบกัน "สร้าง" การปล้นบันลือโลก ....ที่แนบเนียนอย่างร้ายกาจ ....จนบัดนี้ชาวโลกก็ยังคงหลงเชื่อกับ "การสร้าง" ที่สำทับ และสำเนาให้เรา ด้วยการเล่าต่อๆกันมา โดยสื่อรูปแบบต่างๆ
นิทานเรื่องนี้ จะยาวสักหน่อย และดูเหมือนน่าเบื่อ และท่านผู้อ่านอาจจะท้วง ว่า นี่ลุง เขียนอะไรน่ะ ฮอลลีวู้ดมันเอาไปทำเป็นหนังหลายเรื่องแล้วนะ ...
ครับ ก็เพราะฮอลลีวู้ดมันไปทำหนัง และ เพราะมีหนังสือ มีสื่อ ที่เขียนใส่สีย้อมเสียเพี้ยน จนแทบจะไม่เหลือเค้าของจริง นั่นแหละ ที่ทำให้ผมอยากเขียนนิทานเรื่องนี้ แต่ ให้ตายเถอะ เป็นการเขียนที่เหนื่อยยากจริงๆ กับการแหวกผ่านของปลอม เพื่อไปค้นหาเบื้องหลังของ "การสร้าง" ของพวกมัน จนการเขียนล่มไปหลายครั้ง
มันดูเหมือนจะน่าเบื่อครับ ..และแม้ ดาราที่แสดง สถานที่เล่น จะบอกว่าไม่ใช่บ้านเรา แต่อ่านๆไป ....จะเบื่อไม่ลง และอาจจะเห็นอะไรในบ้านเราชัดขึ้นด้วย....
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
2 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 2
วิกฤติซับไพรม์ของอเมริกา หรือความหายนะทางเศรษฐกิจ และการเงินของอเมริกา เริ่มมาจากการที่บรรดาธนาคารทั้งใหญ่ ทั้งเล็ก ต่างปล่อยเงินกู้สำหรับซื้อบ้าน โดยเอาบ้านที่ซื้อ จำนองเป็นประกันการกู้ ในช่วงที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของอเมริกากำลังเฟื่องฟูสมัย ค.ศ.2000 ต้นๆ มันเป็นการให้เงินกู้แบบ ตะกละ และมั่ว ฯลฯ จนทำให้ธุรกิจการเงินของอเมริกาเกิดอาการไข้รุมๆ อย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี ค.ศ.2004 แต่รัฐบาลคาวบอยบุช และบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการให้กู้เงิน การรับจำนองบ้าน ต่างไม่สนใจอาการไข้ที่ออกจะเห็นชัดนั้น
ทำไมถึงไม่มีใครสนใจอาการไข้นั้น ไม่ว่าฝ่ายรัฐ ฝ่ายธุรกิจ ฝ่ายวิชาการ ฯลฯ หรือวัดไข้กันไม่เป็น โง่ขนาดนั้นเชียวหรือ หรือเพราะความอยากได้กำไรกองโต มันปิดหูปิดตา หรือถูกสั่งให้ตีลูกโง่ดีกว่า หรือมันมาจากอะไร....
กลางปี ค.ศ.2007 ไข้การเงินขึ้นสูง ความร้อนเกือบทะลุปรอท .... การผิดนัดชำระหนี้ผ่อนส่งบ้านเริ่มสูงขึ้น ผู้ให้กู้เริ่มหงุดหงิด และฝ่ายทนายเริ่มงานชุก
ทนายของดอยซ์แบงค์ Deutsche Bank เกือบตกเก้าอี้ เมื่อผู้พิพากษาของรัฐโอโฮโอ มีคำพิพากษาว่า ธนาคารไม่มีสิทธิตามกฏหมาย ที่จะบังคับจำนอง ยึดบ้านลูกหนี้ 14 ราย ซึ่งผิดนัดชำระหนี้ผ่อนส่งรายเดือนกับธนาคาร ทนายตาเหลือก เราเตรียมคำฟ้องมาอย่างดี เอกสารก็พร้อมนี่หว่า .... ท่านผู้พิพากษาเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าเนี่ยะ...
จริงๆ ลูกหนี้ 14 ราย นี่มันเป็นเรื่องกระจ้อยมากสำหรับด้อยช์แบงค์ ธนาคารใหญ่อันดับหนึ่งของเยอรมัน แต่ "คำพิพากษา" ของศาลโอไฮโอ อาจจะทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง กับกระบวนการปล่อยเงินกู้ไปซื้อบ้าน ด้วยการจำนองโดย "วิธีการ " ที่ทำกันอยู่ในอเมริกา ตั้งแต่ช่วงประมาณ ปี คศ 2001 เป็นต้นมา พังฉิบหายกันหมด
ท่านผู้พิพากษา ขอให้ด้อยช์แบงค์ แสดงเอกสาร ที่จะพิสูจน์ว่าด้อยช์แบงค์ มีสิทธิที่จะบังคับจำนองบ้านตามที่อ้างจริง พูดแบบภาษาชาวบ้าน ก็คือ ศาลท่านขอดูสัญญารับจำนองของแบงค์น่ะ
ปรากฏว่าด้อยช์แบงค์ ไม่มีสัญญาจำนองของลูกหนี้ มีแต่เอกสารที่ระบุว่า "...มีความตั้งใจ ที่จะโอนสิทธิ ของการจำนองให้ "....ฮ้า.. อย่างนี้แปลว่า มีคนอื่นรับจำนองไปก่อนด้อยช์แบงค์แล้วงั้นใช่ไหม แล้วด้อยช์แบงค์ให้เงินกู้ไป โดยมีอะไรเป็นหลักประกันล่ะ...ศาลท่านก็ต้องงง ไม่มีสัญญาจำนอง แล้วจะทะลึ่งไปบังคับจำนองเขาได้ยังไง
ด้อยช์แบงค์ ไม่ได้มีลูกหนี้ ที่มีเอกสารแบบนี้แค่ 14 ราย ด้อยช์แบงค์ มีลูกหนี้แบบนี้เป็น หมื่นๆราย และเจ้าหนี้ ที่มีลูกหนี้แบบนี้ ไม่ใช่มีแต่ด้อยช์แบงค์เท่านั้น แต่ ยังมีเจ้าหนี้รายใหญ่กว่าด้อยช์แบงค์ เช่น เลห์แมน บราเธอร์, โกลด์แมนแซค, มอร์แกน สแตนเลย์, ฮ่องกงเซี่ยงไฮ้ รวมทั้ง ซิตี้แบงค์ และเชสแบงค์ ของท่านร้อกกี้หินร่วง ก็มีทั้งนั้น ...เรื่องชักจะตื่นเต้นนะครับ.... มันเป็นลางหายนะของใครมั่งไม่รู้
กูรู หรือรูกูทั้งหลาย ต่างอธิบายว่า ที่เป็นอย่างนั้น เพราะแบงค์ฝรั่งเขาไม่ได้ให้เงินกู้กับคนซื้อบ้าน แล้วก็ให้เอาบ้านที่ใช้เงินกู้ไปซื้อ มาจำนองกับแบงค์แล้วก็จบแค่นั้นนะ ไอ้นั่นมันโบราณมาก นั่นมันสมัยที่ลุงยังเป็นหนุ่ม(แน่น) สมัยนี้มันไม่ใช่แล้ว เข้าใจไหมลุง ...อ้าว เหรอ
การทำธุรกิจทางการเงิน ตรงไปตรงมาแบบนั้น เขาเลิกกันไปแล้ว มันเหมือนโรงรับจำนำเกินไป ตรงไปตรงมา เข้าใจง่ายเกินไป
ไอ้หนุ่มมีนาฬิกาโลเหล็กแค่เรือนเดียว ราคาตั้ง 100 บาท อุตส่าห์กลั้นใจถอดเอาไปจำนํา เพราะโรงเรียนใกล้จะเปิดอยู่แล้ว แต่ ค่าเล่าเรียนของไอ้ตัวโตยังไม่มีเลย โรงรับจำนำตีราคาโลเหล็กให้เท่าไหร่ ก็ต้องยอม ขืนกลับบ้านมือเปล่า ถูกเมียด่าแน่ เลยยอมรับแค่ 20 บาท แล้วเดินหน้าจ๋อยออกมา แถมไอ้หนุ่มเจ้าของโลเหล็ก ยังต้องเตรียมหาเงินมาจ่ายดอกให้โรงจำนำอีกด้วย ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่ กว่าจะมีเงินไปไถ่โลเหล็กออกมาใส่ทำเท่เหมือนเดิม
ระหว่างที่เจ้าโลเหล็กนอนจ๋อยอยู่ในถาดที่โรงจำนำ ไอ้หนุ่มก็ไม่ได้ผูกโลเหล็ก หลงจู๊ ก็ได้แต่ดอก...
แล้วถ้าหลงจู๊มีโลเหล็กค้างอยู่ในถาด เป็นร้อยๆเรือน แปลว่าเงินของเถ้าแก่เนี้ยทั้งกอง ไปดองอยู่กับโลเหล็กหลายร้อยเรือน หลงจู๊ได้แต่ดอก ดอก ไม่ไหวมั้ง...
โหย....โลกมันเจริญขนาดนี้แล้ว จะทำธุรกิจแบบง่อยๆอย่างนี้ได้ยังไง มันน่าจะหาวิธี คดไปเลี้ยวมา ให้รวยกันจ้ำบ้ะหลายๆต่อได้ไหม หาวิธีเอาตั๋วจำนำไปขายต่อ ที่ไหนได้ไหม.... ขี้เกียจรอไอ้หนุ่มมาไถ่ ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ เผลอๆ ไม่มาก็ได้นะ เพราะตอนมาจำนำโลเหล็กไอ้หนุ่มหน้าเซียวเต็มที หลงจู๊ไม่อยากได้ของนะ ได้มาก็ต้องมีภาระเอาไปขาย หลงจู๊อยากได้ทั้งดอก ทั้งเงินแยะๆน่ะ ถ้าหลงจู๊ เอาตั๋วจำนำไปขายอีกต่อได้ ก็เรี่ยมละสิ...
ด้วยแนวความคิดทำนองนี้ จึงมีการคิดหาวิธี ที่จะเอาหนี้ที่นอนนิ่ง หรือกองสินทรัพย์ที่หมุนเวียนน้อย และยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จะได้เงินกลับมาไหม เอาไปใช้เป็นหลักประกัน เพื่อออก "สินค้า" ทางการเงินตัวอื่น ต่อๆไปอีก.... เป็นวิธีการ ที่ กูรู เขาเรียกว่า securitization แปลงสินทรัพย์ หรือ หนี้ ที่ยังไม่แน่ว่าจะได้คืน เอามาใช้ เป็นหลักทรัพย์ จำไว้นะลุง...
เออ...แบบนี้ สุภาษิตที่ว่ากำขี้ดีกว่ากำตด ก็ใช้ไม่ได้แล้ว เชยไปแล้ว ตดก็ยังขายได้ ถ้ามีคนได้กลิ่น .. ลุงรำพึงในใจ
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
3 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 3
Securitization หรือการขายลม(ผาย) ของที่กำไม่ได้ มีแต่กลิ่น เป็นวิวัฒนาการทางการเงิน ซึ่งแพร่หลายในอเมริกามานานแล้ว แต่มาโด่งดังเป็นที่รู้จักกล่าวถึงในช่วงประมาณปี ค.ศ.2000 ขบวนการดูเหมือนไม่ซับซ้อน แต่กลับซ่อนเงื่อนตาย(ทั้งเป็น) เอาไว้แยะมาก
สำหรับวิกฤติซับไพรม์ ที่ทำให้เศรษฐกิจอเมริกา และสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่เซถลาล้มหัวทิ่มกันเป็นแถวนั้น เริ่มต้นจากการกระตุ้นให้มีคนอยากซื้อบ้าน จะเป็นเพราะไม่มีบ้านอยู่ หรือจะซื้อไว้ทำกำไร หรือเอาไว้ทำอะไรก็ได้ ขอให้มีความ "อยาก" ซื้อบ้านเกิดขึ้นก็แล้วกัน เพราะขบวนการนี้ เขากะเวลาสร้างให้เกิด ตอนราคาบ้านเพิ่งเริ่มขึ้นเป็นฟองเล็กน้อย ก่อนที่จะแตกเป็นฟองแฟด
ขั้นตอนต่อมา คนอยากซื้อบ้านก็ไปหาธนาคาร ซึ่งในอเมริกา มีธนาคารที่พร้อมจะให้กู้แบบนี้เกือบทุกหัวมุมถนน ธนาคารบางแห่งที่จะให้กู้ ไม่ได้ดูบ้านที่จะซื้อ หรือเครดิตของคนกู้เลยสักนิด คนกู้ประเภทคุณนิน่า Nina (no income no assets ไม่มีรายได้ ไม่มีทรัพย์สิน)ก็ยังให้กู้เลย ...มันเป็นไปได้หรือลุง... ลุงโม้หรือเปล่า ลุงไม่ได้โม้.... มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ และเป็นไปแล้ว ....เพราะมันเป็นขบวนการขายลม (ผาย) ไงครับ
ธนาคารที่ให้กู้ ก็แค่จับมือคุณนิน่า แป๊ะโป้งทำสัญญา ผ่อนเงินกู้กับธนาคารเป็นรายเดือน
การผ่อน มี 2 แบบ
แบบที่ 1 ประเภทดอกล่อ ก่อนเป็นดอกเด้ง คือผ่อนแต่ดอก (ยัง)ไม่ผ่อนต้น คือ ช่วง 2,3 ปีแรก ผ่อนแต่ดอกเท่านั้น และเป็นดอกที่อัตราต่ำมาก เพื่อเป็นการหลอกล่อให้ลูกค้ามากู้เงิน แต่ไอ้อัตราดอกต่ำนี่ จะมีกับดัก เด้งขึ้นเป็นหลายเท่าตัวได้ทันที ถ้ามีการผิดนัดผ่อนชำระ
หลังจากพ้นระยะผ่อนแต่ดอกแล้ว ทีนี้คนกู้ก็จะต้องผ่อนทั้งต้นทั้งดอก สัญญาแบบนี้ก็ผ่อนกันนานหน่อย กว่าต้นจะลด จนมีหลานปู่คนที่ 2 แล้ว อาจจะยังผ่อนบ้านไม่เสร็จ แถมดอกกองสูงกว่าต้น ไม่รู้กี่เท่า
ส่วนแบบที่ 2 ก็คือ ประเภทผ่อนแบบทั่วไป คือ ผ่อนทั้งต้นทั้งดอกพร้อมกัน ตั้งแต่แรก อายุสัญญายาวไม่มาก แค่ลูกคนเล็กแต่งงาน บ้านก็น่าจะผ่อนหมด
ช่วงใกล้วิกฤติ ลูกค้าส่วนใหญ่ เลือกการผ่อนแบบที่ 1 เกือบทั้งนั้น ...และไม่ว่าจะเป็นการผ่อนแบบไหน ก็ต้องเอาบ้านที่ซื้อมาจำนองกับธนาคาร ส่วนธนาคารก็เฮงซวย สนับสนุนให้ลูกค้าใช้สัญญาเงินกู้แบบที่ 1 ที่ผ่อนดอกต่ำ อ้างว่าเพื่อไม่ให้ลูกหนี้เหนื่อยเป็นภาระมากเกินไป ... ฟังเหมือนหวังดี แต่ถ้าลูกหนี้ผิดนัดเมื่อไหร่ ลูกหนี้อ่วมแทบตาย เพราะสู้ดอกเบี้ยเด้งไม่ไหว
อ่านมาถึงตอนนี้ คนอ่านก็คงเริ่มเบื่อ และแอบบ่นว่า ลุงเอาเรื่องอะไรมาเล่า ไม่เห็นมีอะไรใหม่ แถมมันเอื่อยจัง ทนอ่านต่อนะครับ...แล้วจะเห็นว่าไม่เอื่อยตลอดนะ และยังมีเรื่องน่าสนใจ แม้จะขึ้นต้นเหมือนเล่าเรื่องวิกฤติซับไพรม์ แต่ตอนท้ายรับรองว่ามีเลี้ยวโค้งครับ
ขั้นตอนต่อไป ธนาคารที่ให้กู้แบบนี้ ซึ่งมีเป็นร้อยๆราย ต่างก็มีลูกหนี้เงินกู้จำนองบ้านอย่างนี้กันเป็นหมื่นๆราย ก็เอาสัญญาจำนอง ที่พวกเขาเรียกว่า mortgage backed security (MBS) ไปขายต่อให้กับธนาคารเงินทุน (พวกอินเวสต์เมนท์แบงค์ Investment bank) และพวกกองทุนที่เรียกว่า hedge fund เห็ดฟันมาแล้วครับ ส่วนใหญ่ เป็นเห็ดมีพิษ และมี "เจ้าของ" ทั้งนั้น
(เห็ดฟัน เป็นกองทุนส่วนบุคคลอย่างของไอ้โซรอส เมื่อเป็นของส่วนบุคคล กฏหมายอเมริกาไม่เข้มงวดด้วย เพราะไม่มีประชาชนมาเกี่ยว คนรวยอยากเสี่ยงเรื่องของมึง ไอ้พวกคนรวย ก็เลยสนุก ใช้เงินใหญ่ปล้นเงินเล็ก เหมือนปลาใหญ่กินปลาเล็ก )
MBS ที่ขายกันนั้น ราคาก็แล้วแต่จะตกลงกัน แต่แน่นอน มันน้อยกว่าราคาต้นเงินกู้
ด้วยการขาย MBS ออกไปแบบนี้ ความเสี่ยงของธนาคารที่ให้กู้ซื้อบ้าน ก็เหมือนน้อยลง เพราะเหมือนได้เงินให้กู้คืนมาส่วนหนึ่งแล้ว เงินที่ได้จากการขาย MBS นี่ ธนาคารที่รับเงิน ก็เอาเงินไปปล่อยกู้ให้กับลูกค้ารายใหม่ต่อไป
ฮู้ย ...แบบนี้ ธนาคารที่ให้กู้ชอบมั้ย ชอบสิ.... ถึงไม่ต้องดูบ้านที่เอามาจำนอง ไม่ต้องตรวจสอบเครดิตคนกู้ คุณนิน่าถึงมากู้กันเป็นแถว นอกจากนี้ เงินผ่อนของลูกหนี้ ธนาคารที่ให้กู้ก็ยังรับต่อไป แม้จะขายสัญญาจำนองไปแล้ว.... แปลว่า ธนาคารที่ให้กู้ "เลือก" รับเอาเงินสดๆ จากผู้ซื้อ MBS แทนเงินที่จะได้การบังคับจำนอง ถ้าผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้
เอะ... แล้วแบบนี้คนซื้อสัญญาจำนอง ที่ส่วนใหญ่เป็นเห็ดฟันกับอินเวสเม้นท์แบงค์ได้อะไรล่ะ ก็ได้แต่ "กระดาษ" สัญญาจำนองนั่นไง แต่เงินค่าผ่อนบ้าน ธนาคารที่ให้กู้เขาก็ยังรับอยู่ ....อะ.. อย่างนี้ก็ซวยสิ ไหนว่า พวกอินเวสเมนเม้นท์แบงค์กับเห็ดฟันเขี้ยวยาว
คนซื้อ ไม่ว่าจะเป็นแบงค์เป็นเห็ดฟัน ไม่ซวยหรอกน่า....
หลังจากกว้านซื้อ MBS มาจนหมดหน้าตักตัวเอง รวมทั้งตักคนอื่น เพราะไปกู้เขาด้วยแล้ว คนซื้อก็เอา MBS มากองรวมกัน หลังจากนั้นก็แบ่งออกเป็นมัด ๆ (bundle หรือ tranche) บางมัดอาจมีสัญญา MBS 1 หมื่นราย บางมัดมี 2 หมื่นราย เป็นต้น โดยผู้สร้างมัด จะตีราคา MBS แต่ละมัดออกมา โดยมีสูตรการคำนวณราคา ซึ่งเขาว่า หลังจากเกิดวิกฤติแล้ว หายนะฉิบหายกันถ้วนหน้าแล้ว ยังมีคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะทางการ ที่มีหน้าที่คุมกฏระเบียบเกี่ยวกับธุรกรรมพวกนี้ ไม่รู้เรื่องเลยว่า ไอ้ MBS แต่ละมัด มันคำนวณราคาค่า ของแต่ละมัดอย่างไร
ความน่าสนใจมันอยู่ตรงนี้แหละครับ เราจะ ตีราคาลม(ผาย) ได้อย่างไร (วะ) มันต้องจีเนียสมากๆ หรือคุ้นกับกลิ่นมาก ว่า กลิ่นไหน ราคาเท่าไหร่ ฮา
ตัวอย่างเช่น มัดไหนมีสัญญากู้อายุสั้น คนกู้ประวัติดี ความเสี่ยงต่อการเป็นหนี้สูญต่ำ ผลตอบแทนในมัดนั้นก็ถูก เพราะอ้างว่าความเสี่ยงน้อย มัดไหนมีสัญญากู้ประเภทดอกเบี้ยเด้งได้ คนกู้ชื่อนิน่าแยะหน่อย ผลตอบแทนก็จะสูง เป็นการชักจูง เพราะความเสี่ยงสูง อะไรทำนองนั้น
นอกจากจะมีการเอาสัญญาจำนองบ้าน ที่สาระพัดคนกู้ สาระพัดอายุการกู้ สาระพัดอัตราดอก และต้น ฯลฯ มาคละกันเป็น MBS แล้ว มันคงยังมั่วไม่ถึงใจ จึงมีพวกหัวแหลม คิดสินค้าการเงินขึ้นมาอีกตัว เหมือนกันกับ MBS แต่กว้างขวางกว่า เรียกว่า CDO คือ แทนที่จะเป็นมัดหนี้จำนองบ้านอย่างเดียวกัน ก็ไปเอาหนี้อื่น เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้การผ่อนรถ ฯลฯ มาร่วมด้วย ... มั่วกันให้มันไปเลย
การเอาหนี้ต่างๆ มารวมเป็นข้าวต้มมัด เพื่อเอาไปใช้เป็นหลักประกัน หรือ เป็นไส้ข้าวต้มมัด ในการออกหลักทรัพย์ หรือตราสาร อีกตัวหนึ่ง เพื่อไป (หลอก) ขายชาวบ้านอีกต่อ แบบนี้ กูรู เขาบอกว่า มันคือ collateralized debt obligation หรือ CDO นะลุง จำเอาไว้
เออ ... ไอ้ลุงก็งง มันเหมือนกับการเอาลม (ผาย) ไปหลอกขายเขา ....มึงเอาหนี้ของไอ้จิ๋ว ที่ไปกู้ ไอ้จ้อนมาขายให้ลุง แล้วลุงจะรู้ได้ไง ว่าไอ้จิ๋วจะมีปัญญาใช้หนี้ แค่พูดยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย ลุงไม่ซื้อหรอก
...เป็นลุงแก่ๆ ยังคิดออกเลย ... แล้วไอ้พวกมหาอำนาจ ทำไมมันคิดไม่ออกนะ
แต่ชาวสวนสัตว์วอลสตรีทก็ทำ และก็มีคนซื้อ ...
แบบนี้ คนออก CDO หรือ MBS (ซึ่งก็เป็น CDO อย่างหนึ่ง) ก็ต้มคนซื้อใช่ไหม... ชาวบ้านคนซื้อ ก็ซวยสิ
ไม่ช่าย....คนซื้อไม่ซวยนะ คนออก CDO แย้ง เราดูแลคนซื้ออย่างดีนะ ...
ก่อนจะขาย CDO คนออก CDO เอาตราสารไปให้บริษัทเครดิตเรตติ้ง อย่าง Standard & Poor , Moody เป็นต้น ทำการประเมิน และรับรองก่อนแล้ว ถ้าเป็นตราสารที่พวกเรตติ้งเห็นว่า ดี ก็ให้ A3 ตัวไปเลย
เพราะฉะนั้นคนซื้อก็สบายใจ ว่า คนออก CDO ไม่ได้เอากระดาษห่อบะหมี่มาขาย อย่างนี้จะว่าคนออกต้มได้ยังไง ....ลุงอย่าไปหาเรื่องเขา..... ถ้าคนออก CDO ต้ม .... ไอ้พวกเครดิตเรตติ้งมันต้องเป็นคนเอาน้ำใส่หม้อ เอาหม้อขึ้นมาวางบนเตาให้ คนออก CDO แค่เอาข้าวต้มมัดใส่ลงหม้อเท่านั้นเอง ..ใช่มั้ย...
นอกจากนั้น คนออก CDO ยังไปซื้อประกัน แบบเอาความเสี่ยงของคนซื้อ CDO ไปไว้กับบริษัทประกัน เรียกว่าประกันแบบ credit default swap (CDS)อีกด้วย ถ้าคนกู้ซื้อบ้านผิดนัด หรือคนผ่อนรถไม่ชำระหนี้ฯลฯ ก็มีการไล่ทวงกันเป็นทอดๆ ...ใครไม่จ่าย ในที่สุดบริษัทประกันก็ต้องจ่าย เข้าใจไหม
อย่างนี้คนซื้อตราสารข้าวต้มมัด CDO ก็สบายใจ เพราะมีบริษัทประกัน รับประกันอีกต่อ
ส่วนคนออกข้าวต้มมัด CDO ก็พอใจ เพราะนึกว่าตัวเองลงทุนต่ำ แต่จะได้ผลตอบแทนสูง แถมความเสี่ยงไม่มี เพราะจัดการทำประกัน CDS เอาไว้แล้ว ทำถึงขนาดนี้ ยังไม่พอใจอีกเรอะ .... ธนาคารใหญ่ๆ จึงใส่หมวกหลายใบ เป็นทั้งผู้ให้กู้ เป็นทั้งเจ้าของเห็ดฟัน หรือให้เงินกู้กับเห็ดฟัน เพื่อไปกว้านซื้อข้าวต้มมัด เป็นทั้งผู้ลงทุน โดยคิดว่า จะรวยจากข้าวต้มมัดหลายต่อ
.....เขาว่า เจ้า CDO นี่แหละ.....คือ ตัวเชื้อโรคร้าย ที่ทำให้ธุรกิจการเงินของอเมริกาไข้ขึ้นสูง จนเกิดวิกฤติซับไพรม์ ที่มีผลกระทบ ยาวไปเกือบทั่วโลก
เรื่องมันน่าสนใจหนักเข้าไปอีก คือ บริษัทประกัน ที่รับประกันคนซื้อหลักทรัพย์ ข้าวต้มมัด หรือหลักทรัพย์ลม(ผาย) ด้วยการประกันแบบ CDS มากที่สุด คือ American International Group ( AIG) ซึ่งเป็นประกันใหญ่อันดับหนึ่งของโลก และมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่มีตัวแทนคือ นาย Maurice Greenberg ที่เขาว่า ซี้ปึกกับท่านร้อกกี้หินร่วงของผม และน่าสงสัยว่า AIG จะเป็นสมบัติของตระกูลท่านหินร่วงเอาด้วยซ้ำ ...
เขาเล่นกันขนาดนี้ ใครจะร่วงกันบ้าง.. อ่านขาดตอน ระวังขาดลอยนะครับ
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
4 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 4
อเมริกาเริ่มเล่นกลเกมการเงิน เกี่ยวกับการออกตราสาร ที่ใช้สัญญาจำนองบ้านเป็นตัวหนุน ตั้งแต่ประมาณปี คศ 1995 แล้ว ....ไม่รู้ว่าเป็นวิธีการ ที่แสนฉลาด โคตรตะกละ หรือมันเป็นการต้มเปื่อย ชนิดใช้หมอตุ๋นขนาดใหญ่ตรานกอินทรี ?!?
เริ่มตั้งแต่ให้เจ้า Fannie May และเจ้า Freddie Mac ซึ่งเป็นเหมือนธนาคารอาคารสงเคราะห์ของอเมริกา ปล่อยเงินกู้เพื่อซื้อบ้าน แบบไม่ต้องวางเงินดาวน์ การตรวจสอบเครดิตคนกู้ ก็ใช้จ้างบริษัทข้างนอกธนาคารทำ ประเภทใช้โปรแกรม กรอกข้อมูลเข้าไปในเครื่อง กดปุ๊บ เครื่องก็จะบอกเองว่า คนขอกู้สอบผ่านหรือไม่ผ่าน และส่วนใหญ่ก็ผ่าน เพราะเครื่องมันตั้งโปรแกรมไว้อย่างนั้น
การหนุนให้คนอเมริกัน แห่กันไปกู้ซื้อบ้านแบบนั้น ดูเหมือนดี เพราะเป็นการช่วยให้ประชาชนมีโอกาสมีบ้านเป็นของตัวเอง การกู้ ขยายตัวมากขึ้น เมื่อรัฐบาลคาวบอยบุชประกาศให้เป็นนโยบายสำคัญของชาติ ในการ "สร้างขวัญและกำลังใจ" ให้กับคนอเมริกัน ในช่วงปลายปี ค.ศ.2001 หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ 911
คาวบอยบอกว่า เราจะปล่อยให้เศรษฐกิจอเมริกาเหี่ยวเป็นเต้าหู้ตากแห้ง เหมือนหน้าตาคนอเมริกัน (ตอนนั้น) ไม่ได้นะ เราต้องสร้างขบวนการกระตุ้นต่อม ให้คนอเมริกันคึกคัก.... อยากควักกระเป๋าจ่ายตังค์ ทำให้มันมีชีวิตชีวากันหน่อยซิ กะอีแค่ตึกระเบิดไป 2 ตึก คนตายไป 2 พัน จะเศร้ากันทั้งประเทศหรือไง
...อย่าให้พวกผู้ก่อการร้ายมันมาทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของเรานะ อเมริกาเข้มแข็ง อเมริกาแข็งแกร่ง อเมริกาสู้ สู้ .... กร๊วกเอ๊ย....
แล้วธนาคารกลางของอเมริกา ก็เริ่มประกาศลดดอกเบี้ย ลดมันไปทั้งหมด 11 ครั้ง พอถึงปี ค.ศ.2003 ดอกเงินกู้เหลือเพียง 1% อย่างนี้คนอเมริกัน จะไม่รีบวิ่งไปกู้เงินได้ยังไง หรือจะรอให้เขาจ่ายดอกเบี้ยเสริม เป็นการปลอบใจอีกด้วย ประเภทกู้เมื่อไหร่ แถมดอกเบี้ยให้อีก เหมือนแปลงเงินกู้เป็นเป็นเงินฝากชั่วคราว ฮา ....แน่จริง มึงคิดวิธีกระตุ้นแบบนั้นหน่อยสิวะ ถนัดแปลงนักนี่
ส่วนใหญ่ คนกู้ก็เลือกการกู้แบบผ่อนแต่ดอก (ล่อ) ในช่วงแรก เพราะเชื่อว่าราคาบ้านจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็ดอกเบี้ยลดใช่ไหม คนอยากกู้ซื้อบ้านก็ต้องมีมากขึ้น ราคาบ้านก็ต้องเล่นตัวขึ้นด้วยสิ ก่อนที่จะถึงเวลาที่ต้องผ่อนต้นด้วย เราก็รีบขายบ้าน เอากำไรเข้ากระเป๋าก็หมดเรื่อง ถ้าเกิดซวยจริงๆ ขายบ้านไม่ออก ถูกเจ้าหนี้ทวง เราก็ไปหาที่รีไฟแนนซ์ใหม่ ธนาคารมีอยู่ทุกหัวมุมถนน คอยแย่งลูกค้ากันจะตาย เพราะลูกค้าต่างก็ได้รับจดหมายจากธนาคารอื่น วันละหลายราย....โปรดมากู้กับเราเถิด คุณนิน่าที่รัก เงื่อนไขดีกว่า ไม่มีรายได้ ก็ไม่มีปัญหา...มาเร็วๆ นะคร้าบ
พวกธนาคารทำอย่างนี้ เพราะจะเอาหลักประกัน คือสัญญาจำนองของลูกค้าไปขายต่อ แล้วรอรับแต่เงินผ่อน เพราะคิด(สั้น) ว่าความเสี่ยงไม่มี ทำยอดการให้กู้สูงๆ ราคาหุ้นธนาคารจะได้สูงขึ้น ตามยอดสินทรัพย์(ลูกหนี้)
เพราะคิดอย่างนี้ ทั้งคนกู้ คนให้กู้ ก็ตะกายกันลงหลุม....
ปี ค.ศ.2005 การกู้เงินโดยมีจำนองบ้านเป็นหลักประกัน (MBS) พุ่งขึ้นประมาณ 300 % จากจำนวน 173,000 ล้านเหรียญ ในปี ค.ศ.2001 เป็นจำนวน 665,000 ล้านเหรียญ ในปี ค.ศ.2005 และก็เป็นหลักธรรมชาติ ขึ้นได้ก็ตกได้ การซื้อบ้านพุ่งขึ้นไปขนาดนั้น ความต้องการก็เริ่มอิ่ม ราคาบ้านก็เริ่มลง ความคิดที่ว่าจะขายบ้านได้ราคาสูง ก็กลายเป็นแค่ความฝัน การผ่อนดอกก็เริ่มชะงัก กับดักดีดดอกเบี้ยเด้ง ก็เริ่มทำงาน การผิดนัดชำระการผ่อนก็เกิดขึ้น ตามมาด้วยการที่ลูกหนี้ทิ้งสัญญาผ่อนชำระ และการยึดบ้านคืน โดยการฟ้องบังคับจำนองก็เริ่มเกิดขึ้น
ที่นี้ความสับสนจริงก็เริ่มโผล่.... ตกลงใครจะเป็นผู้บังคับจำนองบ้านกันแน่
ธนาคารที่ให้กู้รายแรก ทะลึ่งขายสัญญาจำนองเป็นหมื่นรายไปให้อีกราย ที่เอาไปรวมและแบ่งออกเป็นมัด เหมือนข้าวต้มมัด และเอาไปเป็นหลักประกัน ในการออกตราสารขายชาวบ้านอีกต่อ ลุงนิทานผิดนัดชำระหนี้ผ่อนบ้าน ธนาคารที่ให้กู้ซื้อบ้านทำได้แค่ฟ้องเรียกหนี้คืน ถ้าลุงนิทานไม่ใช้หนี้ ธนาคารก็ไปจ้างพวกไอ้ฮู้ดดำมาไล่ลุงออกไปจากบ้าน แต่บังคับจำนองไม่ได้ เพราะทะลึ่งขายสัญญาจำนองไปแล้ว
ส่วนธนาคารที่ซื้อสัญญาจำนองไป จะฟ้องเอาบ้านลุงนิทานคืน มันอยู่ในข้าวต้มมัดไหนวะ สมมุติว่ารู้เป็นมัดไหน จะแบ่งส่วนไหนของข้าวต้มมัดมาฟ้อง จะเอาส่วนที่เป็นข้าวเหนียว หรือเอาตรงไส้ หรือจะฟ้องมันทั้งมัด ก็ได้โดนลูกหนี้อื่นฟ้องกลับ ถ้าในมัดนั้นเขายังมีลูกหนี้ที่ไม่ผิดนัด จะทะลึ่งไปยึดบ้านเขาได้ยังไง ทนายด้อยชแบงค์ถึงแทบตกเก้าอี้ ....
แต่กว่าชาวบ้านจะรู้ตัวว่าเป็นเหยื่อ ของเกมการเงินที่ถูกสร้างขึ้นมา ก็เมื่อมันมีผล
กระทบกับพวกธนาคารด้วยกันเอง ที่ออกอาการให้เห็นชัด ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.2007
เมื่อ Bear Stearns อินเวสต์เมนท์แบงค์ ใหญ่อันดับ 5 ของ อเมริกา ประกาศว่า มีเห็ดฟัน hedge fund ของตน 2 ราย ขาดทุนย่อยยับ เนื่องจากลงทุนในข้าวต้มมัดจำนองบ้านมากเกินไป และ มีลูกค้าที่เริ่มได้กลิ่นข้าวต้มมัดบูด มาขายคืนตราสารข้าวต้มมัด ก่อนครบกำหนดชำระเป็นจำนวนมาก จน Bear Stearns ประกาศยกเลิก ไม่รับซื้อตราสารที่มาขายคืนก่อนถึงกำหนดชำระ เจอเข้าแบบนี้ ชาวบ้านก็เริ่มเป็นกระต่ายตื่น และในที่สุด กองทุนเห็ดฟันนั้นก็ปิดตัวลง ด้วยการขาดทุนถึง 3,000 ล้านเหรียญ
ไอ้ที่แย่ คือ Bear Stearns ยังมีเห็ดฟันอีกหลายกอง ที่สะสมข้าวต้มมัดประเภทจำนองบ้านอีกเยอะแยะ และธนาคารที่เป็นเจ้าของเห็ดฟันแยะๆ แบบนี้ ก็ไม่ได้มีแค่ Bear Stearns เท่านั้น
เดือนตุลาคม ค.ศ.2007 อีก 2 ธนาคาร ที่ใหญ่ระดับโลก คือ Merrill Lynch และ Citigroup ก็ประกาศผลการดำเนินงานของธนาคารว่า มีการขาดทุนเกิดขึ้น
และทำให้ประธานผู้บริหารของทั้ง 2 ธนาคารต้องลาออกไป
การเล่นกล เกมการเงินออกฤทธิ์แล้ว และความระส่ำอย่างรุนแรงก็ขยายตัว
การประกาศผลการขาดทุนจากธุรกิจการเงิน ที่เกี่ยวข้องกับซับไพรม์ หรือข้าวต้มมัดบูด ก็ทะยอยออกมาเรื่อยๆ และสถาบันการเงินอเมริกา ก็ออกอาการหนัก ถึงขนาดหามเข้าไอซียู กันเป็นแถว
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
5 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 5
เวลาสถาบันการเงินออกอาการร่อแร่อย่างนี้ คนที่ไม่เกี่ยวกับการกู้ แต่มักขยับตัวก่อน ก็คือ พวกคนฝากเงิน กับสถาบันการเงินที่ออกอาการอย่างนั้น รายการนี้ก็ไม่ต่างกัน คนที่ไม่ได้ไปเกี่ยวกับการกู้เงินซื้อบ้าน หรือซื้อตราสารข้าวต้มมัด แต่ฝากเงินกับธนาคาร ที่ให้ลงทุนในข้าวต้มมัดมากๆ ก็ชักเสียว เดี๋ยวเงินฝากสูญ อุตส่าห์เม้มเงินเมียไปฝาก อย่างนี้เรารีบไปถอนเงินออกมาซ่อนในตู้เสื้อผ้าเหมือนเดิม ยังเสี่ยงน้อยกว่า.... เมียเจอ ก็แค่ก้มลงกราบ... ดีกว่าสูญไปกับไอ้พวกใส่สูทแถววอลสตรีท
เมื่อมีคนเสียวกันมากขึ้น การถอนเงินฝากจากสถาบันการเงินทั่วอเมริกา ก็เหมือนเป็นโรคติดต่อ เงินฝากพากันไหลโกรก เหมือนท่อประปาแตกเพราะโดดสิบล้อทับ
วันพฤหัสที่ 13 มีนาคม ค.ศ.2008 ผู้บริหาร Bear Stearns อินเวสต์เมนท์แบงค์ ใหญ่อันดับ 5 ของอเมริกา พากันกุมขมับ เมื่อรู้ว่าเงิดสดทั้งหมดในเก๊ะของธนาคาร ใกล้จะเกลี้ยง เหลือไม่ถึง 3,000 ล้านเหรียญ มันไม่พอให้แบงค์เปิดทำการในวันศุกร์แน่นอน
(Investment bank เป็นธนาคารประเภทที่ทำธุรกิจ ให้บริการด้านการเงินต่างๆ เช่น ให้คำแนะนำ รับจัดหาเงินทุน โดยการเพิ่มทุน ขายหุ้น หรือ หาเงินกู้ เพื่อมาเป็นเงินทุน หรือ ในการควบรวมธุรกิจ ไม่ใช่เป็นธนาคารประเภทรับเงินฝาก และให้เงินกู้ และมีรายได้เป็นค่าธรรมเนียม (fee) ในการให้บริการนั้นๆ รวมทั้งมีแผนกซื้อขายหุ้นของตัวเองด้วย)
Alan Schwartz หัวหน้าใหญ่ของ Bear รีบโทรหา Jamie Dimon หัวหน้าใหญ่ของ J P Morgan ซึ่งเป็นตัวแทนสำนักหักบัญชี (clearing) ของ Bear เพื่อบอกถึงสภาพของ Bear
".... เราต้องทำอะไรแล้วล่ะ ...."
Schwartz บอกกับ Dimon ต่อแค่นั้น แต่ในใจคิดล่วงหน้าไปไกลแล้ว....เขานึกอยู่เหมือนกันว่า ตอนนี้ (ยัง) ไม่ใช่เวลาที่จะขอให้ JP ซื้อกิจการ Bear ไปทันที แต่ถ้า Bear ไม่มีเงินเข้ามาอุดรูรั่วเลย และวันศุกร์นี้ เปิดทำการไม่ได้ มันคงยุ่งกันใหญ่ เขาเลยขอให้ J P ให้วงเงินกู้กับ Bear ประมาณ 25,000 ล้านเหรียญ Dimon รับปาก Schwarzt ว่า จะดูให้
Schwartz รู้ดีว่า ถ้า J P จัดการให้ไม่ได้ ....อีกไม่นาน Bear คงล้ม....
คืนนั้น Schwartz โทรไปหาท่านทิม Timothy Geithner หัวหน้าใหญ่ ของ Fed นิวยอร์ค เพื่อบอกถึงอาการสาหัสของ Bear .... เราเหลือเงินสด แค่ 3 - 4,000 ล้านเหรียญ เท่านั้นนะ และถ้าเราไม่มีทางออก เราก็คงต้องล้มละลาย...
ท่านทิม ไม่แปลกใจเมื่อได้รับโทรศัพท์จาก Schwartz เขารู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะต้องเกิดขึ้น ไม่ช้าก็เร็ว เขาคิดอยู่แล้วว่า เหตุการณ์ของ Bear จะทำให้สภาพตลาด เกิดอาการท่อแตก เงินฝากไหลออกแน่นอน .... เมื่อไหร่เท่านั้น แต่ท่านทิมก็ยังใจเย็นคิดว่า พรุ่งนี้ Bear คงเปิดทำการได้น่า และคงมีเงินหน้าตักถึง 10,000 ล้านเหรียญ คิดแล้ว ท่านทิม ก็เลยนั่งกินข้าวเย็นกับลูกเมียต่อ ...
หลังจากวางหูกับ Schwartz แล้ว Dimon ก็พยายามโทรตามตัว Steve Black ซึ่งเป็นหัวหน้าด้าน investment ของ JP และเป็นคนที่ "รู้จัก" Bear ดี แถมตีราคาทรัพย์สินแม่นมาก ทั้ง 2 คน เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ทำงาน ที่ Citibank ด้วยกัน
แต่ Black กำลังอยู่ระหว่างการไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวแถวหมู่เกาะคาริบเบียน และออกไปทานอาหารค่ำข้างนอก โดยทิ้งมือถือไว้ที่โรงแรม ตามที่เมียทำเสียงเข้มว่า เรามาพักผ่อนนะ... ไม่ต้องเอามือถือของที่ทำงานไปกินข้าวด้วยหรอก
8.30 เช้า ของวันศุกร์
ที่ชั้น 6 ของสำนักงานใหญ่ของ Bear กำลังโกลาหล
Bear จะต้องออกประกาศแล้ว ว่า แบงค์ยังดำเนินกิจการได้ไหม Fed จะให้เงินกู้ฉุกเฉินมาหรือไม่ ถ้ามา จะมาเมื่อไหร่ และจะพยุงไปได้นานแค่ไหน
ถ้อยคำของประกาศ ต้องทำให้เห็นว่า Bear ยังทำธุรกิจได้ แต่ก็ต้องให้ลูกค้ารู้พอประมาณว่า Bear กำลังยืนโคลงเคลง แต่ถ้าลมพัดแรงจัด Bear อาจประคองตัวไม่อยู่ และ JP ก็อาจจะรับซื้อกิจการของ Bear ไป เรื่องนี้จะบอกชัดแต่ไหน เพราะยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเจรจา
ตอนเช้า 9.13 น. ระหว่างที่ Bear ยังติดอยู่กับถ้อยคำของประกาศ
J P Morgan ก็ออกประกาศมาก่อน โดยเป็นตัววิ่งผ่านหน้าจอธุรกิจ และจอ CNBC สรุปความว่า
"... JP Morgan Chase และ Federal Reserve Bank of New York ตกลงที่จะให้ความสนับสนุนทางการเงินแก่ Bear Stearns เป็นเงินกู้ที่มีหลักประกัน สำหรับระยะเวลาช่วงแรก ไม่เกิน 28 วัน... J P Morgan Chase จะหารือกับ Bear Stearns ต่อไป ถึงวงเงินถาวร หรือวิธีการอื่นสำหรับบริษัท...."
หลังจากนั้น เวลา 9.21 น. Bear Stearns ก็ออกประกาศที่มีถ้อยคำเช่นเดียวกันตามออกมา
ทั้ง 2 ประกาศ ไม่มีข้อความสนับสนุนใดจาก Fed และ ไม่มีข้อความว่าคณะกรรมการของฝ่ายใด ได้ให้ความเห็นชอบในการเกี่ยวกับเงินกู้นี้
หลังจากที่มีประกาศทั้ง 2 ฉบับ ช่วงหลังจากนั้น คือประมาณ 17 นาทีก่อนที่ตลาดหุ้นนิวยอร์คจะเปิดทำการ มีคำสังซื้อและขายหุ้นของ Bear Stearns ว่อนเต็มตลาด ราคาหุ้นวิ่งขึ้นลง เหมือนถูกชักรอก ...ราคาหุ้นของ Bear ขึ้น ไป 9% เทรดเดอร์ของ Bear ที่อยู่ที่ชั้น 7 กระโดดตัวลอย ตระโกนออกมา
....เรารอดตายแล้ว .....
ตอนเช้ามืด ของวันศุกร์ที่ 14 มีนาคมนั้นเอง Steve Black กำลังเก็บของลงกระเป๋า เตรียมตัวเดินทางกลับมานิวยอร์ค JP Morgan หาตัวเขาเจอ และกำลังส่งเครื่องบินของบริษัท ไปรับตัวกลับมา เพื่อให้คำแนะนำกับ JP ว่า ควรซื้อ Bear หรือไม่...
Black บอกกับเมียว่า นี่เขา(บริษัท) ไม่เข้าใจกันเลยหรือไงนะ ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น ... ผมรับรองได้เลยว่า ตอนที่เครื่องเราลงพื้นที่นิวยอร์ค ราคาหุ้น Bear จะเหลือไม่ถึงครึ่ง...
หลังจากนั้นไม่นาน ตลาดหุ้นนิวยอร์คก็เปิดทำการ และพวกที่ซื้อหุ้น Bear ก่อนตลาดเปิด ก็แย่งกันเทขายทิ้งในตลาด และหุ้นอื่นๆ ก็พากันรูดลงหมด รวมทั้งหุ้นของ JP หุ้น Bear ปิดที่ราคา 32 เหรียญ ลบไปครึ่งหนึ่งจริงๆ ตามที่ Black บอก ...เหมือนเขามีตาทิพย์..
ระหว่างนั้น ที่วอชิงตัน Henry Paulson รัฐมนตรีคลัง กำลังประชุมทางโทรศัพท์กับบรรดาผู้บริหารของสถาบันใหญ่ๆ ในวงการสวนสัตว์วอลสตรีท เกี่ยวกับเรื่องของ Bear ที่กำลังเกืดขึ้น เขาบอกกับทุกคนว่า
" กูไม่ต้องการเห็นการเล่นแบบตะกละอย่างนี้อีกนะโว้ย ... เรื่องแบบนี้ต้องไม่เกิดขึ้นอีก ระหว่างที่กูคุมคลัง พวกมึง ต้องอยู่ในแถว ... " ... ไม่รู้ท่านรัฐมนตรีด่าใครนะครับ
นี่ผมเดาเอาเองนะครับ ว่า Paulson คงพูดในสำเนียงนี้ เพราะช่วงนั้น Henry Paulson ประธาน Goldman Sachs ซึ่งรัฐบาลคาวบอยบุช ส่งเสลี่ยงไปรับ ให้ออกมาเป็นรัฐมนตรีคลัง เขาใหญ่เหลือเกิน ขนาด Newsweek เอารูปเขาขึ้นหน้าปก และเรียกว่า "King Henry " แหม.... เหมือนอดีตรัฐมนตรีคลังบ้านเราคนนึงจัง ตอนอยู่ในตำแหน่ง ดูเหมือนรัศมีพวยพุ่ง ดูจะออกประกายสว่างมากกว่าคนเป็นนายกรัฐมนตรีเสียด้วยซ้ำ ขนาดมีข่าวว่า วางตัวกันให้เป็นนายกรัฐมนตรีล่วงหน้าเลยเชียว แต่ดันไปตกกำแพงเมืองจีนเสียก่อน....(ตกกำแพงยังไง อ่านต่อๆไปคงเข้าใจครับ)
แล้วประกาสิต King Henry ก็มาถึงคิวของ JP Morgan และ Bear Stearns
King Henry พูดสั้นๆ
.... ผมต้องการให้คุณ (JP) เจรจากับ Bear Stearns อย่างผู้ที่มีความรับผิดชอบ พวกคุณ (หมายถึงผู้บริหารอื่นที่ฟังอยู่ด้วย) เวลาคุณอยู่กับบริษัท คุณก็คิดแต่จะปกป้องบริษัทของตัวตลอดเวลา แต่นี่ไม่ใช่เวลาปรกตินะ ....พวกคุณ อย่าไปเรียกร้องเอาหลักประกันจนเกินเหตุ หรือเรียกเอาเงินสดเพิ่มเพื่อมาค้ำประกันหนี้ และก็ควรทำธุรกิจกับ Bear Stearns อย่างตรงไปตรงมา....
โฮ้ย ท่านคิงเฮนรี่ พูดดี๊ดีนะครับ สมเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่น่านับถือ น่าไว้วางใจจริงๆ ผมเขียนไป น้ำตาแทบซึมเลย
ระหว่างนั้น ตลาดหุ้นของนิวยอร์ค ก็ขานรับคำประกาสิตของคิงเฮนรี่ ... พากันร่วงหล่นกันถ้วนหน้า ดาวโจร หล่นไป 300 กว่า หุ้นของสถาบันการเงิน รวมทั้งของ JP Morgan ต่างก็พร้อมใจกันร่วง อย่างไม่มีการแตกแถว
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการของ Federal Reserve ก็จัดประชุมกัน ที่สำนักงานใหญ่ในวอชิงตัน ท่านประธานกรรมการใหญ่ของ Fed ท่านเบน Ben Bernanke แสดงอาการว่ารังเกียจมาก ที่จะต้องอุดรูรั่วสถาบันการเงิน ด้วยเงินของรัฐ แต่มันก็คงยังดีกว่ากว่าปล่อยให้หมีล้มนะ เพราะมันอาจรวนไปทั้งสวนสัตว์วอลสตรีท
คณะกรรมการ Fed มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้อุ้มหมี โดยการให้เงินกู้ฉุกเฉินแก่ JP Morgan Chase ให้ไปอุ้มหมีอีกต่อนึง.... อ้าว......
ตอนค่ำของวันศุกร์ ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน Schwartz ได้รับโทรศัพท์จาก
คิงเฮนรี่ และท่านทิม ที่ส่งเสียงเข้มมาตามสาย กำชับว่า Bear ต้องตกลงกับ J P Morgan เรื่องการขาย Bear ให้ JP Morgan ให้เรียบร้อย ภายในวันอาทิตย์เย็นที่จะถึงนี้นะ ...
Schwarzt รีบโทรบอกให้หัวหน้าฝ่ายการเงิน และให้ทีมงานมาประชุมเช้าตรู่วันเสาร์
6 โมงเย็นวันเสาร์ หลังจากผู้บริหารของ JP Morgan ซึ่งกำลังคิดหนักว่าจะซื้อทรัพย์สินของ Bear ดีหรือไม่ ได้ทำการตรวจสอบรายการทรัพย์สิน ของ Bear ทั้งวัน Schwartz ก็ได้รับคำเสนอเบื้องต้นของ JP Morgan ที่จะซื้อหุ้น Bear ในราคาประมาณ 8 - 12 เหรียญต่อหุ้น !
ฝ่าย Bear สะอึกพรวด มันเป็นราคาที่โคตรต่ำ แต่พยายามปลอบใจตัวเอง ว่าโอกาสที่จะเจรจาต่อรอง น่าจะยังมีอยู่
9 โมงเช้าของวันอาทิตย์
ผู้บริหารของ JP Morgan มาประชุมกัน เพื่อพิจารณาทรัพย์สินของ Bear อีกรอบหลังจากมีการคุยกันเรื่องคุณภาพของสินทรัพย์ ส่วนที่เป็นซับไพรม์ และข้าวต้มมัดแล้ว ในที่สุด JP Morgan Chase ก็ตัดสินใจยกเลิกการเจรจาซื้อ Bear Stearns !
ท่านทิม รีบติดต่อคิงเฮนรี่ ทั้ง 2 คนพยายามไม่ให้ JP Morgan ถอนตัว โดยพยายามหาวิธี ที่จะรับส่วนที่อาจขาดทุนแทน JP Morgan
ใกล้ๆ 5 โมงเย็นของวันอาทิตย์
Bear ได้รับการติดต่อจาก Morgan ว่า ราคาเสนอซื้อท้ายสุด คือ 2 เหรียญ ต่อหุ้น !!
หมีคอพับห้อยตก หมดแรง ต่อรองไม่ออก... ดูเหมือน Bear จะหมดเวลา หมดทางเลือก พวกเขาคิดว่าจำเป็นต้องยอมรับข้อเสนอของ JP Morgan
ตอนค่ำ 1 ทุ่ม ของวันอาทิตย์
ข่าวการซื้อขาย Bear ประกาศออกไปทั่วโลก
10 นาทีต่อมา Fed ก็ออกประกาศว่า มีแผนที่จะเปิดหน้าต่างเงินกู้ และอนุญาตให้ อินเวสต์เมนท์แบงค์ ทำการกู้โดยตรงจาก Fed ได้ด้วย เป็นมาตรการที่ Fed ออกมาเพื่อช่วยเหลือ สถาบันการเงินที่มีปัญหา อย่างที่ Fed ไม่เคยทำมาก่อน....อ้าว แล้วเรื่องหมีว่าไง
นิทานตอนที่ 5 นี้ ผมเรียบเรียงจากบทความชื่อ " Inside the Fall of Bear Stearns" ที่ลงใน "the Wall Street Journal" updated เมื่อ 9 พ.ค. 2009
เห็นเขาเล่นบทกันแสบใส้ถึงใจ นี่ขนาดเขาเล่นกันเองในบ้าน แล้วนอกบ้านจะขนาดไหน....
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
6 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 6
ตกลง Bear Stearns จำใจต้องรับราคา 2 เหรียญต่อหุ้น ถูกยิ่งกว่าพิซซ่า ถาดเล็ก
เหตุผลแรก เพราะ Bear Stearns ไม่ต้องการให้พนักงานเกือบ 15,000 คนของตนและครอบครัวพนักงานเดือดร้อน เหตุผลต่อมา Bear Stearns อาจกลับมาถือสุภาษิตเก่า กำขี้ น่าจะยังดีกว่ากำลมผาย เพราะถ้าล้มละลาย อาจจะไม่เหลืออะไรเลย
แต่ในใจของคนทำงานที่ Bear Stearns ไม่ได้จบแค่นั้น
Sam Molinaro ผู้อำนวยการด้านการเงินของ Bear ที่อยู่ในวงการนี้มานาน และมีจมูกไวกว่าคนทั่วไป ก็มีเรื่องเล่าให้ฟัง จากมุมของ Bear Stearns
"....เมื่อตอนเดือนสิงหาคม ของปี ค.ศ.2007 มีข่าวว่ากองทุนเห็ดฟันของ Bear 2 กอง ที่ลงทุนมหาศาลกับตราสารข้าวต้มมัด CDO ทำท่าจะเน่า และ Bear อาจจะต้องควักทุนถึง 3,000 ล้านเหรียญ มาอุ้มกองทุนนั้น ตอนนั้น ..ก็มีข่าวลือไปทั่วตลาดว่า Bear มีหวังล้มละลาย.. นั่นก็ทีนึงแล้ว
จนเดือนตุลาคม... ไอ้ข่าวลือที่ว่า Bear จะล้ม ก็ยังไม่หยุดลือกัน.... Jimmy Cayne (หมายเลขหนึ่งของ Bear ตอนนั้น) กับ Alan Schwartz เริ่มคิดหนักว่า Bear อาจจะต้องหาคนมาร่วมลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาด
พอเข้าเดือนพฤจิกายน คราวนี้ The Wall Street Journal (อีกแล้ว) ก็ลงหน้าหนึ่งเลยว่า Bear จะไปรอดหรือ..... เหมือนกรุงโรมกำลังไฟไหม้ แต่จักรพรรดิเนโร ยังดันเต้นระบำร้องเพลงอยู่เลย ..."
มันเป็นการเหน็บแนม Jimmy Cayne ผู้บริหารหมายเลขหนึ่งของ Bear ขณะนั้น ที่ชอบไปเล่นไพ่บริดจ์และเล่นกอล์ฟมันเกือบทุกวัน
เรื่องนี้ ทำให้คณะผู้บริหารของ Bear กดดันให้ Cayne ลงจากตำแหน่ง และให้ Alan Schwartz ขึ้นมาเป็นแทน ทั้งๆที่ Cayne เป็นคนหนึ่ง ที่พา Bear Stearns มายืนแถวหน้าของสวนสัตว์วอลสตรีทได้
Bear Stearns นั้น เป็นที่รู้กันดีว่าคอแข็ง ก้มหัวให้ใครยาก และปฏิเสธที่จะขายบริษัท เพื่อไปเป็นแค่ แขนขาให้พวกยักษ์ใหญ่ๆ นอกจากนี้ เรื่องการรับคน เพื่อมาทำงานที่ Bear ก็ต่างกับชาวสวนสัตว์อื่น Bear เน้นประเภท P.S.D ทั้งนั้น (poor smart and deep desire to get rich จน ฉลาด และอยากรวยสุดขีด) ซึ่งต่างกับ Goldman Sachs หรือ JP Morgan ที่จะรับแต่ประเภท ลูกท่านหลานเธอ คนรวย มาจากตระกูลดี หรือจบจากมหาวิทยาลัยชั้นเยี่ยม
Jimmy Cayne มีประวัติส่วนตัวที่น่าสนใจ เขาเป็นเด็กมาจากถิ่นคนจนในชิคาโก รับจ้างขายเศษเหล็ก คาบซิการ์ติดปาก พ่นควันโขมงอย่างไม่เกรงใจใคร ต่อมาก็ย้ายมาอยู่นิวยอร์ค มาเป็นคนขับแท๊กซี่ และใช้เวลาว่างไปกับการเล่นไพ่บริดจ์ และที่โต๊ะบริดจ์นี่เอง ทำให้เขาไปเจอกับประธานของ Bear Stearns ขณะนั้นคือ Alan "Ace" Greenberg ท่านประธานชอบใจไอ้หนุ่มห้าว บอกว่า... ถ้าเอ็งขายเศษเหล็กได้.... เอ็งก็น่าจะขายพันธบัตรได้นะ มาทำงานด้วยกันดีกว่า ....
แล้ว Cayne ก็เลยกลายเป็นนักค้าพันธบัตร นอกรูปแบบของชาววอลสตรีท แน่นอน แบบนี้เขาย่อมมีเพื่อนไม่มากในสวนสัตว์วอลสตรีท และเมื่อเห็ดฟัน Long Term Capital Management ( LTCM) ที่ดังทะลุโลก และเป็นที่รู้จักกันในนาม เห็ดฟันจีเนียส เพราะมีแต่ระดับปริญญาเอก กับระดับผู้รับรางวัลโนเบิลด้านคณิตศาสตร์ มาเป็นหุ้นส่วน และวางแผนการลงทุน ยังล่มไม่เป็นท่า ในปี ค.ศ.1998 ขาดทุนไป 4,600 ล้านเหรียญ ทำเอาชาวสวนสัตว์วอลสตรีท หูเย็นจมูกแห้งกันหมด ... อย่างนี้พวกเราคงโดนลูกหลงเข้าไปด้วย ขนาดจีเนียสยังเอาตัวไม่รอด...... ชาวสวนสัตว์ก็เลยจับมือกัน พร้อมลงขันที่จะช่วย LTCM.... แต่ Cayne บอกว่า กูไม่ลงด้วย.. และก็เดินหน้าค้าพันธบัตรต่อไป ...
14 ปี ภายใต้การบริหารของ Cayne ราคาหุ้น Bear ขึ้นไป 600% แบบนี้ก็คงมีไม่น้อย ที่อยากเห็น Cayne ไป และ Bear ล้ม...
Schwartz ขึ้นมาเป็นหมายเลขหนึ่ง โดยมีภาระกิจว่า ไตรมาสแรกของปี ค.ศ.2008 Bear ต้องมีกำไรให้ผู้ถือหุ้นและชาวบ้านเห็น ข่าวลือเรื่องสถานะการเงินอ่อนแอของ Bear จะได้จางไปจากตลาด
Sam Molinaro เล่าต่อ.....
"......วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2008 ตัวเลขจากฝ่ายบัญชีแจ้งว่า Bear มีกำไร ไตรมาสแรก 1.10 เหรียญต่อหุ้น แม้จะไม่มาก แต่มันก็เป็นบวกละนะ Schwartz คิดว่า มันน่าจะทำให้ทุกคนหายใจโล่ง แต่ดันมีข่าวลือในตลาด ว่า เห็ดฟันอีก 3 กอง Carlyle Capital, Peloton Partners และ Thornburg Mortgage ก็ทำท่าจะไปไม่รอด
Schwartz ให้ตรวจสอบ ปรากฏว่า Bear ให้เงินกู้กับเห็ดฟันทั้ง 3 กองนั้น
ซวยแล้วสิ... แต่เขาหวังว่า ไม่น่ามีผลกระทบกับ Bear รุนแรง
วันพฤหัส Schwartz บินไป Palm Beach ซึ่ง Bear จะมีงานสังสรรประจำปีกับสื่อในวันจันทร์ มันเป็นงานใหญ่ ที่เจ้าของสื่อยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ต้องมาร่วมงานอยู่แล้ว มันน่าจะเป็นโอกาสดีสำหรับ Bear ที่ทุกคนจะได้เจอหน้า Schwartz และถามกันกลางงานเลย Bear ไม่มีอะไรต้องปิดบังอยู่แล้วนี่
วันศุกร์ Schwartz โทรเข้าไปถามข่าวที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งรายงานว่า ข่าวลือที่ว่า Bear มีปัญหาเรื่องเงิน ยังมีอยู่นะ และดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นด้วยซ้ำ
วันนั้น มีการขายพันธบัตรระดับท้องถิ่น Bear เตรียมเงินไว้ 2,000 ล้านเหรียญ สำหรับคนอยากกู้ซื้อพันธบัตร... วันนั้น ถ้าใครปฏิเสธเงินกู้เรา ก็แปลว่าเรามีปัญหาจริงๆ ... แต่วันนั้น ทุกอย่างก็ราบรื่น ไม่มีใครปฏิเสธเรา....." Sam Molinaro เล่าให้ฟังต่อ
แล้ววันจันทร์ พายุใหญ่ก็มาถึง....
Sam Molinaro ไปถึงที่ทำงานแต่เช้าวันจันทร์ หลังจากไปทำธุรกิจของ Bear ที่ยุโรปมาเสียนาน หลังจากตลาดหุ้นเปิดเวลา 9.30 น. มีประกาศ ของ Moody ลดอันดับพันธบัตรกลุ่มหนึ่งของ Bear.. ... มันเป็นเรื่องที่คาดการณ์อยู่แล้ว Molinaro จึงไม่แปลกใจ
ประมาณ 11 โมง หุ้นของ Bear เริ่มลง... ตอนแรก ก็ลงอย่างช้าๆ ไม่นานก็พุ่งหลาว แต่หุ้นของสถาบันการเงิน ยักษ์ใหญ่อื่น อย่าง Lehman, Merrill, Citi ต่างก็ลงทั้งนั้น Molinaro เลยคิดว่า ไม่น่าจะมีอะไร แต่พอเขาถามกับฝ่ายเทรดดิ้งของ Bear เอง คำตอบคือ มันมาจากข่าวลือ ...ว่า เราไม่มีเงิน.....
Molinaro งงมากกับข่าวนี้ ... มันไม่น่าจะลือกันซ้ำซากอย่างนี้นะ เช้าวันนั้น Bear ยังมีสภาพคล่องดีอยู่ Bear มีเงินสดอยู่ 18,000 ล้านเหรียญ มันเอาอะไรมาลือกัน(วะ)
หลังจากนั้น ข่าวลือเรื่อง Bear ไม่มีเงิน ก็กระจายไปทั้งตลาด...
บ่าย 1.50 ของวันนั้น CNBC รายงานว่า.... ข่าวเกี่ยวกับ Bear Stearns ไม่ดีเท่าไหร่ .... อย่างที่เขาว่ากันนะครับ....ไม่มีไฟ ก็คงไม่มีควัน.....CNBC บอก
วันจันทร์ ปีนั้น น่าจะเป็นวันอุบาทว์ บ่ายแก่ๆ มีข่าวใหญ่ออกมาว่า ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค Eliot Spitzer มีส่วนเกี่ยวพันกับการค้าประเวณี เป็นพ่อเล้าว่างั้นเถอะ
ข่าวนี้ กลบข่าวของ Bear Stearns ไปได้ชั่วขณะ ผู้บริหารของ Bear หวังว่าเรื่องแรงที่สุด คงจบไปแล้ว
แต่จริงๆ มันเพิ่งเริ่มต้น...
วันนั้นเอง ฝ่ายบริหารของ Bear ได้รับรายงานใหม่เข้ามา ว่า อาจจะมีคู่สัญญาของ Bear ขอมีการเปลี่ยนตัวคู่สัญญา (novation) ไม่ต่อสัญญากับ Bear แต่จะขายสัญญานั้นให้กับคนอื่นแทน .... เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ โดยผู้ที่ต้องการเปลี่ยน มีทางเลือก ที่จะขายคืนกลับมาที่ Bear หรือ ขายให้บุคคลที่ 3 โดยยอมจ่ายค่าธรรมเนียม ...มันเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเท่าไหร่
วันอังคาร มีข่าวลือว่า ยักษ์ใหญ่ของวอลสตรีท 3 ราย Goldman Sachs, Credit Suisse และ Deutsche Bank กำลังยุ่งมาก เพราะมีลูกค้า มาเข้าคิวยาว เพื่อทำคำขอเปลี่ยนสัญญาที่ทำไว้กับ Bear เป็นยักษ์ใหญ่ 3 รายนั่นแทน
เรื่องมันแปลกที่ว่า ทำไมถึงไปเฉพาะที่ 3 รายนั่น
Schwartz ติดต่อไปที่ยักษ์ทั้ง 3 ราย เพื่อจะบอกว่า Bear ขอรับซื้อคืนหมด ยักษ์ไม่ต้องลำบากใจหรอก แต่ดูเหมือนการติดต่อ จะไปถึงสายไปสักหน่อย...
ก่อน ที่ Schwartz จะได้พูดกับ Goldman และ Credit Suisse ผู้บริหาร ของทั้ง 2 ราย มีคำสั่งภายในให้เทรดเดอร์ของตัวเอง ระงับการซื้อสัญญาพวกนั้นไว้ทั้งหมดชั่วคราว เพื่อรอให้ฝ่ายสินเชื่อของตัว ตรวจสอบเครดิตของ Bear Stearns ก่อน
และคำสั่งของ Credit Suisse เกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้กระจายออกไปทั่วสังคมการเงินอย่างรวดเร็ว
อันที่จริง คำสั่งภายในของ Credit Suisse ก็เหมือนเป็นระเบียบการทำงานปรกติ ที่ต้องการตรวจสอบสัญญาก่อนซื้อ แต่ดูเหมือน มันกลับถูกใช้เป็น "หลักฐาน" ชิ้นแรกว่า ข่าวลือเรื่อง Bear หมดเงิน ... ไม่ใช่เป็นแค่ข่าวลือ และ มันกลายเป็นคำเตือน ว่า ....ขนาดยักษ์ใหญ่ของวอลสตรีท ยังห่วงที่จะต้องทำธุรกรรมกับ Bear เลยนะ....
Sam Molinaro ในฐานะดูแลเรื่องการเงินของ Bear คิดว่า Bear จำเป็นต้องชี้แจงข้อเท็จจริงกับสาธารณะ เขาโทรไปหา Charlie Gasparino ของ CNBC บอกว่า .... เราพยายามตามดูว่าข่าวลือนั่น ว่ามันมาจากไหนเพราะมันไม่เป็นความจริง เราไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง ไม่ถูกใครเรียกหลักประกันเพิ่ม มันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ...
หลังจากพูดโทรศัพท์กับ Molinaro เสร็จ Gasparino ก็ออกมาให้ความเห็นหน้าจอว่า .... พวกเขา (Bear) ดูจะกลุ้มใจจริงๆ ว่า ข่าวลือนี้ มันจะนำความเดือดร้อนมาให้ และพวกเขาอาจเจอรายการลูกค้าขายคืนตราสาร... เป็นงั้นไป
แต่จนถึงเย็นวันนั้น ก็ไม่ใครมาถอนเงินจาก Bear... ผู้บริหารบางคนใน Bear ยังบอกว่า ... ประสาทกันไปได้ ไม่มีอะไรหรอกน่า
คืนนั้น Schwartz กับ Molinaro และผู้บริหารอีกหลายคนคิดว่า ยังไง Schwartz ก็ควรให้สัมภาษณ์กับ CNBC ให้ชัดเจนออกมาเลยดีกว่า พวกเขาเลือกอยู่นานว่าจะเอาใคร เพราะ CNBC มีชื่อว่า ใครอยากจะพูดอะไรก็ได้ ไม่มีการควบคุมปากนักจัดรายการได้
ในที่สุด Bear เลือก Faber ซึ่งดูจะเป็นกลางๆ ที่สุด
เช้าวันพุธ วันนั้น เกือบทุกคนในวอลสตรีทเฝ้าหน้าจอ เพื่อจะฟังว่า Schwartz พูดอะไร
Faber เริ่มรายการสัมภาษณ์ เหมือนการเทน้ำมัน ใส่เข้าไปในกองไฟ.....เขาบอกว่า เขาได้รับข้อมูลทางตรงจากเทรดเดอร์คนหนึ่ง ที่ฝ่ายสินเชื่อของบริษัทนั้น สั่งให้ "ชะลอ" การทำธุรกรรมกับ Bear Stearns เพราะไม่แน่ใจสภาพของ Bear!
ประโยคของ Faber ไม่ต่างกับเป็นใบเสร็จ หรือใบสั่งประหาร Bear ไปเรียบร้อยแล้ว ....
Schwartz ตอบว่า ไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้น ทุกอย่างเรียบร้อยดี และ Faber เอง ก็มาให้ข้อมูลเพิ่มภายหลังว่า ในที่สุด ธุรกรรมรายนั้น ก็เกิดขึ้น และผ่านไปด้วยดีแต่ หมีหัวแบะไปแล้ว
เทรดเดอร์รุ่นเก๋า อายุงาน 40 ปี ให้ความเห็นเมื่อดูรายการสัมภาษณ์ ว่า ... ถ้าคุณทำให้ผู้คนเกิดความคิดว่า บริษัทไม่สามารถจัดการให้ธุรกรรมเกิดขึ้นได้ ในทางธุรกิจมันก็จบแล้ว ... Faber เชือดหมีไปเรียบร้อยแล้ว เขาทำไปแล้ว อย่างไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว!?
เย็นวันนั้น Molinaro ได้รับโทรศัพท์จาก Repo รายหนึ่งว่า พรุ่งนี้ เขาจะไม่ต่ออายุเงินกู้ให้กับ Bear (Repo เจ้าหนี้รับซื้อตั๋วเงินระยะสั้น)
วันรุ่งขึ้น ระหว่างขับรถมาทำงาน Molinaro เช็คกับออฟฟิส ซึ่งรายงานว่า พวก Repo ชักออกอาการนะ แต่ส่วนใหญ่ ก็บอกว่า เรายังทำธุรกิจกับ Bear ต่อไปน่า มีน้อยรายที่บอกว่า จะไม่ต่ออายุเงินกู้รายวันให้
แต่แล้ว เรื่องราวก็กลับพลิกอย่างรวดเร็ว บ่ายวันพฤหัส คนเริ่มมาถอนเงิน และเจ้าหนี้ Repo เริ่มทะยอยไม่ต่ออายุการกู้เงินประเภทวันต่อวันให้กับ Bear และลูกค้าพากันมาขายคืน ตราสารข้าวต้มมัด CDO จนเงินสดส่วนของเห็ดฟันใกล้จะหมด
5โมงเย็น วันพฤหัส Molinaro รายงานสภาพการเงินของบริษัทให้ Schwartz ว่า เงินกู้ระยะสั้น (Repo) จำนวน 30,000 ล้านเหรียญ จะไม่ได้รับการต่ออายุในวันรุ่งขึ้น Bear อาจจะหาเงินจากแหล่งอื่นมาแทนได้ แต่คงได้อย่างมากครึ่งเดียว ยังจะมีเงินสดขาดอยู่ 15,000 ล้านเหรียญ สำหรับจะเปิดทำการอีกหนึ่งวัน
1 ทุ่ม วันพฤหัส พวกเขาลงความเห็นว่า ทางออกของ Bear เหลืออยู่แค่ 2 ทาง ทางหนึ่ง คือ หาเงินสดอัดเข้ามาอย่างด่วนที่สุดให้ได้ ก่อนเปิดทำการในวันศุกร์ ไม่งั้นวันศุกร์ Bear คงต้องไม่มีทางอื่น นอกจากขอล้มละลายตัวเอง....
อันที่จริง Schwartz ได้ติดต่อ Jamie Dimon ของ JP Morgan ตั้งแต่บ่ายวันพฤหัสแล้ว JP Morgan เป็นรายเดียว ที่น่าจะหาเงินกู้ข้ามคืนให้ได้ ทั้ง 2 บริษัท ก็ทำธุรกิจด้วยกันมานาน สำนักงานใหญ่ก็อยู่ตรงข้ามคนละฟากของถนนกันแค่นั้น
การเจรจาระหว่าง Bear กับ JP Morgan ที่มี คิงเฮนรี่ รมว.คลังผู้ยิ่งใหญ่ กับท่านทิมของเฟด เป็นผู้กำกับนั้น มุมมองทั่วไปของ Bear ใกล้เคียงกับที่ The Wall Street Journal รายงาน
ขณะเดียวกัน ก็มีบางประเด็น ที่มีความต่าง ที่แทบจะไม่น่าเชื่อ...
วันศุกร์ หลังจากที่ JP ประกาศว่า "... JP Morgan Chase และ Federal Reserve Bank of New York ตกลงที่จะให้ความสนับสนุนทางการเงินแก่ Bear Stearns เป็นเงินกู้ที่มีหลักประกัน สำหรับระยะเวลาช่วงแรก ไม่เกิน 28 วัน... J P Morgan Chase จะหารือกับ Bear Stearns ต่อไป ถึงวงเงินถาวร หรือวิธีการอื่นสำหรับบริษัท...." และเทรดเดอร์ของ Bear กระโดดตัวลอยว่า เรารอดตายแล้วนั้น
ความต่างมีไม่มาก แต่สำคัญยิ่ง.... อย่างน้อยก็ทำให้เห็นว่า ไอ้หนุ่มเทรดเดอร์นั่น ที่บอกว่า... เรารอดตายแล้ว ดูเหมือน จะพูดเร็วไปหน่อย ....
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
7 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 7
วันศุกร์ ตอนเย็นเกือบค่ำ ขณะที่ Schwartz กำลังนั่งรถกลับบ้าน เขานึกถึง Morgan credit line ....มันคงมาทันวันจันทร์นะ อย่างน้อยตอนนี้เราก็มีเวลาอีก 28 วัน สำหรับหาเงินทุน หรือ หาหุ้นส่วนเพิ่ม หรือ อาจจะต้องขาย Bear ออกไปทั้งหมดเลย.... มันคงไม่ง่ายหรอก แต่ก็เราก็พยายามจัดการให้มันเกิดขึ้นจนได้....Schwartz นึกถึงตรงนี้พอดี เสียงโทรศัพท์มือถือเขาก็ดังขึ้น
มันเป็นการโทรเข้ามาของคิงเฮนรี่กับท่านทิม
คิงเฮนรี่ ไม่เสียเวลาอ้อม... จำได้ไหม ผมบอกคุณว่า เมื่อไหร่ที่เราตัดวงเงินสินเชื่อที่ให้คุณ อนาคตของพวกคุณไม่ได้อยู่ในมือพวกคุณแล้ว ... วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ เราไม่คิดจะมาร่วมประชุมกับพวกคุณอย่างที่เราทำเมื่อคืนนี้นะ แต่คุณจะต้องเจรจากับ JP Morgan หรือใครก็ได้ ที่คุณจะหาได้ ให้เสร็จเรียบร้อยภายใน "วันอาทิตย์นี้" และคุณต้องทำให้มันเรียบร้อยก่อนเช้าวันจันทร์.... ไม่อย่างนั้น เราจะถอดปลั๊กออก... เข้าใจไหม
แล้วเวลา 28 วัน ที่ Schwartz เพิ่งกำลังนึกถึง ก็หายวับไปกับตา....credit line ที่ Fed จะให้ JP Morgan เพื่อมาให้ Bear กู้ต่อ ตกลงมีให้ถึงวันอาทิตย์นี้เองเท่านั้นนะ ... มันมีอายุแค่ 2 วันนี่หว่า.... ไม่ใช่ 28 วัน....
Schwartz รีบโทรถึง Molinaro ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างทางกลับบ้านเหมือนกัน เพื่อเล่าถึงคำพูดของท่านเฮนรี่
... เฮ้ย....คุณอย่ามาพูดเล่นน่ะ... Molinaro ขึ้นเสียง
จนถึงทุกวันนี้ ผู้บริหารของ Bear ก็ยังไม่หายงง
ไอ้ 28 วัน มันหายไปไหนวะ เราเข้าใจผิดเรื่องภาษาที่เขาเขียนหรือไง หรือ คิงเฮนรี่ เกิดเปลี่ยนใจ.... ไม่มีใครรู้ว่า มันมาจากสาเหตุอะไร
ทันทีที่ Schwartz เข้ามาถึงออฟฟิสตอนเช้าวันเสาร์ เขาโทรถึงท่านทิมทันที เพื่อขอเวลาเพิ่ม เขาบอกว่า Bear เข้าใจว่าจะมีเวลา 28 วัน แต่ท่านทิมยืนยันเสียงเรียบ....พวกคุณมีเวลาถึงวันอาทิตย์นี้เท่านั้น....
เมื่อคำยืนยันของ Fed ว่า Bear มีเวลาถึงวันอาทิตย์เท่านั้น พวกที่ Bear คุยไว้ ไม่ว่าจะมาร่วมทุน หรือซื้อไปทั้งหมด ก็เลยพากันถอยกลับ ใครมันจะไปตรวจสอบทรัพย์สินของ Bear ทัน โดยเฉพาะ ทรัพย์สินส่วนที่เกี่ยวกับข้าวต้มมัด CDO นั่นแหละ แล้วมันจะซื้อขายกันได้ยังไง ก็ไม่มีใครรู้ว่าตีราคาลมผายยังไงนี่นะ จะตีตามกลิ่น หรือ ตีตามเสียง ?!
ตอนดึก ของคืนวันเสาร์ Schwartz ได้รับการติดต่อจาก Black ของ JP Morgan
.... นี่....ถ้าเราจะซิ้อจริงๆ ราคาหุ้นมันคงต่ำมากนะ ... ไอ้ราคาปิด 32 เหรียญเมื่อวันศุกร์ น่ะ มันไม่ความความหมายอะไรในตอนนี้หรอก.......ราคาคงอยู่ระหว่าง 8 ถึง 12 เหรียญต่อหุ้น เพราะเราไม่มีเวลาทำตรวจสอบอย่างละเอียด (due diligence) ...
Schwartz เกือบสำลัก ...นี่มันยิ่งกว่าต่อรองซื้อของข้างถนนอีกนะ .....แต่ก็ถาม
Black ... แล้วพวกคุณยังเดินหน้าอยู่หรือเปล่าล่ะ ?
ทีม JP Morgan ยังเดินหน้าตรวจสอบตัวเลข และรายการทรัพย์สินของ Bear ต่อ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องข้าวต้มมัด CDO
เช้ามืด ทีม JP Morgan เริ่มลังเล ยิ่งตรวจสอบดูหลักทรัพย์ของ Bear ประเภทความเสี่ยงสูงมาก ที่พวกเขาตีราคาไว้ตอนแรกที่จำนวน 120,000 ล้านเหรียญ พอตรวจไปถึงเช้าวันอาทิตย์ ทีม JP Morgan บอกว่า มันแย่กว่าที่ประเมินแยะ .... มันน่าจะถึง 220,000 ล้านเหรียญ... สงสัยกลิ่นจะแรงกว่าที่คิด....
และ Black ยังไม่สบอารมณ์ Bear เกี่ยวกับเรื่องอื่นอีกด้วย.... มันคงไม่ใช่แค่เรื่องความเสี่ยงด้านการเงิน ..นีมันกำลังหาเรื่อง เพื่อลดราคาหมีหรือไงนะ
เช้าวันอาทิตย์ New York Times บังเอิญลงบทความเกี่ยวกับ Bear เป็นบทความที่เขียนโดย Gretchen Morgenson นักข่าวรุ่นเก๋า บทความบรรยายถึงพฤติกรรมที่ แสดงถึงความเจ้าเล่ห์ ชั่วร้ายของ Bear ในอดีต ....มันช่างเลือก "เวลา" ลงบทความได้เหมาะ...
Black บอกว่า บทความนี้ มันมีอิทธิพลต่อความคิดของเขาเกี่ยวกับ Bear ไม่น้อยเลย
Dimon เอง ก็เห็นไม่ต่างกับ Black ในเรื่องนี้
ท่านทิม เดินออกมาจากห้องประชุมของ Fed เพื่อถามข่าวกับ Dimon
เขาเดินกลับไปในห้องประชุม แล้วบอกกับที่ประชุม
"... พวกเขา (JP Morgan) ถอนตัว พวกเขาไม่ทำแล้ว....."
หลังจากนั้น การเจรจาระหว่าง Fed กับ JP Morgan ก็ดำเนินไปอีกเป็นหลายชั่วโมง ต่างต่อรองกันไปมา ในที่สุด JP Morgan บอกว่า.... เราทำเองไม่ได้หรอก...
ระหว่างนั้น ท่านทิมเหลือบตาดูนาฬิกา ตลาดหุ้นออสเตรเลียจะเปิดทำการในเวลาที่ตรงกับ 6 โมงเย็นของนิวยอร์ค พวกเขาควรจะต้องทำให้ข้อตกลงเกิดขึ้นให้ได้ ไม่งั้น มันจะวุ่นวายกันไปใหญ่ ถ้าตลาดออสเตรเลียเปิด และเรายังไม่มีคำตอบในเรื่องนี้
ท่านทิมกลับไปเจรจากับท่านเบน Bernanke และคิงเฮนรี่ อีกยาว
ในตอนนั้น Fed ยังไม่มีแนวทางชัดเจนเลย ว่าจะช่วยพวกสถาบันการเงินที่เจอกับวิกฤติของซับไพรม์อย่างไร และคิงเฮนรี่ แม้จะถูกแดกว่า เป็นถึงท่านคิงเฮนรี่ ก็ยังต้องไปเจรจากับรัฐบาล และรัฐสภาอีกต่อ ว่าในที่สุดแล้ว ถ้ามีปัญหา คนที่ต้องรับไปคือ คนอเมริกันที่ต้องต้องเสียภาษีนั่นเอง
ขณะเดียวกันที่ Bear, Schwartz กำลังนั่งคอตก หมดแรง
Bear จะมีประชุมกรรมการ เวลาบ่ายโมงของวันอาทิตย์นั้น ก่อนหน้านั้นหน่อยหนึ่ง ทาง JP Morgan โทรเข้ามาหา Schwartz เพื่อบอกว่า ราคาคงไม่ใช่ 8-12 เหรียญอย่างที่คุยกันคืนก่อนนะ มันอาจเป็น 4 เหรียญ...
เมื่อ Schwartz แจ้งที่ประชุมกรรมการถึง ราคา 4 เหรียญ ห้องประชุมเกือบแตก ส่วนใหญ่แสดงความโกรธจัด ไม่ถนอมอาการและคำพูด ต่างด่า JP Morgan พร้อมให้นิ้วกลาง แล้วบอกว่า .... เฮ้ย ...อย่างนี้ล้มละลายดีกว่าว่ะ....
หลังจากด่าจนเหนื่อย ในที่สุด ฝ่าย Bear ก็ยอมรับราคา 4 เหรียญ
แต่ดูเหมือนคิงเฮนรี่จะยังไม่สมใจ หรือสะใจ
เมื่อคิงเฮนรี่กับท่านทิม โทรกลับไปถามที่ JP Morgan ว่าไปถึงไหนแล้ว .... Dimon บอกว่า เรากำลังดูที่ราคา 4 เหรียญ....
....ราคาสูงไปนะ คิงเฮนรี่ ทำเสียงเข้ม. ... มันน่าจะต่ำกว่านี้อีก
และเมื่อ JP Morgan แจ้ง Bear อีกรอบ ราคาสุดท้ายซื้อ Bear อย่างเป็นทางการ คือ 2 เหรียญ ต่อหุ้น!!!!
Bear Stearns มีเพื่อนน้อยจริงๆ หรือไม่มีเอาเลย....
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
8 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 8
Schwartz ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อบอกกับคณะกรรมการว่า เราไม่มีทางเลือกมาก เราจะไปกับ JP Morgan หรือ จะล้มละลาย ซึ่งหมายความว่า พนักงานของเราทั้งหมด 14,000 คน จะตกงานก่อนเที่ยงของวันพรุ่งนี้นะ (วันจันทร์) .. จะให้ผมบอกว่ายังไงดี... มันดีกว่าทุกอย่างเป็นศูนย์...
วันต่อมา ตรงพื้นที่ทางเดินในตึกสำนักงาน Bear Stearns ทุกชั้นก็แทบแตก มันแน่นขนัดไปด้วยผู้ถือหุ้นรายย่อย ที่พากันเข้ามาที่บริษัทด้วยความโกรธจัด และบังคับให้บริษัทกลับไปเจรจาใหม่อาทิตย์หน้า และในวันประชุมเพื่อเจรจาใหม่นั้น เมื่อบรรดาผู้หุ้นรายย่อยปักหลักไม่ยอมถอย JP Morgan และ Fed ก็ตกลงว่าจะขึ้นราคาหุ้นให้เป็น 10 เหรียญ !
เออ...คราวนี้ราคามันขึ้นไปได้... แต่มันไม่ช่วยทำให้ผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นของ Bear อารมณ์ดีขึ้น พวกเขากลับยิ่งงง....
Schwartz มานั่งทบทวนดู เขาบอกว่า ....ใช่ ความผิดพลาดมี ....ใช่ บริษัทเราเกิดความอ่อนแอทางสถานะการเงิน ....แต่ถ้าให้เขาทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา (ตั้งแต่วันจันทร์ ที่ 13 มีนาคม) เขาเชื่อว่า Bear ล้ม เพราะมีคน "ตั้งใจ" ชนิดมายืนแอบอยู่ตรงมุมตึก ขัดขาหมีให้ล้มก่อน หลังจากนั้นถึงกระทืบหมีซ้ำ จนจมดิน....
Schwartz ได้ให้รายชื่อ ผู้ที่เขาสงสัยว่า อาจเกี่ยวข้องกับขัดขา และการกระทืบหมี ให้แก่สำนักงานกำกับและดูแลหลักทรัพย์ของอเมริกา (SEC) ซึ่งในตอนนั้น (ค.ศ.2008) มีหลายคนถูกเรียกไปสอบสวน โดยเฉพาะกรณีที่ลือกันว่า มีบริษัทใหญ่ในวอลสตรีท "ชะลอ" การทำธุรกิจกับ Bear และปล่อยข่าวรั่วไปถึงสื่อ เพื่อสร้างความแตกตื่นในตลาด
กุญแจของเรื่องนี้ น่าจะอยู่ที่เรื่องการขอเปลี่ยนตัวลูกหนี้ (Novation) ที่เกิดขึ้นในช่วง วันอังคาร วันพุธ ซึ่งทาง Bear ตามสืบดูได้ความว่า ส่วนใหญ่ เกิดขึ้นกับ 3 สถาบัน คือ Goldman Sachs, Credit Suisse และ Deutsche Bank
Schwartz คิดว่ามันไม่ใช่เรื่อง "บังเอิญ" มันน่าจะเป็นการวางแผน ให้อย่างน้อย 1 ใน 3 สถาบันนั้น เล่นบทยื่นขามาขัดให้ Bear ล้ม ด้วยการ ไม่รับการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ ซึ่งก็มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นจริงๆ เมื่อวันที่ Schwartz ไปออกรายการที่ CNBC และ David Faber ถามเรื่องนี้กับเขา Schwartz กลับมาคิดดู ว่า Faber ก็น่าจะถามตัวเองด้วยเหมือนกัน ว่า ทำไม มีคนมาเล่าเรื่องนี้ให้ Faber ฟัง...
มันต้องมีเหตุผล ที่ให้มีการปล่อยข่าวแบบนี้ Schwartz ย้ำ.... เหตุผลง่ายๆ คือ คงมีใครอยากให้เราล้ม และล้มอย่างแรงด้วย
ใครล่ะ .... มีเรื่องเล่ากันจากพวก Lehman Brothers ว่า วันรุ่งขึ้น จากวันที่ Bear ถูกกระทืบจมดินในวันอาทิตย์นั้น มีพวกกองทุนเห็ดฟัน นัดกินอาหารเช้าฉลองกันเลย และอาทิตย์หนึ่งต่อมา พวก Lehman ก็โดนวางยาแบบเดียวกับ Bear เหมือนกัน..
Schwartz เล่าว่า ทาง Bear สืบมาได้ว่า มี 3 บริษัท ที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการล้ม Bear.... มันจริง หรือไม่จริง ไม่รู้นะ.....แต่ ทาง Bear ได้รายงานเรื่องนี้ให้ SEC แล้ว และบอกชื่อ 3 บริษัท นั้นให้ SEC ด้วย
เป็นเห็ดฟันจากชิคาโก 2 ราย
รายหนึ่งชื่อ Citadels บริหารโดยเทรดเดอร์เก๋า ชื่อ Ken Griffin
อีกรายชื่อ Capital Partners of Stamford บริหารโดย Steven Cohen
ส่วนรายที่ 3 ไม่ใช่ใครอื่นไกล คือ Goldman Sachs คู่แข่งรายสำคัญของ Bear รังเก่าของคิงเฮนรี่ ก่อนมาเป็น ท่านคลัง นั่นแหละ
เห็ดฟันจาก "ชิคาโก" หรือ บังเอิญไปหน่อยไหม อย่างนี้เราก็ต้องตามไปขุดดู
เห็ดฟันรายแรกจากชิคาโก ตามข้อกล่าวอ้างของพวก Bear คือ Citadel เป็น hedge fund ที่ตั้งขึ้นที่
ชิคาโก เมื่อปี ค.ศ.1990 (เมืองเหมาะ จังหวะเหมาะ!) โดย นายKenneth C Griffin ที่ตามประวัติ บอกว่าไอ้หมอนี่จบจาก ฮาร์วาดด้านเศรษฐศาสตร์ ระหว่างที่เรียนอยู่แค่ปีหนึ่ง ก็ทำซ่า ตั้งกองทุนเห็ดฟันของตัวเอง ด้วยเงิน ประมาณ 265,000 เหรียญ อ้างว่า เป็นเงินที่ยายให้มา รวมกับที่เพื่อนๆ ร่วมทุนด้วย... อ้อ ....มียายรวย
เจ้า Griffin ลงทุนติดจานดาวเทียมไว้ข้างห้องนอนที่หอพัก เขาอ้างว่า ด้วยวิธีนี้ทำให้เขาติดตามตลาดหุ้นได้แบบเรียลไทม์ กองทุนเขาเลยมีกำไรแยะ ก็เลยไปตั้งเห็ดฟันอีกกอง ไม่นาน ทั้ง 2 กองก็กำไรไม่รู้เรื่อง... เก่งฉิบหาย
หลังจากนั้น เห็ดฟันของ Griffin ก็งอกออกไปเป็นพืด
ปี ค.ศ.2008 ก่อนที่ Bear จะถูกกระทืบ Citadel มีทรัพย์สิน 15,000 ล้านเหรียญพนักงาน 1,300 คน ไม่เลวเลย สำหรับเงินจากยาย และลงทุนตอนแรกแค่จานดาวเทียม แต่หลังจากที่ Bear ถูกกระทืบ เห็ดฟัน 2 กอง ของ Citadel ขาดทุนไป 40% และ ก็มีข่าวลือว่า Griffin ก็ไปคุยกับ Fed เหมือนกัน ... แต่ก็คงเป็นแค่ข่าวลือ เพราะแม้เห็ดฟันของ Citadel จะฝ่อไปเกือบครึ่ง Griffin ก็บอกว่า เขาพา Citadel รอดวิกฤติ 2008 มาได้นะ ... เพราะเราไม่มีปัญหาเรื่องขาดเงิน .... ยายคงจะรวยมาก
และ ใน ปี ค.ศ.2014 เจ้า Griffin คนยายรวย ก็มีชื่อรวยติดอันดับฟอร์บ มีทรัพย์สินประมาณ 5,500 ล้านเหรียญ หูย... ชีวิตมันทำไมถึงราบรื่นรวยเร็วอย่างนี้หนอ...
เมื่อรวยอย่างนี้ ก็ต้องทำงานให้สังคมเป็นการตอบแทน Griffin ได้รับเลือกให้เป็น ทรัสตีของมหาวิทยาลัยชิคาโก เป็นทรัสตีของสถาบันศิลปะของชิคาโก เป็นรองประธานกองทุนการศึกษาของชิคาโก และสถาบันต่างๆ อีกประมาณ 10 รายการในชิคาโก รวมทั้งตั้งมูลนิธิเพื่อการศึกษาสำหรับเด็ก ซึ่งบริหารงานโดยมหาวิทยาลัยชิคาโก ... ทดแทนบุญคุณได้ดีมาก
สำหรับท่านที่อ่านนิทานกันมานาน คงจำกันได้นะครับว่า เมืองชิคาโกนี่คือถิ่นเกิด หรือรังแท้ของท่านหินร่วง ร้อกกี้ the great ของผม และมหาวิทยาลัยชิคาโกนั้น โคตรท่านหินร่วงเองเป็นผู้ตั้งขึ้นมา วิชาด้านสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือการเมืองระหว่างประเทศ การศึกษาแบบเจาะลึกเข้าไปในท้องถิ่น หรือ Area Study รวมทั้ง การใช้หลักจิตวิทยา สร้างการชี้นำสังคม แสบๆ ทั้งหลาย ก็เริ่มหลักสูตรมาจากมหาวิทยาลัยนี้ทั้งสิ้น
อ้อ... นาย Griffin นี่ยังนับถือนิกายเพรสไบธีเรียน เหมือนท่านหินร่วงอีกด้วย
เรื่องของ เจ้า Griffin ดูน่าสงสัยก็จริง แต่ผมว่า เรื่องมันยังกระจอก แค่ปั้นดินเป็นดาว เอามาวางให้แวววาวหลอกคนดู อย่างนี้ผมยังไม่อยากใจเร็ว ยกย่องว่าท่านหินร่วง มีส่วนเกี่ยวพันกับการกระทืบหมีให้จมดิน....ระดับท่านหินร่วง น่าจะมีอะไรแหลมคมล้ำลึกกว่านี้น่า....(แต่หน้าตาไอ้หมอนี่ ไม่น่าไว้ใจเอาเลย)
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
9 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 9
เห็ดฟันรายที่ 2 จากชิคาโก เป็นกลุ่มเห็ดฟัน ที่ใช้ชื่อว่า S.A.C. Capital Advisors ซึ่ง Steven A Cohen ตั้งขึ้น
รายนี้น่าสนใจทีเดียว Steven A Cohen มาจากครอบครัวยิวในนิวยอร์ค พ่อเป็นเจ้าของร้านตัดเย็บเสื้อผ้า แม่เป็นครูสอนเปียนโน มีพี่น้อง 7 คน แต่ร้านตัดเสื้อคงกิจการดี Cohen เรียนจบจาก Wharton School ของมหาวิทยาลัย Pennsylvania ในปี ค.ศ.1978
เรียนจบปั๊บ ก็ไปทำงานเป็นจูเนียร์เทรดเดอร์ที่ Gruntal & Co ทำอยู่ถึงปี ค.ศ.1992 ก็ออกมาตั้งบริษัท SAC Capital Partners ด้วยทุน 20 ล้านเหรียญ ของตัวเอง แม่เจ้าโว้ย ไม่รู้เอาเงินมาจากไหน กิจการตัดเสื้อของพ่อดี หรือย่าให้ หรือทำงานแค่ 14 ปี มีเงินเก็บมาลงทุน 20 ล้านเหรียญ เท่ากับ 600 ล้านบาทนะครับ ... ลุงนิทาน ทำงาน 40 ปี ยังเก็บไม่ได้เท่านี้เลย (ขาดไป 599.9 ล้านบาท ฮา)
ปัจจุบัน SAC บริหารทรัพย์สินประมาณ 14,000 ล้านเหรียญ และ Cohen ได้รับการยกย่องจาก Forbes ให้เป็นคนรวยอันดับที่ 35 ของอเมริกา
กิจการของนาย Cohen คงดีจริงๆ ปี ค.ศ.2013 จึงถูก กลต. ของอเมริกา (SEC) ตรวจสอบ ผลการสอบสวนปรากฏว่า มีความผิดหลายกระทง เช่นใช้ข้อมูลภายในหากำไรโดยไม่ชอบ (insider trading)
สรุปว่าพนักงาน SAC โดนคดี ไป 8 คน และระดับหัวหน้าคนหนึ่งเจอโทษคุก 9 ปี แต่ตัวนาย Cohen คงเส้นแข็ง อย่างกับหิน จึงรอดไปได้..... ส่วนบริษัท SAC สารภาพผิด และเจรจาจ่ายค่าปรับให้กับทางการไปแค่ 1,200 พันล้านเหรียญ สามหมื่นกว่าล้านบาท .... จิ๊บจ๊อยมาก สำหรับคนย่ารวย กับโดนข้อห้ามบริหารกองทุนให้บุคคลภายนอก
นาย Cohen บอกไม่มีปัญหา.... แล้วเขาก็ตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาทันที ชื่อ Point72 เปลี่ยนเป็นบริหารกองทุนประเภทของครอบครัวแทน โดยมีพนักงานประมาณ 1,000 คน แน่จริงๆ พี่
เพื่อให้แน่ใจว่า จะไม่ให้โดนจับอีก นายCohen จ้าง Kevin J O'Connor อดีตอัยการใหญ่ของรัฐคอนเนคติคัต มาเป็นที่ปรึกษากฏหมายให้บริษัท และตั้งหน่วยงานพิเศษ โดยจ้างอดีต ซีไอเอ เอฟบีไอ และเจ้าหน้าที่ของ SEC มาคอยช่วยตรวจดูการทำงานของเทรดเดอร์ของเขา ..เอาแบบว่า คราวนี้ ทำยังไงก็ไม่มีวันโดนข้อหา โดนจับก็แล้วกัน
แค่นั้นคงยังไม่อุ่นใจพอ สงสัยเรื่องน่าเสียวไส้คงมีให้ทำแยะ เจ้า Cohen เลยไปจับมือกับ บริษัท Palantir Technologies Inc ให้สร้างระบบ software พิเศษ สำหรับการทำงานของบริษัทด้วย และ เจ้า Cohen ยังไปซื้อตัว ผู้บริหารระดับสูงของ IBM มาเป็น หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ เสียด้วย ...อย่างนี้ต้องเรียกว่า แน่จริง หรือ เอาจริง นี่มันตั้งกองทุน หรือ ตั้งกระทรวงกันแน่ ท่าทางจะรับงานใหญ่มาก..
Palantir เป็นชื่อที่ มาจากหนังสือ Lord of the Rings ของ J R R Tolkien หมายถึง "seeing stones" มองเห็นก้อนหิน ... มันช่างตั้งชื่อจริงนะ
Palantir ตั้งขึ้นในปี ค.ศ.2004 (ช่วงบูมของ MBS, CDO ช่างเลือกเวลาจริง) โดย Peter Thiel, Joe Lonsdale, Alex Karp, Steven A Cohen และ Nathan Gettings มีคนทำงาน 1,500 คน
Palantir เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในการสร้างซอฟแวร์ สำหรับวิเคราะห์ข้อมูล มีลูกค้ารายแรก เป็นหน่วยงานของรัฐทางด้านงานข่าวกรอง แปลว่าตั้งขึ้นมาเพื่อทำงานให้รัฐ หรือคนของรัฐ ... แบบทำงานนอกระบบ??
ซอฟแวร์ ของ Palantir ที่โด่งดังมาก มีอยู่ 2 โครงการ
โครงการแรก คือ Palantir Gotham (ผมยอมมัน ไอ้พวกนี้มันช่างตั้งชื่อ) สำหรับให้หน่วยงานข่าวกรองของรัฐบาลอเมริกัน ใช้ในการติดตาม และวิเคราะห์ข้อมูล เกี่ยวกับการก่อการร้าย กิจกรรมที่อาจกระทบความมั่นคงและ กิจการสงคราม (Warfare Monitor) การฉ้อโกง รวมทั้งติดตามเกี่ยวกับการปฏิบัติการด้านจิตวิทยา
โครงการที่ 2 คือ Palantir Metropolis สำหรับพวกสถาบันการเงิน กองทุน เห็ดฟันใช้ในการวิเคราะห์.... วิเคราะห์อะไรบ้างไม่รู้ ข้อมูลเขาให้ไว้แค่นั้น
รายได้ของ Palantir ถ้าจะมีแยะ บริษัทเลยยกเลิกแผนการตอนแรก ที่จะระดมเงินทุนจากประชาชน (IPO) หรือกลัวผู้ถือหุ้นที่เป็นประชาชนจะรู้มากไป...
ปี ค.ศ.2014 บริษัท มีทรัพย์สินมูลค่า 9,000 ล้านเหรียญ Forbes ยกให้เป็นบริษัทเอกชนทางด้านเทคโนโลยี ที่มีมูลค่าสูงที่สุด
ปลายปี ค.ศ.2014 บริษัทแยกกองทุนจากเอกชน เป็นหลายกองทุน กองทุนที่สดุดตา ชื่อ In-Q-Tel ซึ่งเป็น เครือข่ายของซีไอเอ
ปี ค.ศ.2013 วารสาร TechCrunch เปิดเผยว่า ลูกค้าของ Palantir ณ ปี 2013 มีอย่างน้อย 12 กลุ่ม ที่เป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งรวมถึง CIA, DHS, NSA, FBI, CDC, Marine Corps, Air Force, Special Operation Command ฯลฯ และ CIA กับ FBI ถึงกับ เชื่อมฐานระบบของตัวเข้า กับ Palantirด้วย
ปี ค.ศ.2010 หุ้นส่วนของ Palantir ชื่อ Information Warfare Monitor เปิดเผยว่า พวกเขาใช้ software ของ Palantir ในการติดตามและเข้าไปในระบบ Ghostnet และ Shadow Network ได้
Ghostnet คือระบบจารกรรมข้อมูลทางไซเบอร์ ที่ถูกอ้างว่ามีฐานอยู่ที่จีน ที่มีเป้าหมายการเจาะถึง 1,295 เครือข่าย ใน 103 ประเทศ รวมทั้งทีสำนักทำการของดาไลลามะ และคอมพิวเตอร์ของ นาโต้ และสถานทูตต่างๆ
ส่วน Shadow Network ซึ่งก็ถูกอ้างว่ามีฐานอยู่ที่จีน มีเป้าหมายการจารกรรมข้อมูล จากหน่วยงานความมั่นคงของอินเดีย และหน่วยงานของทหาร รวมทั้งฐานทัพทั้งหลาย ทำการขโมยเอกสาร เกี่ยวกับความมั่นคงของอินเดีย สถานทูตต่างๆ และกองทัพของนาโต้ ที่อยู่ในอาฟกานิสถาน
เหมือนอเมริกาจะบอกว่า จีนแฮ็กเข้าไปในระบบของใครบ้าง แต่อเมริกาก็ตามตูดจีนไปได้ตลอด เหมือนเงา และรู้ว่าจีนได้อะไรไป เกทับกันน่าดู
ล่าสุด Palatir เพิ่งหาทุนเพิ่มอีก 880 ล้านเหรียญ โดยเพิ่งยื่นข้อมูลแจ้งกับ SEC ของอเมริกา เมื่อปลายเดือนธันวาคม ปี 2015 บริษัทตั้งเป้าว่าจะต้องหาทุนรอบนี้ ให้ได้ถึง 2,000 ล้านเหรียญ ก็ไม่มากนะ แค่ 6 หมื่นล้านบาทเอง บริษัทคิดสร้าง ซอฟแวร์ จะเอาเงิน 6 หมื่นล้านบาทไปทำอะไรดีครับ
บริษัทบอกว่า เอาไปสร้างระบบรวบรวมข้อมูล เรียกว่า big data สำหรับเอาไว้วิเคราะห์(แม่มมัน)ทุกอย่าง ตั้งแต่ด้านความมั่นคง จนถึงด้านโกง (defense to fraud) ผมอ่านแล้วก็ไม่แน่ใจ ว่า มันจะวิเคราะห์ป้องกันไม่ให้คนอื่นเขาทำ หรือวิเคราะห์เพื่อเอาไว้ทำกับคนอื่น
และผู้ที่ร่วมลงทุนครั้งนี้ ก็แน่นอน มี In-Q-Tel ของซีไอเอร่วมอยู่ด้วยอย่างเคย
ตกลงไอ้เรื่องป้ายปลอมนี่ มันจะไม่ใช่แค่เรื่องอาการป่วย ทางธุรกิจการเงินและเศรษฐกิจ ของอเมริกาแล้วสินะ ...หรือผมจะอ้อมไกลไป.... ไม่นะ มันคล้ายจะเชื่อมโยงกันทั้งนั้น
ก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง ให้ช่วยกันดู
เรื่องของ Palantir ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีเรื่องน่าสนใจอีกแยะ ท่านใดอยากจะรู้ต่อ ก็กดกูเกิล ชื่อบริษัทนี้เข้าไปอ่านเลยนะครับ ข้อมูลยาวเหยียด
ยังไม่ได้เล่าถึงบุคคลสำคัญที่เป็นหัวหอกในการจัดตั้ง Palantir และเป็นหุ้นส่วนใหญ่
เขาชื่อ Peter Andreas Thiel เกิดเมื่อปี ค.ศ.1967 พ่อแม่เป็นชาวเยอรมัน พ่อเป็นวิศวกรเคมี อาชีพสุดโปรดของท่านร้อกกี้หินร่วง Thiel ย้ายมาอยู่อเมริกาพร้อมกับพ่อแม่ เมื่อเขาอายุขวบเดียว เป็นเด็กเก่งฉิบหาย เป็นแชมป์หมากรุกรุ่นอายุต่ำกว่า 21 ของอเมริกา
Thiel เรียนจบทางปรัชญาจาก มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และก็เรียนกฏหมายต่อ ปี 1998 เขาร่วมคิดระบบการจ่ายเงินออนไลน์ PayPal และต่อมา ก็ขายระบบไปให้ eBay ในปี 2002 รวยเละไปเลย
Thiel ยังทำอะไรอีกแยะ รวมทั้งร่วมลงทุน และเป็นที่ปรึกษา ให้กับ facebook พอเห็นเค้าอะไรไหมครับ (ไม่ต้องมายุ่งกับผมเลยนะมึง) เล่าหมดไม่ไหวครับ ...ไอ้หมอนี่มันขยันจัง แต่ผมว่า ไอ้หมอนี่มันกำลังเดินตามรอยตีนของท่านหินร่วง จะเดินเอง หรือมีเชือกจูงก็ไม่แน่ใจ โดยการตั้งกองทุน สะสมเด็กจีเนียส ฯลฯ และ ยังจัดอีเวนท์อีกด้วย ทันสมัยมาก ชื่อ Palantir Night Live event โดยเชิญตัวเด็ด ดังๆ ทางด้านงานข่าวกรอง และไอที มาแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้กัน
แขกรับเชิญที่ผ่านมาเช่น Garry Kasparov แชมป์หมากรุกชาวรัสเซียอาเซอร์ไบจัน ที่เกลียดคุณพี่ปูตินของผม อย่างเข้าไส้ ถึงขนาดตั้งชมรม the Other Russia และเขียนบทความ ด่ารัสเซียภายใต้คุณพี่ปูตินอยู่บ่อย ๆ
นอกจากนี้ก็ยังมี Andrew McAfee นักเขียน/ ผู้ชำนาญด้านไอที
Nelson Dellis นักแข่งด้านความจำ memory athlete ที่ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นที่ 1 ของโลก แต่กำลังฝึกที่ได้ตำแหน่งนั้น มันฝึกทำไม และมันเอามาคุยกันทำไม
และที่ขาดไม่ได้ คือ Michael Chertoff ท่านที่อ่านนิทานเรื่องป้ายลวงมาแล้ว คงจำชื่อคุณยิวหน้าโหดคนนี้ได้ เขาเป็นอดีตหัวหน้าสำนักงาน Homeland Security และลูกกระเป๋งใหญ่ของท่านหินร่วง ที่กำลังเดินสายพูด เรื่องสงครามไซเบอร์
เล่ามาถึงตรงนี้ คงพอเห็นแล้วนะครับ ว่าเกือบทุกเรื่อง มันดูเหมือนจะเชื่อมโยงต่อเรื่องกันว่า ใครเป็นใคร ใครเกี่ยวกับใคร อย่างไม่น่าเกี่ยว และไม่น่าเชื่อ
อ้าวตาย ลุงแก่ขี้ลืม ลืมบอกไป.... นาย Thiel นี่ เขาอยู่ในคณะกรรมการกำกับนโยบาย Steering Committee ของสมาคมลับสุดยอด Bilderberg Group ด้วยนะครับ เป็นสมาคมที่มีสมาชิกระดับชนชั้นครีม ชั้นบนสุดของขนมเค้กแห่งโลก เช่น เป็นประมุข หรือผู้นำประเทศ ทั้งอดีตและปัจจุบัน ทั้งนั้น รวมทั้งผู้ที่น่าจะเป็นประโยชน์ พูดภาษาเดียวกัน คิด(เป็นเจ้าของโลก) แนวเดียวกัน และเป็นสมาชิกโดยการเชิญเท่านั้น
ส่วนเจ้า Cohen ก็เป็นสมาชิก CFR แหม ...ค่อยๆแง้มตัว ทะยอยโผล่หัวกันมาแล้ว
ตกลง เจ้า Point72 นี่มันเป็นเห็ดฟัน หรือมันทำอะไรแน่ไม่รู้เหมือนกัน
มีข้อน่าสังเกตว่า เห็ดฟันรายที่ 2 ไม่มีข้อมูลชัดเจน ว่าเกี่ยวข้องอะไรกับชิคาโก แต่ชื่อตรงกับที่ Bear บอก ผมก็สันนิษฐานว่า ในวงการเขาคงรู้กันว่า ใครเป็นเด็กของใคร แต่คงต้องพูดอ้อม ขืนพูดตรงๆ อาจจะลงหลุม แต่ดูจากข้อมูลที่นำมาเล่า ผมว่า องค์ประกอบให้ ตีนเบอร์ใหญ่ขนาดนี้ หมีถึงได้เละคาพื้น
เหลือผู้ต้องสงสัยรายที่ 3 คือ Goldman Sachs ผมขอข้ามไปก่อน เพราะเรื่องของเขาต้องเล่ารวม และโปรดอย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่า ใครเป็นคนกระทืบหมีสลบเหมือดคาพื้น ... เรื่องมันอีกยาว พันกันยุ่ง ผมต้องค่อยๆเลาะ ...ติดตามอ่านไปก่อนนะครับ
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
10 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 10
เช้าวันจันทร์ที่ 15 กันยายน ค.ศ.2008 Lehman Brothers ยักษ์ใหญ่ของสวนสัตว์วอลสตรีท ยื่นคำร้อง ขอล้มละลายกิจการตัวเอง....
มันเป็นการขอล้มละลายกิจการ ที่ใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์อเมริกา
วันนั้น ที่นครนิวยอร์คเอง ก็เหมือนกับเกิดการจราจล ตำรวจขนกันมาเต็มถนน หน้าตึกที่ทำงานของเลห์แมนแถบไทม์สแควร์ เพราะมีฝรั่งมุงเต็มไปหมด
... กลับบ้านไปเหอะ ไม่มีอะไรหรอก ไม่ใช่ดารามาโชว์ตัวซะหน่อย.....พวกคุณกำลังดูคนเป็นพันๆ ตกงานนะ พวกเขากำลังขนของกลับบ้าน เข้าใจมั้ย.... เสียงตำรวจนิวยอร์คตะโกนพูดผ่านโทรโข่ง พร้อมกับรีบเอาแผงกั้นมาเรียงกันชาวมุง ที่มีทั้งชาวนิวยอร์คเอง และนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้เรื่อง มาหยุดดู นึกว่าดาราที่ไหนมา เพราะเห็นมีแต่กล้องทีวีเต็มไปหมด กับแสงแฟลชวูบวาบ
พนักงานเลห์แมน ค่อยๆเดินออกมา ส่วนใหญ่อุ้มกล่องกระดาษ คล้องถุงพะรุงพะรัง มีเสียงพูดกันว่า... อย่าคอยเลย ใครจะไปรู้ บางทีคดีล้มละลายมันอาจวุ่นวายมากจนทางการเขาจะมาปิดออฟฟิสเรา แล้วเราก็ขนของเราออกมาไม่ได้นะ
แล้วชาวเลห์แมนก็หน้าตาตื่น หอบของกลับบ้านกันทั้งบ่ายวันจันทร์นั้น
ตกค่ำ ข่าวเลห์แมนล้ม ก็กระจายไปทั่ว โทรทัศน์ออกข่าวทุกช่อง แทบไม่มีใครเชื่อว่า King Henry รัฐมนตรีคลัง จะปล่อยให้เลห์แมนล้ม ท่าน เบน เบอนานเก้ ประธานเฟด สู้แรงคิงเฮนรี่ไม่ไหว หรือรู้ (ใจ) กัน
Lehman Brothers มีพนักงานทั่วโลก ประมาณ 25,000 คน และที่สำนักงานใหญ่ฝั่งยุโรป ตั้งอยู่ที่ลอนดอน มีพนักงาน 4,500 คน ภาพอุ้มกล่องคล้องถุงพะรุงพะรังที่ลอนดอน ตามมาวันรุ่งขึ้น
Lehman Brothers เป็นอินเวสต์เมนต์แบงค์ ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของวอลสตรีท และอายุเก่าแก่ที่สุด เลห์แมนผ่านพายุร้ายมาหลายรอบ ด้วยสินทรัพย์กว่า 6 แสนล้านเหรียญ และมีเครือข่าย ความสัมพันธ์กับทุกธุรกิจการเงินใหญ่ "ทั่วโลก" มันเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เลห์แมนจะล้ม....ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน.... Lehman Brothers ใหญ่เกินกว่าจะล่ม หรือล้ม ..
แต่ เลห์แมนก็ล้ม .... ในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ.2008 สื่อส่วนใหญ่บอกว่า ทางการตัดสินใจผิดอย่างมาก ที่ไม่อุ้มเลห์แมน ทีเมื่อเดือนมีนาคม หมี(ถูกถีบให้)ล้ม ทางการ ยังให้ J P Morgan ไปอุ้มเลย
" พวกเขา (หมายถึงทางการ) ใช้สำนึกไหนนะ ที่ปล่อยให้เลห์แมนล้ม... หรือต้องพูดให้ชัด ว่า พวกเขา ไม่ได้ใช้สำนึกไหนเลยใช่ไหม ที่ปล่อยให้เลห์แมนล้ม"
Joseph Stiglitz นักเศรษฐศาสตร์ เจ้าของรางวัลโนเบล ให้ความเห็น.... พวกเขาไม่ได้ทำการบ้านกันเลยหรือไง ใครๆ ก็พูดกันมาตั้งแต่ตอน Bear Sterns ล้มในเดือนเมษายนแล้วว่า เลห์แมนมีหวังไปตาม Bear แน่ และจริงๆ ก่อนหน้านั้น ทางการก็ต้องคาดการได้แล้วว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น มันเป็นความเสี่ยงต่อระบบ... ทำไมพวกเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง
แต่คิงเฮนรี่ บอกให้เลห์แมนหาทางแก้ปัญหาของตัวเอง... ขายบริษัทไปสิ หรือหาเงินมาเพิ่ม.... คิงเฮนรี่ ในฐานะท่านคลัง ไม่ได้เตรียมการ ไม่มีแผนสำหรับจะอุ้มเลห์แมนเตรียมไว้ ไม่มีเลย....
อนาคตของเลห์แมน อยู่ในมือของพวกที่กำลังประชุมอยู่ในห้องประชุมของธนาคารกลาง สาขาวอลสตรีท เมื่อวันศุกร์ ที่ 12 กันยายน ค.ศ.2008
เกือบ 10 ปีมาแล้ว Dick Fuld หัวหน้าใหญ่ของเลห์แมน ก็เคยเข้ามานั่งอยู่ในห้องประชุมนั้น กับพวกหัวหน้าใหญ่อื่นๆ ของวอลสตรีท เพื่อชักชวนให้ชาวสวนสัตว์วอลสตรีทลงขันช่วยไม่ให้เห็ดฟันจีเนียส ยักษใหญ่ Long Term Capital Management (LTCM) ล้ม ขนาดเป็นยักษ์จีเนียสยังล้ม ระบบการเงินมันจะยืนไหวเหรอ มันคงล่มไปด้วยแน่ และพวกเขาก็จะแย่ตามไปด้วย มันไม่ใช่เรื่องที่จะยากแก่การเข้าใจ และชาวสวนสัตว์วอลสตรีท ที่นั่งอยู่ในห้องประชุมวันนั้น ก็เข้าใจอย่างนั้นเกี่ยวกับเรื่องของเลห์แมน
และมันเป็นรูปแบบที่ คิงเฮนรี่ ท่านเบน และท่านทิม คิดว่า มันควรจะออกมาอย่างนั้น เมื่อพวกเขาเรียกรุ่นใหญ่ของสวนสัตว์วอลสตรีท ให้มาประชุมที่เฟด เกี่ยวกับอนาคตของเลห์แมน ในวันที่ 12 กันยายน นั้น
พวกเขาโทรเรียกหัวหน้าวอลสตรีท ทุกคน ให้ มาประชุมเวลา 6 โมงเย็น เพียงแต่ครั้งนี้ Dick Fuld ไม่ได้รับโทรศัพท์จากเฟดด้วย
Dick Fuld นั่งกระสับกระส่าย อยู่ที่ห้องประชุมของเลห์แมน... และคงถามตัวเองว่า มันมาถึงตรงนี้ได้ยังไง....
ช่วงปี ค.ศ.2003, 2004 ขณะที่ตลาดการกู้เงินซื้อบ้านกำลังบานแฉ่ง เลห์แมนกลัวกวาดกำไรไม่ทันใจ ไปซื้อธนาคารที่ให้กู้จำนองบ้าน มาอีก 5 ธนาคาร เช่น BNC Mortgage, Aurora Loan Services และ Alt-A เป็นต้น ซึ่งปรากฏภายหลังว่า บางธนาคาร เป็นธนาคารชั้นเลว ที่ให้กู้แบบไม่มีการตรวจเอกสาร ชื่อคุณนิน่าเต็มไปหมด แต่เลห์แมนมองข้ามเรื่องนี้ และทุกคนที่เกี่ยวข้อง ก็มองข้าม เพราะปีนั้น หลังจากซื้อธนาคารเพิ่ม เลห์แมนกำไรเละ รายได้เพิ่มถึง 56% เป็นอัตราการโต ที่สูงกว่าธุรกิจการเงินประเภทอื่น ....กำไรสูง ....มันเลยบังทุกอย่างไปหมด
ปี ค.ศ.2006 เลห์แมนเอาสัญญาจำนอง ของธนาคารที่ตัวซื้อมา เอามารวมกันเป็นหลักประกัน เพื่อออกตราสารข้าวต้มมัด จำนวน 146,000 ล้านเหรียญ (คูณเป็นบาทเอาเองนะครับ ผมตกเลข) ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นกว่า ปี 2005 ไปอีก 10%
ปี ค.ศ.2007 เลห์แมนรายงานว่า มีรายได้หลังหักภาษีเป็นจำนวน 4,200 ล้านเหรียญ และมีรายรับจำนวน 19,000 ล้านเหรียญ เกือบ 6 แสนล้านบาท ตัวเลขแบบนี้ มันคงทำให้เห็นและได้ยินอะไรไม่ค่อยชัด
ในเดือนกุมภาพันธ์ของ ปี ค.ศ.2007 ราคาหุ้นของเลห์แมนขึ้นไปสูงถึง 86.18 เหรียญต่อหุ้น แต่หลังจากนั้นไม่เท่าไหร่ การผิดนัดชำระหนี้ของผู้กู้เงินซื้อบ้านเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ พอสิ้นไตรมาสแรกของปี ค.ศ.2007 การผิดนัดก็ยิ่งมากขึ้น ถึงจำนวนสูงที่สุดในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา และหุ้นของเลห์แมนก็เริ่มดิ่งลง เพราะตลาดเริ่มกังวลว่า อย่างนี้เลห์แมนมีหวังจุกหนัก จากการผิดนัดชำระหนี้เงินกู้ซื้อบ้าน เพราะเลห์แมน อัดข้าวต้มมัดไว้เสียแน่นสำนักงาน
แต่หัวหน้าฝ่ายการเงินของเลห์แมนออกมาบอกว่า ไม่ต้องห่วงน่า เรายังไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหาใหญ่อะไรนะ
ถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ.2007 เมื่อ เห็ดฟัน 2 กองของ Bear ไปไม่รอดล้มกลิ้ง หุ้นของเลห์แมน ก็ดิ่งอีกรอบ คราวนี้เลห์แมนชักตกใจเล็กน้อย ประกาศปิด BNC ที่เพิ่งซื้อมาทุกสาขา และเลิกจ้างคนทำงานทางด้านรับจำนองบ้านไป 2,500 คน นอกจากนั้น ยังปิดสาขาหลายแห่งของ Aurora กับ Alt -A ไป 3 สาขา
แต่ในปี ค.ศ.2007 เลห์แมน ก็ยังออกตราสารข้าวต้มมัด อีกเป็นจำนวนถึง 83,000 ล้านเหรียญ ....เลห์แมนมีข้าวต้มมัดมากกว่าใครๆในวอลสตรีทแล้ว
ปลายปี ค.ศ.2007 หุ้นของเลห์แมน ราคาฟื้นขึ้นมาหน่อย เพราะตลาดหุ้นเกิดดีขึ้นมา(อย่างน่าสงสัย) และราคาบ้านก็ดีขึ้นมาด้วย หลังจากที่หัวทิ่มมานาน ....แต่เลห์แมนสงสัยเป็นสิงห์วอลสตรีท ประเภทที่ยอมตายคากรง ... เพราะเสียดายอาหาร ที่ยังเหลือค้างอยู่ในกรง
ปี ค.ศ.2007 เลห์แมนเหมือนนักกายกรรม ที่เหวี่ยงตัวเองไปจนสูง และไกลที่สุดอย่างน่าอันตราย โดยไม่สนใจดูว่าจะมีตาข่ายขึงคอยรับหรือไม่ เลห์แมนมีอัตราการเสี่ยงของการให้กู้อยู่ที่ 31 เท่าของเงินกองทุนของตัวเอง
อธิบายแบบง่ายๆ คือ เหมือนคนมีเงินในกระเป๋าบาทเดียว แต่ทะลึ่งสร้างหนี้ ไว้ถึง 31 บาท มันเกินตัวขนาดไหน หรือคิดอีกแบบ เรามีความสามารถแบกน้ำหนักข้าวได้ 1 กระสอบ ดันมีกระสอบข้าว 31 ใบ ตกลงมาใส่พร้อมกัน คนแบกจะเละไหมครับ
เมื่อวันที่ 17 เดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 วันที่ Bear Stearns อินเวสเมนแบงค์ที่ลงทุนในตราสารข้าวต้มมัด มากเป็นอันดับ 2 รองมาจากเลห์แมน ถูกกระทืบคาตีนใครไม่รู้ หุ้นของเลห์แมนหล่นไป 48% เพราะทุกคนคาดว่า เลห์แมน คงเป็นดาวร่วงรายต่อไป ....แต่ เลห์แมน ยังเหนียว เดือนเมษายน ค.ศ.2008 เลห์แมนออกหุ้นกู้ขายได้เงินมา 4,000 ล้านเหรียญ พอทำให้หายใจได้อีกเฮือก...
แต่พอสิ้นไตรมาส 2 ผลประกอบการของเลห์แมน ขาดทุนไป 2,800 ล้านเหรียญ มันเป็นการขาดทุนครั้งแรกตั้งแต่ เลห์แมนแยกธุรกิจออกมาจาก American Express ... เอะ... เลห์แมนไปเกี่ยวอะไรกับ AMEX ด้วย
แล้วมันเกี่ยวกับอนาคตของเลห์แมน ที่ "พวกเขา" กำลังประชุมกันอยู่ไหม...
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
11 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 11
ปี ค.ศ.1844 หนุ่มละอ่อนวัย 23 ปี Henry Lehman ลูกชาวยิวจากเยอรมัน อพยพมาอยู่ในอเมริกาแถวรัฐอลาบามา เปิดร้านโชห่วยสไตล์ยิว ชื่อ H Lehman พอน้องๆอีก 2 คน Emanuel กับ Mayer อพยพตามมา โช่ห่วยยิว ก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็น Lehman Brothers
3 หนุ่ม มองเห็นความสำคัญของฝ้าย ก็เลยตกลงรับฝ้าย เป็นการชำระค่าสินค้าแทนเงินได้ด้วย ...ยิวนี่หัวคงออกทรงแหลม จากโชห่วย ก็เลยค้าฝ้าย จากฝ้ายก็เพิ่มกาแฟ แล้วก็ก้าวข้ามมาถึงตลาดค้าหุ้น มารับประกันการขายหุ้นของเรือขนส่งสินค้า เพราะรู้ว่า สินค้าเดินไปเองไม่ได้ ไม่ใช้รถไฟ ก็ต้องใช้เรือ รถไฟมีเจ้าพ่อหลายราย อย่าไปแข่งกับเขาเลย สู้เล่นเรือขนส่งไม่ได้
หลังจากนั้น Lehman Brothers ก็เลยจับมือกับ Goldman Sachs & Co พวกยิวด้วยกัน ทำธุรกิจ investment bank รับจ้างหาทุนให้ธุรกิจทั้งเล็กทั้งใหญ่แถวนิวยอร์ค ตั้งแต่ Woolworth ไปจนถึง Macy, Gimble รวมทั้งโรงงาน RCA ที่สร้างวิทยุ โทรทัศน์รุ่นแรกๆ ในยุค ค.ศ.1930 รวมไปถึงบริษัทน้ำมัน Halliburton และ Kerr-MaGee
ปี ค.ศ.1925 หลังจาก Philips ลูกของ Emauel เกษียณไป Robert ลูกชาย Philips ก็ดูแลธุรกิจครอบครัวต่อ จนเสียชีวิตในปี 1969 โดยไม่มีคนในตระกูล Lehman มารับช่วงต่อ ปี 1972 Peter G Peterson ประธาน และหัวหน้าผู้บริหารของ Bell & Howell จึงถูกแนะนำให้เข้ามาดูแล Lehman Brothers
(Bell & Howell เป็นบริษัทที่ผลิตตั้งแต่ฟิลม์หนัง เครื่องเสียงทุกระบบ เครื่องใช้อีเลคโทรนิค ระดับสูง ไปจนถึง คอมพิวเตอร์ รวมทั้งมีสถาบันการศึกษาที่สอนด้านเทคโนโลยีของตัวเองด้วย)
ท่านที่อ่านนิทานป้ายลวง มาแล้ว คงพอจำชื่อ Peter G Peterson ได้นะครับ เขาคือ ชาวกรีก ที่บอกว่าชื่อของเขา Peter ในภาษากรีกแปลว่า "หิน" และปัจจุบัน เขาเป็นท่านประธานของบริษัทหินดำ Blackstone ยักษ์ใหญ่ ที่ใกล้ชิดมากกับ ท่านร้อกกี้หินร่วง และต่อมาก็ไปเป็นประธานของ CFR อยู่จนถึงปี คศ 2007 หลังจากนั้น ก็อยู่ในตำแหน่ง ประธานเกียรติคุณของ CFR มาจนถึงปัจจุบัน .... ความเกี่ยวโยง...ชักจะเห็นชัดขึ้นทีละน้อย...
ภายใต้การนำของคุณหิน Lehman Brothers ก็มีกำไรติดต่อกัน 5 ปี และพาเลห์แมนมายืนอยู่แถวหน้าในวอลสตรีท
พอมีเงินเข้ามามาก ก็เกิดการเกลียวปีนใส่กัน หรือ ออกอาการงกเงินกันน่ะ ฝ่ายค้าทุนกับฝ่ายค้าหุ้น เกิดข้องใจว่าใครใหญ่กว่ากัน ใครทำเงินมากกว่ากัน ในที่สุดฝ่ายค้าหุ้นทำท่ามีคะแนนเหนือ เลยบีบให้ คุณหิน Peterson ยอมให้ Lewis Glucksman จากฝ่ายค้าหุ้น มาเป็นหัวหน้าใหญ่คู่กันในปี 1983
Glucksman มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงกฏกติกาต่างๆ เป็นการบีบคุณหินอีกรอบ เล่นแบบนี้ ถึงจะเป็นหินก็รู้สึกเจ็บเป็นเหมือนกัน คุณหิน Peterson ก็เลยลาออก และ Glucksman ก็เลยครองเลห์แมนคนเดียวสบายเฉิบ ...เรื่องแบบนี้ มันก็คงทำใจให้ลืมยาก
ไม่นาน Stephen A Schwarzman ประธานที่ดูแลด้านควบรวมของเลห์แมน ที่ชื่อเขาในภาษาเยอรมัน แปลว่า " ดำ " ก็ลาออกตาม Peterson ไปด้วย และทั้ง 2 คนก็กลายเป็นคู่หู มาตั้งหินดำ Blackstone จนใหญ่และดังมากจนถึงทุกวันนี้ .....คุณดำ ก็เป็นสมาชิกคนใหญ่ของ CFR นะครับ (ใครอ่านตรงนี้แล้วต่อไม่ติด ช่วยกลับไปอ่านนิทานเรื่อง ป้ายลวง)
หลังจากนั้น เลห์แมนก็เริ่มขาดทุน และ Glucksman ก็ถูกกดดันให้ขายเลห์แมน
ปี 1984 Shearson/American Express ซึ่งเป็นบริษัทค้าหลักทรัพย์ของ American Express ก็เข้ามาซื้อเลห์แมนไปรวมกัน เป็น Shearson Lehman/American Express โดยมี Peter A Cohen เป็นประธานและซีอีโอ
จนถึงปี 1990 ช่วงนี้ เลห์แมนฟิตมาก บุกตลาดใหญ่ อย่างนี้ก็ต้องมีทดสอบกำลังภายในกัน
ปี 1989 ฝ่ายเลห์แมน สนับสนุนการซื้อกิจการ RJR Nabisco โดยทีม F Ross Johnson ผู้บริหารของ Nabisco เอง แต่สู้ราคาที่ Kolhberg Kravis Roberts (KKR) ที่ Drexel หนุนไม่ได้ รายการซื้อ Nabisco นี่ดังมากขนาดฮอลลีวู้ดเอาไปสร้างหนัง แต่ถ้าใครที่อ่านป้ายลวงมาแล้ว คงจำชื่อได้ว่า KKR นี้ ก็เป็นกลุ่มลูกกระเป๋งของท่านร้อกกี้หินร่วง และ Henry Kravis ที่เป็นลูกพี่ใหญ่ของ KKR นั้นเป็นสมาชิก CFR ตัวเอ้
และก็ขอแถมให้ว่า หัวหน้าใหญ่ทั้ง 3 ของ KKR นั้น เคยทำงานที่ Bear Stearns มาด้วยกัน
เอะ...นี่เรื่องมันทำท่าพันเกี่ยวกันหมดหรือไง
ปี ค.ศ.1993 AMEX บอกว่า จะแยกธุรกิจด้านธนาคารกับด้านค้าหลักทรัพย์ออกไป และขายส่วนนี้ให้กับ Primerica และเสนอขายส่วนที่เป็น Lehman Brothers ให้กับบุคคลทั่วไป โดยใช้ชื่อใหม่ว่า Lehman Brothers Holdings พร้อมกับได้ซีอีโอคนใหม่ Richard S Fuld ที่ในวงการ เรียกเขาว่า "Gorilla" ลิงกอริลลา ตามท่าทางและวิถีทางการทำธุรกิจของเขา
กอริลลา ดิ้ก ฟูลด์ ถูกประมาทหน้าว่า คงอยู่ได้ไม่นาน และเลห์แมนก็คงถูกขายต่อ แต่กอริลลา ดิ้ก อยู่เลห์แมนได้ถึง 30 ปี และเกือบจะเป็นซีอีโอ ที่อยู่ในวอลสตรีทนานที่สุด ถ้าคิงเฮนรี่ ตัดสินใจอุ้ม แทนที่จะโยนทิ้งจากหน้าผา....
กอริลลา ดิ้ก เป็นลูกคนรวยชาวนิวยอร์ค เข้ามาทำงานกับเลห์แมนตั้งแต่ปี 1969 โดยเป็นเทรดเดอร์ขายตราสารการค้า เป็นคนขี้คุย ซึ่งพวกเทรดเดอร์วอลสตรีทก็เป็นโรคนี้ทั้งนั้น แต่กอริลลาอาการสาหัสกว่าเพื่อน เขาปกครองเพื่อนร่วมงานและลูกน้องอย่างโหด และมองวอลสตรีทเป็นสนามรบ หรือแดนนักต่อสู้สมัยโรมัน ที่ลูกน้องทุกคน ต้องลงสนามแบบแกลดิเอเตอร์ในสนามประลองทั้งนั้น ไม่ว่าเล็ก ไม่ว่าใหญ่แค่ไหน นักต่อสู้ของเลห์แมน ภายใต้การปกครองของกอริลลา ต้องไม่มีวันถอย ลุยลูกเดียว
ด้วยนิสัยแบบนี้ แม้จะเห็นแล้วว่าเลห์แมนอาจจะไปไม่รอด ในปี ค.ศ.2008 แต่กอริลลาก็ไม่ยอมแพ้ และลูกน้อง... แทนที่ขอบใจในการเป็นนักสู้ ต่างด่ากอริลลาดิ้กเสียไม่เหลือ เพราะพวกเขาไม่เหลืออะไร....
เดือนตุลาคม ค.ศ.2008 กอริลลา ดิ้ก ฟูลด์ ต้องไปให้การต่อรัฐสภา มันเป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งแรกของเขา หลังจาก เลห์แมนล้ม กอริลลา บอกว่า เรื่องทั้งหมดมาจากข่าวลือ คาดการณ์กันเอง ความเข้าใจผิด และข้อเท็จจริง ที่ให้กันผิดๆ ทั้งหมดนั่นแหละ ที่นำไปสู่การล้มละลายของเลห์แมน....
... ผมขอบอกให้เข้าใจชัดเจนว่า ผมรับผิดชอบทุกอย่าง ในการตัดสินใจของผม ในการดำเนินการทุกอย่างของผม ที่ผมทำโดยอาศัยข้อมูลที่เรามีในขณะนั้น...กอริลลาทุบอก บอก
แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่ ดิ้ก ฟูลด์ จะตัดสินใจเป็นอย่างอื่น...ดูจากวิธีทำธุรกิจอย่างตะกระ ในช่วงที่การให้กู้ซื้อบ้านบูม มันก็พอจะเห็นแล้วว่า กอริลลาดิ้ก อิ่มยากขนาดไหน
อาทิตย์สุดท้าย ก่อนที่จะยื่นล้มละลายตัวเอง เลห์แมนก็ประกาศการขาดทุนเพิ่มอีก 3,900 ล้านเหรียญ Jamie Dimon หัวหน้าใหญ่ของ JP Morgan โทรไปหา กอริลลาด้วยตัวเอง ให้เอาหลักทรัพย์ 5,000 ล้านเหรียญมาวางให้ Morgan ด่วน ไม่งั้น Morgan จะยกเลิกวงเงินสินเชื่อที่ให้เลห์แมน
อย่างนี้ กอริลลา ดิ้ก ก็น่าจะรู้อนาคตของตัวเอง และเลห์แมนชัดเจนแล้ว...
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 12
ตกลงใครเป็นคนตัดสินชะตาของ Lehman Brothers กันแน่
บางคนบอกว่า มันก็ต้องขึ้นอยู่กับ คิงเฮนรี่ ท่านคลัง คนใหญ่นั่นไง ที่ก่อนนั้น ใครๆก็เรียกเขาว่า แฮงค์ แต่พอเป็นท่านคลัง สื่อใหญ่มาก ก็เรียกเขาว่า King Henry.. แสดงว่า เขาน่าจะมีรัศมีแรง และแสบเอาเรื่อง
คนส่วนใหญ่รู้ว่า แฮงค์ หรือ Henry Merritt Paulson ทำงานที่ Goldman Sachs มานานตั้งแต่ปี ค.ศ.1974 จนขึ้นมาเป็นหมายเลขหนี่ง ของอินเวสเมนท์แบงค์หมายเลขหนึ่งของอเมริกา
รายได้ของแฮงค์ที่ Goldman Sachs เป็นที่กล่าวถึงว่าสูงมาก....เฉพาะ ปี ค.ศ.2005 ปีเดียว เขามีรายได้เอากลับบ้านถึง 37 ล้านเหรียญ พอถึงปี ค.ศ.2006 คาวบอยบุชก็ส่งเสลี่ยงไปรับมาเป็นรัฐมนตรีคลัง....แฮงค์ก็เลยกลายเป็น King Henry หรือท่านเฮนรี่
แต่มีน้อยคนที่จะรู้ว่า ก่อนจะมาอยู่ Goldman Sachs ท่านเฮนรี่ ทำงานอยู่ที่เพนตากอนอยู่ 2 ปี (1970-1972) อะ...ไม่ธรรมดานะ.. จากนั้นก็ขึ้นเป็นผู้ช่วย (1972-1973) ของ John Ehrlichman (ซึ่งเป็นผู้ช่วยของรัฐมนตรีกลาโหม ในสมัยที่ นิกสัน เป็นประธานาธิบดี และคุณ จอห์น คนนี้เอง ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างฉากวอเตอร์เกตอันโด่งดัง และทำให้ คุณจอห์นถูกสอบสวน และถูกดำเนินคดี ติดคุกอยู่หลายปี ส่วนประธานาธิบดีนิกสัน ตัวการคดีวอเตอร์เกต ก็กลายเป็นอดีตประธานาธิบดี ก่อนเวลาอันควร ส่วนท่านเฮนรี่ของผม จะมีส่วนร่วมอะไรบ้างหรือเปล่า ประวัติส่วนนี้ (ลบ)ว่างเกลี้ยงเกลา
เรื่องวอเตอร์เกตนั้นอื้อฉาวมาก แต่ก็มีคนไม่น้อยเชื่อกันว่า เรื่องวอเตอร์เกต มันเป็นแผนเจาะยาง นิกสันให้ฟีบ และในที่สุดนิกสัน ก็เลยต้องยื่นใบลาออก จากการเป็นประธานาธิบดี หนีการถูกดำเนินคดีปลดจากตำแหน่ง หลังจากนิกสันลาออกไป เจอรัลด์ ฟอร์ด รองประธานาธิบดี ก็ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีแทน และท่านฟอร์ด ก็ "เลือก" เนลสัน ร้อกกี้เฟลเลอร์ พี่ชายของท่านหินร่วงร้อกกี้ คนนั้นน่ะ มาเป็นรองประธานาธบดี นั่งหน้าเชิดในอยู่ในทำเนียบขาว
หลังจากนั้น ท่านจิมมี่ ถั่ว ก็ได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อมา โดยมี เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ เด็กชงโอเลี้ยงของท่านร้อกกี้ เป็นผู้เดินจูง (มือ) ท่านถั่วตลอดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และดูเหมือนตั้งแต่นั้นมา อเมริกาก็เหมือนเป็นของเล่นของท่านร้อกกี้หินร่วง จะจับใครไปวางตรงไหน เป็นตำแหน่งอะไร เล่นบทอะไร ดูเหมือนจะคล่องตัวไปหมด ....คงเป็นเรื่องบังเอิญทั้งนั้นนะครับ
โฮ้ย ...บรรยายการจัดฉาก เตรียมการครองโลกเสียเหนื่อยเชียวไอ้ลุงแก่ เดี๋ยวเพจเอ็งก็หายไปทั้งเพจหรอก นี่เขาก็บีบจนแบนแต๋แล้ว ไม่กลัวรึไง .... ไม่กลัวครับ... บ้านเรานิ ... จะให้คนนอกมาขู่จนนอนกางเกงเลอะ หลบอยู่แต่ในบ้านเราได้ยังไง
เอ้า เล่านิทานต่อครับ วิ่งเล่นรอบสนามหลวงมารอบนึงแล้วค่อยหายใจชุ่มปอด
คุณจอห์นกับท่านเฮนรี่ นี่ เขาน่าจะเป็นซี้กันตั้งแต่เป็นหนุ่มน้อยเสียงยังไม่แตกนะ เพราะทั้ง 2 คน เป็นลูกเสือ boy scout ของอเมริกา ได้รับรางวัลตำแหน่ง Eagle Scout ด้วยกันทั้งคู่ น่าเอ็นดูนะครับ ลูกเสือติดปีกนกอืนทรี
ท่านเฮนรี่ ยังมีอะไรน่าสนใจอีกหลายอย่าง เช่น เมื่อออกจากกลาโหม ก็เลือกมาทำงานที่ Goldman Sachs สาขาชิคาโก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ถิ่นใกล้บ้านตัวเอง น่าจะมีใครถูกใจมาก เอามาดูแลกันใกล้ชิด ก่อนจะส่งไปรับจ๊อบใหญ่
ที่น่าสนใจอีกเรื่อง ท่านเฮนรี่ของผม นี่ สนใจเกี่ยวกับจีนเป็นพิเศษ และเมื่อนั่งแท่นเป็นท่านคลังแล้ว ก็ยังกล่อมให้คาวบอยบุช จัดการให้อเมริกามาสนใจค้าขายกับจีนด้วย
อ้อ.. ท่านเฮนรี่ นี่เขาก็เป็นสมาชิก CFR ด้วยนะครับ
ท่านเฮนรี่เป็นคนพูดไม่เก่ง จริงๆ ก็คือพูดไม่เข้าหูใคร ยิ่งจะไปพูดถึงนโยบายที่แสนจะลักลั่น ในการที่จะอุ้ม หรือไม่อุ้มใคร ที่ขายข้าวต้มมัดมากไปหน่อย จนกระจาดขาดกระจุย นี่มันก็คงจะยากให้ชาวบ้านเขาเข้าใจ
เมื่อเดือนมีนาคม (2008) ท่านเฮนรี่จัดการ (สั่งน่ะ) ให้ JP Morgan อุ้ม Bear Sterns ด้วยเงินกู้จากธนาคารกลาง หรือเงินภาษีของชาวอเมริกันนั่นแหละ และไม่กี่วันก่อนที่ Lehman จะล้ม ท่านเฮนรี่ ยังสั่งให้เอาเงินรัฐมาอุ้ม Fannie Mae กับ Freddie Mac ซึ่งเป็นเหมือนธนาคารอาคารสงเคราะห์ของรัฐ ที่เจ๊งไปกับการให้กู้เงินซื้อบ้าน ชนิดไม่เคยเห็นหน้าคนกู้ เห็นแต่กระดาษคำขอกู้ จากคุณนิน่าเกือบทั้งนั้น เพื่อให้เอาสัญญาจำนองคุณนิน่า ไปขายให้ไอ้พวกตะกระ เอาไปทำเป็นข้าวต้มมัดขายชาวบ้าน จนทั้งเจ้า Fannie เจ้า Freddie ขาดทุนจนตูดขาดเป็นแสนล้านเหรียญ .. ไม่ได้อ่านตัวเลขผิดครับ
แต่ผ่านมาไม่กี่วัน ท่านเฮนรี่ (ทำท่า) นึกออกว่า ไอ้พวกนายทุนที่หากินอย่างตะกระตะกราม เอาเงินคนอื่นไปเสี่ยงอย่างนี้ มันน่าเอาหัวไปใส่ในเครื่องดีด แล้วดีดใส่กำแพงมันซะเลย ......ทำธุรกิจแบบนี้ รัฐมิต้องคอยอุ้มไอ้พวกตะกระนี้ไปเรื่อยๆหรือไง .....แล้วเมื่อไหร่มันจะจบสิ้นเสียที เราต้องจัดระเบียบพวกสวนสัตว์วอลสตรีทใหม่แล้ว พวกสวนสัตว์ต้องหาทางช่วยตัวเองบ้างสิ คราวนี้เราไม่อุ้มใคร.......
โอ้โห ท่านเฮนรี่ดุเดือดมาก ไม่เสียทีเป็นศิษย์เก่าเพนตากอน ... บทนี้ เล่นแบบน่าได้รับรางวัล
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 13
การประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ 12 กันยายน ค.ศ.2008 ระหว่างยักษ์ใหญ่ของสวนสัตว์วอลสตรีท ตามคำสั่งของท่านเฮนรี่ และพวก สงสัยจะมีการใช้สัญญานถ่ายถอดคำสั่งกันคนละคลื่น การประชุมจึงออกมาคนละเรื่องกับที่ท่านเฮนรี่กับพวกต้องการจะให้เป็น เรื่องมันคงจะยุ่งยากกว่าสมัยเรื่อง LTCM เห็ดยักษ์จีเนียส ไอ้นั่นเห็ดยักษ์ดอกเดียว ไอ้นี่ข้าวต้มมัดไม่รู้กี่แสนกระจาด
ยักษ์ใหญ่วอลสตรีทแบ่งเป็น 2 ค่าย ค่ายหนึ่งอยากหนำใจว่า พอร์ทของเซียนหุ้นอย่างเลห์แมน ตูดขาดขนาดไหน อีกค่าย พยายามไม่สนใจรอยเขี้ยวที่ต่างเคยฝากกันเอาไว้ มาช่วยกันคิดหาทางรอดดีกว่า เพราะจริงๆแล้ว เกือบทุกรายก็รู้ดีว่า ถ้าตกลงกันเรื่องเลห์แมนไม่ได้ น่ากลัวว่าต่างก็จะฉิบหายตามเลห์แมนไปด้วยกันหมด แต่จะไม่ใช้โอกาสนี้ลับเขี้ยวกันบ้าง ก็คงไม่ใช่สันดานของชาวสวนสัตว์วอลสตรีท
วันศุกร์ การประชุมจบไม่ลง
แผนหนึ่ง คือ ให้แบงค์ใหญ่ๆ ซื้อทรัพย์สินของเลห์แมนไป ในราคาที่จะไม่ต้องไปเจ๊งกับพอร์ทมูลค่า 85,000 ล้านเหรียญของเลห์แมนอีก แล้วรับเอาแผนกเทรดดิ้งของเลห์แมนไปใช้ต่อ แบงค์ใหญ่ๆ ตามโผก็คือ Bank Of America หรือ Barclays ของอังกฤษ
แผนนี้ถูก John Mack จาก Morgan Stanley ด่าเช็ด... เออ แบงค์ใหญ่เอาของดีไป แล้วเหลือขี้หมาให้พวกกู... แบงค์อื่นๆ ก็ร่วมโวย... เฮ้ย พวกกูก็เจ๊งนะ อุ้มใครอีกไม่ไหวโว้ย แต่ทุกคนก็มาประชุมต่อในเช้าวันเสาร์
Bob Diamond ของ Barclays ไม่ปิดบัง ว่าอยากได้แผนกค้าหลักทรัพย์ของเลห์แมนเพราะตัวเองเป็นอินเวสต์เม้นท์แบงค์ ถ้าได้มีแผนกค้าหลักทรัพย์มาเสริมบารมี ก็จะได้เต็มยศครบเครื่อง เป็นแบงค์อินเตอร์กับเขาเต็มตัวเสียที Diamond เคยคิดจะชวนคนของเลห์แมน ให้แตกทัพมาอยู่กับตัว มันน่าจะดีกว่าซื้อเอาไอ้พวกเขี้ยวยาวของคู่แข่ง มาทั้งแผนก ...แบบนี้จะปราบพยศไหวไหมเนี่ยะ ....แต่ถึงอย่างนั้น Diamond ก็ขนที่ปรึกษามาไล่ดูบัญชีของเลห์แมนอย่างถี่ถ้วน ... เผื่อไว้
ส่วน Ken Lewis ของ Bank of America ก็อุตส่าห์บินมาไกลจากนอธ คาโรไรน่า Bank of America มีธุรกิจ ทั้งด้านรายใหญ่อินเวสเมนท์แบงค์ และด้านรายย่อย โดยมีสาขาย่อยมากที่สุดกว่าใคร แต่ Lewis ก็อยากจะขยายด้านอินเวสเมนท์ ให้ใหญ่ออกไปอีก กะจะแข่งกับ Goldman Sachs และสิงห์อินเวสเมนท์รายอื่นๆ เรื่องนี้ชาววอลสตรีทรู้ดี พากันนินทาและหยามหน้าว่า มันเป็นแค่ความฝันเฟื่องของไอ้แว่น Lewis
ค.ศ.2007 เมื่อพวกยักษ์ใหญ่อินเวสเมนท์แบงค์ ฟาดข้าวต้มมัด จนจุกขึ้นไปถึงหัวอก ไอ้แว่น หัวร่องอหาย สมน้ำหน้ามึง ... ทีนี้ตากูมั่ง ...โอกาสทองของตัวอาจจะกำลังมากับการซื้อเลห์แมน ไอ้แว่นแอบส่งลูกน้อง.... พวกมึงไปสำรวจฝีไฝฝ้า ที่ลับที่แจ้งของเลห์แมนให้จนหมด
ถึงวันศุกร์ ลูกน้องบอกหมดปัญญา.... คิดตัวเลขไม่ออก .... มันซ่อนเก่งครับนาย ... ไม่ใช่อะไร มันตีราคาข้าวต้มมัด ที่เลห์แมนอัดไว้เต็มอก ไม่ออก เล่นเอาไอ้แว่นถอดใจ บินกลับบ้านไปในคืนนั้น
แต่แล้ว เช้าวันเสาร์ ไอ้แว่นพร้อมกับทีม ก็เปลี่ยนแผน บินด่วนกลับมานิวยอร์คอีกรอบ พวกเขามีเป้าหมายใหม่ เลยบินด่วนกลับมาถึงนิวยอร์ค ตอนเที่ยงของวันเสาร์นั้นเอง
ย้อนไปตอนเช้าตรู่ของวันเสาร์นั้น ไอ้แว่น Lewis ได้รับโทรศัพท์จาก จอห์น John Thain เด็กในคาถาของท่านเฮนรี่ ที่เคยเป็นลูกน้องท่านเฮนรี่ สมัยอยู่ Goldman Sachs แต่ตอนนี้เป็นหัวหน้าใหญ่หมายเลขหนึ่ง อยู่ที่ยักษ์วอลสตรีท อีกตัวที่ชื่อ Merrill Lynch
จอห์นพอจะฉลาด แต่ไม่ถึงมากนัก ประวัติน่าสนใจพอสมควร จบจากฮาวาร์ด และเอ็มไอที เคยทำงานที่ Goldman Sachs ในตำแหน่งหัวหน้าคุมด้านตราสารจำนอง ช่วง ค.ศ.1985 ถึง 1990 และเป็นผู้จัดการใหญ่ ในปี ค.ศ.1999 ถึง 2004 หลังจากนั้น ก็ไปรับตำแหน่งเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค ช่วง 2004 ถึง 2007....จังหวะดีจริง
ปี ค.ศ.2007 Merrill Lynch ขาดทุนยับกับข้าวต้มมัด ขนาดในเดือนพฤศจิกายนต้องประกาศตัดหนี้สูญไป 8,400 ล้านเหรียญ และเปลี่ยนตัวหมายเลขหนึ่งจาก Stanley O'Neal มาเป็น จอห์น ในเดือนธันวาคม 2007
จอห์น มาถึง ก็ตรวจสภาพของ Merrill และเห็นว่าอาการหนักมาก ต้องขายแผนก commercial finance ไปให้ General Electric ของใครไม่รู้... กับหุ้นดีๆ อีกหลายกระสอบให้กับเทมาเส็ก ของสิงคโปร์ เพื่อหาเงินทุนเข้าบริษัท ได้เงินมากว่า 6,000 ล้านเหรียญ แต่ Merrill ก็ยังขาดทุนไม่หยุด แค่ปีเดียว ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2007 ถึงเดือนกรกฎาคม 2008 Merrill ฉิบหายไปแล้ว 19,200 ล้านเหรียญ
จากการประชุมยักษ์เมื่อวันศุกร์ จอห์น เห็นแล้ว ... อย่าว่าแต่ เลห์แมนจะร่วงอย่างหมดรูปเลย เมอร์ริล ก็จะหล่นตามไปด้วยอย่างเร็วด้วย เขาตัดสินใจ เราต้องไม่เป็นอย่างไอ้กอริลลา ดิ้ก.. สู้.. แต่ แพ้ ...จอห์น ตัดสินใจ ปาดหน้าอย่างรวดเร็ว บอกขายเมอร์ริลให้ Bank of Americaในวันเสาร์นั้นเอง ฮู้ย....
วันอาทิตย์ ท่านทิม โทรศัพท์บอกพวกเฟดว่า เลห์แมนแหลกแน่แล้ว....
ถึงตอนนั้น ทุกคนก็แน่ใจแล้วว่า ไอ้ 3 ท่าน ไม่ได้เตรียมแผนอะไรไว้สำหรับช่วยเลห์แมนเลย และแบงค์อเมริกาก็หันไปกินชามอื่นแล้ว เหลือแต่ Barclays ของอังกฤษ ที่บอกว่า ต้องไปขออนุญาตผู้ถือหุ้นก่อน เมื่อผู้ถือหุ้น บอก "ไม่" เลห์แมนก็แหลกจริงอย่างที่ท่านทิมว่า
แต่ดิ้ก ฟุลด์ ยังไม่รู้ ....เขานั่งไม่ติด จนถึงบ่ายวันอาทิตย์ ก็ยังไม่มีใครติดต่อเขามาเลย ท่านทิมไม่รับโทรศัพท์ ไม่โทรกลับ ดิ้กโทรไปหาไอ้แว่น Lewis หลายหน จนเมียไอ้แว่นบอก เขาไม่อยู่นะ และถ้าเขาอยากจะโทรกลับ เขาโทรเองน่า เธอเลิกโทรมาได้แล้ว
ดิ้ก ฟุลด์น่าจะรู้แล้วว่า เลห์แมนจบแล้ว จริงๆ
แต่เลห์แมนอาจจะไม่ใช่รายเดียวที่จบ....
เมื่อ King Henry และพวก ตัดเชือกที่กอริลลากำลังโหนอยู่ ร่วงหล่นลงพื้นแหลกละเอียด เขาคิดว่าเรื่องจะจบง่ายๆ.... ยักษ์ใหญ่ขนาดนั้นร่วง.... สวนสัตว์วอลสตรีทมันก็ต้องกระเทือนไปหมด ทำเป็นลืมไปได้ .....King Henry ก็มาจากสวนสัตว์เหมือนกันนะ
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
14 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 14
เมื่อตอนที่ทั้ง 3 ท่าน จากภาครัฐ คือ ท่านเฮนรี่ ท่านเบน กับท่านทิม เรียกผู้ยิ่งใหญ่จากสวนสัตว์วอลสตรีท มาประชุมที่ห้องประชุมใหญ่ของเฟดนิวยอร์คเกี่ยวกับเลห์แมน บราเธอร์ ในช่วงวันที่ 12,13 กันยายน ค.ศ.2008 ซึ่งผลการประชุม สรุปว่า ไม่มีใครเข้ามาอุ้มเลห์แมน ไม่ว่ารัฐ หรือเอกชน และเลห์แมนก็ถูกตัดเชือกหล่นลงมาแหลกนั้น ในขณะเดียวกัน ก็มีเรื่องใหญ่มาก ผุดขึ้นมาอีกเรื่อง แต่คนทำงานแถวเฟดปิดปากกันแน่น ....
เขาว่า ยักษ์ใหญ์ที่สุดแห่งวงการประกันคือ American Insurance Group หรือ AIG ก็กำลังอาการหนัก และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด Maurice R Greenberg หรือ Hank Greenberg ที่เป็นเพื่อนรักของท่านร้อกกี้หินร่วง ก็กำลังเครียดหนัก แต่คนที่เครียดไม่น้อยกว่า Greenberg น่าจะเป็นท่านเฮนรี่ .....ที่ดูเหมือนจะเครียด เรื่อง AIG มากกว่าเรื่องของเลห์แมน อย่างเหลือเชื่อ
เขาว่า อันที่จริงแล้ว ไอ้วันประชุมเมื่อวันที่ 12,13 กันยานั้น มีคนสำคัญ 2 รายไม่เข้าประชุมด้วย
คนหนึ่ง คือ Lloyd C Blackfein คนที่ขึ้นมาเป็นหัวหน้าหมายเลขหนึ่งของ Goldman Sachs แทนท่านเฮนรี่ ที่ไปขึ้นเสลี่ยง ที่ไอ้คาวบอยบุช ส่งให้ไปแบกเอามาเป็นรัฐมนตรีคลัง ส่วนอีกคนนั้นคือ ตัวท่านเฮนรี่เอง... อ้าว เรียกคนอื่นเขามาประชุม แต่ตัวเองหายไปไหน
ไม่ได้หายไปไหนหรอก จิ้งจกแถวเฟดรายงานว่า หมายเลขหนึ่งเก่า กับหมายเลขหนึ่งใหม่ของโกลด์แมน แอบมานั่งหน้าเครียดประชุมกันเอง 2 คน อยู่แถวนั้นนั่นแหละ แต่ไม่บอกให้ใครรู้ แถมยังมาประชุมกันต่อ ในวันจันทร์ที่ 15 กันยายน 2008 อีกด้วย
มีหลายคนยังไม่รู้ว่า โกลด์แมนที่แข็งแกร่งที่สุดของสวนสัตว์วอลสตรีท ชนิดใครคิดจะมาคว่ำ เป็นหน้าหงาย หลังหักกลับกันไปหมด นั้น เขาเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของ AIG....
และถ้า AIG เกิดมีอันเป็นไป โกลด์แมน จะสูญทันทีถึง 20,000 ล้านเหรียญ ฮู้ย..ขนลุก
ท่านเฮนรี่อาจจะตัดใจ ตัดเชือกปล่อยเลห์แมนให้ตกจากหน้าผาได้ไม่ยาก แต่เรื่อง AIG ...สงสัยท่านเฮนรี่จะไม่กล้าแม้แต่จะคิด....ขืนจัดการเรื่อง AIG ไม่ได้...... โกลด์แมน บ้านเก่าแหล่งทำเงินของตัว ก็อาจจะตกหน้าผา ตามเลห์แมนไปด้วย
แต่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโกลด์แมน ออกมาบอกว่า โกลด์แมนไม่เดือดร้อนอะไรมากนักหรอกกับปัญหาของ AIG น่ะ ที่นาย Blankfienไปประชุมที่เฟด ก็เพราะจะไปร่วมกันคิดแก้ไขปัญหาระบบการเงิน ไม่มี
อะไรเกี่ยวกับผลประโยชน์โดยตรงของโกลด์แมนเสียหน่อยอย่าใส่ความกันเลยน่า
แต่ข่าววงใน เขาว่า ท่านเฮนรี่ลงทุนทำทุกอย่าง ถึงขนาดใกล้จะคุกเข่า ขอให้ คุณนาย Nancy Pelosi ท่านประธานรัฐสภา (ในขณะนั้น) หญิงมีฤทธิ์อีกคนของอเมริกา ประกาศสนับสนุนให้รัฐสภาอนุมัติมาตรการช่วยเหลือแก่สถาบันการเงิน ที่ได้รับความเสียหายจากวิกฤติซับไพรม์ด่วนที่สุด (และ AIG ก็ได้รับเงินช่วยเหลือจากเฟดไป 85,000 ล้านเหรียญ ในรอบแรก )
อ้าว AIG เป็นพวกประกัน ไม่เห็นเกี่ยวกับเฟด ที่ดูแลระบบสถาบันการเงินเลยนี่หว่า....มีคนโวย.... ทีเลห์แมนให้ล้ม แต่ดันจะอุ้มประกันที่ไม่เกี่ยวกับเฟด... วุ้ย ยังงี้คนก็งงกันตาย เล่านิทานมั่วหรือเปล่านะลุง... ไม่นะ แต่ลุงก็มึนครับ
เขาว่ากันว่า เรื่องเงินกู้ซื้อบ้าน หรือวิกฤติซับไพรม์นั้น ไอ้ตัวเชื้อโรคร้ายมันมาจาก derivatives ตราสารข้าวต้มมัด CDO จนไข้ขึ้นสูงกันเป็นแถว แต่ที่ถึงขนาดหามเข้าไอซียู น่ะ เขาว่าเพราะมันเจอไวรัส CDS ซ้อนเข้าไปด้วยต่างหาก
คนซื้อข้าวต้มมัด ส่วนใหญ่เพราะมีการรับประกันอีกต่อ ถ้าใครเจ๊ง ใครไม่จ่าย บริษัทที่รับประกันข้าวต้มมัดจะเป็นผู้จ่ายให้แทน ตามการประกันแบบ credit defaulted swap (CDS) ...(ใครยังงง ช่วยกลับไปอ่านตอน 3 นะครับ)
ในกรณีของ AIG นั้น เชื้อไวรัส CDS เริ่มเพาะขึ้นจากหน่วยงานเล็กๆของ AIG ที่ลอนดอน ที่มีคนทำงานเพียง 377 คน แต่ทำรายได้ให้ AIG อย่างมหาศาล จนทุกคนลืมมอง หรือมองข้ามความเสี่ยง ที่อาจทำให้บริษัทประกันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีคนทำงานทั้งหมด 116,000 คน และ มีสำนักงานใน 130 ประเทศ เกือบจะทำให้ตัวเองล้ม รวมทั้งพาเอาธุรกิจการเงิน และไม่ใช่การเงิน ฉิบหายลามออกไปอีกไกลนอกสวนสัตว์วอลสตรีทเอาเสียด้วย
หน่วยงานที่ขายประกันเกี่ยวกับ"สินค้าการเงิน" ที่สาขาลอนดอนของ AIG ชื่อ AIG Financial Products หรือ AIGFP ดูเหมือนจะมีความเป็นเอกเทศอย่างมาก ทุกอย่าง อยู่ในความดูแลของ Joseph J Cassano ...แค่นั้น
Cassano เคยทำงานที่ Drexel Burnham Lambert ที่ดังมากในยุค 1980 จากการขายพันธบัตรชั้นเลว junk bond ของ Michael R Milken ตอนหลังนายคนนี้โดนฟ้องคดีอาญา 6 คดี ซึ่งศาลพิพากษาว่าเขาผิดทั้ง 6 คดี
หน่วยงานของ Cassano ทำรายได้ดีเหลือเกิน จนมีข่าวลือว่า เขาเป็นตัวเก็งที่อาจจะขึ้นมารับตำแหน่งประธานผู้บริหารของ AIG แทน Morice R Greenberg ที่อยู่ในตำแหน่งนี้มานาน จนผู้คนแยกไม่ออก นึกถึง AIG ต้องนึกถึง Greenberg พูดถึง Greenberg ก็หมายถึง AIG ด้วยทำนองนั้น แต่ไม่นานมานี้เอง Greenberg ก็ต้องลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ เพราะมีข่าวเกี่ยวกับการแต่งบัญชี..อือหือ ข้อมูลแต่ละเรื่อง เกี่ยวกับ AIG นี่มันสะแด่วแห้วจริงๆ
แต่แล้วในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2008 Cassano ก็ลาออกจาก AIGFP หลังจากที่ หน่วยงานนี้เกิดขาดทุนอย่างหนัก และผู้สอบบัญชีบอกมีปัญหาในการ ประเมินมูลค่าของสินทรัพย์ของหน่วยงานนี้ แสดงว่า มันคงซับซ้อนเหลือจะทน และในวันที่ 15 กันยายน 2008 วันเดียวกันกับที่เลห์แมนล้มแน่นิ่งนั้น เจ้าหนี้ของ AIG ก็ขอให้ AIG นำหลักประกันมาวางเพิ่มจำนวน 15,000 ล้านเหรียญ...
นี่ก็น่าจะเป็นสาเหตุใหญ่ ที่ทำให้ท่านเฮนรี่ ไม่มีเวลานั่งปลอบประโลมยักษ์ใหญ่รายอื่นในสวนสัตว์วอลสตรีท
Cassano วัย 53 อยู่ทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น อย่างหรูมาก แถว Knightsbridge ถิ่นคนรวยของลอนดอน ที่มีสวนส่วนตัวอยู่ด้านหลัง และที่ตรงหัวมุมถนน บังเอิญมีห้าง Harrods ที่โด่งดังไว้ให้ซื้อของใช้ประจำบ้าน ไม่ต้องเดินไกลให้เมื่อย
เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับ AIGFP นาย Cassano ไม่ให้สัมภาษณ์ เขาออกจากทาวน์เฮาส์หรู ไปกับทนาย ซึ่งสื่อติดต่อไม่ได้ และประชาสัมพันธ์ของ AIG ก็ปฏิเสธ ที่จะให้ความเห็นใด ... ...ข้อความแบบแจกโรเนียวเลย...
เมื่อตอนอยู่ที่ AIGFP หน่วยงานเล็กๆของ Cassano หลบมุมจากสายตา และการรับรู้ของคนภายนอก ที่รู้จัก AIG แต่ในชื่อเสียงว่า เป็นผู้ให้ประกันรายใหญ่ของโลก เกี่ยวกับภัยพิบัติ ไปจนถึงความตาย มีการดูแลทรัพย์สินของผู้เอาประกันอย่างดี และบริการชั้นยอด
เมื่อ Cassano เริ่มลุยตลาดด้านสินค้าการเงินใหม่ๆ สินค้าที่เขาขายแสนจะธรรมดามาก เช่น การรับประกันอัตราดอกเบี้ยแบบ swap (การรับประกันความเสี่ยง ของอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้น จากการเปลี่ยนแปลง ที่มาจากเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ทางด้านการเงิน มันเป็นการป้องกันความเสี่ยงอย่างหนึ่ง สำหรับการกู้เงิน ที่ใช้อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว)
แต่ประมาณปี ค.ศ.1998 สินค้าด้านการเงิน เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย มีนักค้าเงินหัวแหลมเปี้ยบ จากค่าย JP Morgan ยักษ์ใหญ่ชั้นนำแห่งสวนสัตว์วอลสตรีท มาหา Cassano พร้อมกับความคิด ที่เฉียบอย่างน่ากลัว(จะฉิบหายกันหมด)
ไอ้หัวแหลมบอกว่า... เอางี้มั้ย AIG น่าจะลองคิดรับประกันหนี้ข้าวต้มมัด collateralized debt obligations (CDO) ... ที่พวกเราด้านการเงิน ซื้อหนี้พวกนี้มาแยะๆ เช่น หนี้จากพวกรับจำนองบ้านน่ะ หรือหนี้บัตรเครดิต หนี้ผ่อนรถอะไรก็ได้ เราเอาหนี้พวกนี้มากองรวมกัน แบ่งเป็นมัดๆ แล้วก็ออกตราสาร ที่มีหนี้พวกนี้เป็นหลักประกัน ขายให้กับนักลงทุน โดยนักลงทุนก็ซื้อ....มันจะขายได้ดีนะ ถ้ามี AIG ค้ำประกันเราอีกต่อ ... AIG ไม่ต้องเสียเวลาไปทำการตลาด ไปหาลูกค้า ตัดปัญหาไปได้เลย แถมลดค่าใช้จ่ายไปอีกโข
... พวกเราด้านการเงิน จะเป็นคนหาสินค้ามาส่งให้ AIG ถึงหน้าประตูเลย AIG ก็แค่คิดเบี้ยประกัน และเตรียมที่เก็บเงินไว้มากๆหน่อย เพราะมันคงจะได้แยะมากนะ...
สิ่งที่ไอ้หัวแหลมเสนอก็คือ ให้ AIG รับประกันข้าวต้มมัด ที่พวกมันจะไปขายให้นักลงทุน ....เมื่อ AIG เอาด้วย ... ไอ้คนเอาหนี้มาทำข้าวต้มมัด ก็สบายใจขายข้าวต้มมัดคล่อง เพราะมี AIG รับหน้าไป... AIG ก็คิดว่า ตัวเองไม่มีความเสี่ยง ก็หนี้ที่พวกการเงินซื้อมาทำข้าวต้มมัด มันมีหลักประกัน มีหนี้ มีคนชำระหนี้ ทั้งนั้นนี่หว่า .. เราจะเสี่ยงอะไร ไม่ได้กำลมนี่นะ ที่สำคัญ ไม่มีกฏหมายห้าม และเครดิตระดับ AIG สำหรับการให้ประกันแบบนี้ AIG ไม่ต้องมีหลักประกันความเสี่ยงของตัวลงในบัญชีอีกด้วย บัญชีมันก็ลงแต่เป็นรายรับอย่างเดียว
... เฮ้ย... ทำไมมันมีแต่ทางได้กับได้อย่างนี้วะ ... ไม่ทำตามที่ไอ้หัวแหลมแนะนำ ก็โง่ตายหง
CDS หรือ credit default swaps ก็เลยเป็น "สินค้าการเงิน" ตัวใหม่ของสวนสัตว์วอลสตรีท แต่ไม่ใช่เกิดจากพวกการเงิน แต่มันเกิดมาจากผสมพันธ์ระหว่างพวกการเงิน กับพวกประกัน มันเลยกลายเป็นลูกครึ่ง ลูกผสม ที่คนซื้อประกันเองก็ออกจะงง ทางการก็งง... แต่ไม่เป็นไร ตอนไอ้ลูกผสมออกมาใหม่ๆ ทุกฝ่ายรวยกันจ้ำบ้ะหมด
AIGFP เอง กำไรโดดจาก 737 ล้านเหรียญในปี 1999 เป็น 3,260 ล้านเหรียญในปี 2005 ตัว Cassano กับลูกน้องเอง ก็มีค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น เฉลี่ยคนละประมาณ 30 - 46% ใน 7 ปี ที่ผ่านมา AIGFP จ่ายค่าตอบแทนให้พนักงานทั้งหมด เป็นเงินถึง 3,560 ล้านเหรียญ
Cassano ประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า ลูกค้าของเขามีแต่ชั้นเยี่ยมทั้งนั้น ตั้งแต่ธนาคารเงินฝาก ธนาคารเงินทุน กองทุนบำนาญ มูลนิธิชื่อดัง บริษัทประกันภัย เห็ดฟันทุกขนาด ผู้จัดการกองทุน ผู้ลงทุนส่วนบุคคลขนาดโคตรใหญ่ เทศบาล หน่วยงานของรัฐ และผู้ที่อยู่เหนือรัฐ ... แปลว่า เกือบทุกคนที่มีเงินในช่วงนั่น ซื้อตราสารข้าวต้มมัด ที่มี AIG รับประกันเกือบทั้งสิ้น แม่เจ้าโว้ย... มึงเล่นกันได้เก่งจริงๆ
และมันก็น่าแปลกใจ และน่าสนใจมากว่า ไอ้การให้ประกันตราสารข้าวต้มมัดนั้น เพราะมันดันเป็นประกันแบบพันธุ์ผสม คาบลูกคาบดอกหรือยังไง .... เลยไม่อยู่ในความดูแลของหน่วยงานไหน.... ไม่มีใครมาตรวจสอบ ...ไม่อยู่ในกฏกติกาของใคร ไอ้คนคิดนี่มันหัวแหลมจริงๆ... หารูโหว่รอดไปได้เก่งมาก
ว่าไงครับอเมริกา .....ที่อ้างตนเองว่า เป็นเจ้าของหลักการ ทุกอย่างต้องโปร่งใส ทุกอย่างตรวจสอบได้ ตามหลักธรรมาภิบาล ถุด...
เด็กที่เฝ้าเพจนิทานให้ท่านผู้ใหญ่ ที่ชอบอ้างหลักธรรมาภิบาล อย่าลืมก๊อบนิทานเรื่องนี่ไปท่านอ่าน เพื่อเปรียบเทียบ ทบทวนพฤติกรรมกันด้วยนะคร้าบ....
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 15
เช้าวันจันทร์ที่ 15 กันยายน ค.ศ.2008 เรื่องของ AIG น่าจะเป็นข่าวใหญ่ดังคับโลก แต่บังเอิญถูกข่าวเลห์แมนล้มทับตัวเอง กลบเสียมิด
วันจันทร์เดียวกันนั้นเอง AIG ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงอย่างฮวบฮาบ และทำให้ AIG ต้องหาเงินไปใส่บัญชีถึงจำนวน 14,500 ล้านเหรียญ เพื่อเป็นหลักประกันเพิ่มสำหรับจำนวนรับประกันของตัวที่ขยายเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาบ้านที่พวกนักการเงินเอามาทำเป็นข้าวต้มมัดขายชาวบ้าน หล่นจนข้าวต้มมัดไส้แบนแต๋ เหลือแต่ใบตองห่อ ยังดีที่ไม่เป็นใบตองแห้ง...
AIG ยังมีหลักทรัพย์เหลือเฟือที่จะไปขายเอาเงินมาโปะ แต่มันไม่มีทางขายเอาเงินสดจำนวนขนาดนั้นได้ทัน AIG จำเป็นต้องหาเงินให้ได้ภายในวันอังคารที่ 16 กันยายน
เช้าวันอังคาร ท่านประธานเฟดใหญ่ เบน เบอนานเก้ เรียกประชุมด่วนจี๋ หลังจากสั่งให้เจ้าหน้าที่ของเฟด ไปแอบทำการบ้านเรื่องของ AIG อย่างเงียบๆ ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ โดยไม่ให้สื่อรู้ โชคดีของท่านเบน ที่สื่อก็มัวตามดมแต่กลิ่นของเลห์แมนเท่านั้น เลยไม่ได้กลิ่นเน่าของ AIG ที่เริ่มโชยออกมา
ตามรายงานการบ้าน ที่ทำกันเลยไปจนถึงคืนวันจันทร์ ได้ข้อสรุปว่า... แผลของ AIG กว้างและเหวอะลึก เกินกว่าที่พวกสวนสัตว์จะเยียวยากันเองได้ ... และขณะนี้ กองทุน Primary Fund ของเฟดเองก็ถังแตกไปแล้วประมาณ 62, 000 ล้านเหรียญ เพราะต้องเอาไปช่วยผู้ลงทุนของเลห์แมนบางส่วน
ท่านเฮนรี่กับท่านทิม ประสานเสียงกันว่า ระบบการเงินของประเทศ และรวมไปถึงอีกหลายแห่งในโลก กำลังจะพังพินาศ เพราะ AIGFP รับประกัน CDS ไว้ มูลค่าทั้งหมดประมาณ 500,000 ล้านเหรียญ ...นับตัวเลขถูกไหมครับ.... รัฐจำเป็นต้องเข้าไปอุ้มด่วนที่สุด
เช้าวันอังคาร แผนการระดมทุน จำนวน 75,000 ล้านเหรียญของ AIG ล้มเหลว ทุกธนาคารบอกว่า ลืมไปได้เลย มันไม่มีทางเป็นไปได้ ที่เราๆ จะหาเงินในจำนวนมากขนาดนั้นได้ ... รัฐบาล... น่าจะเป็นความหวังอย่างเดียวของ AIG
ในวันอังคารนั้นเช่นกัน หุ้นของ AIG หล่นมากว่า 20% มันตกลง ทีละ 2 หลักอย่างนี้ ติดต่อกันมา 3 วันทำการแล้ว และตั้งแต่ต้นปีมา หุ้น AIG ตกลงไปทั้งหมด 94% และทั้งหมด เป็นผลมาจากการขาดทุนของ AIGFP หน่วยงานเดียวของ AIG....อ้ายย ตายย หินร่วงหมดเลย..
บ่ายวันอังคาร คาวบอยบุชพยายามนั่งทำหน้ารู้เรื่อง ระหว่างที่คณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของท่านคาวบอยและคณะของท่านเฮนรี่กำลังรายงาน และถกกันถึงสถานการณ์ด้านตลาดการเงินของประเทศ และมีข้อเสนอสรุปว่า ...ถ้าท่านคาวบอยไม่อยากเห็นระบบการเงินของอเมริกาล้มระเนระนาดแบบโดมิโน ซึ่งอาจจะลามไปถึงเศรษฐกิจโลก ก็จงรีบเห็นด้วยกับมาตรการ ที่ทางเฟดกำลังเตรียมไว้ แต่มาตรการดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เพราะเรากำลังจะไปเอาเงินภาษีของชาวบ้านตัวเล็กๆ ไปอุ้มยักษ์ใหญ่ ที่กำลังจะล้มเพราะความโลภและความเลว... ประโยคหลังนี่ ผมเขียนเติมเองครับ ...แต่ไม่น่าจะผิดความหมาย หรือเกินเลยความจริง
เย็นวันอังคาร หลังตลาดค้าหุ้นปิด AIG ออกแถลงการณ์ ว่าการประกันทั่วไปอื่นๆ ของ AIG และกองทุนบำนาญ ไม่มีปัญหานะ เราสามารถรับผิดชอบภาระของเราได้ และเรากำลังดำเนินการหาเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้น เข้ามาเพิ่มจากบริษัทในเครือ และจากตลาดแถบเอเซีย ..
เย็นวันอังคารเดียวกันนั้น ท่านพอล และท่านเบน จัดการประชุมด่วน ระหว่างตัวแทนของฝ่ายรัฐสภาระดับหัวหน้า กับทางฝ่ายเฟด หารือกันอย่างเคร่งเครียด ในที่สุดตกลงกันได้ในคืนวันอังคารนั้นว่า ฝ่ายรัฐ โดยเฟด จะให้เงินกู้กับ AIG เป็นจำนวน 85,000 ล้านเหรียญ (คิดเร็วๆ ประมาณ 2.5 ล้านล้านบาทน่ะครับ) โดย AIG จะต้องส่งมอบหุ้นให้รัฐบาล เป็นจำนวนประมาณ 80% และออกหุ้นกู้ อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยประมาณ 11% ให้กับรัฐ
นอกจากนี้ AIG ยังต้องมอบทรัพย์สินอีกบางส่วนให้แก่รัฐ กันเหนียวไว้ เผื่อตลาดยังพุ่งหลาวไม่เลิก แต่ถ้าหุ้น AIG เกิดพุ่งขึ้น ประชาชนชาวอเมริกันก็อาจได้รับกำไรนะ เพราะไอ้ที่บอกว่าเป็นการสนับสนุนโดยรัฐสภา แต่เงินทั้งหมดที่เอาไปอุ้ม AIG มันเป็นเงินที่มาจากภาษีของประชาชนชาวอเมริกันทั้งนั้นนะคร้าบ...
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่เฟดใช้อำนาจตาม Federal Reserve Act อย่างที่ไม่เคยใช้ ในการแก้ปัญหา ด้วยการให้เงินกู้กับ "ผู้ที่มิได้เป็นธนาคาร" non bank ในกรณีที่เป็นเรื่องไม่ปกติและเป็นเรื่องฉุกเฉิน ... อ้อ คงคล้ายกับ ม.44 ของลุงตู่นะ... ถ้างั้นเวลาไอ้พวกเวรมันมาเหน็บลุงตู่ เราก็อ้างมั่งสิว่า เอ็งก็เคยใช้ แค่เป็นโรงพิมพ์แบงค์กงเต็ก ยังมีอำนาจล้นเหลือ ของเรานี่...นายกรัฐมนตรี นะเว้ย
แต่ในที่สุด จำนวนเงินกู้ที่เฟดให้กับ AIG ก็งอกต่อไปถึง 150,000 ล้านเหรียญ (150 billion) ผมคูณเป็นเงินบาทไม่ถูกเลย... มันเล่นกันขนาดนี้... แล้วเงินแม่งเม่าอย่างเราๆ จะไปสู้อะไรเขาได้ เขาเล่นปั่นแปะกันที เป็นล้านล้านเหรียญอย่างนี้
พร้อมกับการให้เงินกู้ ฝ่ายรัฐยืนยันว่า Robert Willumstad หัวหน้าใหญ่ของ AIG ต้องลาออก และให้ Edward Liddy หัวหน้าอีกคนของ AIG ขึ้นมาเป็นหมายเลขหนึ่งแทน โดยท่านเฮนรี่เป็นคนบอกให้ Willumstad ลาออก ด้วยตัวเอง บทเข้มอีกแล้ว
Robert Willumstad มาร่วมงานกับ AIG ในฐานะกรรมการตั้งแต่ปี ค.ศ.2006 ก่อนหน้านั้น เขาทำงานกับ Citigroup Inc อ้าว.. ไม่ใช่พวกเดียวกันเหรอครับ
ส่วน Edward Liddy เคยทำงานที่ G.D. Searl กับ Donald Rumsfeld ( เหยี่ยวกระหายเลือด อดีต รมต.กลาโหม ของคาวบอยบุช สมัย 2001 - 2006 และเป็นสมาชิก CFR และ เป็นก๊วนชิคาโกของท่านร้อกกี้หินร่วง) และ Liddy ยังเป็นกรรมการของ Goldman Sachs บ้านเก่าของท่านเฮนรี่ด้วย .. อย่างนี้ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ที่มีการเปลี่ยนตัว มาเป็น Liddy
แต่ผมสิ แปลกใจ... ไอ้ G D Searl นี่มันเป็นบริษัทขายยานี่นา แถมดังมาจากการขายยาคุม .... เหยี่ยวกระหายเลือดขายยาคุม ฮา....ชะมัด ..เออ ลืมไป ท่านหินร่วงท่านชอบตอนพันธุ์มนุษย์ ...บ้านเราก็โดน ไปหานิทานเก่ามาอ่านแล้วกันครับ
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
16 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 16
ดูเหมือนปฏิบัติการช่วย AIG จะสำเร็จด้วยดี จากแรงผลัก และ แรงดันของ ท่านเฮนรี่ ซึ่งคงไม่อยากให้ระบบการเงินของอเมริกา และอีกหลายแห่งในโลกล่มในสมัยท่านนั่งแท่นคลัง....เฮ้อ... น่าชื่นใจ นะครับ มีรัฐมนตรีคลังอย่างนี้...
แต่ย้อนหลังไปเมื่อต้นปี วันที่ 28 มกราคม ค.ศ.2008 ฝ่ายบริหารของ โกลด์แมนกับฝ่ายบริหารของ AIG เบ็ดเสร็จรวม 21 คน กำลังประชุมผ่านโทรศัพท์ เพื่อจะหาข้อยุติของปัญหาระหว่าง 2 ฝ่าย ที่ค้างคามาหลายเดือน
เรื่องมันเริ่มมาจากว่า AIG ไปตกลงรับประกันตราสารข้าวต้มมัด CDO ชนิดที่เกี่ยวกับการจำนองบ้าน ซึ่งโกลด์แมนเป็นผู้ออก และมีเงื่อนไขยากแก่การเข้าใจอย่างยิ่ง อธิบายแบบง่ายๆ คือ ถ้าราคาบ้านที่เอามาจำนอง และใช้เป็นไส้ของข้าวต้มมัดนั้น พากันตกรูด โกลด์แมนมีสิทธิเรียกร้องให้ AIG ต้องเอาเงินประกันมาวางเพิ่ม เพื่อเตรียมไว้เป็นค่าเสียหาย ถ้ามีผู้จำนองเบี้ยวหนี้ เพราะราคาบ้านมันตกรูด และ โกลด์แมนก็ได้เรียกร้องให้ AIG จ่ายเงินในกรณีนี้ เป็นจำนวนถึง 2,000 พันล้านเหรียญไปแล้ว และ AIG ก็จ่ายไปให้โกลด์แมนตามที่เรียกร้องไปแล้ว
ต่อมา ฝ่าย AIG กลับมาบอกว่า โกลด์แมนคิดราคาค่าเสียหายมากเกินไป เกินความเป็นจริงไปแยะเลย ต่างฝ่ายต่างเถียงกัน มีบางคนบอกว่า ดีที่สุด ก็เอาบุคคลที่ 3 มาช่วยประเมินค่า(ที่น่าจะ) เสียหายสิ ...แต่โกลด์แมนไม่ตกลง และการเจรจาก็เลยจบลง... ชั่วคราว
การเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆ ระหว่างสมาชิกสวนสัตว์วอลสตรีท เป็นเรื่องปกติ ที่จะไม่มีใครยอมใครง่ายๆ
แต่เรื่องระหว่าง โกลด์แมน กับ AIG อาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนอ้าปากค้าง...
หลังจากที่รัฐตกลงที่จะอุ้ม AIG และค่าอุ้ม ที่ตกลงกันไว้ว่า ประมาณ 85,000 ล้านเหรียญ ได้บานทะโร่ไปถึง 180,000 ล้านเหรียญ (ตัวเลขไม่ผิดครับ) ฝ่ายรัฐ ก็สงสัย ไล่ตรวจสอบข้อเรียกร้อง และจำนวนที่เรียกร้องของเจ้าหนี้ทุกรายของ AIG และเห็นว่า รายที่เรียกมากที่สุด... ก็คือ โกลด์แมน ของท่านเฮนรี่นั่นแหละ โดยเฉพาะเป็นข้อเรียกร้องในช่วงที่ ค.ศ.2007-2008 ที่ตลาดจำนองบ้านกำลังซวนเซใกล้เทกระจาดเต็มทน
ทางการ โดยเฉพาะจาก SEC ตั้งข้อสงสัยว่า การเรียกร้อง การทวงเงิน ของโกลด์แมน มีส่วนที่ทำให้ตลาดจำนองบ้าน ฉิบหายมากขึ้น และเร็วขึ้นหรือไม่
แค่ในช่วงเวลา 1 ปี ก่อนที่รัฐจะมาอุ้ม AIG นั้น โกลด์แมนซิวจาก AIG ไปแล้วมากกว่า 7,000 ล้านเหรียญ และเมื่อรัฐมาอุ้ม AIG แล้ว โกลด์แมนยังเรียกร้องเพิ่ม และได้เงินไปพร้อมกับเจ้าหนี้รายอื่นๆของ AIG จากเงินกู้ของรัฐ หรือเงินภาษีของชาวอเมริกันน่ะ โดยโกลด์แมนได้ไปอีก 12,900 ล้านเหรียญ
นอกจากนี้ SEC ยังตรวจสอบพบว่า จำนวนเงิน 11,000 ล้านเหรียญ ที่ AIG จ่ายไปให้กับ Societe Generale ธนาคารฝรั่งเศสที่เป็นคู่ค้ากับ AIG นั้น ธนาคารฝรั่งเศส กลับโอนเงินจำนวนดังกล่าว ไปให้กับโกลด์แมน อีกต่อหนึ่ง อ้างว่าเป็นไปตามข้อตกลง ที่ธนาคารฝรั่งเศส ทำไว้กับโกลแมนด์ ....สนุกกันใหญ่ วุ้ย
โกลด์แมน เริ่มมีกำไรสูงอย่างมาก จากตลาดบ้านที่เริ่มทรุด ในปลายปี 2006 ยิ่งราคาบ้านที่เอามาจำนองลดลงเท่าไหร โกลด์แมนก็ยิ่งกำไรเพิ่มขึ้น เหมือนกับ โกลด์แมน เก็ง หรือพนันว่า ตลาดบ้านจะราคาลง ขณะเดียวกัน ถ้าราคาบ้านลงมากๆ และคนกู้เงินโดยจำนองบ้าน ทิ้งเงินกู้ ผู้ที่ต้องมารับภาระใช้หนี้ธนาคาร ก็คือ บริษัทประกัน ที่มารับประกันตราสารเอาไว้ และในกรณีนี้ ก็คือ AIG
และนี่ น่าจะเป็นสาเหตุใหญ่ ของการโต้เถียงเกี่ยวกับเรื่องค่าเสียหาย ที่ โกลด์แมนเรียกร้องจาก AIG
การโต้แย้งเรื่องค่าเสียหายของ โกลด์แมน นอกจากทำให้ฝ่ายรัฐทั้งงง และสงสัยแล้ว ฝ่ายนักวิชาการ ก็ยังออกมาตั้งข้อสงสัยด้วยว่า ข้อโต้แย้งของทั้ง 2 ฝ่ายมันดูไม่มีเหตุผลเลย และมันดูเหมือนจะเป็นแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็ง ที่โผล่ขึ้นมาด้วยซ้ำ.. มันไม่ใช่ เรื่องใครถูก ใครผิดด้วย ...มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแยะ และมันน่าจะเป็นผลทางบวกกับโกลด์แมน เอาเสียด้วย ในการที่ออกมาโวยว่า... เฮ้ย... AIG คุณเป็นหนี้ผมแยะมากนะ....
David A Viniar หัวหน้าฝ่านการเงินของโกลด์แมน คุยเรื่องนี้กับผู้สื่อข่าวว่า ตัวเขาเองคิดว่า จำนวนเงินที่ทั้ง 2 ฝ่ายโต้แย้งกัน มันน้อยกว่าที่พวกเขาคิดนะ
ผู้สื่อข่าวถามกลับว่า ....แล้วไอ้การทวงหนี้โวยวาย ของโกลด์แมน นี่ มันมีส่วนทำให้สถานะของ AIG ยิ่งแย่ลงหรือเปล่านะ Viniar บอก... ไม่ใช่ เราเรียกร้องตามเงื่อนไขของการประกันนะ...เราไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย
Lucas van Praag โฆษกของ โกลด์แมน ย้ำว่า ... เราเพียงเรียกเอาหลักประกันเพิ่ม ตามสิทธิของเรา ที่มีอยู่ในข้อสัญญาระหว่างเรากับ AIG ... ที่ลือกันว่า AIG ล้ม ...เพราะเราทวงหลักประกันนี่ ...มันเกินไปหน่อยนะ
สัญญาอะไร... โฆษกยิ่งอธิบาย ชาวบ้านยิ่งงง ในสายตาคนนอก ต่างมองว่า เรื่องโกลด์แมน AIG นี่มันพิลึก และออกกลิ่นทะแม่ง...
ส่วนที่ทะแม่งหนัก ก็คือ ระหว่าง AIG กับ โกลด์แมนนั้น ถ้า AIG ไม่รับประกันตราสารให้โกลด์แมน โกลด์แมนก็คงขายตราสารยาก และคงทำกำไรยาก แต่เมื่อตลาดจำนองล่ม AIG ฉิบหายขนาดหนัก แต่โกลด์แมนรวยเละ ....
AIG ของท่าน Maurice Greenberg เพื่อนซี้ของท่านร้อกกี้หินร่วง ...โดนหักเขี้ยวขนาดนี้เชียวหรือ
และในความเป็นจริง AIG กับ โกลด์แมน ก็มีสัมพันธ์อันดี ลึกซึ้งและยาวนานมาเป็นเวลาหลายสิบปี และในช่วงปี ค.ศ.1990 กว่าๆ ทั้ง 2 ฝ่าย คิดจะผสมพันธุ์ควบรวมกันเสียด้วยซ้ำ แต่แล้วก็มีการเปลี่ยนแผน.... AIG ไปตั้ง AIGFP ในปี ค.ศ.1998 และกระโจนเข้ามาคลุกกับชาวสวนสัตว์วอลสตรีทเต็มตัว ด้วยการรับค้ำประกันแบบ CDS นั่นไง
เรื่องของ โกลด์แมน กับ AIG และ วิกฤติ 2008 จึงต้องดูแบบใช้แว่นขยายช่วย
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
17 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 17
ปลายเดือนตุลาคม ค.ศ.2007 Jonathan M Egol เทรดเดอร์ของโกลด์แมน กลายเป็นหนุ่ม ที่เพื่อนร่วมงานพากันอิจฉา อายุแค่ 37 แต่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการของโกลด์แมน ยักษ์ใหญ่แห่งสวนสัตว์วอลสตรีท ... Egol ไม่ได้โชคดี แต่เขาคงจะทำอะไรที่โกลด์แมนด์เห็นว่าดีเยี่ยม...
Egol หนุ่มน้อยจบจากมหาวิทยาลัย Princeton คิดสินค้าทางการเงินตัวใหม่ ที่โยงกับการจำนองบ้านได้ ชื่อ Abacus หรือ ไอ้ลูกคิด ตอนแรก เขาคิดจะใช้ไอ้ลูกคิดเป็นตัวช่วยโกลด์แมน ถ้าตลาดบ้านเกิดวาย... ไปๆมาๆ ไอ้ลูกคิด ถูกนำมาใช้ในแนวทางอื่น และแถมทำกำไรให้โกลด์แมนอย่างมโหฬาร
สินค้าทางการเงินตัวใหม่ ชื่อไอ้ลูกคิดนี้ มันเหมือนเป็นตัวก๊อบปี้ หรือตัวปลอมของตราสารข้าวต้มมัด CDO พวกสวนสัตว์วอลสตรีท เลยเรียกมันว่า synthetic collateralized debt obligations หรือ CDOs
โกลด์แมนเริ่มออกตราสาร "ลูกคิด" ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.2005 ลูกค้าของโกลด์แมน พากันลงทุน แต่ช่วงนั้น ตลาดบ้านยังลงๆขึ้นๆ พวกที่เก็งจังหวะผิด ก็เจ๊งไปเท่านั้น แต่ถึงช่วง ค.ศ.2007-2008 โกลด์แมนโหมออก "ลูกคิด" เพิ่มอีกมาก โดยขายให้ลูกค้าเป็นส่วนน้อย และเก็บส่วนใหญ่เอาไว้เป็นการลงทุนของตัวเอง
แต่คนที่ลงทุนใน ตราสาร "ลูกคิด" ก่อนใครหมด และกำไรมากที่สุด คงไม่มีใครเกิน จอห์น John Paulson นามสกุลเหมือนท่านเฮนรี่ แต่เขาว่า ไม่มีอะไรเกี่ยวกัน แต่คงเป็นประเภทมีเขี้ยวยาวเหมือนกัน
ประมาณปี ค.ศ. 2005 ตอนนั้น จอห์นเขี้ยว อายุ 49 แล้ว เป็นเจ้าของเห็ดฟันเล็กๆ Paulson & Co ที่ทำได้แค่ลงทุน ซื้อมาขายไป เพราะ เห็ดฟันออกหลักทรัพย์ ตราสาร ฯลฯ เองไม่ได้
แต่ จอห์นเขี้ยว ตาแหลมและ หัวแหลม มองเห็นอาการตลาดวายก่อนใคร เขาอ้างว่า เขานั่งรวบรวมข้อมูลสถิติ เกี่ยวกับราคาขึ้นลงของบ้าน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1975 จนถึง ค.ศ.2000 และได้ข้อสรุปว่า ราคาบ้านต้องตกแน่ แม้ตอนนั้นใครๆ จะเชื่อว่าราคาบ้านยังไปได้ดี แต่ จอห์นเขี้ยว บอกตกแน่... เชื่อผม .... และตกกว่า 40% เชียวนะ ....แต่ไม่มีใครเชื่อเขา
ทีมของ จอห์นเขี้ยว เดินสายคุยกับพวกอินเวสต์เมนท์แบงค์ต่างๆ เช่น Bear Stearns, Deutsche Bank, Goldman Sachs ชวนให้พวกแบงค์ออก CDO ข้าวต้มมัด และ จอห์นเขี้ยว จะเป็นฝ่ายซื้อประกัน CDS ชนิดที่รับประกันว่า ถ้าราคาบ้านลงถึงจุดหนึ่ง ประกันต้องจ่ายเงิน ประกบกันไปกับ CDO นั้น กะเคี้ยวประกันเลย
ตกลงมันไม่ใช่เป็น CDS เพื่อประกัน CDO แบบเดิมๆ ว่า ถ้าลูกหนี้เบี้ยวหนี้เมื่อไหร่ ประกันจะจ่ายหนี้แทน ไอ้ CDO แบบเดิมอย่างนั้น ก็น่าเวียนหัวอยู่แล้ว ว่าใครเป็นเจ้าของจำนองกันแน่ แต่คนลงทุนก็ยังซื้อ CDO ข้าวต้มมัด เพราะมีประกัน CDS
แต่ Josh Birnbaum เทรดเดอร์มือหนึ่งของโกลแมนด์ กลับสนใจแนวคิดการลงทุนของ JP เขาเชิญ จอห์นเขี้ยว มาคุยที่ออฟฟิส
หลังจากคุยกันจนแน่ใจว่า จะสร้างข้าวต้มมัดใหม่ เพื่อออก (หลอก!) ขายอย่างไรดี ทีมของโกลด์แมน ที่นำโดย Egol ก็ทำการบ้านจนได้สูตรตาม ที่ จอห์นเขี้ยว ต้องการ
หลังจากนั้น ทางโกลด์แมนก็ไปกว้านซื้อสัญญาจำนอง ที่ได้รับการประเมินว่าเป็นพวกเครดิตติดลบ มาหลายระดับ บางระดับมีแต่สัญญาจำนอง ที่มีลูกหนี้ชื่อนิน่าทั้งนั้น และหลายรายก็ผิดนัดแล้ว แต่โกลด์แมนเอายังเอามารวมกัน ทำเป็นข้าวต้มมัด CDO แล้วนำมาเป็นหลักประกันในการออกตราสาร แบบที่โกลแมนด์เรียกว่า ABACUS ไอ้ลูกคิด และเอาออกขายให้กับลูกค้า ที่มีหลากหลาย เช่นลูกค้าอย่าง จอห์นเขี้ยว ที่เชื่อว่า ตลาดบ้านจะวาย โดย จอห์นเขี้ยว เลือกเอาประกัน CDS แบบที่ประกันจ่ายงามหยด ถ้าตลาดบ้านเจ๊งแบบทะรูด อีกด้วย
นอกจากขาย CDO Abacus ให้กับ จอห์นเขี้ยว แล้ว โกลด์แมนยังออก Abacus อีกหลายรุ่น โดยส่วนใหญ่เก็บไว้เอง และเอาประกันกรณีตลาดบ้านเจ๊งทะรูดเช่นเดียวกับ จอห์นเขี้ยว ด้วย โดยซื้อประกันจาก AIG นั่นแหละ ที่เหลือเชื่อ คือ โกลด์แมนขายบางส่วนของตราสารลูกคิด ให้กับผู้ลงทุนรายอื่น โดยไม่บอกว่าตัวเองเก็บไว้ และประกันไปในทางลบ
จริงๆแล้ว CDO Abacus แทบจะไม่เกี่ยวกับหนี้จำนองของลูกหนี้เลย มันกลายเป็นการพนันราคาบ้านกันมากกว่า ว่า ถ้าราคาบ้านตกลงไปถึงจุดหนึ่ง ประกันก็จะต้องจ่ายค่าเสียหาย คนที่จะลงทุนในตราสารแบบนี้ ก็คือ พวกที่เชื่อว่าราคาบ้านจะรูดลงไปเรื่อยๆ ตกลงไอ้ CDOs หรือ ไอ้ลูกคิด มันไม่ใช่เป็นตราสาร หรือ หลักทรัพย์ปกติ แต่มันกลายเป็นเหมือนตั๋วพนัน... ที่ธนาคารออก และมีพวกประกันรับรอง....มันทำให้วอลสตรีท กลายเป็นบ่อนการพนันแข่งกับลาสเวกัส
Scott Eichel เทรดเดอร์อาวุโสของ Bear Stearns บอกว่า... มันพิลึกนะ ...เราจะขายตราสารให้กับผู้ลงทุน ... แต่เราไม่บอกกับผู้ลงทุนว่า เราเอง กำลังจะทำทุกอย่าง ที่จะให้ตราสารนั้น ราคาตกลงเรื่อยๆ...
นักวิชาการบางคนบอกว่า.... มันเหมือนกับคุณไปซื้อประกันบ้านคนอื่น แต่คุณดันเป็นคนเผาบ้านเขาเสียเอง เพื่อเอาประกัน นั่นแหละ
แต่โกลด์แมนไม่ได้เป็นรายเดียวที่ออกตราสาร "ลูกคิด" สมาชิกสวนสัตว์วอลสตรีทรายอื่นๆ ก็พากันออกตราสารทำนองนี้กันเป็นแถว เช่น Deutsche Bank และ Morgan Stanley รวมทั้งบริษัทการเงินเล็กๆ ชื่อ Tricadia Inc. ซึ่ง อยู่ในความดูแลของ Lewis A Sachs ซึ่งปีต่อมา นาย Sachs นี่ ก็ได้เป็นที่ปรึกษาพิเศษของท่านทิม Timothy F Geithner ที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง เมื่อท่านใบตองแห้งโอบามาของผม ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี ค.ศ.2009
ส่วน จอห์นเขี้ยว นั้น ลงพนันในข้าวต้มมัด ลูกคิด มูลค่าทั้งหมดในรอบแรกนั้น ถึงจำนวน 5,000 ล้านเหรียญ เขาต้องมีความเชื่อมั่นมากว่าราคาบ้านจะลง ...
คำถามคือ เขาเอาเงินที่ไหนมาซื้อลูกคิดได้ขนาดนั้น ผมหาข้อมูลตรงนี้ไม่ได้ มีแต่บอกว่า ไม่กี่เดือนต่อมา เขาก็ได้กำไรประมาณ 4,000 ล้านเหรียญ.... กว่าแสนล้านบาทนะครับ เขี้ยวยาวจริงๆ
เป็นการ "ลงทุน" ที่กำไรดีเหลือเชื่อ และนี่ เป็นเศษเสี้ยวเดียว ที่เรารู้... แต่อย่างน้อย ข้อมูลที่ผมพอหาเจอ... จอห์นเขี้ยว หรือ John Paulson เป็นสมาชิก CFR มีชื่อ ติดอยู่กับ King Henry Paulson ของโกลด์แมน....ไม่รู้มันจะอธิบายอะไรได้บ้างไหม นอกจากนั้น ประวัติของเขาสั้นมาก และแถมบอกว่า เขาจาก "จ้าง" ให้มีการลบชื่อ และข้อมูลเกี่ยวกับเขา ออกจากสื่อต่างๆ อีกด้วย ... ลุงนิทานมีหวังได้รับการติดต่อ...
หลังจากนั้น จอห์นเขี้ยว ก็ร่วมทำรายการแบบนี้กับโกลด์แมน และอีกหลายแบงค์ไปเรื่อยๆ
รายได้ของ จอห์นเขี้ยว คนเดียว แค่ในปี ค.ศ.2007 ปีเดียว สูงถึง 4,000 ล้านเหรียญ นับเป็นจำนวนที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ สำหรับการทำรายได้ใน"สินค้า" ตัวเดียว ในปีเดียว และปีต่อมา จอห์นเขี้ยว ก็ทำเงินได้อีก 5,000 ล้านเหรียญ จากการพนันว่า ราคาบ้านจะร่วงแบบเดิมนั่นแหละ
ระหว่างปี 2005 ถึง ปี 2007 อย่างน้อยมี การออก CDOs ประมาณ 108,000 ล้านเหรียญ และอาจมีจำนวนสูงกว่านั้น เพราะ CDOs ออกโดยแบงค์ ได้ตามใจอย่างที่ลูกค้าต้องการ เพราะ(ยัง) ไม่มีกฏหมาย กติกา หรือหลักเกณท์ใดมาห้ามและไม่ต้องทำรายงานส่งหน่วยงานใดของทางการ อีกด้วย
การออก และขาย CDOs และซื้อประกันขาลงแบบนี้ น่าจะเป็นตัวเร่ง ให้หายนะทางเศรษฐกิจ เกิดเร็วและแรงขึ้น ความเสียหายจากรายการ CDOs จำนวน 8,000 ล้านเหรียญ ยังปรากฏหลักฐานอยู่ในบัญชีของ AIG เมื่อรัฐเข้าไปอุ้มในเดือนกันยายน ค.ศ.2008
และ CDOs แบบ Abacus กับการทำประกัน CDS กับ AIG น่าจะเป็นส่วนสำคัญของการโต้แย้งระหว่าง โกลด์แมน กับ AIG ที่ต่างก็ออกอาการ เหมือนน้ำท่วมถึงรูจมูก จนพูดไม่ออก
คำถามที่ค้างอยู่ คือ ตราสาร หรือหลักทรัพย์ข้าวต้มมัด CDO และ CDOs นั้น มีประกันทั้งนั้น และผู้ที่ให้ประกันมากที่สุดก็คือ AIGFP ไม่ว่าจะเป็นในแบบปรกติ หรือในแบบราคาบ้านรูด แปลว่า ถ้าบ้านราคารูดลง โอกาสที่ AIG จะต้องจ่ายค่าเสียหายตามประกันจะยิ่งสูงมากขึ้นอย่างน่ากลัว ...AIG ทำธุรกิจอย่างโง่สุดขีด หรือมันเป็นสมคบกัน ให้เกิดความหายนะต่อ AIG ...หรือแย่ไปกว่านั้น.... AIG เอง ก็ร่วมสมคบอยู่ในขบวนการ... ที่จะให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ นั้นด้วย.....
ถึงกลางปี ค.ศ.2009 มีรายงานว่า การบังคับจำนองบ้านของคนอเมริกัน มีอัตราสูง ถึง 1 ต่อ 10 และราคาบ้าน ตกลงมากกว่า 30% จากราคาสูงสุดในปี 2006 ในบางรัฐเช่น ไมอามี ฟีนิกซ์ ลาส เวกัส ตกลงมามากกว่า 40% และ ที่แย่อย่างยิ่งคือ กว่า 30% ของบ้านที่ยังติดจำนอง เป็นบ้านที่ยังจมอยู่ในน้ำที่ท่วมจากเฮอริเคนแคทรินนาตั้งแต่ปี 2008 กับเป็นพวกที่จำนวนหนี้จำนองสูงกว่าราคาบ้านในปัจจุบัน .... มันเป็นตัวเลขที่เลวที่สุดในรอบ 75 ปีของอเมริกา
(เรื่องระหว่างโกลด์แมน กับ AIG นั้น ผมเอาข้อมูลมาจาก The New York Times วันที่ 23 ธันวาคม 2009 " Banks Bundled Bad Debt, Bet against it and Won" และ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2010 " Testy Goldman Helped Push AIG to Edge" )
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
18 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 18
เรื่องของโกลด์แมน กับ AIG คงไม่ใช่เป็นเรื่องธุรกิจการค้าธรรมดา
Goldman Sachs Group Inc. เป็น บริษัทอเมริกัน ที่ทำธุรกิจด้านอินเวสเม้นท์แบงค์ คือ จัดหาทุน ออกหลักทรัพย์ ตราสาร ค้าหลักทรัพย์และตราสาร รวมทั้งให้บริการ และคำปรึกษาเกี่ยวกับด้านการเงิน การลงทุน
ลูกค้าส่วนใหญ่ของโกลด์แมน เป็น นิติบุคลคล สถาบัน หรือกองทุนขนาดใหญ่
เขาเป็นยักษ์ใหญ่ ลูกค้าก็คงเป็นพวกยักษ์ด้วยกัน
โกลด์แมน ตั้งขึ้นตั้งแต่ ค.ศ.1869 โดย Marcus Goldman ชาวยิวอพยพมาจาก แฟรงเฟิร์ต เยอรมัน ตอนแรกใช้นามสกุล Marx พอมาอเมริกา เลยเปลี่ยนเป็น Goldman และทำอาชีพเป็นนายหน้าหาเงินกู้ให้กับพวกยิวอพยพด้วยกัน
หลังจากเอาลูกเขย Samuel Sachs กับลูกชายมาร่วมงาน ก็เลยเปลี่ยนชื่อบริษัทรอบแรกเป็น Goldman Sachs & Co
เริ่มแรก โกลด์แมนเป็นธุรกิจที่ทำกันเองในครอบครัว และมีชื่อดัง จากการค้าตราสารทางการค้า เป็นรายแรกของสวนสัตว์วอลสตรีท
ค.ศ.1912 โกลด์แมน รับคนนอกรายแรกมาทำงาน Henry S Bowers มาเป็นหุ้นส่วน แต่ก็ยังไม่ทำให้โกลด์แมนดังเท่าไหร่ โกลด์แมนมาเริ่มดังเอาปี ค.ศ.1930 เมื่อมี Sidney Weinberg คนนอกครอบครัวอีกคน มาดูแลโกลด์แมน ในตำแหน่งหุ้นส่วนอาสุโส
Weinberg มาจากครอบครัวชาวยิวอพยพ ที่เป็นตัวแทนขายเหล้า (อาชีพเดียวกับตระกูลบุชสมัยปู่คาวบอย) เขาเริ่มอาชีพทางด้านการเงิน จากการเป็นเด็กวิ่งส่งตั๋วพนันหุ้น หลังจากนั้นก็ขยับขึ้นมาเป็นเป็นภารโรง ขัดรองเท้า ขัดหมวกให้กับเจ้านาย จน Paul J Sachs หลานนายใหญ่ถูกใจ เลยให้รับหน้าที่เป็นคนรับเอกสาร แล้วก็เลื่อนชั้นไปเรื่อยๆ จนได้เป็นเป็นเทรดเดอร์ คนค้าหุ้น และเป็นหุ้นส่วนอาวุโสในที่สุด.....บทนี้ คงเป็นตัวอย่าง ของความพากเพียร ขยันอดทน....
โกลด์แมน ภายใต้การดูแลของ Weinberg ก้าวหน้าไปไกลมาก ทั้งด้านธุรกิจและด้านการเมือง
Weinberg คบเป็นเพื่อนกับ Franklin D Roosevelt จากการเป็นสมาชิก ของกรรมาธิการด้านการเงินของพรรคเดโมแครตด้วยกัน เมื่อรูสเวลท์เตรียมตัวลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี ค.ศ.1932 Weinberg ก็ทำหน้าที่เป็นตัวแทน ประสานงานกับสวนสัตว์วอลสตรีท (เรียกเสียหรู จริงๆ ก็คือหาทุนจากสวนสัตว์วอลสตรีท เอามาสนับสนุนคนที่พวกตัวเล็งไว้ ให้เป็นประธานาธิบดี)
เมื่อรูสเวลท์ได้เป็นประธานาธิบดี ในปี ค.ศ.1933 รูสเวลท์ก็ตอบแทนเพื่อน โดยให้ Weinberg ตั้งคณะทำงานของภาคเอกชน เพื่อทำหน้าที่ให้คำแนะนำรัฐบาล ซึ่ง Weinberg ก็เลือกแต่พรรคพวกตัวเองเข้าไปอยู่ในคณะทำงานนั้น
ในปี ค.ศ.1941 เมื่ออเมริกาตกลงให้ความร่วมมือกับอังกฤษ เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 Weinberg มีบทบาทสูงมากทีเดียว ในการช่วยรัฐบาลจัดหาเงินทุน เพื่อเอาไว้ใช้ในการผลิตทางด้านอุตสาหกรรม (ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์น่ะครับ)
ต่อมา ท่านประธานาธิบดี ก็มอบหมายให้ Weinberg ตั้งคณะที่ปรึกษา Industry Advisory Committee เพื่อประสานงานกับฝ่าย War Production ที่อยู่ภายใต้การเป็นประธานของ Donald M Nelson และในปี ค.ศ.1942 รูสเวลท์ ก็ตั้งให้ Weinberg เป็นรองประธานของ War Production
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 Weinberg ยังเดินหน้าสร้างสัมพันธ์กับด้านการเมืองต่อ โดยเป็นฝ่ายหาทุนให้กับ Dwight D Eisenhower ในปี ค.ศ.1952 และเมื่อ ไอเซนฮาวเออร์ ได้เป็นประธานาธิบดี พรรคพวก ที่ Weinberg แนะนำ เช่น George M Humphrey ของ M A Hanna Company ก็ได้รับตำแหน่ง รัฐมนตรีคลัง Charles Erwin Wilson ของ General Motors ก็ได้รับตำแหน่งกลาโหม และ Robert T Stevens ก็ได้เป็นรัฐมนตรีด้านกองทัพ
ในปี ค.ศ.1964 เมื่อ Weinberg สนับสนุน Lyndon B Johnson จนได้เป็นประธานาธิบดี พรรคพวก ที่ Weinberg แนะนำ เช่น John T Connor ก็ได้เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ และ Henry H Fowler ก็ได้เป็นรัฐมนตรีคลัง
นี่เขาจับมือ(จูง) ได้ถึง 3 ประธานาธิบดี ติดต่อกันเชียวนะ
และคงไม่ใช่ Weinberg คนเดียว ที่ทำให้ โกลด์แมน มีสัมพันธ์อันดียิ่งกับรัฐบาลอเมริกันได้ จนบางครั้งคล้ายจะสั่งการรัฐบาล และทำการแทนกันได้หลายอย่าง เหมือนคนเป็นฝาแฝดกัน.....
ระหว่างที่ Weinberg เป็นหุ้นส่วนอาวุโส โกลด์แมนยังมีหุ้นส่วนจูเนียร์อีกหลายคน แต่คนที่น่าจะมีส่วนทำให้โกลด์แมนเป็นยักษ์ใหญ่ยืนยง คือ John C Whitehead ที่ใหญ่....อย่างเงียบเหลือเชื่อ
John C Whitehead อายุน้อยกว่า Weinberg ประมาณ 30 ปี เกิดปี ค.ศ.1922 พ่อเป็นช่างไฟฟ้า ที่ถูกให้ออกจากงานช่วงเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง จนต้องขายเครื่องเรือนในบ้าน เพื่อเอาเงินมาเป็นค่าอาหาร เขาเรียนหนังสือที่โรงเรียนของพวก Quackers (พวกเคร่งศาสนา) ระหว่างเรียน ก็ไปเข้ากลุ่มกับพวกลูกเสือ และได้รับเกียรติ เป็น eagle scout ... รู้สึกนิทานเรื่องนี้ เราจะมี eagle scout หลายตัวนะครับ
พอเกิดสงครามโลก Whitehead ก็ไปสมัครเป็นทหารเรือ และไปรบทั้งที่ นอร์มังดี และอิโวจิมา พอสงครามเลิก ก็กลับมาเรียนหนังสือต่อที่ ฮาร์วาด เรียนจบ โกลด์แมนก็มาเลือกตัวเอาไปทำงานในปี
ค.ศ.1947 Whitehead เขียนเล่าไว้ในประวัติตัวเองว่า เขาเป็นคนเดียวในรุ่น ที่ โกลด์แมน เลือก และปีนั้น โกลด์แมนก็เลือกแค่เขาคนเดียว ไม่เลือกละอ่อนจากมหาวิทยาลัยไหนอีก และ Whitehead ก็กลายเป็นผู้ที่ Weinberg หมายตาให้เป็นทายาท รับหน้าที่พาโกลด์แมนไปให้ถึงเป้าหมาย....
ตามประวัติของเขา บอกว่า ระหว่างทำงานกับโกลด์แมน ปี ค.ศ.1984 Whitehead ถูก Henry Kissinger มาลากตัวไปพบประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ซึ่งชวนให้ Whitehead มาร่วมรัฐบาล ในตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งขณะนั้น George Shultz เป็นตัว รมต Whitehead รับหน้าที่ดูแลด้านยุโรปตะวันออก ซึ่งเขาต้องมีการเจรจาประสานงานกับหัวหน้าผู้นำโซเวียตขณะนั้น คือ Mikhail Gorbachev ซึ่งใช้นโยบาย ที่มีส่วนสำคัญ ที่ทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี ค.ศ.1989...
จบเทอมจากรัฐบาลเรแกน Whitehead ก็กลับมาอยู่โกลด์แมนต่อ
Whitehead ยังเข้าๆ ออกๆ โกลด์แมน เพื่อไปรับตำแหน่งใหญ่ๆสำคัญๆ อีกหลายครั้ง เช่น เป็นประธานกรรมการของเฟดนิวยอร์คหลายสมัย เป็นกรรมการของตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค เป็นประธานสถาบัน Brookings ถังความคิด ที่มีอิทธิพลด้านความมั่นคงของอเมริกา
แต่ที่สำคัญ Whitehead นั้น คุ้นเคยกับตระกูลท่านร้อกกี้หินร่วงอย่างมาก ขนาดนับเป็นเพื่อนเก่าคนหนึ่งของท่านหินร่วงเลยทีเดียว เขาเลยต้องรับหน้าที่เป็นประธาน เป็นกรรมการในสถาบันหลายแห่ง ที่ท่านหินร่วงเงินเหลือ ตั้งขึ้นมาเสียเพียบ เช่น มหาวิทยาลัย Rockefeller, Asia Society ฯลฯ เขียนไม่หมดครับ รวมไปถึงดูแลด้านการลงทุนของตระกูลท่านหินร่วงด้วย รายการหลัง นี่น่าสนใจ...
นอกจากนี้เขายังเป็นสมาชิกและ อยู่ในคณะกรรมการกำกับนโยบาย ของสมาคมลับที่ใหญ่ที่สุดของโลก คือ Bilderberg เขาเข้าประชุมทุกครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ.1984 ถึง ค.ศ.1997 ....ช่วงสำคัญของการเตรียมจัดระเบียบโลกเสียใหม่ทั้งนั้น และทุกครั้งที่ไปประชุม Whitehead จะเกี่ยวก้อยไปกับ ท่านร้อกกี้หินร่วง ...น่ารักกันจัง
Whitehead ได้รับการกล่าวขวัญจากเพื่อนร่วมวงการ Walt Wriston แห่ง Citicorp. ว่า เขาเป็นบุรุษที่ไม่เคยทิ้งรอยไว้ แม้ยามเดินบนหิมะ....
Whitehead ถึงแก่กรรมเมื่อต้นปี ค.ศ.2015 ด้วยวัย 92 ปี ...เขาทำหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายอย่างครบถ้วน ....โดยเฉพาะในเรื่องการเป็นพี่เลี้ยงและเตรียมตัว Stephen Friedman และ Robert E Rubin หุ้นส่วนรุ่นต่อมาของโกลด์แมน เพื่อเข้ารับตำแหน่ง และร่วมงานกับรัฐบาลอเมริกันตามเป้าหมาย.....
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
19 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 19
Stephen Friedman ชาวนิวยอร์ค จบกฏหมายจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี ค.ศ.1962 และเข้าไปทำงานกับ โกลด์แมนตั้งแต่ปี ค.ศ.1966 ได้เป็นหุ้นส่วนในปี ค.ศ.1973 และเป็นประธานของโกลด์แมนในช่วงปี ค.ศ.1990-1994
ใหญ่ถึงขนาดนั้น และไม่มีปัญหากับใคร แถมถูกวางตัวให้เป็นทายาทถือบังเหียนของโกลด์แมน แต่พอได้เป็นเข้าจริงๆ อยู่ๆ Friedman ก็ลาออกไปท่องยุทธจักร โดยไม่มีข่าวว่ามีการขัดขา หรือ งับเขี้ยวกับใคร
หลังจากเดินออกมาจากโกลด์แมน Friedman ก็ไปทำงานกับกองทุนส่วนบุคคลหลายแห่ง เช่น Insight Ventures Partners ที่ลงทุนในธุรกิจด้านไอที ซอฟแวร์ และธุรกิจทางอินเตอร์เน็ต และลงทุนในกว่า 250 บริษัท ... อืม....
และในปี ค.ศ.1998 ถึง 2002 Friedman ก็ย้ายงานอีก คราวนี้ไปเป็นหัวหน้าใหญ่อยู่ที่ Marsh & Mclennan Capital Corp. บริษัทรุ่นเก๋า ที่ทำธุรกิจทางด้านประกันภัย และเป็นที่ปรึกษาการลงทุน ที่ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1905 ที่ชิคาโก....
ช่วงที่ Weinberg ไปคลุกอยู่ที่ Marsh นั้น เป็นช่วง Marsh ที่ไล่ซื้อบริษัทประกันทั้งใหญ่ทั้งเล็กเข้ามารวมอยู่กระเป๋า เช่น Johnson & Higgins ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าขายประกัน ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ Oliver Wyman ที่เป็นบริษัทประกัน ที่ทีความชำนาญเกี่ยวกับธุรกิจการเงินและการธนาคาร
Oliver Wyman ตั้งขึ้นมาโดยอดีตหุ้นส่วนหลายคน ของ Booz Allen Hamilton สำหรับท่านที่ไม่คุ้นกับชื่อนี้ หรือลืมไปแล้ว ช่วยไปทำความรู้จักจาก นิทานป้ายลวงนะครับ จะได้เห็นความ(ไม่น่า) เกี่ยวพัน ที่น่าสงสัย และน่าสนใจ
Marsh ยังซื้อ Kroll Inc. บริษัทประกัน ที่มีความชำนาญในการเจาะหาการฉ้อโกง แต่งบัญชี ตรวจสอบเบื้องหลังธุรกิจ และสืบความลับทางการตลาด.... อืม... ช่างเลือกซื้อจริง
ระหว่างที่ Friedman วุ่นอยู่กับการจัดการกับบริษัทประกัน ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1999 ท่าน
ประธานาธิบดีคลินตัน คนนิยมเด็กฝึกงาน ก็ประกาศความตั้งใจว่าจะแต่งตั้ง Friedman เข้ามาร่วมอยู่ในคณะที่ปรึกษาของท่านประธานาธิบดี ในด้านงานข่าวกรองต่างประเทศ แต่การแต่งตั้งไม่ได้เกิดขึ้น
จนมาถึงสมัยคาวบอยบุชเป็นประธานาธิบดี Friedman จึงได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยประธานาธิบดี ด้านนโยบายทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่ ปี ค.ศ.2002 ถึง 2004 และในปี ค.ศ.2005 Friedman ก็ได้รับตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษาของประธานาธิบดี ด้านงานข่าวกรองต่างประเทศ แทนที่ Brent Scowcroft ผู้ยิ่งใหญ่
ซึ่งทำหน้าที่นี้มานาน ให้กับประธานาธิบดีหลายคน ต่อจาก Henry Kissinger ผู้ที่ยิ่งกว่าใหญ่
มันเป็นตำแหน่งที่ใหญ่ และสำคัญมากในคณะรัฐบาล ...เป็นงานที่ต้องมีความชำนาญ อ่านเกมขาด และมีเส้นสายโยงไปได้ทั้งภายในอเมริกา และรอบโลก Friedman เก่งนักหรือ ดูจากประวัติการทำงาน ไม่ชวนให้เชื่อเช่นนั้น แต่ Friedman ก็ได้ (ถูกจัดให้) ไปยืนอยู่ในจุด ที่ใกล้หัวใจของรัฐบาลอเมริกันอย่างมาก
ขณะเดียวกัน ในช่วงปี ค.ศ.2005 ถึง 2013 Friedman ก็กลับมาเป็นกรรมการของโกลด์แมนด้วย
แปลว่า การดำรงตำแหน่งทั้งภาครัฐและเอกชนควบคู่กันไปอย่างนี้ ไม่มีอะไรขัดกัน และคงจะเป็นเสริมกันเสียด้วยซ้า....หลักธรรมาภิบาลอะไรของมันเนี่ยะ..
Friedman และหรือ Goldman Sachs ต้องไม่ธรรมดา...
Friedman ยังเป็นประธานคณะกรรมการ ของเฟด นิวยอร์ค ที่ดูแลนโยบายเกี่ยวกับ(การแก้ไข) ปัญหาของพวกสวนสัตว์วอลสตรีท ในช่วงมกราคม ปี 2008 ถึงพฤษภาคม ปี 2009 ซึ่งหลังจากโดนวิจารณ์มากๆ (ด่า) ว่าเอนไปทางนายจ้างตัวจริง จนน่าเกลียด ....เขาตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการเฟดนิวยอร์ค
และที่สำคัญ Friedman ก็ยังคงเป็นสมาชิกของ CFR ต่อไปเหมือนเดิม และจากรายงานรายงานประจำปี คศ 2015 ของ CFR ยังมีชื่อของ Stephen Friedman เป็นกรรมการบริหาร เป็นประธานคณะกรรมการด้านการเงินและงบประมาณ และเป็นกรรมการด้านการลงทุนของ CFR อีกด้วย
ถ้างั้นผม ขอแก้ไข.... คงต้องบอกว่า Friedman และหรือ โกลด์แมน และหรือ CFR นั้นไม่ธรรมดา....
และก็ต้องยอมรับว่า ทั้งเจ้าของคอก ทั้งพี่เลี้ยงใหญ่ ดูแลส่งเสริมจน Stephen Friedman มาแรงจริง แต่จะแรงมากกว่า หรือน้อยกว่า... ว่าที่ทายาทอีกคน ที่ชื่อ Robert R Rubin ?!
Robert Rubin เป็นผู้ที่ได้รับการกล่าวขวัญว่า เขาสุดแสนฉลาด และพยายามอย่างยิ่ง ที่จะทำสีหน้าไม่อวดความฉลาดให้ใครเห็น แต่มีสื่อปากจัด ให้คำจำกัดความ ของการเป็นคุณชายรูบิน ว่า ... คุณชายรูบิน .ผู้ชาย ที่ทำสีหน้า ให้คุณรู้สึกทุกครั้งที่คุยด้วยว่า ขอโทษนะ...มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ผมฉลาดกว่าคุณ.... ฮู้ย....ไอ้หมอนี่ ฝีปากน่าชวนมาเข้าก๊วนเล่านิทาน
คุณชายรูบิน เป็นยิวนิวยอร์ค เกิดเมื่อปี ค.ศ.1938 โตขึ้นมาหน่อย ครอบครัวก็ย้ายไปอยู่ ไมอามีบีช ฟลอริดา เขาเรียนโรงเรียนมัธยมแถวไมอามีบีช นั่นเอง และเป็นลูกเสือ ที่ได้รับเกียรติเป็น Eagle Scout (เอ้า...มาอีกตัวแล้ว)
(นิทานเรื่องนี้ สังเกตให้ดี จะมี eagle scout กับ ชาวไมอามี ฟลอริดาหลายคนเกินจะไม่สังเกต ผมยังหาคำตอบไม่ได้ แต่ขอตั้งเครื่องหมาย !?! ไว้ก่อน)
คุณชายรูบิน เรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด หลังจากนั้นก็เข้าไปเรียนกฏหมายต่อที่ฮาร์วาดนั่นแหละ แต่คุณชายเรียนได้แค่ 3 วัน ก็บอกว่าไม่เอาแล้ว ไปท่องโลกดีกว่า เอะ.. ไอ้พวกว่าที่ทายาท นี่มันเปลี่ยนใจว๊อบแว๊บเร็วจริง หรือ ใบสั่งมันมากระทันหัน...
ไม่รู้ (ถูกให้) ไปท่องโลกที่ไหนมั่ง ในที่สุด รูบิน ก็กลับมา และเปลี่ยนใจไปเรียนกฏหมายที่มหาวิทยาลัยเยล จบในปี ค.ศ.1964 หลังจากนั้นก็ไปเรียนเศรษฐศาสตร์ต่อที่ London School of Economics เรียนจบก็ไปทำงานเป็นทนาย อยู่ที่สำนักงานแถวนิวยอร์คอยู่พักสั้นๆ ก่อนจะมาอยู่กับโกลด์แมน ในปี ค.ศ.1966 ในฝ่ายบริหารความเสี่ยง risk arbitage และได้เป็นหุ้นส่วนในปี ค.ศ.1971 ... ขึ้นชั้นเร็วจริง
รูบิน คนเก่งแสนฉลาด ได้เป็นคณะผู้บริหารของโกลด์แมนในปี ค.ศ.1980 และปี ค.ศ. 1990 ถึง 1992 เขาเป็นประธานกรรมการโกลด์แมน ร่วมกับ Stephen Friedman ... เลื่อนตำแหน่งเร็วอย่างกับติดปีกพร้อมเครื่องไอพ่นเลย
ทำงานอยู่โกลด์แมนดีๆ ไม่รู้แมวมองที่ไหนเห็นแววความฉลาดแสนรู้ ที่กลบไม่มิดของรูบิน ปี ค.ศ.1993 ถึง 1995 ....รูบิน จึงจำใจรับเชิญไปรับตำแหน่งผู้ช่วยประธานาธิบดี ด้านนโยบายเศรษฐกิจ ในสมัยของท่านประธานาธิบดีคนนิยมเด็กฝึกงาน ซึ่งทำให้รูบินได้คุม National Economic Council สถาบันเศรษฐกิจแห่งชาติ ด้วย แน่มั้ย....
และ ในปี ค.ศ.1995 รูบิน สมาชิก CFR และอดีตประธานของโกลด์แมน ก็เข้าร่วมกับรัฐบาลคลินตันเต็มตัว ในตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง โดยมีสมาชิก CFR อีก 2 คน Alan Greenspan เป็นประธานใหญ่ของคณะกรรมการเฟด และ Lawrence H Summers สมาชิก CFR อีกคน เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีคลัง คุณชายรูบิน อยู่ในตำแหน่งจนถึงปี 1999 และ Summers ก็ขึ้นเป็นรัฐมนตรีคลังแทน ...เฮ้ออ...ใหญ่กันจังเว้ย
ปี ค.ศ.2007 รูบิน ได้เป็นประธาน CFR ร่วมกับ Carla Hills และยังเป็นอยู่จนทุกวันนี้ ประธาน CFR ก่อนหน้ารูบิน คือ Peter Peterson หรือ คุณหินของเรา เพื่อนรักอีกคน ของท่านร้อกกี้หินร่วง ซึ่งเป็นประธานของ Blackstone Group ที่ออกมาจากเลห์แมน (อ่านเรื่องของเขาได้จากนิทานป้ายลวง นะครับ)
และในปี คศ 2007 นั้น รูบิน ก็ยังควบอีกตำแหน่ง คือ เป็นประธานกรรมการของ Citigroup ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการเงิน ที่เขาว่า ก็เป็นของท่านร้อกกี้หินร่วงด้วย
คงมีท่านผู้อ่านสงสัย นี่ผมกำลังเล่าเรื่อง ซับไพรม์ วิกฤติเศรษฐกิจของอเมริกา หรือเรื่องของโกลด์แมน แซค หรือเรื่อง CFR กันแน่ ...ก็ คงทั้งหมดนั่น เพราะมันเกี่ยวโยงกันทั้งนั้นละครับ
ผมกำลังพยายามเอาแต่ละเรื่อง มาวางเรียง ให้เห็นความเกี่ยว และการโยง ที่พวกเขาเอาหลบซ่อนกันไว้!?
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 20
เล่าเรื่องเกี่ยวกับโกลด์แมน และคนของโกลด์แมน โดยไม่เล่าเรื่องเกี่ยวกับ AIG และคนของ AIG มันก็เหมือนกินบะหมี่ ด้วยตะเกียบข้างเดียว ..
AIG นั้นมีประวัติความเป็นมาที่แสนจะเหลือเชื่อ...
หอการค้าอเมริกันประจำเซี่ยงไฮ้ ได้นำบทความหลายตอนมาเผยแพร่ ในช่วงปี ค.ศ.2015 เพื่อเป็นการเตรียมฉลองอายุครบ 100 ปีของหอการค้าอเมริกันเซี่ยงไฮ้ ในปี ค.ศ.2016 นี้ บทความต่างๆ มีเรื่องราวเกี่ยวกับ AIG และผู้ก่อตั้ง AIG ที่ทำให้ผมถึงกับอึ้ง ..ก่อนจะไปบางอ้อ...
".....เราภูมิใจที่สมาชิกหอการค้าของเรา ต่างก็เติบโตอย่างไม่หยุดยั้งเป็นเวลาหลายสิบปีติดต่อกัน บางรายโตใหญ่ จนกลายเป็นยักษ์ในวงการ... สัปดาห์นี้เราขอเสนอเรื่องของสมาชิก ที่ไม่ใช่เพียง "แค่" เป็นเรื่องของสมาชิก แต่มันหมายถึงการเป็น "ตัวแทน" ของสัมพันธ์ที่พิเศษยิ่ง ระหว่างหอการค้าอเมริกัน กับเซี่ยงไฮ้.....
....AIG เป็นบริษัท ที่ถือกำเนิด ที่เซี่ยงไฮ้ ในปี ค.ศ.1919.... ถ้าคุณเดินไปตามถนนของเซี่ยงไฮ้ ส่วนที่เรียกว่า Bund มีตึกหน้าตาเป็นยุโรป หรูหราแบบโบราณ เลขที่ 17 ... นั่นแหละคือ สถานที่เกิดของ AIG ...."
ฮ้ายตาย... .. ตกลงไอ้ AIG นี่มันเป็นหนุ่มผมทอง แต่..ตาตี่ เหรอเนี่ยะ ...ใครจะไปนึก
"....ประมาณเกือบ 1 ศตวรรษมาแล้ว ที่หนุ่มน้อยวัย 26 ปี จากแคลิฟอร์เนีย ชื่อ Cornelius Vander Starr หรือ C V Starr นั่งเรือไปเผชิญโชคแถวตะวันออกไกล เดือนธันวาคม ปีนั้นเอง เขาก็ตั้งบริษัทชื่อ American Asiatic Underwriters (AAU) ขึ้นที่หัวมุม ระหว่างถนนเสฉวนกับถนนนานกิง มีพนักงานแค่ 2 คน เป็นชาวจีนทั้งคู่ ไม่กี่ปีต่อมา AAU ก็ย้ายมาอยู่ตึกเลขที่ 17 The Bund..."
".....เป็นที่รู้กันว่า C V เป็นคนเคร่งขรึม จริงจัง ชัดเจนและมุ่งมั่นกับการสร้างธุรกิจของตัวเองมาก เขาเดินไปหา ไปคุยกับผู้คนในเซี่ยงไฮ้ ถามไถ่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเซี่ยงไฮ้ ...และบอกว่าการประกัน จะช่วยพวกเขาได้อย่างไร นับว่า Starr เป็นคนที่แนะนำส่งเสริมอาชีพการขายประกัน ให้เกิดขึ้นในโลกแถบนั้น AAU จึงเติบโตอย่างรวดเร็ว..."
"....ถึงปี ค.ศ.1930 กว่าๆ AAU ก็กินตลาดจีนส่วนใหญ่ได้ เป็นตัวแทนของบริษัทประกัน ทั้งในท้องถิ่นแถบนั้นและของยุโรปกว่า 20 บริษัท และหนุ่ม Starr ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการประกัน และเป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าพ่อประกันภัยแห่งตะวันออกไกล และ AAU ก็กลายเป็นสมาชิกสำคัญของหอการค้าอเมริกันเซี่ยงไฮ้..."
"......ตั้งแต่ปี ค.ศ.1925 เป็นต้นมา AAU ก็เริ่มขยายกิจการออกมานอกแผ่นดินใหญ่ Starr เปิดสาขาขึ้นอีกหลายแห่ง ที่ ฮ่องกง เวียตนาม และฟิลิปปีนส์ และในปี ค.ศ.1926 AAU เปิดสาขาแรกในอเมริกา ที่นิวยอร์ค โดยใช้ชื่อว่า American International Underwriters (AIU) ..."
"......ธุรกิจของ AAU ขยายในเอเซีย ในช่วงปี 1920 กว่าๆ และขยายข้ามมาทางละตินในช่วงปี 1930 กว่าๆ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเข้ามาทางยูโรป และญี่ปุ่น ในระยะเวลาเพียง 30 ปี AAU เติบโตเร็วมาก จากบริษัทประกันเล็กๆ ในเซี่ยงไฮ้ กลายเป็นบริษัทประกันข้ามชาติ ที่มีธุรกิจ ทั้งในเอเซีย ละตินอเมริกา และยุโรป...."
"......ในปี ค.ศ.1949 AAU ปิดสำนักงานที่เซี่ยงไฮ้ และย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่ ฮ่องกง และในปี ค.ศ.1967 American International Group(AIG) ก็ตั้งขึ้น ที่อเมริกา เพื่อเป็นบริษัทแม่ และเปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชนในปี ค.ศ.1969 หลังจากนั้น ชื่อของ AIG ก็เป็นสัญญลักษณ์ของบริษัทประกัน ที่ขยายไปทั่วโลก
หลังจาก ปิดบ้านที่เซี่ยงไฮ้ไป 40 กว่าปี AIG ก็กลับมาในจีนอีกครั้ง เมื่อปี ค.ศ.1992 นับเป็นบริษัทประกันรายแรก ที่มีผู้ถือหุ้นทั้งหมดเป็นต่างชาติ เข้ามาทำธุรกิจในสาธารณรัฐประชาชนจีน และเพื่อเป็นฉลองการกลับบ้านที่จีน AIG ออกประกาศโฆษณาเป็นตัวหนังสือจีน ตัวใหญ่มาก ที่แปลความได้ว่า Returning Home กลับบ้านแล้ว.... "
ทุกวันนี้ AIG ในจีน ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เซี่ยงไฮ้ นับเป็นบริษัทประกันที่มีผู้ถือหุ้นทั้งหมดเป็นต่างชาติ ที่ใหญ่ที่สุด มีสาขา 6 แห่งในจีน
หลังจากประกอบธุรกิจมาเกือบ 100 ปี AIG ก็เข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค โตเกียว และให้บริการลูกค้ามากกว่า 130 ประเทศ การรับประกันภัยของ AIG ครอบคลุมเกี่ยวกับความเป็นอยู่ทางด้านส่วนตัว ตั้งแต่ สุขภาพ ที่อยู่อาศัย การศึกษา การทำงาน ไปจนถึง เจ็บ ป่วยและตาย แปลว่า AIG "รู้จัก" สภาพ และข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าดีมาก.....
รู้จักแค่ตัวลูกค้าคงยังไม่พอ AIG จึงเปิดกิจการด้านธุรกิจ และรับประกันความเสี่ยงภัยด้านอื่นเพิ่ม เพื่อรู้จัก และดูแลความเป็นไปของฐานะทางเศรษฐกิจของลูกค้าอีกด้วย นับว่า ผู้บริหาร AIG มีสายตาที่ยาวไกล และคมจัด ประเภทเดียวกับเหยี่ยว หรือนกอินทรี
C V Starr เป็นใคร มาจากไหนหรือ อายุแค่ 26 ปี ลุยข้ามมหาสมุทร ไปเป็นเจ้าพ่อขายประกันในแดนมังกร ผ่านไปแค่ไม่กี่ปี ก็รวยใหญ่ หอการค้าบรรยายเสียเว่อไปหน่อยไหม.... ทำไม มันเก่ง มันกล้าหาญ มันรวย มันจีเนียส กันทั้งนั้นเลยเนอะ...
ผมไปค้นข้อมูลจากวิกีพีเดีย บอกว่า Cornelius Vander Starr หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม Neil Starr หรือ C V Starr เกิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ.1892 เชื้อสายอังกฤษปนดัชท์ พ่อเป็นวิศวกรทางด้านรถไฟ ตัว Starr เอง เริ่มทำอาชีพ ด้วยการเปิดร้านขาย ไอติมตั้งแต่อายุ 19
เขาไปเป็นทหารในกองทัพอเมริกัน ในปี ค.ศ.1918 แต่ไม่ทันได้ไปรบ เพราะสงครามโลกครั้งที่ 1 ดันจบเสียก่อน ความที่เป็นคนชอบเดินทางท่องโลก Starr จึงไม่กลับบ้าน แต่ไปสมัครเข้าทำงาน เป็นเสมียนของบริษัทเดินเรือเมล์ Pacific Mail Steamship ที่วิ่งไปมาระหว่าง โยโกฮามาของญี่ปุ่น กับเซี่ยงไฮ้ของจีน
มาถึงเมืองจีน ก็ทำงานกับบริษัทประกันหลายแห่ง ในที่สุดก็ตั้งบริษัทของตัวเอง ชื่อ American Asiatic Underwriters ขึ้นที่เซี่ยงไฮ้ ...ง่ายๆ ยังงั้น
นอกจากนี้ ข้อมูลของวิกิพีเดีย ยังบอกสั้นๆ ว่า มีรายงานว่า หนุ่ม Starr ทำงานให้กับ OSS ( Office of the Strategic Services หน่วยงานข่าวกรองของอเมริกา ที่ตั้งขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่จะมาแต่งตัวใหม่ และใช้ชื่อว่า CIA นั่นแหละครับ) หลังสงครามเลิก หนุ่มน้อย Starr ยังหนีบเอาร้อยเอก Duncan Lee ที่ทำงานด้วยกันที่ OSS แต่มีความรู้ด้านกฏหมาย มาทำงานเป็นที่ปรึกษากฏหมายให้กับ AIG อีกด้วย
แหม... คุณวิกิ นี่ บทจะถนอมคำพูด ก็เล่าเสียย่อเชียว ... อย่างนี้มันจะรู้เรื่องกันหรือ ว่า ใคร ส่ง ใคร สั่ง ให้ไปทำอะไร เพื่ออะไร .... ผมเลยต้องไปตามขุดต่อจากหอการค้าอเมริกันเซี่ยงไฮ้ และหนังสืออีกหลายเล่มมาเสริม
พอสงครามโลกครั้งที่ 1 เลิก ปี ค.ศ.1919 หนุ่ม Starr ก็มุ่งหน้ามาเซี่ยงไฮ้จริง พร้อมด้วยเงินในกระเป๋า 300 เย็น เงินเท่านี้จะไปตั้งบริษัทใหญ่ได้ยังไง ... หนุ่ม Starr ก็เลยไปหาเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ผมทองตาฟ้าตัวจริง (ตอนนั้น) ที่ชื่อ Frank Jay Raven.... นี่ มันต้องขุดกันให้ลึก กว่าคุณวิกิ....
เจ้าพ่อแฟรงค์ ก็เป็นชาวอเมริกัน จากแคลิฟอเนียร์ มาถึงเซี่ยงไฮ้ในปี ค.ศ.1904 ซึ่งช่วงนั้น (ยัง) อยู่มือกำของพวกอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เจ้าพ่อแฟรงค์ ซึ่งอ้างว่าเป็นวิศวกร จบจากมหาวิทยาลัย Berkeley เคยทำงานเหมืองแร่มาก่อน เมื่ออเมริกาทำสงครามกับสเปน ในปี ค.ศ.1898 เขาถูกเกณท์เป็นทหาร และถูกให้ไปอยู่ที่ฮาวาย พอสงครามเลิกในปี ค.ศ.1899 คุณแฟรงค์ไม่อยากกลับบ้าน (อีกคนแล้ว) เป็นวิศวกรอยู่ฮาวายต่อ ถึง ปี 1903 คงเบื่อฮาวาย ก็เลยโดดลงเรือมาโผล่ที่เซี่ยงไฮ้ ..ฮั่นแน่
ด้วยความรู้ด้านวิศวกรรม และชำนาญด้านสำรวจพื้นที่ คุณแฟรงค์เลยสมัครเข้าไปทำงานกับเทศบาลเมืองเซี่ยงไฮ้ ที่มีแผนจะขยายเมืองโดยเฉพาะส่วนที่เขตต่างชาติ ที่กำลัง(แย่งกัน) ขยายการครองครอง
การทำงานกับเทศบาล ทำให้คุณแฟรงค์รู้จักถนนหนทาง ร่องน้ำ รูท่อ และชุมชนเซี่ยงไฮ้ดี เขารู้ว่า ยังไงต่างชาติก็จะครอบจีนตลอดกาลไม่ได้ และคนจีนก็ต้องอยากมีเขต มีบ้านของตัวเอง คุณแฟรงค์จึงไปร่วมลงทุนเป็นหุ้นส่วน กับกิจการพัฒนาที่ดิน ชื่อ China Realty Co. กิจการดีอย่างเหลือเชื่อ
รวยขึ้นมาอย่างนี้ อยู่คนเดียวคงเหงา คุณแฟรงค์ก็เลยคิดแต่งเมีย ชื่อ Elsie Sites เป็นลูกสาวของพวกมิชชันนารีที่ร่ำรวยอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ...
อ่านกำลังเพลิน มาถึงตรงนี้ ... มิชชันนารีรวย เล่นเอาผมชะงัก....ข้อมูลของหอการค้าชักจะทะแม่ง
แต่คิดอีกที ..มันก็เป็นไปได้นะครับ ....ถ้านึกถึงช่วงปี ตั้งแต่ ค.ศ.1890 กว่า
ท่านปู่ร้อกกี้หินร่วง (รุ่นปู่) ก็เป็นคนรักเมืองจีนใจจะขาด ถึงขนาดไปลงทุนตั้งมหาวิทยาลัย ตั้งโรงพยาบาล โดยส่งมิชชันนารีเป็นกองหน้า ไปให้เมืองจีนเต็มอัตรา ด้วยความเป็นห่วงจีนอย่างสุดซึ้ง
ถ้ายังจำกันได้ มิชชันนารี นี้เป็นเครื่องมือสำคัญ ที่อเมริกาใช้ในจีน
คุณพ่อตาของเจียงไคเช็ค ก็มิชชันนารีเลี้ยง มิชชันนารีส่งไปเรียนหนังสือต่อที่มหาวิทยาลัยที่อเมริกา จบกลับไปพร้อมกับแผน.... ยกลูกสาว 2 คน ให้ตัวเลือก 2 คน ที่ได้รับหมายตาไว้ว่า น่าจะทำให้มังกรสยบอยู่ใต้ตีนอินทรี.... ใช้ทั้ง เจียงไคเช็ค และ ซุนยัดเซน แต่รายหลังนี่ ไม่แน่ว่าใครหลอกใช้ใคร ..(จำไม่ได้ช่วยกลับไปอ่านนิทานเรื่องไม่ตกสะเก็ดนะครับ)
เรื่องของก๊วน AIG ยังมีต่อ เยี่ยมยอดไม่แพ้ก๊วนโกลด์แมน....
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 21
มาดาม แฟรงค์ เมียเจ้าพ่อ เป็นน้องของ Frederick R Sites ก็เกิดที่เมืองจีน แต่กลับไปเรียนหนังสือที่อเมริกา เรียนจบก็ไปทำงานกับพวกอุตสาหกรรมผลิตเหล็ก ที่ Cleveland ถิ่นเก่าของพวกหินร่วงรุ่นปู่ หลังจากนั้นก็เป็นสมุหบัญชี ของบริษัทต่อเรือ US Steel Products ที่ก็เป็นพรรคพวกของท่านปู่หินร่วง กลุ่มนี้ได้สัญญาต่อเรือจากรัฐบาลอเมริกันมาเกือบหมด
พี่ชายอีกคนของมาดามเจ้าพ่อ ชื่อ Clement Moore Lacey Sites ซึ่งจบ PhD จากมหาวิทยาลัย Columbia ในปี ค.ศ.1899 ก็กลับมาอยู่เมืองจีน รับภาระกิจมาสอนหนังสือ ที่ Fukien Christian University และ Technical University in Shanghai ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากตระกูลหินร่วง
นึกถึงเมื่อ 100 กว่าปีมาแล้ว การส่งลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยดีๆที่เมืองฝรั่ง จนจบปริญญาสูงๆ นี่ ไม่ใช่เศรษฐีทำไม่ได้นะครับ นับว่า คุณพ่อตานี่ เป็นมิชชันนารี ที่รวยเอาเรื่องจริงๆ
หลังจากแต่งเมียแล้ว คุณแฟรงค์ คงได้เงินจากคุณพ่อตารวย (คงคล้ายกับพวกที่บอกว่ายายให้เงินไปลงทุนเล่นหุ้น..) ปี ค.ศ.1912 คุณแฟรงค์ก็เลยตั้งบริษัท ชื่อ Asia Realty Company แล้วก็เข้าสังคมชั้นสูง ของพวกต่างชาติ และพวกคนจีน ที่อยู่ในเซี่ยงไฮ้ จับวัวชนควาย ปั่นราคาไปเรื่อยๆ จนเป็นที่รู้จัก มีคนนับหน้าถือตา รัศมีจับอร่ามไปหมด แล้วธุรกิจที่ดินในเซี่ยงไฮ้ก็บูมตามแรงปั่น คุณแฟรงค์ก็ยิ่งรวยใหญ่
คราวนี้เลยยกระดับ ตั้งบริษัททรัสต์ The Raven Trust Company ในปี ค.ศ.1914 ....เอาให้มันไปเลย
แมงเม่าจีนก็มีแยะ คุณแฟรงค์ก็ยิ่งรวยขึ้นไปอีก ที่นี้ไปไกล ปี ค.ศ.1916 เลยตั้งธนาคาร American Oriental Banking Company (AOBC) เพื่อให้บริการกิจการด้านธนาคารมันจริงๆ มาถึงตอนนี้ คนส่วนใหญ่ในเซี่ยงไฮ้ ก็นับคุณแฟรงค์เป็นเจ้าพ่อ เจ้าของธุรกิจใหญ่หลายรายการ ที่เขาเรียกรวมกันว่า Raven Interests
ตกลงเล่นเขากันแบบนี้มาร้อยปีแล้วนะครับ... แมงเม่าไทยจะเล่นกับไฟ....ก็โปรดค้นหาเรื่องเก่าๆ มาศึกษาเองบ้าง อย่าเสียเวลามาตั้งคำถามกวน...ผม ว่าลุงทำไมเล่าแต่เรื่องเก่าๆ ไม่แน่จริงนี่ เก่งจริงทำไมไม่บอกเลยล่ะว่า เขาจะทำสงครามกันเมื่อไหร่ (...จะได้ขายหุ้นทัน เออ... ลุงทำนายไม่ได้ครับว่า ระเบิดจะลงหัวใครวันไหน ลุงไม่ใช่หมอดู ถามแบบนี้ลุงว่าไปเสี่ยงเซียมซี อาจจะได้คำตอบถูกใจกว่า )
เมื่อ C V Starr มาถึงเซียงไฮ้ ในปี ค.ศ.1917 (บางเอกสารบอกว่าเขามาถึง ในปี 1919) มันก็น่าเชื่อว่า เขาน่าจะต้องไปหาเจ้าพ่อ ที่มาจากถิ่น หรือสังกัดเดียวกัน ...แล้วเจ้าพ่อแฟรงค์ ก็เลยร่วมลงทุนกับหนุ่ม Starr ตั้ง American Asiatic Underwriters (AAU)ด้วยกัน ...
ขณะที่ AAU กำลังไปได้สวย.... เหมือนการส่งไม้ต่อเรียบร้อยแล้ว ปี ค.ศ.1935 Raven Interests ก็กลับสดุดหัวขมำ เมื่ออเมริกาออกกฏหมาย United States Silver Purchase Act ในปี 1934 เพื่อซื้อเงินแท่งมาทำเป็นกองทุนสำรองของตัว และเจ้าเหรียญเงินที่เป็นกองทุนสำรองใน American Oriental Bank (AOB) ของเจ้าพ่อแฟรงค์ ก็เลยแห้งขอดหายไปด้วย ไม่รู้ว่า เพราะเจ้าของตัวจริงเขามาเอาเหรียญเงินคืน เพราะราคามันขึ้นดี หรือเพราะเขารู้ว่าสงครามโลกกำลังจะมา จะทิ้งไว้ให้จีนใช้ คงไม่เข้าท่า ธนาคารของเจ้าพ่อแฟรงค์ก็เลยเจ๊งเอาง่ายๆอย่างนั้น...
ส่วนเจ้าพ่อแฟรงค์ ก็โดนศาลของอเมริกา ที่มีสิทธิสภาพนอกอาณาเขตอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ตัดสินว่า เจ้าพ่อฉ้อโกง และยักยอกเงิน ศาลบอกว่าเจ้าพ่อตั้งธนาคารขึ้นมาเอง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากใครเลย และไม่มีใครมาตรวจสอบแบงค์เลย ทรัพย์สินจริงจังก็ไม่มี มีแต่หนี้ที่ไม่หลักประกัน สรุปว่าคนฝากเงินก็ซวยไป แต่ลูกหนี้คงรอดตัว ส่วนเจ้าพ่อ ก็ถูกศาลตัดสินให้ติดคุก 5 ปี
การล้มของ AOB ทำให้แบงค์จีนท่อแตก เงินฝากไหลโกรก คนแห่มาถอนเงิน และหลายแบงค์จีนก็เลยล้ม ประมาณว่า ความเสียหายจากเรื่องนี้ 6 ล้านเหรียญ (มูลค่าเมื่อเกือบ100 ปีก่อน) ....เศรษฐกิจจีนก็เลยอ่อนยวบ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังตั้งเค้า ไม่นาน..... นี่ผมกำลังเล่าเรื่อง ที่เกิดขึ้นก่อนสงครามโลกครั้ง ที่ 2 นะครับ.... ไม่ใช่ครั้งที่ 3
ปี ค.ศ.1936 เจ้าพ่อแฟรงค์ ถูกส่งตัวมาเข้าคุกที่อเมริกา รัฐวอชิงตัน ติดอยู่ได้ปีกว่า ก็ได้รับการปล่อยตัวให้กลับบ้านไปอยู่กับลูกเมีย ที่มาคอยอยู่แล้ว ที่ Palo Alto แคลิฟอร์เนีย.... ย้ายไปย้ายมาคล่องตัวกันดี อย่างว่า พ่อตารวย....แถมอดีตเจ้าพ่อ ยังได้ใบอนุญาต ให้เป็นตัวแทนซื้อขายบ้านและที่ดิน เอาไว้เล่นแก้เหงาต่อไป จนเสียชีวิตในปี ค.ศ.1943
กลับมาที่ หนุ่ม Starr เมื่อมาถึงเซี่ยงไฮ้ และไปคารวะเจ้าพ่อแฟรงค์แล้ว ก็เริ่มธุรกิจด้วยการเป็นตัวแทนขายประกันก่อน เขาจึงตั้ง American Asiatics Underwriters (AAU) โดยมีเจ้าพ่อแฟรงค์เข้าหุ้น หรือให้ทุน หลังจากนั้นอีก 2 ปี หนุ่ม Starr อายุยังไม่ถึง 30 ดี ก็ตั้งบริษัทประกันชีวิต และในช่วง 10 ปี ก็ขยายกิจการ เปิดสาขาไปทั่วเอเซียตะวันออก ร่วมทั้งซื้อขายที่ดินเพื่อเก็งกำไร ตามมาด้วยการออกหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ และนิตยสารอีก 1 ...ฮู้ย....เด็กจี เด็กฉลาด เด็กเก่งอีกแล้ว ...
เซี่ยงไฮ้ในช่วงนั้น บูมมากกว่าฮ่องกงหรือโตเกียวเสียอีก ถึงกับมีชื่อว่าเป็นปารีสของตะวันออก ใครจับอะไรถูกจังหวะ ก็รวยไม่รู้เรื่อง และหนุ่ม Starr ก็ดูเหมือนจะจับแม่นอย่างนั้น
จีนตอนนั้น แม้จะเป็นประเทศเอกราช แต่การปกครองเซี่ยงไฮ้กลับตกอยู่ในมือของพวกต่างชาติ ที่พากันมาจับจอง คอยเวลากินเนื้อมังกรร่วง อังกฤษดูเหมือนกำลังทำแต้มนำหน้า ตามมาติดๆ คือ ฝรั่งเศส ที่เหลือก็เป็น เยอรมันและรัสเซีย ซึ่งต่างก็แบ่งเขตปกครองกันเองในเซี่ยงไฮ้ อย่างตามสบาย...
อเมริกาเพิ่งมา เลยเหมือนอยู่ท้ายสุดของแถว แบบนี้อเมริกาก็ต้องเร่งเครื่อง
ระบบของอังกฤษ ดูเหมือนจะครอบงำเซี่ยงไฮ้ได้หนาแน่น อเมริกาคิดจะแย่งมา ก็ต้องใช้อุบายใหม่ๆ
อังกฤษมองจีน เหมือนอังกฤษคิดว่าจีนเป็นเมืองขึ้นของตัวไปแล้ว แม้ตอนนี้ ก็อาจจะยังไม่ปลี่ยนความคิดเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่มีรายการ ด่า "very rude" ออกข่าวกันแบบบะจ่างอย่างนั้น
อเมริกามาที่หลัง จึงเปลี่ยนเสื้อคลุม ใช้ความเป็นเพื่อน ความปรารถนาดีนำหน้า มิชชันนารีอเมริกัน จึงยั้วเยี้ยเต็มจีนตั้งช่วงปลาย 1890 และหนุ่ม Starr ก็มาในแนวใหม่นี้ เดินลุยเข้าไปผูกมิตรหาคนจีนถึงในตลาด ที่อยู่นอกเขตของพวกฝรั่ง ดูเผินๆ ก็น่าเอ็นดูดีนะครับ เหมือนพวก peace corps ที่มาคลุกอยู่กับชาวบ้านเรา ช่วงสงครามเวียตนาม
แล้วที่คุณวิกิเขาบอกว่า หนุ่ม Starr ร่วมงานอยู่กับ OSS ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่มันอะไรกัน ตกลงจะมาเป็นเพื่อน หรือมาเป็นสายลับกันแน่...
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
22 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 22
ประวัติชีวิตของ Starr ช่วงก่อนมาจีน ค่อนข้างจะคลุมเครือ ค้นไปตรงไหน ก็เจอแต่ความเป็นผู้ประสพความสำเร็จอย่างสูงส่ง ที่ไปตั้งบริษัทประกันภัยใหญ่ที่สุดในโลก ที่เมืองจีนได้ และยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ ทำเอาเจ้าพ่อประกันของอังกฤษ หน้าแหก หลบเข้าหลังฉากกันหมด นึกว่าพูดภาษาอังกฤษด้วยกัน จะไม่กัดกัน ลับหลังมันก็มีกัดกันเองหวงกระดูกเป็นธรรมดา ต่อหน้าชาวบ้านก็ทำเป็นกอดกัน หอมแก้มซ้ายขวา อย่าไปเชื่อที่มันแสดงกันมากนักนะครับ
หนุ่ม Starr มีภาพชีวิตตอนเด็กที่ลำบาก พ่อตายตั้งแต่เขาอายุแค่ 2 ขวบ และยังมีน้องอีก 2 คน (ไม่รู้พ่อเดียวกันหรือเปล่า?) แม่ต้องเอาบ้านเป็นหอพักหารายได้ สลับกับการไปขายเหล้าในร้านเหล้า ที่อยู่ใกล้กับเขตของพวกตัดไม้ Starr จึงไม่ชอบพูดเรื่องวัยเด็ก และแม้เมื่อเขารวยแล้วจะส่งเงินมาช่วยแม่และน้อง แต่เมื่อเป็นมหาเศรษฐี เขาตั้งทุนมากมายไปทั่วโลก แต่เขาไม่เคยตั้งทุนในชื่อแม่ หรือครอบครัว อย่างที่มหาเศรษฐีอื่นชอบทำกัน แต่เขาตั้งมูลนิธิ Starr Foundation ในปี ค.ศ.1955 และมูลนิธินี้ คือเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ AIG ยักษ์ประกันภัย ตัวใหญที่สุดในโลก นั่นเอง
พออายุ 12 ปี Starr ก็เลิกเรียนหนังสือ ไปรับจ้างมวนซิการ์ ไปกวาดพื้น และไปเป็นภารโรงในโบสถ์ของพวกแบบติสท์ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนอีก แต่ เขาเคยบอกว่า เขาเรียนกฏหมายด้วยตัวเอง ด้วยการไปติวกับทนาย 1 ปี แล้วก็ไปสอบได้ปริญญาจากมหาวิทยาลัยแถวแคลิฟอร์เนีย หลังจากนั้นก็ไปเปิดร้านขายไอติม เก็บเงินได้ก้อนนึงก็เอาไปซื้อรถ ซื้อรถมาแล้ว ก็นึกออกว่า น่าจะทำอาชีพขายประกันรถดีกว่า ทำอยู่ได้ไม่นาน ก็เปลี่ยนใจไปเป็นทหาร เพราะสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มแล้ว
Starr คิดว่า เป็นทหารแล้ว กองทัพจะส่งตัวไปรบที่ยุโรป แต่เขาไม่ได้ไปไหน เลยหารายได้ด้วยการรับจ้างเอาเสื้อผ้าทหารไปซัก ได้เงินไม่น้อย หลังจากปลดประจำการในปี 1919 Starr ก็เลยโดดลงเรือ ไปทางตะวันออก
Starr นั่งเรือไปถึงโยโกฮามา โดยเป็นสมัครเป็นลูกจ้างของเรือที่เขาโดยสารไป ซึ่งเป็นของ Pacific Mails S S Co ที่เจ้าของ คือ American International Corporation (AIC) ซึ่งตั้งขึ้นโดยกลุ่มนายทุนอเมริกัน เจ้าของอุตสาหกรรมใหญ่ในอเมริกา กับพวกวอลสตรีท เพื่อเตรียมตัว ไปปล้นรัสเซียในช่วงปฏิวัติเลนิน (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในนิทานเรื่อง ต้มข้ามศตวรรษ ครับ) เพราะฉนั้นเขาน่าจะมีเงินมากกว่า 300 เย็น ไม่ใช่อย่างที่คุณวิกิให้ข้อมูล
หลังจากนั้น หนุ่ม Starr ก็มุ่งหน้าต่อไปเซี่ยงไฮ้ เหมือนรู้ว่า อเมริกามีแผนการใหญ่รออยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ที่ซึ่ง Starr บอกว่า เขาเข้ากับคนที่นั่นได้อย่างง่ายดายไม่ว่าหญิง หรือชาย ชนิดที่ถ้าบอกขายอะไร ทุกคนก็คงซื้อหมด ... ทำไมใครๆ ถึงเชื่อใจ หรือฝีปากไอ้หนุ่มที่อายุยังไม่ถึง 30 ง่ายๆอย่างนั้น
มาถึงตรงนี้ประวัติของ Starr ก็ยังพร่ามั่ว แล้วเรื่องที่ทำงานกับ OSS ล่ะ ชัดเจนแค่ไหน
มีบทความที่ลงใน Los Angeles Times เมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ.2000 ชื่อ The Secret (Insurance) Agent Men เขียนโดย Mark Fritz ซึ่งเป็นนักเขียนประจำของ Times เล่าเรื่องเกี่ยวกับ คนขายประกันเล่นบทสายลับ....
"... พวกเขารู้หมด ว่าโรงงานไหนต้องเผา สะพานไหนต้องระเบิด เรือบรรทุกลำไหนต้องจม พวกเขารู้ว่าถนนที่จะต้องใช้ในการบุกเข้าเมือง มีหลุมตรงไหนบ้าง และตรวจสอบว่า เส้นไหนจะถูกขวางด้วยอะไร.. พวกเขาไม่ใช่สายลับธรรมดา พวกเขาเป็นตัวแทนขายประกัน ที่ทำหน้าที่สายลับ...
พวกเขาใช้การขายประกันออกหน้า เพื่อไปเก็บข้อมูลเกี่ยวกับโรงงาน แหล่งทำเงิน ถนนหนทาง ฯลฯ เพื่อหาทางโค่นล้ม ฮิตเลอร์และพวกให้ได้...."
L A Times เอาข้อมูลมาจากเอกสารลับ ของทางราชการ ที่ declassifed (ถึงกำหนดที่จะต้องเปิดเผยแก่ประชาชน ) เมื่อปี ค.ศ.1999 ซึ่งบอกถึงเรื่องราวของหน่วยสายลับขายประกัน และการทำงานของหน่วย OSS ที่เป็นต้นกำเนิด ของซีไอเอ
"......พวกเขามีจำนวนไม่มาก แต่เขาตามการเก็บข้อมูลของฝ่ายศัตรู จากวงการธุรกิจประกันภัยนั่นแหละ พวกเขามีแม้กระทั่งพิมพ์เขียวของโรงงานที่จะต้องถูกบอมบ์ ตารางน้ำขึ้นลง และข้อมูลเป็นพันๆรายการ ตั้งแต่โรงเบียร์ ในกรุงเทพฯ จนถึงถึงโรงงานผลิตลูกกวาดที่เบอร์กดอฟ พวกเขาใช้ข้อมูลเกี่ยวกับการประกันภัย...เป็นอาวุธสงคราม....."
บทความของ LA Times บอกว่าหัวหน้าสายลับขายประกัน ก็คือคุณ Starr ผู้ลึกลับนั่นเอง ซึ่งประสานงานใกล้ชิดกับ คุณ Bill Donovan หัวหน้าหน่วย OSS ที่โด่งดังมากในช่วง ก่อน และ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คุณโดโนแวนนี่ เคยมาเป็นทูตอเมริกัน อยู่บ้านเราพักหนึ่ง (อ่านเรื่องของเขาได้ในนิทานเรื่องแรกของผม จิ๊กโก๋ปากซอยครับ)
ไม่รู้เป็นมันเป็นความคิดของใคร ในการใช้คนขายประกันเป็นสายลับ แต่ผมว่า คนคิดมันเก่งจริง ผมยอมรับ
ผมยังไม่อยากปักใจว่าเป็นความคิดของใคร เลยขุดต่อไปอีกหน่อย
ผมไปเจอประวัติของ Clement J Smith ซึ่งแต่งงานกับ Helen Bruce Cleveland ในปี ค.ศ.1919 ทั้งคู่เจอกันที่ไซบีเรีย เพราะต่างก็ไปทำงานกาชาดที่รัสเซีย หลังจากแต่งงาน คู่บ่าวสาวตั้งใจจะตั้งบ้านอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ทั้งคู่อยู่แถวตะวันออกมา 18 ปี เพิ่งย้ายกลับมาซานฟรานซิสโกในปี ค.ศ.1938 Smith มีตำแหน่งเป็น ประธานของ American International Underwriters ซึ่งอยู่ในเครือของ AAU และเป็นเพื่อนสนิทของ Starr ตั้งแต่สมัยอยู่เซี่ยงไฮ้
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเป็นผู้ชำนาญด้านจีน ที่ คุณ Bill Donovan หัวหน้าสำนักงาน OSS เลือกตัวเอาไปทำงาน
พวกสอนศาสนา มิชชันนารี สมาคม YMCA พวกpeace corps ก็เป็นตัวอย่างของซอฟพาวเวอร์ ที่อเมริกาชอบใช้ และใช้ได้เก่ง ให้เข้าไปแทรกในสังคมต่างชาติได้อย่างแนบเนียน ในขณะที่การทำงานของหน่วยข่าวกรองอย่างซีไอเอ ยังไม่เกิดขึ้น และแม้จะเกิดแล้ว ก็ยังต้องใช้เสื้อคลุมอื่นใส่ทับ ... แต่ใครจะนึกว่า มันใช้พวกขายประกันด้วย ... หรือตั้งบริษัทประกันเตรียมไว้เพื่อใช้งานเพราะรู้ว่าสงครามจะมา?!
ในนิทานป้ายลวง เรารู้ฤทธิ์ของสำนักงานตรวจสอบบัญชี ที่ได้ข้อมูลสำคัญของเป้าหมายไปแล้ว
...นิทานป้ายปลอม ก็ทำให้เห็นว่า มัน"สร้าง" อย่างอื่นปลอมตัวเพิ่มขึ้นมาอีกมาก เพื่อให้ได้ผลตามเป้าหมาย...
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
23 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 23
แม้เรื่องราวของ C V Starr ผู้ให้กำเนิด AIG รวมทั้งการตั้ง AIG จะค่อนข้างพร่ามัว และดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ เหมือนมีการแต่งเรื่องของ Starr อย่างที่ "อยาก" ให้เราเชื่ออย่างนั้น และเรื่องมันก็นานค่อนศตวรรษมาแล้ว.... เราคงต้องหาเค้า หรือเงา ของเจ้าของ ตัวจริงของ AIG จากเส้นทางอื่นบ้าง
ตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.1970 เป็นต้นมา ข่าวที่เกี่ยวกับ AIG ดูเหมือนจะมีแต่ชื่อ Maurice Raymond "Hank" Greenberg เข้ามาแทนที่ CV Starr ที่ไม่มีครอบครัวจะสืบทอดกิจการของตัว และได้ตัดสินใจมอบหมาย ให้ Greenberg เป็นผู้ดูแลธุรกิจแทนเครือ AIG และ CV Starr คนต่อไป
น่าสังเกตไหมครับ ธุรกิจใหญ่ๆในนิทานเรื่องนี้ หลายราย ที่มาของเจ้าของไม่ชัดเจน ไม่มีทายาทมารับช่วงกิจการ หลังจากนั้นก็เอาคนนอก ประวัติแปลกๆ เขามาเป็นหัวหน้าดูแลต่อ มาได้ไงก็ไม่ชัดเจนอีก แต่ต่อมา กิจการนั้นก็ใหญ่โตฉิบหาย และชั่วเหลือเชื่อ...
Greenberg เกิดเมื่อปี ค.ศ.1925 ตอนนี้อายุ 90 แล้ว แต่ยังหนังเหนียว และปากกล้า เจ้าอารมณ์อย่างคงเส้นคงวา เขามาจากครอบครัวยิวแถวนิวยอร์ค พ่อตายตั้งแต่เขาอายุ 6 ขวบ แม่แต่งงานใหม่กับพวกทำฟาร์มโคนม ... (พวกกำพร้าพ่ออีกแล้ว)
Greenberg คงเบื่อฟาร์มโคนมมาก เลยโกงอายุเพื่อสมัครไปเป็นทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อยู่หน่วยรบพิเศษ และไปรบที่นอร์มังดี สงครามเลิกก็กลับมาเข้ามหาวิทยาลัยไมอามี (ก็วนไมอามีอีกราย) เพื่อเรียนกฏหมายตามสูตรสำเร็จ แล้วก็มาเรียนต่อที่ NYU ทางด้านกฏหมายต่อ กำลังจะเป็นทนาย พอดีเกิดสงครามเกาหลี Greenberg เลยเปลี่ยนใจ ไปรบต่อดีกว่า คราวนี้ติดยศ ร้อยเอกกลับมา แถมได้รางวัลบรอนซ์สตาร์อีกด้วย
เพียง 3 วัน หลังจากกลับมาจากไปรบที่เกาหลี ในปี ค.ศ.1953 Greenberg ก็ไปสมัครงานที่บริษัทประกัน Continental Casualty Company ... มันช่างเลือกอาชีพจริงนะ ทำงานไม่นาน ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ แต่แล้วปี ค.ศ.1960 Greenberg ก็ลาออก ไปสมัครทำงานที่ AIG ... (ตามคิว ?!) และเขาได้รับมอบหมายให้ดูแลด้านประกันบ้าน ...เฮ้ออ..ผมเขียนต่อเกือบไม่ออกเลย... บทห่วยจังว่ะ
พอถึงปี ค.ศ.1968 Starr ก็ฉีกโผตัวเอง จากที่คิดจะมอบอาณาจักร AIG ให้คนหนึ่ง กลับเปลี่ยนใจมามอบอาณาจักร ให้ Greenberg แทน ...แสดงว่า Greenberg นี่ต้องคงมีกำลังภายในสูงมาก แค่ 8 ปี โดดขึ้นถึงยอดเขาเลย
ภายใต้การนำของ Greenberg AIG เป็นบริษัทประกันรายแรก ที่ไปทำสัญญาร่วมทำธุรกิจกับประเทศในยุโรปตะวันออก เช่น โปแลนด์ ฮังการี และโรมาเนีย ในช่วงปี ค.ศ.1979- 1980 ซึ่งเป็นช่วงก่อนสหภาพโซเวียตจะล่มสลาย ...ไม่รู้ว่า มีความนัยเกี่ยวกันไหม
ปี ค.ศ.1987 Greenberg ตัดสินใจขยายงานของ AIG ไปทางด้านธุรกิจการเงินด้วย.... เขาเป็นคน(ถูกสั่งให้) คิดตั้งบริษัท AIG Financial Products หรือ AIGFP คู่ค้ารายสำคัญ ของโกลด์แมน และของบริษัทการเงิน เกือบทั้งสวนสัตว์วอลสตรีท และเรื่องของ AIGFP ก็เป็นชิ้นส่วนสำคัญมากอันหนึ่ง ที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ 2008 หรือ ทำให้วิกฤติ เลวร้ายขึ้น และเร็วขึ้น
โอ้โห....ผมใช้เวลาเล่าสิบกว่าตอน กว่าจะเอาหัวกับหางมาเจอกันได้ ... ผมไม่ได้เล่าอ้อมไกลนะครับ แต่แผนเขาวางให้ตัวเดินหมาก มันอยู่ต่างกระดาน ต่างสมัย คนจะได้ไม่เห็นว่า จริงๆ มันเล่นอยู่ในกระดานเดียวกันนั่นเอง มันเลยใช้เวลาหน่อย กว่าจะเอาหมาก ที่อยู่ต่างกระดาน ต่างสมัยมาเรียงให้เห็นกันได้
เมื่อตอนที่ Greenberg ประกาศว่า AIG จะทำธุรกิจด้านการเงินด้วย เขาถูกผู้ถือหุ้นโวย ....เราลงทุนในบริษัท ก็เพราะเห็นบริษัทมีความสามารถทางธุรกิจประกันนะ.... แต่ Greenberg ก็ยืนยันกับผู้ลงทุนว่า เราศึกษาอย่างดีแล้ว และเราไม่ได้จะทำทุกด้านของธุรกิจการเงิน เราเลือกเฉพาะที่เรามีอำนาจต่อรองและสรัางผลตอบแทนที่ดีกับเรา
หลังจากเพิ่มแนวทางทำธุรกิจการเงินเข้าไปปีแรก หุ้นของ AIG ตกลงไป 7% แต่หลังจากนั้นก็ขยับสูงขึ้นมา และทำให้ AIGFP มีกำไร และกลายเป็นผู้นำในการรับประกันความเสี่ยงแบบ swap และ derivatives เรื่องนี้ทำให้ Greenberg คุยโม้ว่าเขาเป็นผู้นำเทคนิคการรับประกันความเสี่ยง (swap) ระดับที่พวกอีลิทจีเนียสคิด มาใช้เชียวนะ ... เขาหมายถึงใครกัน?!
ปี ค.ศ.1991 AIG ตั้งหน่วยงานใหม่เพิ่มขึ้นเพื่อดูแลด้านธุรกิจใหม่ แต่ไม่ยอมขยายว่าเป็นธุรกิจอะไร Greenberg ให้ความใส่ใจกับหน่วยงานนี้มาก และมอบหมายให้ Robert Rubin ซึ่งตอนนั้นเป็นกรรมการ และรองผู้จัดการใหญ่ ของ AIG มาดูแลหน่วยงานนี้โดยตรง ... ตกลงอยู่คอกเดียวกันทั้งนั้น
ภายใต้การบริหารของ Greenberg AIG มีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมาก และกลายเป็นหมายเลขหนึ่งของวงการ ทำให้บริษัทมีกำไรโตขึ้น จาก 17 ล้านเหรียญ ในปีที่เขาเข้ามาเป็น 1,700 ล้านเหรียญ ในปี ค.ศ.1993
Hank Greenberg ไม่ใช่เด็กจากฟาร์มโคนมแล้ว เขากลายเป็น Greenberg ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งสนิทชิดเชื้อกับ Henry Kissinger ...ผู้ชายที่บอกว่า อำนาจ ทำให้คน (ไม่หล่อเลยอย่างเขา) มีเสน่ห์ได้ Greenberg แต่งตั้งให้ Kissinger เป็นประธานที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศของ AIG ... นีมันจะทำบริษัทประกัน หรือทำอะไรกันแน่
หลังจากไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมือง Kissinger ไปเปิดบริษัทของตัวเอง ให้คำปรึกษาด้านการต่างประเทศ มีแต่ลูกค้าระดับประเทศ หรือบริษัทข้ามชาติ ใช้บริการทั้งนั้น เวลาที่เหลือจากการเป็นกรรมการเป็นที่ปรึกษาในอีกหลายบริษัทและหลายมูลนิธิ Kisssinger คนมีเสน่ห์ ก็จะเดินสายพูดเกี่ยวกับเรื่องสถานการณ์ในโลก และแนวทางที่โลกควรจะหมุน ในความเห็นของ CFR ที่เขานั่งเป็นกรรมการ ในช่วงปี 1977 ถึง 1981
ตัว Greenberg เอง ก็เป็นรองประธานกรรมการของ CFR อยู่หลายปี และปัจจุบันก็ยังเป็นกรรมการของ CFR อยู่ และเป็นสมาชิกของ Trilateral Commission ที่ท่านหินร่วงเป็นผู้ก่อตั้งด้วย รัฐบาล Reagan เคยเสนอตำแหน่งรองผู้อำนวยการซีไอเอให้แก่เขา แต่เขาปฏิเสธ (ตำแหน่งมันคงเล็กไป...)
ปี ค.ศ.1990 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานที่ปรึกษาด้านธุรกิจต่างประเทศของนายกเทศมนตรีนครเซียงไฮ้ ผู้แต่งตั้งเขาคือ อดีตนายกรัฐมนตรี จูหลงจี ของจีน ซึ่งตอนนั้น เป็นนายกเทศมนตรีของเซี่ยงไฮ้ และปี ค.ศ.1997 เขาได้รับเกียรติให้เป็นราษฏรกิติมศักดิ์ของเซี่ยงไฮ้
Greenberg ยังเป็นประธานกรรมการและกรรมการ ในสถาบันการค้าระหว่างประเทศอีกหลายแห่ง รวมทั้งเคยเป็นประธาน รองประธาน และกรรมการของเฟดนิวยอร์ค
นอกจากนี้ Greenberg ยังเคยเป็นประธาน และทรัสตีของ Asia Society เป็นทรัสตีของ Rockefeller University และเป็นทรัสตีของ Museum of Modern Art ทั้ง 3 แห่ง เป็นสถาบันที่ครอบครัวของท่านหินร่วงเป็นผู้ก่อตั้ง และให้ความสนใจอย่างมาก
Greenberg อยู่ในตำแหน่งประธานของ AIG จนถึงปี ค.ศ.2005 ก็ลาออก เนื่องจากโดนข้อหาว่าพัวพันเกี่ยวกับคดีเรื่องการแต่งบัญชีของ AIG จึงมีเรื่องเล่าถึงเหตุการณ์วัดบารมีกัน ระหว่าง Greenberg ผู้ที่กำลังจะหลุดจากเก้าอี้ของ AIG กับ Richard Hass กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ของ CFR ในขณะนั้น และก็ยังเป็นจนถึงปัจจุบันนี้
มันเป็นธรรมเนียมว่า ใครที่ได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการของ CFR จะมีรูปถ่ายแขวนอยู่ในห้องพิเศษ ของที่ทำการ CFR และ Greenberg ในฐานะ รองประธานก็ย่อมมีรูปแขวนอยู่ด้วย เพียงแต่ว่า รูปของทุกคนเป็นรูปถ่าย แต่ของ Greenberg เป็นภาพวาดเหมือนตัวจริง
เมื่อ Richard Hass เข้ามาเป็นผู้จัดการที่ CFR เขาหงุดหงิดมาก กับ "ความต่าง" ของรูป นายGreenberg กับรูปของคนอื่นๆ และพยายามที่จะขอให้ Greenberg เปลี่ยน ไม่งั้นเขาจะเอาภาพเหมือนนั้นออก ... Greenbergไม่สนใจ และรูปภาพ ของGreenberg ก็ยังไม่มีการปลดออก หลังจากมีผู้อาวุโสใน CFR หลายคน เตือน Hass ว่า อยู่เฉยๆ ดีกว่า
Hass สบโอกาส เมื่อ Greenberg ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับคดีแต่งบัญชีของ AIG จึงถือโอกาสปลดรูปของ Greenberg ออกจากห้องพิเศษนั้น โดยให้เหตุผลว่า ไม่ต้องการให้ CFR ต้องมีส่วนมัวหมองไปด้วย ...แต่เพียงไม่กี่วันต่อมา รูปภาพนั้น ก็กลับไปแขวนที่เดิม ในรายงานการประชุมประจำปี ของ CFR ในปี คศ 2015 ยังมีชื่อของ Greenberg ที่ระบุตำแหน่งเขาว่า รองประธานกรรมการกิตติมศักดิ์
สรุปว่า Greenberg นั้น คงไม่ธรรมดา น่ามีมือหนุน มือประคอง ที่แข็งแกร่งอย่างกับหิน
ตกลงเรื่อง โกลด์แมน กับเรื่อง AIG มันเรื่องต้มเปื่อยหม้อใหญ่นี่หว่า .. ยิ่งกว่ามวยล้มต้มคนดูอีก นั่นมันยังอยู่คนละค่าย ...แต่นี่ สงสัยมันจะอยู่ค่ายเดียวกันมาตั้งแต่ต้น ทำเป็นทวงกันไปทวงกันมา ต่างก็อ้างว่าอีกฝ่ายเป็นหนี้ตัว ทะเลาะโชว์ชาวบ้าน
เป็นไงครับ วิกฤติซับไพรม์ ..ผมบอกแล้วว่า เรื่องวิกฤติซับไพรม์ของผม ต่างกับในหนังแยะ
แต่เรื่องยังไม่จบนะครับ ยังเหลือตัวเดินหมากที่น่าสนใจบางตัว รอผมเอามาเชื่อมต่อให้เห็นอีกสักหน่อย แล้วเราค่อยสรุป (ด่า) ถึงความเฉลียวฉลาดและแสนชั่วของผู้คิดแผนทีเดียว
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
24 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 24
หลังจากที่ คิงเฮนรี่ ใจแข็งเป็นหิน ไม่อุ้มเลห์แมน โยนทิ้งจนแหลกแล้ว แต่พอ AIG ซึ่งไม่ใช่เป็นสถาบันการเงิน แต่อ้างว่าตูดขาด เพราะดันรับประกันราคาข้าวต้มมัด CDO ไม่ว่าแบบของจริง ของเทียม มั่วไปหมด คิงเฮนรี่ ดันใจอ่อน บอกเราต้องรีบอุ้ม AIG ด่วนจี้ ไม่งั้นสงสัยคงคอขาดกันหมด คาวบอยบุช ในฐานะประธานาธิบดี ก็รีบรับลูก แสดงว่าคอคาวบอยก็ใช่ว่าจะเหนียวนัก (กลัวหินบาดคอ) ...เลยรีบออกประกาศในวันที่ 19 กันยายน ค.ศ.2008 เป็นแผนอุ้มฉุกเฉิน โดยจะออก Emergency Economic Stabilization Act 2008
ตอนแรกรัฐสภาอเมริกัน ไม่เอาด้วย เพราะคงยังไม่เคยลิ้มรสข้าวต้มมัด ว่าบาดคอขนาดไหน โยนแผนคาวบอยทิ้ง แต่ในที่สุด วันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ.2008 รัฐสภาก็ใจอ่อน แต่หน้าออกเขียว ไม่รู้เพราะแรงใครบีบไข่ อนุมัติร่างกฏหมายอุ้มฉุกเฉิน ที่คาวบอยบุชเสนอกฏหมายนี้ ให้อำนาจคิงเฮนรี่ ใช้เงินจำนวน 700,000 ล้านเหรียญ ตามโปรแกรม ที่เรียกว่า Troubled Assets Relief Program (TARP 1) เพื่อเอาไปอุ้มสถาบันการเงินอื่นๆ ที่อ้างว่าเซแซด จากฤทธิ์ข้าวต้มมัด บวกกับการเล่นถล่มราคาบ้าน ของบรรดานักลงทุนหัวแหลมเปี้ยบ
ตอนแรก คิงเฮนรี่กับท่านทิม ฉลาดมาก อ้างกับรัฐสภาว่า จะเอาเงินตาม TARP 1 นี้ ไปซื้อข้าวต้มมัด ในราคาถูก จากพวกสถาบันการเงินที่มีข้าวต้มมัดขาดทุนอยู่เต็มกางเกง ชาวบ้านจะได้ไม่เดือดร้อนกับปัญหาเรื่องการบังคับจำนองบ้าน ...ให้รัฐซื้อมาสิ แล้วรัฐค่อยๆแก้ปัญหานี้เองดีกว่า.... ฟังดูดี๊ดี
......รัฐบาลท่านเห็นใจชาวบ้านขนาดนี้ แล้วพวกรัฐสภา จะไม่เห็นใจชาวบ้านก็บอกมา จะได้ไปฟ้องชาวบ้าน ว่าผู้แทนคนไหนเมินไม่ช่วยพวกเขา
คิงเฮนรี่กับท่านทิม รู้ดีอยู่แก่ใจว่า รัฐจะซื้อข้าวต้มมัด ในราคาเต็มไม่ได้ ต้องซื้อราคาตามตลาด คือราคากระจาดขาดน่ะ ส่วนสถาบันการเงินพวกนั้น ถ้าขายทรัพย์สิน (ข้าวต้มมัด) ในราคากระจาดขาด ขาดทุนบานเบอะ อย่างนั้น สถาบันการเงิน ก็ต้องลงบัญชีขาดทุนตัวแดงเถือกกันเกือบทั้งสวนสัตว์ และถ้าขาดทุนขนาดนั้น มันก็ไม่แคล้วต้องล้ม หรือโดนปิดกิจการ เว้นแต่จะเพิ่มทุน ตามสัดส่วนที่กฏหมายเขากำหนด
.....ตายหง... เป็นถึงท่านคลัง กับท่านเฟด ลืมคิดเรื่องนี่ได้ไงนะ..... พวกสถาบันการเงินด่าเช็ด.... มึงจะช่วยกู หรือ มึงจะเชือดกูกันแน่ ....
คิงเฮนรี่ เหงื่อหัวล้านไหลย้อย ส่วนท่านทิม ที่ว่าทำหน้าขรึมเก่ง ก็เปลี่ยนจากหน้าขรึมเป็นหน้าคล้ำออกเขียว ด้วยความเครียด....เพราะ สถาบันการเงิน ไม่ยอมขายข้าวต้มมัด และ ไม่ยอมขยับตัวให้กู้ ต่างเก็บเงินเข้าพกแอบเงียบ แถมยังไม่ยอมขยับทำธุรกิจกับชาวบ้านอีก พวกเราอารยะขัดขืนนะ ... แหม รับบทกันเป็นทอดๆเชียว
อย่างนี้ คิงเฮนรี่ก็ต้องรีบปรับแผน เปลี่ยนมาเป็น TARP 2 แบบกลับหลังหัน เอาหัวล้านเดินต่างตีนแทน ด้วยการประกาศรับซื้อหุ้นของของสถาบันการเงิน แทนการซื้อข้าวต้มมัดตัวแดง เรียกว่า Capital Purchase Program (CPP) ฮัดช้า...ยิ่งกว่ายี่เกอีก รำกันเฉิบๆอย่างนี้ โลกยังจับไม่ได้เลยว่า เขาตั้งหม้อต้มเปื่อยกัน
ขณะนั้น มันเป็นช่วงใกล้เลือกตั้งประธานาธิบดี ในเดือนพฤศจิกายน คาวบอยกำลังจะไป ส่วนท่านใบตอง กำลังสั่งตัดชุดสาบานตน จริงๆแล้ว มันไม่น่าจะมีการของบใหม่อะไรได้เลย แต่คิงเฮนรี่ขู่แฟดใส่รัฐสภา ว่าอยากจะเห็นความฉิบหายจากฝีมือตัวเองก็ตามใจนะ แล้ววันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ.2008 งบอีก 250,000 ล้านเหรียญ ก็มีการอนุมัติ ให้นำออกมากอง เตรียมไว้ซื้อหุ้นของสถาบันการเงิน....
... เอ้า เอาหุ้นของเอ็งมา มีเงินเมื่อไหร่ค่อยมาซื้อกลับไป รัฐไม่เอาไปทำข้าวต้มมัดขายต่อ หรือเอาไปจำนำต่อหรอกเว้ย เหนื่อย( เล่นยี่เก) จะตายห่าอยู่แล้ว ส่วนไอ้ข้าวต้มมัดเก่าๆของพวกเอ็ง เอ็งอยากจะเก็บไว้ดูต่างหน้ากัน ก็ตามสบาย....
ปรากฏว่า โปรแกรมนี้ เป็นที่ถูกใจยักษ์ใหญ่วอลสตรีทมาก เออ อยู่ดีๆมีคนเอาเงินมาให้ กูก็แค่เอาหุ้นไปฝากรัฐแป๊บเดียว แต่ได้เงิน มาหมุนอีกแยะ ข้าวต้มมัดก็ยังไม่ต้องขาย ตัวแดงก็ไม่ต้องเพิ่ม ...มีข่าวดีอย่างนี้ ปั่นอีกนิดหน่อย หุ้นเราก็ขึ้นแล้วว่ะ...ไอ้ที่ว่าขาดทุน เดี๋ยวก็ได้คืน แมงเม่าก็รับเคราะห์ไป....ใครวะ มันแสนรู้ ช่างคิดดีจัง ....
อย่างนี้พวกสวนสัตว์ก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนอะไร.... คนหน้ามืด ก็คือรัฐบาลที่จะมาใหม่ ท่านใบตองของผม เดินเข้าไปในกับดักเต็มตีน อย่างไม่รู้ตัว หรือรู้ แต่เป็นพวกชอบลองของ หรือตกลงกันไว้ก่อนแล้วก็ไม่แน่ ท่านลูกครึ่งอยากออกฉากแสดงว่ามีฤทธิ์เดชเอง ก็ช่วยไม่ได้
ส่วนชาวบ้านตาดำๆที่เสียภาษีน่ะซิ ตกลงรัฐยังไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องบ้านพวกเขา ที่ถูกยึดเลยนะ แถมยังเอาเงินภาษีของพวกเขาไปอุ้มยักษ์อีกด้วย ...เฮ้ย... นั่นมันธรรมดาโลกนะ น้ำหลากมาแรง เขาก็ต้องช่วยสัตว์ใหญ่ก่อน ส่วนมด ก็ลอยคอตายเป็นแพซิวะ ก็อยากเสือกเกิดเป็นมดนี่หว่า
เมื่อโปรแกรมนี้เป็นที่ถูกใจชาวสวนสัตว์ ระหว่างช่วงโหว่ ไม่มีรัฐบาลดูแลจริงจัง คาวบอยก็มัวเก็บของลงกล่อง ใครจะมาวินก็ยังไม่รู้ วันที่ 12 พฤศจิกายน คิงเฮนรี่ก็เลยถือโอกาสประกาศส่งท้าย ยกเลิกการใช้เงินตาม โปรแกรม TARP 1 แต่เอาเงินของ TARP 1 มารวมกับ TARP 2 เปิดฟรีบาร์ ใครอยากเอาหุ้นมาตึ๊งกับรัฐ แล้วรับเงินสดไปหมุนเล่น รีบมาด่วนเลย ก่อนกูก็จะไปเหมือนกัน
ปรากฏว่า สถาบันการเงินที่เข้ามาทึ้ง TARP 2 มียักษ์ใหญ่ถลาเข้ามากันเพียบ ไล่ชื่อยักษ์ เรียงตามขนาดของสินทรัพย์ มี Citigroup, Bank of America, JP Morgan Chase, Wells Fargo, Goldman Sachs , Morgan Stanley, PNC Financial, US Bancorp, GMAC, Capital One, Regions Financial, American Express, Bank of New Melon, State Street Bank และ Discover Financial และสถาบันระดับกลางและเล็ก อีกร่วมร้อย รายการ
ดูจากรายชื่อยักษ์ใหญ่ ที่เข้ามาเขมือบเงินของพวกมดแล้ว ชื่อแรก Citigroup สดุดตาเหลือทน
Citigroup Inc หรือ Citi เป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพนักงานทั้งหมดประมาณ 357,000 คน มีสาขาทั่วโลกใน 140 ประเทศ และ 16,000 สำนักงาน และเป็นเจ้าพ่อขาใหญ่ที่สุด ในด้านการค้าพันธบัตรของรัฐบาลอเมริกัน แต่ในปี ค.ศ.2007 Citi บอกว่า ขาดทุนยับจากรายการข้าวต้มมัด และต้องรับความช่วยเหลือจาก โครงการอุ้มยักษ์ Tarp 2, 3 และอีกหลายโครงการ มากที่สุดกว่าทุกสถาบัน ... มาบทแบบนี้ เล่นเอาลุงมึน เล่านิทานเกือบไม่ออก... สุดยอดจริงๆ
Citi บอกว่ามีไข้ทางการเงินแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ.2007 เมื่อราคาบ้านตกต่ำสุด แต่อึดเอาไว้ ตอนนี้ อึดต่อไปอีกไม่ไหวแล้วกู ในวันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ.2008 จึงเรียกประชุมพนักงานของตัว ที่ศาลากลางของรัฐ (เว่อจัง) และแจ้งว่า จำเป็นจะต้องเลิกจ้างพนักงานถึง 52,000 คน เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่าย ... บทนี้สงสัย เด็กๆแถวฮอลลีวู้ด เขียนบทให้ฟรี ฝีมืออ่อนไปนิ้ด...นึง
วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน Citigroup ประกาศว่า ขาดทุนจากกองทุนเห็ดฟันในเครือของตน ถึง 53% ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา และจำเป็นต้องลงบัญชีขาดทุนถึง 17,000 ล้านเหรียญ
วันพฤหัสที่ 20 เจ้าชาย Walid bin Talal แห่งซาอุดิอารเบีย ซึ่งเป็นผู้ถือรายย่อยแต่(มาด)ใหญ่คนหนึ่งของ Citigroup บอกว่า ราคาหุ้นของ Citigroup ตอนนี้ต่ำกว่าความเป็นจริง และตัวเขาเองก็จะซื้อหุ้น Citigroup เพิ่ม วันรุ่งขึ้น หุ้นของ Citigroup ก็เลยตกเอาใจ ลงไปอีก 20% ปิดที่ราคา 3.77 เหรียญ
มูลค่าตลาดของ Citigroup ภายในอาทิตย์เดียว ลดลงถึง 60% และลดไป 87% นับจากราคาเมื่อต้นปี มูลค่าของ Citigroup จาก 250,000 ล้านเหรียญ ในปี ค.ศ.2005 เหลือแค่ 20,500 ล้านเหรียญ ในวันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ.2008 ... สรุปว่าหุ้นราคาร้อยบาท ตอนนี้เหลือราคาแค่ 10 บาท แม่งเม่าตาสีฟ้าร่วงระนาว
มันเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร....
ย้อนหลังไป 1 วัน ช่วงเช้าของวันพฤหัสที่ 20 พฤศจิกายน คิงเฮนรี่ รมต.คลัง ท่านทิมประธานเฟดนิวยอร์ค ประชุมเครียดทางโทรศัพท์ กับท่าน เบน เบอร์นานเก คุณนาย Sheila Bair ประธาน FDIC และ John Dugan เจ้าหน้าที่ อีกคนของเฟด เพื่อปรึกษากันเรื่อง Citigroup แต่ไม่ยอมให้ข่าวรั่วแม้แต่หยดเดียว
วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน คราวนี้เฟดนิวยอร์ค ประชุมทางโทรศัพท์กับตัวแทนของ Citigroup ไม่รู้ 2 ฝ่ายคุยกันว่าอะไรบ้าง หลังจากการประชุม คราวนี้ท่านทิม ให้ข่าวว่า Citigroup มีปัญหาด้านสภาพคล่องอย่างมาก และ ปัญหานี้อาจพาให้ไปสู่วิกฤติในวงกว้างมากกก.....และ Citigroup ก็ไม่มีทางเลือกมากนัก ดังนั้น รัฐบาลจะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขในการช่วยเหลือ Citigroup เอง ...
ถ้อยคำคงไม่ต่างกันมาก กับตอนประกาศก่อนอุ้ม AIG... ไม่ต้องร่างใหม่นะเสมียน เอาของเก่ามาแก้แล้วโรเนียวแจกได้เลย
แต่ข่าววงใน เขาว่า ฝ่ายรัฐ บอกกับยักษ์ใหญ่ Citigroup ว่าจะเอาอย่างไร ก็เขียนมาเลยแล้วกัน ประหยัดเวลา
และตอนเย็นวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ.2008 ฝ่ายรัฐก็ประกาศอุ้ม Citigroup อย่างเป็นทางการ ฝ่ายรัฐเรียกเสียน่าเอ็นดูว่า สุดสัปดาห์นั้น คือ Citi Weekend
ทำไมมันช่างต่างกับวันที่ หมีถูกกระทืบ หรือ กอริลลาถูกถีบตกเหวอย่างนั้นหนอ ....ในเมื่อ ก็อยู่สวนสัตว์วอลสตรีทด้วยกัน แถมแดกข้าวต้มมัดจนจุกด้วยกันทั้งนั้น
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
25 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 25
Citigroup Inc หรือ Citi เกิดจากการรวมตัว ระหว่าง Citicorp ยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจการธนาคาร กับ Travelers Group ยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจการเงิน เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.1998 เพื่อให้เป็นสถาบัน ที่ให้บริการด้านธุรกิจการเงินการธนาคาร ครบวงจร ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ก่อนจะเป็น Citicorp ต้องย้อนกลับไปถึง City Bank of New York ที่ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1812 ด้วยเงินทุน 2 ล้านเหรียญ เพื่อให้บริการกับนักธุรกิจในนิวยอร์ค และเป็นผู้สนับสนุนรายแรก ในการตั้ง Federal Reserve Bank of New York แปลว่าเป็นรุ่นบุกเบิก หรือ เจ้าของเฟด แท่นพิมพ์กระดาษสีเขียวตรานกอินทรี แปลอีกต่อ สั้นๆ ว่า เป็นพวกผู้มีบารมีเหนือรัฐบาลอเมริกา
ในปี ค.ศ.1913 เปลี่ยนชื่อมาเป็น First National City Bank of New York ในปี ค.ศ.1955 และหดชื่อสั้นลงอีก เหลือเป็น First City Bank ในปี ค.ศ.1962 ... เปลี่ยนชื่อหลายหนจัง ไม่ถูกโฉลกกับโคตรท่านหินร่วงหรือครับ
First City Bank เป็นผู้ริเริ่มการใช้เครดิตการ์ด ที่รู้จักกันในชื่อ Everything card ที่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Mastercard และเป็นผู้นำเอาเครื่อง ATM เบิกกันแหลกตลอด 24 ชม มาใช้เป็นธนาคารแรก อ้อ... นี่เอง ตัวการให้ชาวบ้านมือเติบ ใช้เงินในอากาศ (เครดิตการ์ด) ใช้เงินแบบมือรั่ว 24 ชั่วโมง (ATM)
ในปี ค.ศ.1976 เปลี่ยนชื่อหดลงมา เหลือแค่ Citibank
Citibank ก้าวหน้าและเป็นที่รู้จักดี ภายใต้การนำของ Walter B Wriston คนโปรดของท่านหินร่วง ซึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1967 ถึงปี ค.ศ.1984
Wriston เกิดที่คอนเนคทิคัต แม่เป็นครูสอนเคมี พ่อเป็น ศาสตราจารย์ สอนที่มหาวิทยาลัย และเป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีไอเซนฮาวเออร์
Wriston เป็น eagle scout ลูกเสือติดปีกอินทรี (อีกตัวแล้ว!) ที่ได้รับรางวัลดีเด่นพิเศษ เขาเรียนจบด้านกฏหมาย และการต่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ Tuft และ Fletcher
เรียนจบก็ไปทำงานที่ กระทรวงต่างประเทศ อยู่ฝ่ายเจรจา แลกเปลี่ยนนักโทษกับญี่ปุ่น พอเกิดสงครามโลก ก็ไปเป็นทหาร และประจำอยู่หน่วยส่งสัญญาน ที่เกาะเซบุ ฟิลิปปีนส์
Wriston ได้เป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศ ของประธานาธิบดีเรแกน ในช่วงปี ค.ศ.1982- 1989 เขาได้รับเหรียญสดุดีสูงสุดสำหรับพลเรือนในสมัยคาวบอยบุช และได้รับเสนอชื่อให้เป็นรัฐมนตรีคลัง 2 ครั้ง ในสมัย นิกสัน และ ฟอร์ด แต่เขาปฏิเสธ! ข่าวบอกว่า การปฏิเสธครั้งหนึ่ง มาจากเหตุผลว่า เพราะประธานาธิบดี ไม่ได้เป็นคนมาเจรจาขอให้เขารับตำแหน่งด้วยตัวเอง (ใหญ่นะเว้ย) อีกข่าวบอกว่า ถ้าไปรับตำแหน่ง เงินเดือนจากรัฐมันน้อยมาก ต่างกับที่รับอยู่กับเอกชน..(อ้าว งกนี่หว่า)
ภายใต้การบริหารของ Wriston ทรัพยสินย์ของ Citicorp โตขึ้นเกือบ 800%
Wriston ได้ชื่อว่า เป็นนายธนาคารที่มีอิทธิพล "สูงที่สุด" ในวงการ
ปี ค.ศ.1984 John Reed ซึงเป็นลูกน้องก้นกุฏิของ Wriston ขึ้นมารับตำแหน่ง เป็นหัวหน้าใหญ่ต่อจาก Wriston Citibank ยิ่งขยายใหญ่ และ 14 ปีต่อมา Citibank ก็กลายเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา และเป็นผู้ออกเครดิตการ์ด และชาร์จการ์ดใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมไปถึง 90 ประเทศ
ทั้ง Walter B Wriston และ John S Reed เป็นสมาชิกของ CFR โดยเฉพาะ Henry B Wriston นั้น เป็น ได้รับเกียรติเป็น ประธานกิติมศักดิ์ อยู่หลายปี
แม้ตอนเริ่มตั้งธนาคารสมัยแรกๆ Citibank จะเน้นการทำธุรกิจให้กับชาวนิวยอร์ค แต่เมื่อถึงสมัยที่ Wriston เป็นหัวหน้าใหญ่ Citibank กลับเพิ่มการทำธุรกิจนอกประเทศขึ้นอย่างมากมาย Wriston สนิทกับ อริสโตเติล โอนาซิส (เศรษฐีกรีก เจ้าของกิจการขนส่งทางเรืออันดับหนึ่งของโลกในช่วงปี ) และ Citibank ก็เลยเป็นธนาคารเจ้าประจำ ในการให้เงินกู้กับโอนาซิส เพื่อไปต่อกองเรือขนส่งน้ำมัน ....
ขนส่งให้ใครล่ะ ไม่น่าถาม.... ก็ขนส่งให้ Standard Oil ของท่านหินร่วง เป็นพิเศษ ไม่ต้องรอคิวไง เขาว่าท่านหินร่วง กับโอนาซิส นั้นเป็นเกลอชนิดถูกกระเดือกกันมาก ถึงขนาด จับมือเกี่ยวโยง กับการเมืองเรื่องสำคัญของอเมริกันในช่วงนั้นด้วย
นอกจากนั้น Citibank ก็ยังทำตัวคล้ายกับเป็นกระทรวงต่างประเทศ หรือ จะเป็น ก ต ตัวจริงก็ไม่รู้..... Citibank จึงไปเปิดธุรกิจในสาขาต่างประเทศ เป็นการผูกสัมพันธ์อีกมากมาย เช่นที่ รัสเซีย จีน ละตินอเมริกา คิวบา เม็กซิโก และประเทศอย่างเราๆ ที่ฝรั่งเรียกในสมัยหนึ่งว่า ประเทศโลกที่ 3 Third World Countries ....(ประเทศที่กำลังพัฒนา หรือ ด้อยพัฒนา อย่าง เอเซีย อาฟริกา และ ละตินอเมริกา) เราไม่ได้อยู่ในโลกใบเดียวกัน.... มึงเรียกพวกกูอย่างนั้น และ กู ก็ ไม่ มี วัน ลืม......
การควบรวมระหว่าง Citicorp กับ Travelers นั้น มาจากฝีมือการจัดการของ Sandford I "Sandy" Weill ที่เป็นหัวหน้าใหญ่ของ Travelers
Weill เป็นยิวจากโปแลนด์ อพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกา และเข้าโรงเรียนทหารก่อนจะมาเรียนต่อทีมหาวิทยาลัย Cornell เรียนจบ ก็ไปทำงานเป็นพนักงานรับคำสั่งซื้อขายหุ้นที่ Bear Stearns เขาย้ายงานไปเรื่อยๆ และก็ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ได้เป็นประธานผู้บริหารของ American Express และ บริษัทประกันในเครือของ American Express
ระหว่างอยู่ American Express เขาเอา Jamie Dimon มาขัดสีฉวีวรรณ เพื่อเตรียมตัวส่งไปเป็น CEO ของ JP Morgan Chase.... มันสั่งข้ามบริษัทกันได้เลยนะ
เป็นที่รู้กันดีว่า Weill นั้น เป็นหนึ่งในผู้มีบารมีของสวนสัตว์วอลสตรีท บรรดาหัวหน้าใหญ่ของยักษ์ในสวนสัตว์วอลสตรีทนั้น ส่วนใหญ่ถ้าไม่เคยเป็นลูกน้องเขา ก็มีหนี้บุญคุณติดค้างเขาทั้งนั้น
Travelers Group ภายใต้การนำของ Sandy Weill ได้ควบรวมธุรกิจทั้งด้านการเงิน และประกันภัยเข้ามารวมกัน โดยเฉพาะการซื้อ Primerica ที่เป็นเจ้าของธุรกิจประกันชีวิต และ เจ้าของ Smith Barney นายหน้าค้าหุ้น รวมทั้ง บริษัทค้าหุ้นระดับกลางอย่าง Shearson Lehman ต่อมา Travelers ยังซื้อ บริษัทค้าหุ้นอีกรายคือ Salomon Brothers
เดือนเมษายน ค.ศ.1998 Travelers Group ประกาศว่า จะมีการควบรวมกับ Citicorp ซึ่งคาดว่าจะเรียบร้อยในเดือนตุลาคม ...ปัญหามีอยู่ว่า ตามกฏหมาย Glass-Steagall Act กำหนดให้การทำ ธุรกิจการธนาคาร กับธุรกิจประกันภัย ต้องแยกออกจากกัน ....รู้ๆอยู่แล้วว่า กฏหมายห้ามทำ แต่ก็ขืนจะทำ .... Weill ประกาศอย่างมั่นใจมากว่า... กว่าจะถึงตอนนั้น ปัญหา ที่เราเป็นห่วงกัน ก็คงหมดไป....
ปัญหา ที่มาจากข้อห้ามของกฏหมายจะหมดไป มันก็ต้องแก้ไข ด้วยการแก้กฏหมาย ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐสภา Weill ต้อง มีความมั่นใจมาก หรือมีคนหนุนหลังใหญ่มาก จึงกล้าประกาศเช่นนั้น
แล้ว พวกคิดควบ อย่างไม่กลัวว่าขัดต่อกฏหมาย ก็เชิญ พณ เจอรัลด์ ฟอร์ด อดีตประธานาธิบดี (พรรครีพับลิกัน) และ คุณชาย โรเบิร์ต รูบิน ( อตีตรัฐมนตรีคลังสมัยคนนิยมเด็กฝึกงานจาก พรรค เดโมเครต) มาเป็นกรรมการ มีทั้งรีพับลิกัน มีทั้งเดโมแครตมาอยู่ในคณะกรรมการ ยังมีปัญหาอีก ก็ให้รู้ไปซิ(วะ) และทั้ง 2 คนก็มาเป็นกรรมการ ทั้งๆที่รู้ว่าเขาจะควบกัน แบบขัดต่อกฏหมาย
ในที่สุด การควบรวมก็สำเร็จ Citigroup เกิดขึ้น ปลายปี 1998 ตามกำหนด โดยทางการบอกว่า... เออ ทำได้ แต่ให้เวลา 2 ปี เพื่อ แยกธุรกิจทั้ง 2 ออกจากกัน ตามที่กฏหมายกำหนดนะ ฝ่ายควบรวมบอก .....ไม่มีปัญหา ... เรามีทางออกอยู่แล้ว แต่จะออกทางเดียวกันกับที่ทางการต้องการหรือเปล่า ไม่รู้นะ
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
26 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 26
เดือนกันยายน ค.ศ.2007 ขณะที่ชาวสวนสัตว์วอลสตรีท กำลังปวดหัวอยู่กับข้าวต้มมัดที่เริ่มเน่า ฝ่ายผู้บริหารของ Citigroup ก็นั่งประชุมกัน เพื่อประเมินสภาพของตัวเอง
Charles O Prince หัวหน้าใหญ่ของ Citigroup เพิ่งรู้ในวันนั้นว่า ธนาคารของตัวมีข้าวต้มมัดอยู่ถึง 43,000 ล้านเหรียญ ....ทำไปได้ไงวะ ...เขาถาม มาเฮรัส Thomas G Maheras ที่ดูแลด้านค้าตราสาร
มาเฮรัส บอก เจ้านายไม่ต้องตื่นเต้นไป เรายังโอเค ไม่มีอะไรเสียหาย ข้าวต้มมัดเราคุณภาพดี ยังไม่บูดง่ายๆหรอกน่า
เจ้ามาเฮรัส นี่ ต้องชอบข้าวต้มมัดมาก เพราะฟาดโบนัสจากกำไรข้าวต้มมัดไปจนกระเป๋าตุงตั้งแต่ช่วงปีแรกๆ ของการออกตราสารข้าวข้าวต้มมัด
หน่วยงานที่ควรต้องเข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง คือ ฝ่ายบริหารความเสี่ยงของธนาคาร ที่ปรกติต้องทำมาดเข้ม เอาจริง มองทุกคนว่าเป็นผู้ต้องสงสัยไว้ก่อน เขาจึงเหมือนเป็นพวกมือปราบปืนโหด แต่มือปราบ ที่ Citigroup คงใช้ปืนฉีดน้ำ ....มันเป็นเรื่องปรกติ เพราะที่ Citigroup เขาเอาเรื่องรายได้นำหน้า
....ยิ่งเมื่อเจ้ามาเฮรัส บอกว่า ข้าวต้มมัดทำรายได้ให้ธนาคารแยะนะ และก็เป็นโบนัสของพวกคุณไง...หน้าไหนที่จะมาทำเสียงแข็งซักฟอกเจ้ามาเฮรัส ก็เลยเสียงอ่อน ถอยกลับ
ส่วน Prince นั้น เดิม เป็นทนายประจำตัวของ Sandy Weill เมื่อมาควบรวมกับ Citibank Weill ก็หนีบเอาPrince มาด้วย และส่งเสริมให้ Prince ได้ขึ้นมาคุมด้านอินเวสเมนท์แบงค์ในปี ค.ศ.2002 ซึ่งผู้คนพากันนินทาว่า ไอ้หมอนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย... เขาแยกไม่ออกด้วยซ้ำ ระหว่าง CDO กับรายการซื้อของใช้ประจำบ้าน อาจจะนึกว่าเป็นผงซักฟอกยี่ห้อใหม่ก็ได้นะ....
ในช่วงปี ค.ศ.2003 - 2005 Citigroup บอกว่า มันเป็นจังหวะดี สำหรับการออกตราสารข้าวต้มมัดนะ ข้าวต้มมัดของ Citi จึงเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว จาก 6,000 พันล้านเหรียญ เป็น 20,000 ล้านเหรียญ Citi กลายเป็นคนขายข้าวต้มมัดรายใหญ่ที่สุดในวงการ ... แม่เจ้าโวย รายได้จากค่า fee ในการขายข้าวต้มมัดอย่างเดียว ก็มากกว่าดอกเบี้ยเงินกู้แล้ว ทำเอา Citigroup บอก แบงค์เบิ้ง ไม่ต้องสนใจมันมาก มานึ่งข้าวต้มมัดขายกันดีกว่าว่ะ
จริงๆ Citigroup เป็นอาณาจักรที่ใหญ่มาก มีธุรกิจหลากหลายที่ต้องมีการดูแล จากผู้ที่มีความชำนาญต่างๆ แค่ระบบไอที ที่ Citi ใช้อยู่ ก็หลายสิบระบบแล้ว การทำบัญชีอีกล่ะ แค่นี้คนดูแลก็มึนหัวจะตายหงแล้ว แล้วจะมาเร่งให้ออกตราสารข้าวต้มมัด ที่มีคนเข้าใจจริงๆ น้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย น่ะ มันจะเป็นยังไง
ปี ค.ศ.2005 ทางการ สั่งให้ Citi ชลอการซื้อธุรกิจใหม่เพิ่มเข้ามา จนกว่าจะจัดการเก็บกวาดภายในบ้านให้เรียบร้อยก่อน เพราะ Citi มีคดีผิดกฏของทางการคาอยู่แยะ ขณะเดียวกัน Weill ก็ต้องการให้ Citi ขยายธุรกิจให้มากที่สุด ยี่ห้อ Citi ต้องคลุมโลก.... สงสัยผมจะสะกดผิด เข้าใจว่า พวกเขาไม่ใช้ ล ลิงนะ
Prince และคณะกรรมการ ก็เลยเลือกขยายธุรกิจการค้าตราสาร ซึ่งทำให้ Citi ขยายตัว (จากข้างใน) ได้ตามที่ Weill ต้องการ และไม่ขัดกับคำสั่งของทางการ ...ไม่ได้ซื้อธุรกิจใหม่นี่......แต่มันเป็นธุรกิจที่ Prince ไม่รู้เรื่อง ซักไม่สะอาดจริงๆ ... เขาเลยต้องคอยถาม คอยปรึกษาใครอยู่เรื่อย
"ใคร" ที่ Prince ต้องไปถามอยู่เรื่อยก็คือ คุณชายรูบิน Robert Rubin (ชื่อนี่มาอีกแล้ว) ก็ทุกคนมองว่า คุณชายเป็นคนที่เชี่ยวมากในวงการตลาดทุน ไม่ถามคุณชายแล้วจะไปถามลิงที่ไหน ....
คาถาของคุณชาย คือ...อยากได้เงินมาก ก็ต้องเสี่ยงมาก ... อย่างนี้ลุงนิทานก็พูดได้นะ...
Robert Rubin เปลี่ยนที่นั่งจากสวนสัตว์วอลสตรีท ไปวอชิงตันแบบสบายๆ จากนักค้าหุ้นระดับเซียนของโกลด์แมน ไปร่วมรัฐบาล เป็นรัฐมนตรีคลัง ของรัฐบาลคลินตัน ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไร ...ก็พวกเขาเป็นCFR ด้วยกัน
พอหมดเทอมจากเป็นท่านคลัง Weill ก็ชวนคุณชายรูบิน มาร่วมงานกับ Citigroup วนเวียนอยู่ในก๊วน ให้เป็นประธานของคณะผู้บริหาร ซึ่งคุณชายย้ำหนักหนา ว่า เขามีหน้าที่แค่ให้คำแนะนำกับผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร กับคณะกรรมการเท่านั้น ... ผมไม่ยุ่ง ไม่เกี่ยวกับงานประจำวัน ...(อย่าให้ผมต้องพูดกับระดับเสมียน หรือเจ้าที่เล็กๆ)
คุณชายไม่ยุ่งกับงานประจำวันก็จริง แต่คุณชายเป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์ของธนาคาร
เมื่อ Citi ตัดสินใจจะขยายตัว ในปี คศ 2005 จากหน่วยงายภายใน คุณชายรูบิน ถามว่า..... พวกคุณจะทำอะไร .... Citi น่ะ ไล่ตามคู่แข่งอย่าง Morgan Stanley กับ โกลด์แมนในเรื่องการค้าตราสารไม่ทันอยู่แล้วนะ .. คุณต้องเพิ่มปริมาณการค้าตราสาร ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดสิ . ..คุณชายหมายถึง ตราสารข้าวต้มมัดน่ะ เขาบอกกับ Prince ..... คุณต้องกล้าเสี่ยงหน่อยสิ
เมื่อได้ยุทธศาสตร์อย่างนี้จากคุณชาย Prince ก็ทำแผนเสนอคณะกรรมการ โดยมีคุณชายช่วยพูดสนับสนัน ทุกคนเห็นพ้อง ... เอ้า...เฮ้ย...พวกเราลุย .....เตรียมหม้อนึ่ง ทำข้าวต้มมัดเพิ่มกัน ถึงกับไปซื้อตัว นักค้าข้าวต้มมัด จากค่ายอื่นมาเสริม แล้วโบนัสสำหรับนักค้าข้าวต้มมัด ก็เพิ่มเป็น 1 เท่า 2 เท่าตัวกัน.... คุณชายเยี่ยมจริงโว้ย.....เจ้ามาเฮรัส ได้เฮกว่าเพื่อน ฟาดโบนัสไป 3 เท่าตัว
และ Prince ก็ยังยืนยันกับนักวิเคราะห์ ตอนสิ้นปี 2005 ว่า Citi ยังอยู่ดี
เมื่อเครื่องทำข้าวต้มมัด เพิ่มปริมาณการผลิต ไปไม่รู้กี่เท่าตัว แต่มือปราบปืนฉีดน้ำก็ไม่มีข้อท้วงติง เพราะคงกำลังวุ่นอยู่กับการคำนวณโบนัส ที่คิดว่าจะได้
เมื่อราคาบ้านเริ่มตก ข้าวต้มมัดเริ่มไม่เป็นที่นิยม มือปราบปืนฉีดน้ำ ยังวิเคราะห์ว่า โอกาสที่ข้าวต้มมัด CDO ที่ทำจากสัญญาจำนองบ้าน จะมีการผิดนัดน้อยมากๆ และเจ้ามาเฮรัส ยังยืนยันกับทุกคนเหมือนเดิมว่า เรา ไม่มีทางเจ๊ง แม้แต่สตางค์แดงเดียว... เชื่อผม
กลางเดือนสิงหาคม ค.ศ.2007 Prince เรียกประชุมผู้บริหาร ในห้องเล็ก เพื่อประเมินผลงานของ Citi
มาเฮรัส ยืนยันกับทุกคนในห้องประชุม ที่มีคุณชายรูบินและฝ่ายมือปราบอยู่ด้วยว่า สถานะของข้าวต้มมัด CDO ของเรายังปลอดภัย ... คุณชายไม่มีข้อสงสัย.... ฝ่ายมือปราบ ที่น่าจะมีข้อสงสัย ก็ไม่มีข้อสงสัย
....และ Prince ก็ไม่มีข้อสงสัย เพราะไม่แน่ใจว่า ตัวเองควรสงสัย ในเมื่อคุณชาย กับฝ่ายมือปราบ ยังไม่สงสัยเลยนี่หว่า...
วันที่ 1 ตุลาคม สัญญาณภัยส่งเสียงดังเตือนนักลงทุน เมื่อ Citi ประกาศการลงบัญชีตัดขาดทุน( write-off) เงินกู้ด้านจำนองบ้าน ที่เป็นซับไพรม์ จำนวน 1,300 ล้านเหรียญ แต่สำหรับรายการข้าวต้มมัด 43,000 ล้านเหรียญ ที่แสดงอยู่ในรายการบัญชี Citi ตัดขาดทุนเพียง 95 ล้านเหรียญ....
มือปราบของ Citi เอาหัวไปมุดอยู่ที่ไหน ผู้คนเริ่มถามหา...
แต่หาตัวไม่เจอ ...ถึงเจอก็คงทำอะไรไม่ได้... เพราะไม่กี่วันหลังจากนั้น ราคาตราสารข้าวต้มมัด CDO ก็พุ่งหลาวลง พวกเครดิตเรตติ้ง ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือข้าวต้มมัดกองพะเนินของ Citi เป็นของบูดกินไม่ได้ไปแล้ว
อีกอาทิตย์ต่อมา Merrill Lynch ก็รับสภาพ ประกาศตัดขาดทุน ข้าวต้มมัด CDO ของตัว ที่มาจากสัญญาจำนองบ้านทั้งหมด ตามราคาตลาด (mark down) และทำให้เจ้าของข้าวต้มมัดรายอื่นๆ เริ่มทำตาม
ต้นเดือนพฤศจิกายน Citigroup ประเมินว่าตนเอง คงต้องตัดขาดทุนข้าวต้มมัดของตัว ประมาณ 8,000 ถึง 11,000 ล้านเหรียญ !!!
เจ้ามาเฮรัส รวมทั้งหัวหน้าทีมมือปราบ ฝ่ายบริหารความเสี่ยง ถูกให้ออกจากงานพร้อมเก็บปืนฉีดน้ำกลับบ้านไปด้วย ตามมาด้วย Prince ก็ถูกให้ออกโดยไม่มีค่าชดเชย.... แต่ไม่เป็นไร เขายังมีหุ้นของ Citigroup อยู่ที่ราคาตอนเดินออก ประมาณ 68 ล้านเหรียญ พอเป็นการปลอบใจ Prince สมาชิก CFR ที่เสียสละ....
คุณชายรูบินยังอยู่ดี มดไม่ไต่ไรไม่ตอม แถม Vikram S Pandit ที่ขึ้นมารับตำแหน่งแทน Prince ก็เป็นเด็กในคาถาของคุณชาย คุณชายเป็นคนรับเข้ามาทำงาน Pandit ได้รับมอบหมาย ให้จัดการปัดฝุ่น ฝ่ายมือปราบ เปลี่ยนปืนฉีดน้ำรุ่นใหม่
Citi ยังมีข้าวต้มมัดบูดค้างอยู่ในรายการบัญชีประมาณ 20,000 ล้านเหรียญ ถ้าตัดขาดทุนตามราคาตลาด ข้าวต้มมัดจะเหลือราคาประมาณ 20 -40%
Citi ยังมีรายการซื้อหนี้อีกมากค้างอยู่ในบัญชี เป็นหนี้จากการผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต เพื่อเตรียมเอามาทำ ตราสาร ข้าวต้มมัด หนี้พวกนี้คงค้างบัญชีอยู่อีกนานตามสภาพเศรษฐกิจของอเมริกา
นอกจากนี้ ยังมีสินทรัพย์ (หนี้) น่าสงสัยอีกแยะ ที่ Citi ย้ายออกมาจากบัญชี และได้ถูกนำกลับเข้าไปลงบัญชีอีก และกำลังสร้างปัญหาใหม่ให้กับ Citi... มันทำได้ยังไงนะ
นักวิเคราะห์ยังบอกว่า ยังมีรายการน่าสงสัยอีกแยะเกี่ยวเรื่องจำนวนหนี้ของ Citi เพราะ มันมาจากนโยบาย เอารายได้นำหน้าของ Citi ที่ไม่สนใจเรื่องกฏระเบียบของทางการ รวมทั้งในด้านการลงบัญชี และความยากลำบากในการตีราคา หนี้และตราสารเกี่ยวกับข้าวต้มมัด ที่ Citi มีอยู่แยะมาก...
(นิทานตอนนี้ ผมสรุปความมาจาก บทความของ New York Times เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ.2008 ชื่อ Citigroup Saw No Red Flags Even as It Made Bolder Bets)
บทของ Citi ธนาคารใหญ่ที่สุดของอเมริกา แต่ดันคุมความเสี่ยง ด้วยปืนฉีดน้ำ จนเจ๊งฉิบหาย นี่... ผมว่า คนเขียนบท หรือ คนวางแผน มันเข้าใจจิตวิทยา ของความโลภได้เข้าไส้จริงๆ
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
27 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 27
เมื่อ ท่านใบตองแห้ง เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากคาวบอยบุช ในเดือนมกราคม ค.ศ.2009 ความหายนะจากข้าวต้มมัดบูด การช่วยชาวสวนสัตว์วอลสตรีทขี้โกง เป็นเรื่องที่ชาวบ้านหงุดหงิดมาก แต่ที่ชาวบ้านออกอาการใกล้จะระเบิด คือ เรื่องการยึดบ้านของชาวบ้าน ที่รัฐยังไม่จัดการช่วยอะไรเลย คิงเฮนรี่ และท่านทิม ได้รับการด่าจนชินชา โดยเฉพาะคิงเฮนรี่ ที่ขนเอาลูกน้องจากโกลด์แมน มาช่วยคลังเป็นขบวน ยิ่งแก้ตัวไม่ออก อย่างนี้ท่านใบตองแห้ง ก็ต้องรีบหยิบเอาบทพระเอก ปราบยักษ์ (หรืออุ้มยักษ์ !) มาเล่นโชว์ด่วน แต่ก่อนจะเล่นโชว์ ก็ต้องหาท่านคลังคนใหม่ให้ได้เสียก่อน จะเอาคิงเฮนรี่ไปออกฉากอีก ก็คงได้รับของฝากกลับบ้านหลายข้างแต่ต่างเบอร์ เดินไม่ถนัดแน่
จะเอาใครมาเป็นท่านคลังดีล่ะ (ตามใบสั่ง) มันก็พวกสวนสัตว์ทั้งนั้น ท่านใบตองแห้งเลยหลับตาจิ้ม ได้ชื่อ...ท่านทิม....อะ... โผล่มาอีกแล้วหรือ ชื่อนี้... หรือมันเขียนชื่อ ทิม ไว้ทั้งหน้ากระดาษ !!
จริงๆ ท่านทิม Timothy Geitner เป็นนักวิชาการนะ เป็นคนนอกวงการ แต่มาคลุกคลี กับพวกสวนสัตว์ได้ยังไงเนี่ยะ
ไม่ต้องสงสัยนาน ลุงนิทานค้นมาให้แล้ว
Peter G Peterson ซึ่งเป็นประธานของเฟดนิวยอร์ค เป็นคนเลือกท่านทิม เข้ามาเป็นกรรมการเฟดนิวยอร์ค ในปี ค.ศ.2003 เองแหละ เขาบอกว่า Timothy Geithner เป็นตัวเลือกที่เหมาะ ... เหมาะสำหรับอะไร.... หวังว่าท่านผู้อ่านคงยังจำชื่อ Peter G Peterson ได้ ก็คุณหินของเรา ที่เป็นประธานของ Blackstone Group ที่โด่งดังไงครับ (อ่านเรื่องของ Blackstone Group ได้ในนิทานป้ายลวง) เขาเป็นคนที่ท่านร้อกกี้หินร่วง ไปจับมือชวนมาทำธุรกิจด้วยกัน และสนับสนุนให้เป็นถึงเป็นประธานของ CFR ในช่วงปี คศ 1985 ถึง 2007
จำกันได้มั้ย... เรื่องของคนใหญ่ขนาดนี้ ไม่น่าลืมกันนะ
ตามโครงสร้างของเฟด แต่ละเขต จะมีคณะกรรมการ 9 คน 6 คน มาจากการเลือกของสมาชิกที่เป็นธนาคาร และอีก 3 คน มาจากการเลือกของคณะกรรมการผู้ว่าการ (Federal Reserve Board of Governors) หลังจากนั้น ทั้ง 9 คนจะเลือกผู้จัดการใหญ่ ของแต่เขต เพราะฉะนั้นใครที่อ้างว่า เฟด เป็นภาครัฐก็คงอ้างลำบาก เว้นแต่รัฐจะคุมพวกสวนสัตว์ได้ คิดว่า ....เป็นไปได้ไหมครับ
Timothy Geithner เป็นลูกของ Peter Geithner ที่ทำงานให้ USAID ที่อาฟริกา และที่วอชิงตัน ก่อนย้ายไปอยู่ Ford Foundation และมาประจำการอยูแถบเอเซียเป็นเวลาเกือบ 30 ปี ทิม ลูกชาย จึงตามติดมาด้วย เขาเรียนชั้นประถมในโรงเรียน สำหรับลูกคนชั้นสูงที่อินเดีย และจบชั้นมัธยมที่ โรงเรียน International School Bangkok บ้านเรานี่แหละครับ หลังจากนั้น ท่านทิม ก็ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย John Hopkins ทางด้านเศรษฐศาสตร์ และด้านตะวันออกไกลศึกษา... แหม เตรียมตัวดีจริง
(USAID เป็นหน่วยงานที่ใหญ่มากหน่วยงานหนึ่ง ของรัฐบาลอเมริกัน ที่มักไปตั้งสำนักงาน ทำงานในต่างประเทศ ในช่วงที่ประเทศนั้น หรือแถบนั้น ไม่มีความไม่สงบ โดยอ้างว่าเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่พันธมิตร หรือ ลูกหาบ.... ช่วยยังไง คงพอเดากันออก สมัยสงครามเวียตนาม เจ้าหน้าที่ของ USAID เดินกันเกลื่อนอยู่ในบ้านเรา ....สงครามเวียตนามเลิกก็หายหัวไปแยะ ...แต่เขาว่า หลังจากบ้านเรามีกีฬาสีบ่อยๆ เห็นกลับเข้ามาเดินเกลื่อนกันอีกแล้ว ใครอยากปลุกชาวบ้านทำอะไร เขียนโครงการส่ง USAID เข้าไปไม่กี่แผ่น มีเจ้าหน้าที่มาคุยนิดหน่อย ก็ได้เงินมาเคลื่อนไหว เพื่อรักษาประชาธิปไตย ของใครก็ไม่รู้. ..ส่วน Ford Foundation เหมือนอยู่ฝ่ายเอกชน แต่จริงๆ ก็สังกัดรัฐบาล ทำหน้าที่ไม่ต่างกันมากหรอกครับ แค่เอาการให้ทุนมาบังหน้า อเมริกามีองค์กรใส่เสื้อคลุม อย่างนี้อีกแยะ ตั้งขึ้นมาใหม่ๆ เกือบทุกวัน ..)
กลับมาต่อ เรื่องท่านทิม .....เรียนจบ ก็มีงานรอ ไม่ต้องไปวิ่งหางานจนเหงื่อซก ไม่มีการแบกเป้ไปท่องโลกกว้าง เขาเห็นโลกมาแยะแล้ว จากการเป็นลูกที่ตามพ่อไปทุกแห่ง และไม่ต้องเป็นพนักงานฝึกหัดชงกาแฟให้เจ้านายที่ไหน เพราะมีเจ้านายรอให้ไปทำงานด้วย...
งานแรกที่รอให้ท่านทิมทำหน้าขรึมไปทำคือ ที่ Kissinger Associates โดยขึ้นตรงกับ Kissinger ชายผู้มีเสน่ห์เอง .... ได้ครูชั้นดีเลยนะนี่ แบบนี้ท่านทิมก็คงไปลิ่ว ครูเองก็ปลื้มลูกศิษย์คนนี้มาก บอกว่ามันไม่ค่อยมีปากมีเสียง เวลาเถียงก็ใช้สำนวนดี และไม่ค่อยกร่าง เหมือนครู
ฝึกใช้เสน่ห์อยู่ได้พักใหญ่ หลังจากนั้น ท่านทิมก็ย้ายไปทำงานที่กระทรวงคลัง โดยการแนะนำของชายเจ้าเสน่ห์ ....เขาส่งไม้ต่อกันดีจริง... ท่านทิมทำอยู่หลายแผนกที่คลัง รวมทั้งถูกส่งไปช่วยงาน ที่สถานทูตอเมริกันที่ญี่ปุ่น แล้วก็กลับมาอยู่คลังต่อ จน Larry Summers ปลัดกระทรวงคลัง ที่ดูแลด้านกิจการต่างประเทศ เห็นแววฉลาดเจิดจ้าของท่านทิม เลยเรียกตัวเขามาเป็นผู้ช่วย หลังจากนั้น ท่านทิม ก็กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ได้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีคลัง ในปี ค.ศ.1999 เมื่ออายุยังไม่ถึง 40 ปี
ท่านทิม เป็นคนหนึ่งที่ดูแล จัดการให้พวกสวนสัตว์วอลสตรีท ออกแรงช่วยเหลือ LTCM เห็ดฟันจีเนียส ที่ล้มไม่เป็นท่า ในช่วงปี ค.ศ.1990 กว่าๆ แต่ที่ทำให้เขามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วไปในวงการ คือ เมื่อเขาไปช่วย IMF เจรจาเงินช่วยเหลือให้แก่ บราซิล เกาหลีรวมทั้งไทยแลนด์ ช่วงต้มยำกุ้ง เพราะเป็นถิ่นเก่าที่เคยอยู่ และคุ้นเคยกันทั้งนั้น
เมื่อ William McDonough (สมาชิกCFR) กำลังจะพ้นจากตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ของเฟดนิวยอร์ค คณะกรรมการเฟด ก็พยายามหาคนเหมาะสมเข้ามาแทน ชื่อของ Tim Geithner จึงโผล่ขึ้นมา Alan Greenspan ประธานกรรมการใหญ่ของเฟด ที่เป็นสมาชิก CFR อีกคนออกปาก สนับสนุนเต็มที่ ให้รีบไปเอาไอ้หนุ่มนี่มาเลย... อ้อ....ท่านทิมก็เป็นสมาชิก CFR ด้วยนะครับ
เมื่อมาเริ่มงานที่เฟดนิวยอร์ค ท่านทิมมีเพื่อนที่คอยมาให้คำปรึกษาอยู่เสมอ คือ Gerald Corrigan (สมาชิก CFR เช่นกัน) ที่เคยทำงานเป็นผู้จัดการใหญ่ของเฟดนิวยอร์ค หลังจากนั้นก็ไปเป็นผู้จัดการใหญ่ของ โกลด์แมน และอีกคนที่ชอบมาคลุกด้วย คือ John Thain ศิษย์เก่าโกลด์แมน ที่ไปเป็นอดีตหัวหน้าใหญ่ของตลาดหุ้นนิวยอร์ค ก่อนจะย้ายไปเป็นหัวหน้าใหญ่ ที่ Merrill Lynch
เครือข่ายที่ท่านทิมคุ้นเคย นอกจากมี Alan Greenspan ที่คุ้นเคยกับนักการเงินเกือบทั้งโลก และอดีต รมต.คลัง อย่าง Larry หรือ Lawrence H Summers (สมาชิก CFR) อีกคน ที่ท่านทิมนับถือมาก คือ คุณชายรูบิน Robert Rubin ประธาน(ร่วม)กรรมการของ CFR คนปัจจุบัน และ ยังมี William J Mcdonough (สมาชิก CFR) ที่อยู่เบื้องหลังการช่วย LTCM เห็ดฟันจีเนียส ที่ล้มผลึ่ง
ตกลงนี่มัน คอก CFR หรือ คอก วอลสตรีท กันแน่ ....ผมชักมึน หรือ มันคอกเดียวกัน แต่ สลับบทกันเล่น ให้เรางง....
เมื่อท่านใบต้องแห้ง มาสวมหัวโขนเป็นประธานาธิบดี ใหม่เอี่ยมแกะจากกล่อง ยังไม่ทันรู้หนา รู้บางดี แต่ก็อยากจะเล่นบทพระเอกช่วยชาวบ้าน ที่ถูกเอาสัญญาจำนองไปรวมทำเป็นข้าวต้มมัดขาย พอตลาดข้าวต้มมัดวาย ธนาคารที่ขายเจ๊ง ไม่รู้จะแก้ความโง่และงก ของตัวเองยังไงดี ก็เลยไปไล่บี้เอากับคนซื้อบ้าน ที่ขาดผ่อนส่ง ต้นปี ค.ศ.2009 ท่านทิม รัฐมนตรีคลังคนใหม่ ก็เลยถูกเรียกมาให้จัดการแสดง
ท่านทิม บอกกับท่านใบตองแห้งว่า พณ.ท่านครับ มันคงต้องเริ่มด้วยการเอาข้าวต้มมัด ออกมาจากพวกแบงค์กับเห็ดฟัน ที่ยังอมข้าวต้มมัดเน่าอยู่เต็มกางเกง แล้วเอามาให้หน่วยงานรัฐดูแลดีกว่านะครับ พวกอมข้าวต้มมัดเน่า จะได้ไม่ไปไล่บี้ชาวบ้าน แล้วเราก็ค่อยๆแก้ปัญหาไป ด้วยการจัดโปรแกรม TARP 3,4,5,6,7,8 เรียกคะแนนมันไปเรื่อยๆ
พณ ใบตองแห้งรีบเอาด้วย เพราะอย่างว่า... เดินเข้าไปในกับดักเต็มตีน ด้วยความเต็มใจ แต่ไม่รู้เรื่องการเงิน โดยเฉพาะเรื่องข้าวต้มมัด
แต่ท่านทิม รีบบอกต่อ....จะเล่นบทนี้ มันอาจ มีปัญหานิดหน่อย นะครับ พณ.ท่าน คือ....เราไม่แน่ใจว่า เราควรจะซื้อข้าวต้มมัดเน่าๆ จากพวกที่อมไว้ในราคาไหน...อ้าว.. เพราะไอ้ข้าวต้มมัดนี่ ตอนเริ่มออกขาย มันใช้ โปรแกรมตีราคาให้ เราไม่รู้ว่า ไอ้คนสร้างโปรแกรมมันกินยาอะไรเข้าไปบ้าง เพราะไม่มีใครเข้าใจวิธีการตีราคาของมันเลย .... แต่ตอนนี้ข้าวต้มมัดมันเน่าแล้ว.... เราๆแถววอชิงตัน ไม่รู้จะกินยาอะไร ถึงจะตีราคาข้าวต้มมัดเน่าพวกนั้นได้ เราคงต้องไปเอาผู้ชำนาญการมาช่วยเราคิด.....
แล้วท่านทิมก็เสนอชื่อ ผู้ที่จะมาช่วยตีราคามัดข้าวต้มและช่วยอย่างอื่นอีกด้วย
ท่านใบตองแห้ง คงไม่มีทางเลือกมาก ...แล้ว พระเอก ก็โผล่มา
เขาคือ BlackRock Group ....น่าจะเป็นหินก้อนใหญ่...อ้อ กินยาขนานนี้เอง......
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 28
BlackRock Group ไม่ใช่ธนาคาร ไม่ใช่บริษัทประกัน ไม่ใช่ธนาคารกลาง ไม่ใช่กระทรวงคลัง ไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐ แต่ BlackRock ให้คำปรึกษาแก่พวกสถาบันเหล่านั้นทั้งนั้น รวมทั้ง ...เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในหลายสถาบันพวกนั้นด้วย
เขาใหญ่เสียขนาดนี้ แต่น่าแปลกใจว่า มีน้อยคนเหลือเกินที่เคยได้ยินชื่อเขา และยิ่งกว่าน้อยอีก ที่ " รู้จัก" ความใหญ่และอิทธิพลของ BlackRock และ Lawrence D Fink หรือ Larry Fink หัวหน้าใหญ่ของ BlackRock ....
เมื่ออเมริกา เริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับข้าวต้มมัด CDO คนที่ชาวสวนสัตว์วอลสตรีท ต่อสายไปขอความเห็นมากที่สุดก็คือ Larry Fink คนนี้เอง ไม่ว่าจะเป็น Jamie Dimon ของ JP Morgan Chase, John Mack ของ Morgan Stanley, หรือ Robert Willumstad ของ AIG
และไม่ใช่ชาวสวนสัตว์เท่านั้น ที่โทรหา Fink ด้าน กระทรวงคลัง ของ คิงเฮนรี่ และ เฟดนิวยอร์ค ของท่านทิม ก็ให้เจ้าหน้าที่โทรหา Fink ถี่ เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในช่วง ที่ JP จะซื้อ Bear Stearns และช่วงที่จะมีแผนอุ้ม AIG กับ Citigroup
จากรายงานที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ของกระทรวงการคลัง ในช่วงปี ค.ศ.2009 ถึง ค.ศ.2013 มีรายการแสดงว่า ท่านทิมโทรศัพท์ หรือประชุมกับ Fink อย่างน้อย 104 ครั้ง ระหว่างที่เขาเป็นท่านคลัง และ Jack Lew ที่มารับหน้าที่ต่อจากท่านทิม ก็ติดต่อกับ Fink ในลักษณะ และความถี่ใกล้เคียงกัน
ใครที่ไหน สร้างให้ก้อนหิน BlackRock และ Fink โตใหญ่อย่างรวดเร็ว หรือมีอิทธิพลมากมายอย่างนี้นะ ถนนทุกสายจึงมุ่งไปที่หินก้อนดำ
BlackRock Group เหมือนสถาบันเงา เหมือนไม่อยู่ในกฏระเบียบของใคร และมักจะอยู่เบื้องหลัง ขณะเดียวกัน ก็แต่แทบจะไม่มี บริษัทใหญ่ ในประเทศ หรือในภูมิภาคใดในโลกนี้ หรือสำนักบริหารทรัพย์สินที่ใหญ่ๆในโลกรายไหน ที่ไม่เคยสัมผัส หรือไม่รู้จักอิทธิพลของ BlackRock..เงาหิน...
ก่อตั้งขึ้นมาเพียง 28 ปี แต่นับถึงปลายปี ค.ศ.2015 BlackRock บริหารทรัพย์สิน มูลค่าทั้งหมด 4.5 ล้านล้านเหรียญ (มากเกือบเท่าเอากองทุนส่วนบุคคล และ เห็ดฟัน hedge fund ของทั้งโลกมารวมกัน!) และ BlackRock ยังสามารถ "รู้" การซื้อขายหุ้น ทุกรายการ ของทุกตลาด มูลค่าประมาณ 11 ล้านล้านเหรียญ โดยการดูผ่านระบบ Aladdin ที่ Blackrock แอบซุ่มสร้างและพัฒนามาตลอด
เขาว่าระบบ Aladdin ใช้คอมพ์ทั้งหมด 5,000 ตัว และมีคนคอยเฝ้าตามตลอด 24 ชั่วโมง ถึง 2,000 คน...
ด้วยระบบ Aladdin ของตน BlackRock เหมือนมีตาทิพย์ มองเห็นทะลุการลงทุนทุกรายการ จนสามารถประเมินสภาพและคุณค่าการลงทุนเหล่านั้น ได้อย่างแม่นยำ ลูกค้าของ BlackRock ไม่จำเป็นต้องขอการประเมินจาก บริษัท เรตติ้ง อย่าง Moody's , Standard &Poor อีก แค่ติดตาม หรือขอคำแนะนำจาก
BlackRock ก่อนทำรายการเท่านั้นเอง ส่วนไอ้พวกบริษัทเรตติ้งนั่น เอาไว้ให้พวกเหยื่อใช้ก็แล้วกัน... ดูเหมือนมันจะยิ่งกว่า การรู้ข้อมูลวงในอีกนะ .. แบบนี้โอกาสขาดทุน แทบจะไม่มี เฮ้ออ....
แต่สิ่งที่ลูกค้า BlackRock ไม่รู้คือ BlackRock เอง ก็อาจมีการลงทุนไม่ต่างกับรายการของลูกค้า โดยอาจต่างเวลากันเล็กน้อย ใครได้เปรียบ ใครเสียเปรียบ ก็คงพอคิดกันได้ .... อย่างนี้คงรวยพอ ที่จะซื้อไปถึงดาวอังคาร ดาวพฤหัส... ครองโลกใบเดียว คงจะกระจอกไปแล้ว
BlackRock นับเป็นผู้ลงทุนเดี่ยว ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มันเป็นการบริหารทรัพย์สิน ที่มีขนาดใหญ่กว่า ทรัพย์สินของประเทศญี่ปุ่น หรือเยอรมัน คิดคำนวณในแง่ของของ GDP จริงๆ คงมีแต่จีนกับอเมริกาเท่านั้น ที่จะมี GDP เหนือ BlackRock.... นี่มันเป็นบริษัท หรือมันเป็นอาณาจักรกันแน่
และคงไม่เกินไป ที่จะบอกว่า BlackRock เป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นบริษัทแม่ (holding company) ที่ถือหุ้นประมาณ 40% ของบริษัทมหาชนทั้งหมด ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกา และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ของ 1 ใน 5 บริษัทใหญ่ของอเมริกา และเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ในบริษัททั่วโลก นับตั้งแต่แคนาดา ไล่ไปจนถึงบราซิล เยอรมัน ญี่ปุ่น จีน และ ฯลฯ
และถ้าเจาะลึกลงไปอีกหน่อย เกี่ยวกับธนาคารของอเมริกา BlackRock เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ของ JP Morgan Chase, Citigroup, Bank of America, Goldman Sachs, Morgan Stanley และ Wells Fargo
ส่วนพวกบรรษัทใหญ่ๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี และมีกำไร BlackRock ก็เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เช่น Walmart, General Electric, General Motors, Ford, AT&T, Verizon, Google, Apple, Exxon Mobile และ Chevron ยังมีรายชื่ออีกแยะครับ (ข้อมูลเกี่ยวกับ BlackRock ในกูเกิลมีนะครับ กดอ่านดูความยิ่งใหญ่ของเขาได้เลย)....มิน่า มึงเล่นผมเสียแบนแต๋เลย เล่นเจาะกล่องดวงใจของมันนี่เอง...
เหมือน BlackRock (ใกล้จะ) เป็นเจ้าของโลกใบนี้แล้ว (ยังมีใครคิดว่าพวกโล่ห์แดง ใหญ่ยิ่งอีกไหมครับ ผมว่าไอ้นั่นมันตกรุ่นไปแล้ว)
แต่ BlackRock บอกว่า ยังน่า ...เราแค่เป็นผู้บริหารทรัพย์สิน และเป็นผู้ลงทุนด้วยเท่านั้น.... บังเอิญทรัพย์ที่เราบริหารและลงทุน มันมีขนาดใหญ่มาก ทั้งในด้านของทุน และเครือข่าย ครอบคุมไปเกือบทั้งโลก..... เท่านั้นเอง .. โฮ้ย.. ใหญ่จังมึง อย่าขู่มาก เดี๋ยวกูกลัวนะ 555
BlackRock ยังให้คำปรึกษากับรัฐบาลชาติต่างๆ ที่ประสพปัญหาทางเศรษฐกิจ และต้องแก้ปัญหาด้วยการใช้เงินจากสถาบันต่างประเทศ เช่น World Bank, IMF, ECB จึงต้องมีผู้เชี่ยวชาญ อย่าง BlackRock เข้าไปช่วยเจรจา รวมทั้งตีราคาทรัพย์สินของผู้ที่จะเป็นลูกหนี้(เหยื่อน่ะ) เช่นรายการของกรีซ และ ประเทศแถบละติน
ในการไปรับงานในต่างประเทศ ในช่วงที่สถานการณ์ในประเทศนั้น ไม่ปรกติ BlackRock บอกว่าต้องจ้างบริษัทดูแลด้านความปลอดภัย Security Advisors หรือ Contractors ไว้เป็นประจำประมาณ 25 บริษัท และพนักงานของ BlackRock อาจต้องมีการปลอมแปลงตัว มีขบวนการคุ้มกันในการเข้าไปทำงานในประเทศนั้น .. ตกลง มันไปทำอะไรกันแน่ ... มีสื่อบอกว่า พวก BlackRock ก็ไม่ต่างกับ พวก Blackwater ทางการเงิน?!!
สำหรับท่านที่ไม่รู้จัก ...Blackwater คือ บริษัทที่ให้บริการเป็นทหารรับจ้างที่ใหญ่ และดังที่สุดในโลก และดังมาก คือ เรื่อง เบงกาซี ลิเบีย ที่คุณนายคลินตัน ยังล้างเลือดจากมือหล่อนไม่หมด
ตกลง รับจ้าง "จัดการ" ด้านการเงิน หรือด้านอาวุธ หรือ ทุกอย่าง?!?!
Lawrence D Fink หัวหน้าใหญ่ ของ BlackRock ที่อยู่ในตำแหน่งนี้ ตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน เป็นชาวยิว พ่อเป็นเจ้าของร้านขายรองเท้า แม่เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ เขาเรียนจบปริญญาตรีทางรัฐศาสตร์จาก University of California และ เรียนจบ MBA จากที่เดียวกัน ในปี ค.ศ.1976 เขาเริ่มทำงานครั้งแรกเป็นเทรดเดอร์ค้าพันธบัตรที่ First Boston ไม่นานก็ได้เป็นกรรมการผู้จัดการ เมื่ออายุเพียง 31 ปี เป็นผู้จัดการหนุ่มที่สุด ตั้งแต่มีมา เก่งจัง....
ปี ค.ศ.1988 Fink แยกตัวออกมาจาก First Boston ไปรวมตัว กับพวกเทรดเดอร์ด้วยกัน ก่อตั้ง BlackRock ขึ้นมา โดยได้เงินสนับสนุนจาก Blackstone Group (ก็อยู่ในคอกเดียวกัน กลุ่มหินด้วยกัน) เพียงแค่ 5 ปี BlackRock ก็มีทรัพย์สินกว่า 2,000 ล้านเหรียญ ให้บริหาร
......เฮ้อ.... บทมันซ้ำๆ กันจัง เป็นคนเก่ง มียายให้เงิน หรือเก็บเงินดือนได้แยะ หรือเจอผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ให้เงินไปลงทุน แป็บเดียว รวยแม่มเป็นพันล้าน .... ท่านหินร่วงคร้าบ.... หาคนเขียนบทใหม่ได้แล้วคร้าบ
....ผมมันต้องเป็นคนเล่านิทาน อ่านบทซ้ำๆ เขียนซ้ำๆ เบื่อฉิบหายเลย..คนอ่านนิทานผมก็คงเบื่อ และไม่เชื่อถือ ท่านจะแต่งเรื่องให้ชาวบ้านเขาเชื่อทั้งที เอาให้มันหยดไหลเยิ้มกว่านี่ได้ไหมคร้าบ....ไม่ได้เสี้ยวของเรื่องเพชรพระอุมา เลยนะ....(คนอ่านนิทาน ไม่รู้เกิดทันกันไหม!?)
แต่พอถึงปี ค.ศ.1994 Fink ก็แตกคอกับ Stephen Schwarzman ของ Blackstone ที่ลงทุนด้วย (คงยังจำเขาได้นะครับ Stephen Schwarzman หรือคุณดำของ Blackstone เขาเป็น CFR คนสำคัญ และเป็นเด็กของท่านหินร่วง จำไม่ได้ ช่วยกลับไปอ่านนิทาน เรื่องป้ายลวง) คุณดำเลยขาย หุ้นส่วนใน BlackRock จำนวน 32% ไปให้ PNC Financial Services ที่อยู่ในเครือของ Pittsburg Bank
(PNC นี่ หลังวิกฤติข้าวต้มมัด เข้าไปซื้อ Dwelling House Savings&Loan ที่เป็นเจ้าของบ้านของพวกรายได้ต่ำ ที่มีแต่พวกคนดำและลาติน อยู่แถว Pittsburgและบริเวณแถบนั้น เอามาอยู่ในมือตัวเองหมด .... อ้อ เป็นพวกสะสมบ้าน)
ปี ค.ศ.1999 BlackRock ออกหุ้น ขายให้คนทั่วไป กลายเป็นบริษัทมหาชน และไล่ซื้อทรัพย์สินต่างๆในช่วงปี 2000 กว่า อีกมากมายหลายรายการ คงได้เงินจาก IPO แยะ แต่รายการที่ทำให้ BlackRock ได้กำไรมากที่สุด และกลายเป็นบริษัทบริหารทรัพย์สินที่ "ใหญ่ที่สุดในโลก" คือการไปซื้อ Barclays Global Investors ของอังกฤษ ในปี ค.ศ.2009 ทันทีหลังจากที่เกิดวิกฤติข้าวต้มมัด ที่ลามไปเกือบทั่วโลก และทำให้ได้ระบบ ishares ของ Barclays ที่สามารถติดตาม แลกเปลี่ยนการซื้อขายหุ้นและพันธบัตร ระหว่างเครือข่ายเดียวกัน ได้รวดเร็วแบบ realtime ซึ่ง BlackRock อ้างว่า เร็วกว่า รายงานการเคลื่อนไหวของตลาดเองด้วยซ้ำ
แต่ก่อนที่จะเข้าไปซื้อ Barclays Global จนกำไรไม่รู้เรื่องนั้น BlackRock ได้เข้าไปทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา และ ได้ทำสัญญารับจ้างรัฐบาลอเมริกา เป็นผู้ดูแลจัดการ เกี่ยวกับการอุ้ม ซึ่งรวมถึงการตีราคา ในการซื้อทรัพย์สิน ของ Bear Stearns, AIG, Citigroup, Fannie May และ Freddie Mac ด้วย
แปลว่าในที่สุด ท่านใบตองแห้ง ก็เลือกเอา BlackRock ที่มี Larry Fink (สมาชิก CFR) เป็นหัวเรือใหญ่ มาเป็นผู้ช่วยรัฐบาลจัดการ เรื่องวิกฤติข้าวต้มมัด ตามคำแนะนำของ ท่านทิม สมาชิกผู้มีเกียรติ ของ CFR ...ด้วยความเต็มใจ
พระเอก BlackRock ช่วยให้คำปรึกษา และจัดการหา "ผู้ซื้อ" ข้าวต้มมัดเน่า ในราคาที่ตัวเองแนะนำให้ฝ่ายรัฐขาย แน่นอน คงเป็นราคาโคตรต่ำ .... ซึ่งในที่สุด ทำให้ข้าวต้มมัดเน่า ก็กลับไปรวมอยู่ที่คนกลุ่มเดียวกัน กับที่เกี่ยวข้องกับการออกข้าวต้มมัด..... พวกเขาเอาสัญญาจำนอง มามัดรวมกันได้ .....พวกเขาก็แก้มัดออกได้
ผู้กู้หนีหนี้หมด ธนาคารขายหนี้ทิ้งหมด แต่บ้านตามรายงานของรัฐ ที่นับจากคำขอกู้เพื่อซื้อบ้าน มีทั้งหมดประมาณ 350 ล้านหลัง ยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ประชากรของอเมริกาทั้งหมดมีประมาณ 250 ล้านคน ...แต่มีบ้าน 350 ล้านหลัง ในอเมริกา ที่ดูเหมือนจะมีคนกลุ่มเดียวเป็นเจ้าของ น่าสนใจไหมครับ
คนกลุ่มนั้น ตั้งหม้อต้มขึ้นมาอีกใบ แล้วเข้าไปซื้อข้าวต้มมัดเน่า มาแกะเอาสัญญาจำนองออก เพื่อเอาไปไล่ยึดบ้านและที่ดิน มาเป็นสมบัติของตัว ในราคาถูก อีกต่อ
มันเป็นแผนเล่นกล ที่ซับซ้อน และสุดชั่ว ...ไม่รู้ท่านใบตองแห้ง จะลงหม้อด้วย หรือช่วยเขายกหม้อขึ้นตั้งบนเตา
นอกจากการเล่นกลข้างต้น ยังมีการใช้เล่ห์ ใช้ข้อมูลวงใน เพื่อจะซื้อข้าวต้มมัดเน่าในราคาโคตรต่ำอีกแยะ เช่น Countrywide Financial Corp ซึ่งให้เงินกู้ซับไพรม์สูงสุด ในช่วงปี ค.ศ.2005 ถึง 2007 เป็นจำนวนถึง 97,000 ล้านเหรียญ ทำท่าจะไปไม่รอดเมื่อข้าวต้มมัดเริ่มบูด Bank Of America ก็ไปซื้อมาเก็บไว้ เสร็จแล้ว Bank of America ก็บอกว่ากูเจ๊ง ขอไปเข้าโปรแกรม TARP ชนิดเอาหุ้นไปขายชั่วคราวกับทางการ แต่เก็บข้าวต้มมัดเน่าเอาไว้ แปลกดีไหมครับ แต่คงไม่แปลก ....ถ้าเรารู้ว่า Bank of America ก็อยู่ในกลุ่ม สะสมข้าวต้มมัดเน่า
Barclays หนึ่งในธนาคารอันดับต้นของอังกฤษ ก็เป็นอีกรายที่สะสมข้าวต้มมัดเน่าจำนวนหลายกระจาด และ Barclays ก็ขายข้าวต้มมัดเน่าทั้งหมดให้กับ BlackRock ผู้ดูแลทรัพย์สินเน่าของของรัฐบาลอเมริกัน ในสมัยท่านใบตองแห้ง
เมื่อสื่อถามท่านทิม ว่า ทำไมรัฐบาล หรือกระทรวงคลัง มอบให้ BlackRock เป็นดูแลทรัพย์สินเน่าที่รัฐต้องรับมา ตามข้อตกลงของ TARP โดยไม่มีการประกาศคัดเลือกรายอื่นเลย... ท่านทิม ทำหน้าเฉย ตอบว่า เราทำไม่ทัน เพราะสถานการณ์ตอนนั้นมันรุนแรง ถ้าเราตัดสินใจช้า มันจะเสียหายกับประเทศมากกว่า...
เรื่องของ BlackRock และ Fink คงไม่จบแค่เรื่องจัดการกับข้าวต้มมัด หรือจบตามท่านใบตองแห้ง ที่จะหมดวาระการเป็นประธานาธิบดี ในสิ้นปีนี้หรอก BlackRock มีแผนการยาวไกลกว่านั้น....
ในปี ค.ศ.2013 BlackRock จ้าง Cheryl Mills มาอยู่ในคณะกรรมการของ BlackRock
Cheryl Mills เป็นใคร ....หล่อนเป็นที่ปรึกษาใหญ่ และเป็นอดีตหัวหน้าคณะทำงาน chief of staff ของคุณนายหน้าโหด Hillary Clinton เมื่อตอนที่คุณนายเป็นรัฐมนตรี ต่างประเทศ สมัยท่านใบตองแห้ง 1
มิลส์ Mills นับเป็น "คนวงใน" ของคุณนายและครอบครัว และเป็น 1 ในที่ปรึกษา ในการวางแผนอนาคตของคุณนายด้วย เพราะ มิลส์ ทำหน้าที่เป็นทนายใหญ่ ให้คุณผู้ชายคลินตัน สมัยมีเหตุการณ์เรื่องเด็กฝึกงานอมนกเขาของเขา และเป็นประเด็นทางกฏหมายว่า ถือเป็นการมีเพศสัมสัมพันธ์หรือไม่ ไม่รู้ เป็นฝีมือคุณมิลส์ แก้ข้อกล่าวหานี้หรือเปล่า ในที่สุดในการสอบสวน เพื่อจะพิจารณาปลดนายคลินตันออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี ตามข้อกล่าวหาว่ามีความประพฤติไม่เหมาะสมนั้น คำตัดสินบอกว่า การอมนกเขาประธานาธิบดี ไม่ถือเป็นการมีเพศสัมพันธ์ ...
ผมไม่ได้เขียนเรื่องหยาบโลนนะครับ ผมเขียนเกี่ยวกับพฤติกรรมของประธานาธิบดีคนหนึ่ง กับการเมืองของประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง กับข้อกล่าวหา และข้อแก้ต่าง อย่างเป็นทางการในประเทศเขา ประเทศที่มีความเป็นห่วงมาก เรื่องการไม่เป็นประชาธิปไตย เรื่องสินค้าไม่ได้มาตรฐาน เรื่องแรงงานเถื่อน เรื่องไร้มนุษยธรรม ฯลฯ ในบ้านเมืองอื่น
สื่อ The Economist อ้างว่า คลินตัน และ มิลส์ มีความสัมพันธ์ที่ดีมาก ... ไม่มีอะไรเป็นความลับ.... มิลส์ รู้ทุกอย่างของคลินตัน (หญิง)...
เมื่อคุณนายคลินตัน เริ่มหาเสียง เพื่อเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต ในการเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี คุณนายพูดถึงการวางกฏระเบียบใหม่ เกี่ยวกับธนาคาร แต่ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องบริษัทบริหารสินทรัพย์อย่าง BlackRock เลย แต่จริงๆแล้ว เขาว่า สิ่งที่คุณนายพูดหาเสียงเกี่ยวกับเรื่องการเงิน การธนาคาร นาย Fink เป็นคนเขียนบทให้คุณนายทั้งสิ้น และเมื่อคุณนาย มีคะแนนเสียงดีขึ้น จนมีข่าวว่า หล่อนจะเป็นตัวจริง ไม่ใช่ นายทรัมพ์ ที่ถูกซีเอนเอน พยายามป้ายสีว่า เป็นตัวตลกขั้นรายการ ก็มีข่าวปล่อยว่า ชื่อ Larry Fink ถูกคาดคะเนว่า เขาคงจะเป็นท่านคลัง ถ้าคุณนายได้เป็นท่านประธานาธิบดี หัวหน้าอินทรีตัวเมีย ตัวแรกของอเมริกา
และถ้ามันจะเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ใช่เรื่อง ที่น่าแปลกใจอะไร เพราะทั้งนายคลินตันเอง และนาย Fink ก็เป็นสมาชิก CFR ทั้งคู่.....ตกลงเรื่องวิกฤติซับไพรม์ นี่ มันน้ำเน่า อย่างน่าทุเรศจริงๆ...
(เรื่องของ BlackRock ผมรวบรวมมาจากบทความหลายแห่ง มีทั้ง จาก The Economist, Vanity Fair, People Project, New York Timesฯลฯ วันนีให้รายละเอียดไม่ไหวครับเพราะเครื่องรวนมาก ...จี้ไปใกล้หัวใจทศกัณฐ์ ....ก็คงต้องโดนลองของกันบ้าง เป็นธรรมดา ..งวดหน้า จี้ถึงกลางใจกันเลยดีไหม?)
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
29 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 29
วิกฤติซับไพรม์ ถูกออกแบบมา ไม่ใช่เพียงเพื่อต้มเหยื่อ เขมือบกำไรไปเกือบทั้งโลก นั่นมันต้มน้ำแรก ใช้ไฟแบบอุ่นๆ แต่นานหน่อย
ต้มน้ำสอง ใช้ไฟแรงขึ้นอีกหน่อย .... วิกฤติซับไพรม์ ยังเหมือนเป็นแผนการสร้างกองทัพด้านการเงิน ที่ลงทุน โดยการล้วงจากกระเป๋าเหยื่อ ที่เป็นชาวบ้านและภาษีของชาวบ้าน .... กองทัพนี้ ทำงานผ่านกลไกของสวนสัตว์วอลสตรีท ที่มีเครือข่ายสาขาอยู่ทั่วโลก....
เป็นกองทัพที่ใช้อาวุธ คือสินค้าทางการเงิน ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ๆทั้งรูปแบบ และวิธีการใช้ เพื่อเอาไปใช้ในสนามรบ ที่เรียกว่า ตลาดหุ้น ตลาดทุน ตลาดเงินทั่วโลก ....เป็นการควบคุมการไหลเข้าออกของเงินในกระเป๋าของ "เอกชน" ต่างๆ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนในโลก ให้เป็นไปตามที่ผู้วางแผนต้องการ ... ..หลังจากที่คุมกระเป๋าของ "รัฐ" ต่างๆ ผ่านกลไกของ ไอเอ็มเอฟ เวิลด์แบงค์ ธนาคารกลางของสหภาพอียู เรียบร้อยไปแล้ว
อย่างนี้ เรื่อง Brexit ที่ว่า จะทำให้มีผลกระทบกับตลาดหุ้น ตลาดทุน ตลาดการเงิน ก็ไม่น่าห่วง ถึงมี ก็คงไม่ใช่ปัญหาของอเมริกา หรือเจ้าของแผน ด้วยระบบไอทีสมัยใหม่ ศูนย์กลางความเคลื่อนไหวของทุนในอนาคต น่าจะเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ได้ง่าย จะเอาไว้ที่ตรงไหนก็คงไม่ยาก อาจจะมีปัญหาเรื่องคนทำงานอยู่บ้าง แต่เจ้าของแผนการต้มเหยื่อ เขาไม่สนใจเรื่องคนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน
ก่อนที่จะมีการต้มเหยื่อหม้อใหญ่ ก็ต้องมีการเตรียมการให้พร้อม หม้อขนาดใหญ่พอไหม ไฟแรงพอไหม น้ำพอไหม ใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าเหยื่อจะเปื่อย ฯลฯ ที่สำคัญ สินค้าตัวใหม่ ที่จะใช้ล่อเหยื่อ ควรเป็นอย่างไร มันถึงจะน่ากิน และคนกิน ตกเป็นเหยื่ออย่างหมดท่า
ปี ค.ศ.1994 เห็ดฟัน Long Term Capital Management (LTCM) จึงถูกตั้งขึ้น โดย จอห์น John Meriwether เทรดเดอร์ชาวชิคาโก ที่จบจากมหาวิทยาลัยชิคาโก และเคยเป็นผู้จัดการเก่าของ Salomon Brothers อินเวสเมนท์แบงค์ขนาดใหญ่ของอเมริกา
จอห์น ชวนเทรดเดอร์จากซาโลมอน และพรรคพวกที่เป็นอาจารย์ นักวิชาการ ทั้งหมดประมาณ 16 คน ที่น่าสังเกตว่า ส่วนใหญ่เป็นชาวชิคาโก หรือจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชิคาโก และจบปริญญา โท เอก ทางด้านคณิตศาสตร์ จากฮาร์วาด และ MIT และมี 2 คน ที่ได้รับรางวัลโนเบิล ด้านคณิตศาสตร์เศรษฐศาสตร์ ... ขนาดนั้นเชียว.....มาเป็นผู้วางยุทธศาสตร์ ร่วมบริหารในปฏิบัติการพิเศษ....คือ การซื้อขายตราสาร สินค้าทางการเงิน ด้วยวิธีการใหม่ๆ ...มันจำเป็นต้องใช้แต่พวกหัวทรงแหลมเปี้ยบขนาดนั้นเชียว?!?!
ผู้คนเลยเรียกเห็ดฟันปฏิบัติการพิเศษนี้ว่า เห็ดฟัน จีเนียส ...
คนคิดแผนนี้ มันไม่ธรรมดาเลยนะ เอาจีเนียส มาทดลองต้มยักษ์ ... ถ้าต้มยักษ์เขี้ยวยาวได้ เหยื่อเป้าหมาย ก็น่าจะรอดยาก...
เห็ดฟันจีเนียส สร้างตราสาร หรือสินค้าทางการเงินหน้าตาแปลกๆ รวมทั้งวิธีการซื้อขายสินค้าทางการเงินนั้น โดยใช้ "สูตรทางคณิตศาสตร์" ที่อ้างว่า ไม่มีรูให้ความเสี่ยง ไม่ว่าด้านใด หลุดเข้ามาได้เลย สูตรของพวกจีเนียส และวิธีการซื้อขาย ล้วนเป็นความลับ แต่พอมีข่าว (ปล่อย) ออกไปว่า เห็ดฟันกองนี้ ดูแลโดย "จีเนียส" ทั้งนั้น ก็ย่อมมีสปอตไลท์มาส่อง และมีคนอยากให้จีเนียสบริหารเงินให้.... การตลาดกล้วยแขกจริงๆ
ผู้ลงทุน ในกองทุนเห็ดจีเนียสนี้ เป็นสถาบันการเงินใหญ่ๆทั้งสิ้น เช่น Credit Suisse, UBS, Merrill Lynch, Liechtenstein Global Trust, Bank of Italy, Dresdner Bank, Sumitomo Bank, Prudential Life Corp รวมทั้งหัวหน้ายักษ์ อย่าง Sandy Weill ของ Citigroup, หัวหน้า Bear Stearn เป็นต้น (แต่ดูไปลึก ผมว่ามันก็ก๊วนเดียวกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลก!) รวมแล้วได้ทุนประเดิม 1,000 ล้านเหรียญ 30,000 ล้านบาท! สำหรับ ให้จีเนียสใช้ ทดลองวิชา....
สูตรลับในการซื้อขายตราสารของเห็ดจีเนียส คงได้ผลดี ในช่วงปี คศ 1995, 1996 เห็ดจี จ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนมากกว่า 40% ปี 1997 กองทุนโตขึ้นมาถึง 125,000 ล้านเหรียญ เป็นเห็ดที่ดอกใหญ่ที่สุดในตลาด แต่ผลตอบแทนกลับเริ่มลดลง ถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ.1998 เห็ดจี ก็เริ่มเหี่ยว ....ไหนว่าปิดรูเสี่ยงจนหมดครบสูตรคณิตศาสตร์แล้วไง
เพื่อรักษาระดับผลตอบแทน ปี 1997 เห็ดจี เลยคืนทุนให้ผู้ลงทุนไป 2,700 พันล้านเหรียญ ทำให้ทุนเหลือจำนวน 4,700 ล้านเหรียญ แต่ยังบริหารทรัพย์สิน จำนวน 125,000 ล้านเหรียญเหมือนเดิม จีเนียสบอกว่า วิธีนี้จะทำให้ตัวเลขอัตรากำไรสูงขึ้น ขณะเดียวกัน อัตราความเสี่ยงต่อทุน leverage ratio มันก็สูงขึ้นด้วย .... โห นี่คิดแบบจีเนียสเลย....คิดแต่ด้านได้.... ด้านเสียอย่าเพิ่งคิด
แล้วด้านเสียก็ตามมา...ในปี ค.ศ.1998 เดือนพฤษภาคมกับเดือนมิถุนายน เห็ดจี เกิดขาดทุน จากตราสาร CDO ที่มีไส้เป็นสัญญาจำนองบ้าน ทำเอาทุนหายไป เกือบ 20% ตามติดมาด้วยเรื่องของรัสเซีย .. ฮ้า...
เดือนสิงหาคม รัสเซียผิดนัดหนี้พันธบัตรของตน ซึ่งคาดกันว่า รัสเซียไม่มีทางให้ประเทศตัวผิดนัดชำระหนี้ ประเทศใหญ่ขนาดนั้นจะผิดนัดได้ยังไง ต้องรีบพิมพ์แบงค์เพิ่มมาชำระหนี้สิ
รัสเซียบอก.... กูไม่ใช่พวกโรงพิมพ์กระดาษสีเขียวตรานกอินทรีนะเว้ย .... รัสเซีย ยอมผิดนัด และเจรจาเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ หรือที่เรียกกันว่า ปรับโครงสร้างหนี้
เรื่องรัสเซียปรับโครงสร้างหนี้ ทำให้ตลาดค้าพันธบัตรรัฐปั่นป่วน รัสเซียผิดนัดได้ ประเทศอื่นก็อาจผิดนัดตาม แมงเม่าพากันเทพันธบัตรรัฐทิ้ง ตลาดหุ้นไหลรูด เห็ดจีก็เลยขาดทุนวันเดียว 550 ล้านเหรียญ... เห็ดจีใช้ระบบคิดราคามูลค่าตามราคาตลาดทุกวัน (mark to market) เพราะมองแต่ด้านกำไร พอกำไรกลายเป็นขาดทุน ทุนก็หายไปทุกวันด้วย ..จีเนียส จริงๆ
ที่นี้จะทำอย่างไรดีล่ะ เห็ดจี ก็เลยกลับมาหาทุนเพิ่ม ด้วยวิธีธรรมดา ไม่จีเอาเลย โดยการเขียนจดหมาย ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ.1998 ไปชวนผู้ลงทุน ....มาเร็วๆโอกาสดี แต่ปรากฏว่า แป่ว... ไม่มีใครมา.....ปลายเดือนกันยายน เลยขาดทุนต่อ แต่ทรัพย์สินที่ต้องบริหารยังอยู่ที่ 110,000 ล้านเหรียญ อัตราความเสี่ยงของกองทุนเห็ดจี เพิ่มเป็น 50: 1 แบบนี้ เรียกให้ลุงนิทาน ที่ตกเลขมาตลอด ไปบริหารก็ได้ครับ ไม่ขอรับรางวัลโนเบิลทางคณิตศาสตร์หรอก
เห็ดจี ขาดทุนเพิ่มขึ้นอีก... Bear Stearns ซึ่งเป็นโบรกเกอร์หมายเลขหนึ่งของ เห็ดจี ถูกเรียกเงินเพิ่ม (margin call) จากการขาดทุนขายพันธบัตร ก็ต้องมาเรียกหลักทรัพย์เพิ่มจากเห็ดจี.... ข่าวนี้ทำให้ลูกค้าเห็ดจี เริ่มปอดแหก แถมมีข่าวออกมาว่า เห็ดจี มันแน่จริง....เห็ดจีตัวแม่ ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สิน มันดันจดทะเบียนแยกบริษัท กับตัวค้าตราสาร และไปจดทะเบียนโดยใช้กฏหมายของเกาะเคย์แมน Cayman Island ซะด้วย ...นี่ถ้าเกิดผิดแผนพลาดท่า เล่นขอล้มละลายตัวเองตามกฎหมายเคย์แมน ...อย่างนี้เจ้าหนี้เห็ดจี ก็หงายท้องผลึ่ง คงได้หอยเสียบ หอยตลับมาใช้หนี้แทน ... เขาเตรียมการมารอบคอบน่า
สถานการณ์เห็ดจี เลวลงเรื่อยๆ มาร์จิ้นคอล มาไม่หยุด เดือนกันยายน เฟดนิวยอร์ค ภายใต้การนำของ William McDonough (สมาชิก CFR) ก็เรียกประชุมชาวสวนสัตว์วอลสตรีท ภายใต้การเห็นชอบ ของท่านประธานใหญ่ของเฟด Alan Greenspan (สมาชิก CFR อีกเหมือนกัน)
สรุปว่า ต้องมีการช่วยเหลือ LTCM เห็ดจี ด้วยเหตุผลว่า เดี๋ยวจะมีผลกระทบวงกว้าง เหตุผลแบบโรเนียวแจกมาอีกแล้ว ...กว้างยังไง ... ดูเอาจากรายชื่อผู้ลงทุนหรือไง...
แล้วแมงเม่ารุ่นยักษ์ของสวนสัตว์วอลสตรีท ก็พากัน (ถูกมัดมือ) ลงขันช่วย เห็ดจี ทั้งหมด 14 ราย ยกเว้น 2 ราย คือ Bear Stearns และ Lehman Brothers... บังเอิญจังนะ
ที่น่าสังเกตคือ เห็ดจี มาเร็ว ไปเร็ว เวลามา ก็จับมือดมยาก เวลาไปก็ไม่เหลือเงา แต่ทางการกลับสั่งให้ชาวสวนสัตว์ช่วยเห็ดจี อย่างพร้อมเพรียง...เออ... มันแน่จริง
(เรื่องเห็ดจี LTCM คุณวิกิ ก็มีเล่าให้ฟังนะครับ แต่ถ้าใครอยากอ่านภาคยาว มีหนังสือ ชื่อ When Genius Failed เขียนโดย Roger Lowenstien เล่าเสียถี่ยิบเลย short long อย่างไร ลุงชาวบ้านอย่างผม อ่านจบ ได้แต่รำพึง ... มึงขนจีเนียสมาเป็นโขยง รวมทั้งคนระดับรางวัลโนเบิลมาเล่นหุ้น ...มึงยังเจ๊งไม่เป็นท่า ...ถ้ามึงไม่เล่นละครต้มโลก มึงก็ต้องโง่ ฉ ห ....สู้ เสี่ย ป เสี่ย ส แถวบ้านกูยังไม่ได้เลย ฮา)
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
30 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอน 30
เรื่องเห็ดจี อาจไม่น่าเชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมตั้งหม้อต้มเหยื่อ งั้นลองดูส่วนประกอบการต้มตัวอื่นด้วย
เมื่อเอาเห็ดจีออกมาทดลองเล่นแค่แป็บเดียว คงจะเพราะเจอที่เด็ดจีรัสเซีย ความเสี่ยงที่นึกไม่ถึง หรือเพราะทดลองได้สูตรตามต้องการแล้วก็ไม่แน่ ก็เลยรีบกลับเข้าหลังโรง แล้วพวกนักตั้งหม้อต้ม ก็เตรียมการลำดับต่อไป
วันที่ 12 พฤศจิกายน ปี ค.ศ.1999 ท่านประธาธิบดี คนนิยมเด็กฝึกงาน ได้ลงนามในกฏหมายที่เรียกกันว่า Gramm-Leach-Bliley Act ซึ่งเป็นกฏหมาย ที่ออกมายกเลิกบางเงื่อนไขในกฏหมาย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Glass-Steagall ที่มีมาตั้งแต่ยุค ค.ศ.1930 กว่าๆ
ฝีมือคนล้อบบี้กฏหมาย Gramm-Leach นี้แน่มาก 90 ต่อ 8 ให้ผ่าน เพราะรัฐมนตรีคลัง ที่พยายามดันเรื่องนี้ ชื่อคุณชายโรเบิร์ต รูบิน (รมว.คลัง ม.ค.1995 - ก.ค.1999 สมาชิก CFR คนสำคัญ ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ ของ CFR ) ทำหน้าเบื่อ (ความฉลาดของตัว) แถลงว่า Glass Steagall เป็นกฏหมายที่เป็นอุปสรรค ต่อการทำธุรกิจ ธุรกรรมทางการเงินของอเมริกา เป็นปัญหาต่อความเจริญทางเศรษฐกิจของอเมริกา มันล้าหลังไม่ทันโลก เราต้องมีการแก้ไข ด้วยการออกกฏหมาย Gramm-Leach...
คุณชายรูบิน พูดแบบนี้ ใครไม่เห็นด้วย คงเหมือนเป็นไอ้โง่ออกมาจากถ้ำ เดี๋ยวนี้เปรียบเทียบกับคนหลังเขาไม่ได้นะครับ เพราะคนยึด(ภู)เขา เขายึดกันเงียบๆ แต่ยึดแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแกทั้งนั้น
คุณชายรูบิน ดันจนสุดตัว ก่อนจะพ้นจากตำแหน่งไป และส่งไม้ให้อีกคนมาดันต่อ ก็คือ รมว.คลังคนใหม่ ชื่อ Lawrence Summers ซึ่งก็เป็นสมาชิก CFR อีกเหมือนกัน และไม่ได้เป็นระดับธรรมดา แต่เป็นเด็กในคาถาของท่านหินร่วงด้วย ซ้ายหัน ขวาหัน ยกมือ กลิ้งหงายท้อง....คงทำได้ทั้งนั้น นับเป็นการวางตัว วางตำแหน่ง ที่บังเอิญถูกเวลาดีจริง
ผลของ Gramm-Leach สรุปสั้นๆว่า มันคือการพังทะลายกำแพง ที่เคยกั้นห้าม ไม่ให้ธนาคารที่ทำธุรกิจ เฉพาะรับฝากเงินจากประชาชน และให้กู้เงินเท่านั้น ไปทำธุรกิจอื่น ที่อาจเสี่ยงต่อเงินฝากของชาวบ้านที่อุตส่าห์ออมเอามาฝาก เช่นเอาไป ซื้อขาย ลงทุน ในหุ้น หรือ สินค้าทางการเงินอื่นๆ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงให้กับเงินฝากของชาวบ้าน
กฏหมายเขาดีอยู่แล้ว แต่พวกตั้งหม้อต้ม เสนอให้ทุบกำแพงทิ้ง และผลของการทุบกำแพง มันก็เลยทำให้ยักษ์ใหญ่อย่าง Citigroup, Bank of America, JP Morgan Chase เกิดขึ้น ด้านหนึ่งรับฝากเงินจากชาวบ้าน อีกด้านเอาเงินชาวบ้านไปทำตราสารข้าวต้มมัด จนฉิบหายเหี้ยน
การเล่นกลการเงิน ที่เรียกกันว่าวิกฤติซับไพรม์นี้ มันเหมือนเป็นการเปิดบ่อนใหญ่ เพื่อจะต้มเหยื่อระดับโลก จะเอามือจ้อยๆมาเล่นได้ยังไง มันต้องใช้มือระดับยักษ์เข้ามาเล่น มาเป็นหน้าม้า เหยื่อระดับโลกจะได้เชื่อถือ ...จึงต้องถูตะเกียงออกกฏหมายสร้างยักษ์ขึ้นมา
คนนิยมเด็กฝึกงาน ไม่ได้ลงชื่อในกฏหมายสร้างยักษ์ แค่ฉบับเดียว อย่างนั้นการตั้งหม้อต้มเหยื่อ คงไม่สำเร็จสมบูรณ์ตามแผน
ปี ค.ศ.2000 เดือนธันวาคม เพียงไม่กี่วัน ก่อนหมดเทอมการเป็นประธานาธิบดี นายคลินตัน มือไม่สั่น ไม่เขิน ไม่รู้สึก รีบลงนามด้วยความมั่นใจ ในกฏหมายที่เรียกว่า Commodity Futures Modernization Act (CFMA)
มันเป็นร่างกฏหมายที่นำเข้าไปเสนอในรัฐสภาอเมริกัน ที่มีเอกสารเกี่ยวข้องประมาณ 11,000 หน้า แต่ให้เวลาสมาชิกสภาเพียง 72 ชั่วโมงในการศึกษา ก่อนที่จะมีการพิจารณา ใครจะไปอ่านทัน(วะ) ขนาดอ่านยังไม่ทัน แล้วจะไปรู้เรื่องได้ยังไง ว่ากฏหมายฉบับนี้ มันมีผลกระทบอะไรบ้าง กว่าจะมีคนรู้จัก ก็เมื่อเกิดความฉิบหาย ไฟไหม้ลามจนเกือบหมดป่าแล้ว ถึงได้ย้อนมาถามว่า ใครเอาป้ายห้ามสูบบุหรี่แถวนี้ออกไป (วะ)
หลังจากเกิดเรื่อง LTCM เห็ดฟันจีเนียส ที่คิดสินค้าทางการเงินหน้าตาแปลกๆ และก็ล่มหลบหายเข้าหลังโรงไปนั้น ทางการจึงเริ่มตื่นเต้น โดยเฉพาะคุณ Brooksley Born ที่เป็นประธานคณะกรรมการ Commodity Future Trade Commission (CFTC) ที่พยายามจะให้ทางการ ได้เข้าไปดูแลการค้าตราสารหน้าตาแปลกแบบนั้น ( derivatives) ซึ่งไม่ได้อยู่ในความดูแลของ SEC (กลต.ฝรั่ง) เพราะไม่ได้ซื้อขายในตลาดค้าหุ้น แต่ซื้อขายกันเองระหว่างคู่สัญญา แบบ ที่เรียกว่า over the counter
แต่คณะทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ของท่านประธานาธิบดี คนนิยมเด็กฝึกงาน ที่มีทั้ง Alan Greenspan, คุณชายรูบิน ที่ต่อมาเป็น Lawrence Summers มาแทน รวมทั้งประธาน SEC เอง ต่างออกมาประสานเสียง คัดค้านความเห็นของคุณ Brooksley ว่า ปิดกั้นความเจริญเติบโตของตลาด เป็นพวกอยู่ถ้ำ แบบไอ้ลุงที่เขียนนิทานหรือไง .... นอกจากค้านกันจนตัวโก่งแล้ว ยังดันให้อีกกลุ่ม นำเสนอการออกกฏหมาย CFMA เป็นการปาดหน้าคุณ Brooksley จนเยินไปทั้งแถบ
ผลของกฏหมาย CFMA ทำให้การออก และการขายตราสารข้าวต้มมัด ไม่ว่าแบบไหน ไส้อะไร รวมทั้งการประกันแบบ CDS (อย่างที่ AIG จะทำ) ทำได้ โดยไม่อยู่ในความดูแลของทางการ ...
มันเป็นการตั้งใจหาช่องโหว่ของกฏหมาย เจอช่องโหว่ยังไม่พอ ยังสร้างรั้วมากัน ไม่ให้ใครเข้ามาปิดช่องโหว่ ด้วยการออกกฏหมาย CFMA นี้อีกด้วย
เมื่อดูระยะเวลาของการผ่านกฏหมาย ต่อด้วยการเกิดเหตุ 9/11 ตามด้วยนโยบายสนับสนุนให้กู้เงินซื้อบ้านของคาวบอยแล้ว..... มันคงกลืนยาก ที่จะบอกว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ ....ไม่ใช่เป็นวางแผนร่วมมือกัน เพื่อตั้งหม้อใบใหญ่ต้มเหยื่อ
คาวบอยบุชนั้น แม้ไม่ได้มีชื่อเป็นสมาชิก CFR แต่ ตัวพ่อเป็นครับ และรักกันจังกับท่านหินร่วง
ส่วนคนนิยมเด็กฝึกงาน ทั้งตัวเอง และลูกสาว มีชื่อเป็นสมาชิก CFR แต่คุณนายเมียที่กำลังเตรียมตัวเป็นประธานาธิบดี ไม่ให้น้อยหน้าคุณผัว เพราะคิดว่าตัวฉลาดกว่าผัว ไม่มีชื่อเป็นสมาชิก แต่คงไม่จำเป็น เพราะกำลังจะเป็นท่านประธานาธิบดีหญิงคนแรกของอเมริกา อีกไม่นานเกินรอ
ขอแถมนอกเรื่องแต่ไม่นอกไกลครับ สำหรับคนอ่านนิทาน ที่โตไม่ทัน จะได้ "รู้จัก" คุณนายเมียมากขึ้น
...เมื่อตอนคนนิยมเด็กฝึกงานหาเสียงเพื่อเป็นประธานาธิบดีนั้น คุณนายเมีย ขึ้นเวทีช่วยคุณผัวหาเสียง คุณนายพูดฉาดฉานมาก ครั้งหนึ่ง คุณนายพูดว่า ...ถ้าคุณเลือกเขา คุณก็ได้เราทั้ง 2 คน ...และสื่อสมัยนั้น ก็จะล้อเลียนเสมอว่า เลือก 1 แถม 1
แถมอีกว่า คุณนายเมียนั้น เป็นเด็กที่โตมาในครอบครัวที่อยู่แถวชิคาโก และเคยเข้าไปร่วมฝึกงานอยู่ในกลุ่มของ Nelson Rockefeller ที่เรียกว่าเป็น Moderate Republican นะครับ
เตรียมการกันถึงขนาดนี้ มันต้องเป็นเรื่องตั้งหม้อใบใหญ่ เพื่อต้มเหยื่ออย่างแน่นอน แต่ "เหยื่อรายใหญ่" หรือ "เหยื่อเป้าหมาย" คงไม่ใช่แค่คนซื้อบ้านโดยเอาบ้านมาจำนอง หรือชาวบ้านนักลงทุนรายย่อย (แมงเม่า) ที่ลงทุนซื้อตราสารข้าวต้มมัด
การเตรียมการล่วงหน้าเป็นสิบปี เป้าหมายมันต้องใหญ่กว่านั้น และไม่ใช่แค่เรื่องกำไรขาดทุน
ก่อนจะเดินหน้า ไปถึงเรื่องเหยื่อรายใหญ่ ผมขอย้อนกลับไปที่เรื่องย่อย แต่แสดงให้เห็นถึงความคิดที่ถนัดในการสร้างป้ายลวงของปลอม ของกลุ่มผู้วางแผนต้มเหยื่อหม้อใหญ่นี้หน่อย
กรณีการกระทืบหมี Bear Stearns มองเผินๆ เหมือนจะเป็นรายการคิดบัญชีแค้นค้างใจ มาตั้งแต่เรื่อง เรียก มาร์จิ้น เห็ดจี เลยทำให้แผนสดุดล่ม จนชาวสวนสัตว์ถูกใบสั่ง ให้มาร่วมลงขัน แต่ดันมี 2 รายที่แข็งเมือง คือ หมีและเลห์แมน และทั้ง 2 ราย ก็ร่วงหล่นจากหน้าผา เละคาดิน
ดูแบบนั้นมันเหมือนจะง่ายไป คนคิดแผนเขาระดับไหน สังเกตดูจากบทความที่ออกมาโหมเรื่อง ไม่ว่าจากแหล่งไหน ตามที่ผมเอามาเล่าให้ฟัง มันคล้ายจะเป็นฉากละคร เพื่อลวงให้เขว้ เพราะในที่สุด หมีถึงจะถูกกระทืบ แต่ก็ไม่ถึงตาย มีคนมาอุ้มต่อ มันเป็นการสละหมี 1 ตัว เพื่อให้ฉากมันตื่นเต้นสมจริง เปิดทางให้ฉากอื่นเดินต่ออย่างเนียนก็ได้ เมื่อนึกถึงว่า หลายๆคน ที่ช่วยกันตั้งหม้อต้ม ก็เป็นศิษย์เก่า Bear Stearns แถมคนสร้าง Bear Stearns มาจากไหนล่ะ ก็ชิคาโก ถิ่นเก่าของเจ้าของแผนเอง มันน่าจะเป็นการขยิบตา เหยียบตีนกัน มากกว่าจะเล่นกันถึงตาย
ส่วนไอ้ 3 รายชื่อ ที่ Bear Sterns อ้างว่าไปแจ้ง SEC นั้น การตรวจสอบมีจริง แต่ก็จับมือใครมาดมกลิ่นไม่ได้เลย...เรื่องติดคุก...ก็ ลืมไปได้เลย ตกลงเรื่องจับมือใครดมไม่ได้นี่ ไม่ได้มีแต่บ้านเรานะครับ ไอ้ปื้ดฝรั่งก็มี
ส่วนรายการของเลห์แมน ที่รับบทหนัก และน่าตื่นเต้นกว่าเรื่องหมี มันเหมือนรายการเจ้าพ่อสั่งเก็บ... เอาแบบไม่ให้เหลือซาก... โทษฐานอะไรครับ เรื่องหักหน้าหักหลัง ท่านหิน Peter น่ะหรือ.... นั่นมันเรื่อง
ตั้งแต่ปี 1983 โน่น แถมตอนเห็ดจีล้ม เลห์แมนยังเป็นหัวหอก ชวนชาวสวนสัตว์มาจับมือกันลงขันเลย
เอาละ สมมุติถ้าคิดว่า เห็ดจี ไม่เกี่ยวกับก๊วนหินร่วงเลย .. งั้นข้ามมาดูวิกฤติ ต้มยำกุ้ง ในปี ค.ศ.1997 (พ.ศ.2540) ของบ้านเราก็ได้ ...ใครนะส่งเลห์แมนมาเล่นเดี่ยว รับบทหนัก ร่วมกับไอเอ็มเอฟ ต้มสมันน้อยเสียเหลือแต่ซี่โครงบางๆ น่าสงสาร อย่างนี่จะให้เชื่อ หรือว่าเขาสั่งเชือดกันจริง
ถ้ายังจำกันได้ เมื่อบ้านเราเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ในปี ค.ศ.1997 (พ.ศ.2540) มีข่าวว่า รัฐบาลไทยเจรจาขอความช่วยเหลือกับสถาบันต่างชาติ 2 ราย
รายแรกคือรัฐบาลจีน ที่เป็นฝ่ายเสนอความช่วยเหลือมาให้ โดยคิดดอกเบี้ยต่ำแทบจะติดพื้น เจรจาดีๆ อาเฮียอาจไม่คิดดอกเบี้ย และไม่มีเงื่อนไขมัดมือมัดคออะไรเลย แต่รัฐบาลไทยกลับลังเล ชลอการเจรจากับรัฐบาลจีนไว้ และไปเจรจากับเวิลด์แบงค์แทน ไม่รู้เพราะอะไร คงคุ้นแต่พูดกับฝรั่ง แต่ปรากฏว่า ท่านประธานาธิบดี คนนิยมเด็กฝึกงาน ปฏิเสธการช่วยเหลืออย่างเลือดเย็น .....เห็นใจมหามิตรชัดๆ ก็ตอนลำบากนี่แหละ ....อย่าลืมเรื่องนี้กันนะครับ
แต่ก๊วนกู๊ดบอยของไทย ที่คงสังกัดวอชิงตันโน่น ไม่หมดความพยายาม ส่งจดหมายรักไปหา ไอเอมเอฟ เขาว่ามีหน้าม้าแอบไปเจรจานอกรอบที่สิงคโปร์ ประเทศที่มีเนื้อที่เล็กกว่า กทม. แต่คุยโตจัง ... เราพร้อมจะอ่อนอยู่ในมือท่าน.... คนที่มาหลบมุมเจรจาแทนไอเอฟเอ็ฟ ก็คือท่านทิมนั่นแหละ ส่วนคนที่แอบไปเจรจาแทนฝ่ายไทย ยังลอยนวลอยู่ในวงการเจรจากันอย่างไรไม่ทราบ ในที่สุด รัฐบาลไทยปฏิเสธเงินช่วยเหลือของจีน โดยทีมของ ธปท. ที่ไปเจรจากับจีนตอนนั้น อ้างว่าพูดกันไม่รู้เรื่อง และรัฐบาลไทยในตอนนั้น ก็เลยเลือกเอาเงินช่วยเหลือของไอเอ็มเอฟ ที่มีเงื่อนไขร้อยแปด ที่มัดเราแน่นตั้งกะหัวถึงตีนแทน ....อย่างนี้คงพูดกันรู้เรื่อง...
ไอเอมเอฟบอกว่า สถาบันการเงินไทยมาตรฐานต่ำ ต้องล้างบ้านเพิ่มทุน ยังกะมาตรฐานบ้านมึงดีนักล่ะ ผลเราต้องปิด 56 ไฟแนนซ์ เพราะ ไอเอ็มเอฟ บอกสอบไม่ผ่าน ผ่านแค่ 2 บริษัท ไอ้ที่ผ่าน คนในวงการมึน ...ผ่านได้ไงวะ มันมีแต่ของห่วย ... ก็ของห่วยไง มันถึงไม่เอา มันจะเอาแต่ของดีๆของเรา....
คนบ้านเราฉิบหายกันไปเท่าไหร่จำได้ไหมครับ ทั้งผู้ถือหุ้น คนเล่นหุ้น คนฝากเงิน คนทำงาน ฯลฯ แต่ที่เบิกบานที่สุด คือ พวกลูกหนี้ขี้ฉ้อของสถาบันการเงินขี้ฉ้อ ที่ให้พรรคพวกกู้กันสนุกสนาน พอสถาบันเจ๊ง ไอ้พวกขี้ฉ้อก็ฉวยโอกาสชักดาบ และหลายคนยังลอยหน้าอยู่ในสังคม เดินโชว์กระเป๋าใบละล้านห้า หลายคนมีบ้านพักผ่อน อยู่บนเขาลูกใหญ่ ที่สร้างบนที่หลวง โดยเงินที่ฉ้อมา
ต่อมา ไอ้พวกนักล้วงกระเป๋าชั้นเซียน ที่อ้างว่าเป็นสถาบันการเงินของโลก บอกว่า กฏหมายไทยแม่มมันห่วย ไม่ทันสมัยพอให้กูต้ม มันใช้บ้านเรากับไอ้พวกบื้อแถวเอเซีย ละติน นี่แหละ เป็นห้องทดลองแก้กฏหมาย ที่ขัดขวางการล้วงกระเป๋าของพวกมัน แก้ไขกฏระเบียบต่างๆ ที่ท่านนักวิชาการบอกว่า เราต้อง ดีเร็ก deregulation แก้มันหมด แก้กฏหมาย 11 ฉบับ เพื่อให้มันล้วงคล่อง รวมทั้งกฏหมายให้มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ปตท. ถึงได้ออกมาหลอนเขย่าขวัญคนไทย ที่แย่ไม่ได้มีแค่เรื่อง ปตท. ครับ พรบ. ให้คนต่างด้าวถือหุ้น หรือทำธุรกิจในไทยนั่นแหละ ขายชาติของจริง
เรื่องต่อมา ก็เหมือนเรื่องข้าวต้มมัดเน่านั่นแหละ 56 ไฟแนนซ์เจ๊ง แบงค์เกือบทั้งประเทศก็เจ๊งตาม เพราะเพิ่มทุนไม่ได้ รัฐบาลคิดตามที่ฝรั่งสั่ง ตั้ง ปรส. กวาดทรัพย์สินของสถาบันที่เจ๊งมารวมอยู่ที่ ปรส. ที่วัตถุประสงค์ในการตั้ง เพื่อให้ดูแลแก้ไขฟื้นฟูสถาบันที่มีปัญหา แต่ไม่เห็นมันแก้ให้ฟื้นอะไร ได้แต่คิดขายทรัพย์สินของสถาบันพวกนั้น(ตามใบสั่ง) เสร็จแล้วอ้างว่าทำเองไม่เป็น ต้องตั้งบริษัทฝรั่ง ที่เป็นผู้ชำนาญการมาเป็นที่ปรึกษา ไอเอมเอฟ เอาชื่อยัดใส่มือคนไทยมา คือชื่อ Lehman Brothers. เยี่ยมมั้ย
เลห์แมนเป็นที่ปรึกษา จัดแบ่งทรัพย์สินออกเป็นกองๆ เตรียมให้มีการขายโดยการประมูล นี่ไง ต้นแบบของการทำข้าวต้มมัดแบบไทยๆ
เลห์แมนจัดกองเอง ตามที่ตัวเองต้องการ คัดเอาแต่ของชั้นดีกันออกมาไว้ก่อน เพราะจะเข้าไปประมูลซื้อทรัพย์สินกองนั้นเอง.... มีคนโวย...มึง ทำได้ไงวะ จัดกองเอง ตั้งราคาเอง แถมจะเข้าไปประมูลซื้อเอง.... เลห์แมนบอก เราจะให้บริษัทในเครืออีกรายมาประมูลต่างหาก เราไม่รู้กันหรอก เขาไม่มีทางรู้ราคา เพราะเราจะใช้ระบบที่เรียกว่าเอากำแพงเมืองจีนกั้น Chinese wall สูงแค่ไหนรู้ไม่ใช่เหรอ .... คนแถว ปรส. คงไม่ได้กินข้าว กินแต่หญ้าหรือไงไม่รู้ เลยเชื่อฝรั่ง ว่ากำแพงมันกั้นได้
โถ....ขนาดมีกำแพงกั้นที่บ้านมันเอง มันยังออกกฏหมายทะลายกำแพงได้ ของเราไม่ต้องถึงกับออกกฏหมายหรอกครับ แค่ฝรั่งมันบอกอะไร ก็ตัวสั่น โอเค โอเค ยืนกุมขาหนีบจนไข่ฝ่อกันหมด ....พ่อมึงสอน มึงยังไม่เคยเชื่อฟังเท่านี้เลย ...เล่าแล้วของขึ้นครับ
แล้วเลห์แมนกับพวก ก็ประมูลได้ทรัพย์สินดี ราคาต่ำไปเกือบหมดประเทศเรา บางรายการขายกลับให้ลูกหนี้เจ้าของเดิม ได้กำไรอีกต่อ แต่ของดีๆ อมไว้ให้พวกตัวเอง แล้วเรามานั่งถามกันว่า ทำไมต่างด้าวมันเป็นเจ้าของทรัพย์สินดีๆ ในบ้านเราได้อย่างไร ... ก็ได้ไปอย่างนี้แหละครับ
มีลูกหนี้ไทย ที่ต้องเสียทรัพย์สินไป เพราะไฟแนนซ์ล้ม อยากจะเอาทรัพย์สินคืนจะต้องใช้หนี้เต็ม หรือต้องจ่ายค่าเจรจากับตัวแทนฝรั่ง เลยออกมาท้วง.... งั้นขอผมประมูลสู้กับฝรั่งมั่งสิ.... กระทรวงคลังคนคุม ปรส. บอก ไม่ได้นะ .... คุณเป็นลูกหนี้เอง มาประมูลทรัพย์สินตัวเองได้ยังไง เสียวินัยการเงินหมด ....แต่ให้ฝรั่งเป็นที่ปรึกษา จัดกองทรัพย์สินเอง ตีราคาเอง ซื้อเอง กำไรไม่รู้เรื่อง
อย่างนี้ไม่เสียวินัยว่ะ.... แต่เสียค่าโง่....
เรื่องนี้ เล่นเอาท่านคลังไทย ที่ฝรั่งหมายมั่นจะปั้นให้เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีไทย ถึงกับโดนสื่อใหญ่มาก ตีแบบไม่เลิก ทำเอาเสียศูนย์ หัวหงอกเกือบทั้งหัว หายหน้าไปกินยาแก้ช้ำในอยู่นาน แผนการยึดประเทศไทย เลยต้องออกแบบใหม่ เอาตัวใหม่หน้าเหลี่ยมมาเล่นแทน
ไพ่คนละสำรับ แต่เจ้ามือคนแจกรายเดิม....
เรื่องทั้งหมด ตั้งแต่ต้มยำกุ้ง จนมาถึงแปรรูป จูงจมูกไป 3,4 รัฐบาลไทย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน พรรคไหน ภูมิมากภูมิน้อย ก็ถูกฝรั่งเอาเชือกร้อยไปใช้เหมือนกันหมด ...
กลับมาที่เลห์แมน เขาว่า กำไรที่ซื้อของดีราคาถูกบ้านเรา เป็นเงินทุนสิงคโปร์ ส่วนหนึ่ง ที่ใช้เลห์แมนออกหน้า นึกชื่อกองทุนออกไหมครับ กองทุนนี้ก็กลับมาซื้อดาวเทียมของไทย มาแอบฟังคนไทยจู้ฮุกกรูกันอีกที มันโคตรฉลาดเลย หลอกเอาเงินเรา มาซื้อของเรา ไว้ล้วงความลับเรา ....หรือมันไม่ได้ฉลาดมากแต่เราเซ่อมาก !?
ส่วนกำไรด้านเลห์แมน มันเอากลับไป ไว้ผลิตข้าวต้มมัดเล่นกัน เสียหายก็ไม่ใช่เงินมัน เงินใครไม่รู้ จะไปเดือดร้อนทำไม.... เกือบทุกเรื่องในโลกนี้ มันต่อเนื่องกันเกือบหมด ต่อกันถูกหรือเปล่าเท่านั้นเอง
และหลังจากที่คิงเฮนรี่ บอกไม่อุ้ม เลห์แมน ถ้าคิดช้าๆอีกที ถ้าไม่เอาบทเหี้ยมขนาดให้เลห์แมนล้มจนไม่เหลือมาออกเล่น รัฐสภาจะออกมาอุ้ม AIG ที่เหมือนเป็น ซีไอเอ ภาคเอกชนไหม.....เขาเล่นกันแบบเนียนจริง จนมองแทบไม่เห็นรอยตะเข็บ
แต่การวางบทให้เลห์แมนล้มละลายตัวเองนั่น... มันกลับทำให้เราพอเห็นร่องรอยบางอย่าง ที่พวกนักตั้งหม้อต้ม...ซ่อนเอาไว้....
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
31 ก.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอนจบ 1/3
ตกลง ใครคือเหยื่อตัวใหญ่ หรือเป้าหมายจริงของวิกฤติซับไพรม์
ผมขอย้อนเรื่องเก่า พอคร่าวๆ เพื่อให้เห็นภาพเก่า ก่อนที่จะนำมาต่อกับภาพใหม่ให้เห็นต่อเนื่องกัน
สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มมาจากความอยากเป็นผู้ครองโลก ของอังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ที่นิ้วก้อยมันเพิ่งแตกไปเมื่อปลายเดือนมิถุนายน ค.ศ.2016 นี้เอง ประวัติศาสตร์สากลฉบับลุงนิทาน จะต้องจารึกไว้
อังกฤษ เชื่อนักในทฤษฏีภูมิศาสตร์การเมือง geopolitics ของครูแมค Sir Halford Mackinder ตามทฤษฏีนั้น ครูแมคบอกว่า รัสเซียเป็นประเทศที่มีความได้เปรียบอย่างมาก จากสภาพที่ตั้งของประเทศทางภูมิศาสตร์ ทำให้ยากในการจะยกทัพเข้าไปรบเอาชนะได้
ด้วยแนวคิดของครูแมคแบบนี้ จึงทำให้ชาวเกาะนิ้วก้อยแตก มองรัสเซียเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ขวางคอการคิดครองโลกของตน และรัสเซียก็เลยได้รับตำแหน่งเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งตลอดกาลของชาวเกาะนิ้วก้อยแตกไปโดยไม่รู้ตัว
อีกประเทศคือ เยอรมัน ที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาประเทศ จากที่ตามอังกฤษมาห่างๆ เผลอแผลบเดียว การพัฒนาของเยอรมันกระโดดใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว อีกคืบเดียวคงแซงได้ ทำเอาชาวเกาะนิ้วก้อยแตกตาเหลือก แถมเยอรมันยังมีแผนเตรียมสร้างทางรถไฟ สายเบอร์ลินแบกแดด ซึ่งเป็นเส้นทาง ที่จะไปสู่เหยื่อที่ชาวเกาะเล็งไว้คือ ตะวันออกกลาง ที่เต็มไปด้วยน้ำมัน.... น้ำมันเท่านั้น ที่สามารถจะทำให้กองทัพเรืออันยิ่งใหญ่ของอังกฤษ ใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก แต่ที่เกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อย มีแต่น้ำมันหมูเล็กน้อย กับถ่านหิน อย่างนี้กองทัพเรือของชาวเกาะนิ้วก้อยแตก มันจะโตอย่างใจได้ไงวะ
ชาวเกาะนิ้วก้อยแตก รู้ดี (อีก) ว่ามันจะทำสงครามกับศัตรูคู่แข่ง รัสเซีย และเยอรมัน พร้อมกัน 2 ประเทศไม่ได้ นอกจากไม่ได้ชัยชนะแล้ว อาจทำให้เกาะนิ้วก้อยของตัวเอง แหลกเป็นเศษกรวดอีกด้วย ชาวเกาะจึงวางแผนที่จะรบกับเยอรมัน แต่ส่งนักปฏิวัติ ไปให้รัสเซีย ... มันโคตรช่างคิดจริงๆ
จากการวางแผนยุทธศาสตร์ ที่ล้ำลึกของชาวเกาะนิ้วก้อยแตกและพวก เยอรมันจึงพังไม่เป็นท่า โดยการถูกถล่มของสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่วนรัสเซีย ก็เละทางเศรษฐกิจและสังคม จากการเกิดปฏิวัติในประเทศช่วงปี ค.ศ.1917
ส่วนตะวันออกกลาง ที่ตกเป็นเหยื่อที่น่าสมเพช เพราะดันมีน้ำมันแยะ และเป็นสาเหตุจริงของการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ถูกชาวเกาะนิ้วก้อยแตก จัดการตัดแบ่งออกเป็นส่วนๆ เหมือนขนมเค้ก เป็นรางวัลแก่คนคิดทำสงครามและคนช่วยทำสงคราม (สัญญา Sykes Picot 1916) และเรื่องที่ตะวันออกกลาง อาจจะเหลือแต่ปั้ม ไม่เหลือคน ส่วนหนึ่งก็มาจากการวางแผนแบ่งเค้กของไอ้เกาะนิ้วก้อยแตกนี่แหละครับ
ส่วนเรื่องมงกุฏราชกุมารองค์ไหนถูกยิง จนเป็นสาเหตุให้เกิดสงครามโลก นั่นมันเป็นประวัติศาสตร์ที่ฝรั่งมันเขียนหลอกเอาไว้ จะได้ไม่มีใครรู้ความจริงว่า มันทำสงครามโลกกันจนคนตายไปไม่รู้กี่ล้านนั้น
สาเหตุมาจากความโลภ ความงก ที่จะแย่งน้ำมันกันเท่านั้นเอง เพราะน้ำมันกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการครองโลก
โฮ้ย... มันมีเรื่องอะไรจริงบ้างคะ คุณลุง.... ลุงถามแทนให้ เพราะลุงก็เห็นใจคนอ่าน มันคนละเรื่องกับที่เราเคยรู้เคยเรียนเกือบหมดเลย....จะทำไงดี ก็ถูกหลอกมาร้อยกว่าปีแล้ว....
มาถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เป็นผลต่อเนื่อง มาจากความกระสันค้าง และตะกละค้างของไอ้ชาวเกาะนิ้วก้อย ที่ยังฝันค้าง หวังประโยชน์มาจากการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่หลังสงคราม ผลประโยชน์ดันแบ่งกันไม่ลงตัว
ชาวเกาะนิ้วก้อยแตก คิดว่าตัวเองเป็นคนต้นคิดและวางแผนการทำสงครามโลก น่าจะได้รางวัล กินสมบัติส่วนใหญ่ของชาวบ้านให้เต็มปาก จะเอาทั้งตะวันออกกลาง และดินแดนของเยอรมัน (ในฐานะผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1) ที่มีทรัพยากรมาก (ไอ้นิ้วก้อยนี่โคตรเลวจริง) ...แต่ฝรั่งเศส และชาติอื่นๆไม่ยอม ด่าไอ้ชาวเกาะใหญ่ไม่เลิก....คนของกูก็ไปรบ ไปตายเหมือนกันนี่หว่า เอ็งจะคว้าพุงปลาไปกินอยู่คนเดียวได้ยังไง ตะกละและหน้าด้านไปหน่อยไหม...
ขณะเดียวกัน อเมริกาก็เริ่มคิดว่า ถ้าเราไม่เข้าไปให้การสนับสนุนทั้งด้านทุน ด้านอาวุธยุทธภัณท์ ไม่ไปช่วยรบ ไอ้ชาวเกาะนิ้วก้อยมันก็ไม่มีทางชนะสงคราม แถมยังหมดตูดถังแตกอีกด้วย .... แล้วทำไม เราถึงจะ(ต้อง) ปล่อยให้ชาวเกาะถังแตกครองโลกต่อไป เกาะอเมริกา ใหญ่กว่าเกาะนิ้วก้อยแค่ไหน คิดดูเอาก็แล้วกัน
แต่อเมริกาจะโดดเข้าไปครองโลกแทนเกาะนิ้วก้อยทันที คงไม่เข้าท่า ทำใหญ่ แต่หมดตูด ..ไม่เอานะ น่าทุเรศ
อเมริกาประเมินแล้ว มันต้องใช้วิธี ค่อยๆตัด ค่อยๆตอน ไม่ให้ชาวโลกรู้ตัว ไม่ว่าจะอยู่คนละฝ่าย หรือฝ่ายเดียวกัน... แสบนะมึง
สงครามโลกครั้งที่ 2 อีกส่วนหนึ่ง จึงมาจากความกระสันใหม่ และตะกละใหม่ ของกร่างใหม่อเมริกา
อเมริกาวางแผน(หลอก !) จับมือกับชาวเกาะถังแตก เล่นสงครามโลกมันอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายทำลายหมาก 2 ตัว เพื่อปูทางไว้สำหรับไปทำลาย ศัตรูอีก 2 ราย ก่อนที่อเมริกาจะขึ้นมาครองโลกเป็นพี่เบิ้มพระเอก
ขณะเดียวกัน อเมริกาวางแผนซ้อนอีกต่อ (ไอ้สันดาน) ให้ชาวเกาะถังแตกและพวกยุโรป เล่นสงครามโลกในเขตแดนตนเอง จนเละเทะล่มจมกันหมด และในที่สุดหมาก 2 ตัว เยอรมันและญี่ปุ่น ก็เป็นไปตามแผน หลุดจากเป็นตัวเอกของกระดานโลก
เยอรมัน ถูกทั้งตอนทั้งตัด เหลือสภาพเป็นอย่างที่ป้าตดแตกทำ เวลาได้รับคำสั่งจากพี่เบิ้มพระเอกเท่านั้น ส่วนญี่ปุ่น ซามูไรถูกริบ ไม่เหลือแม้แต่กองทัพของตัว ทำได้แต่คอยแแบกถาดบริการพี่เบิ้มพระเอก .....ที่ไม่บอบช้ำอะไรเลย เพราะตามแผน พระเอกจะออกรบ ก็เมื่ออังกฤษและยุโรปเละแล้ว
และที่สำคัญ พี่เบิ้มพระเอกเลือกทำสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ... นอกบ้านตัวเอง
แต่ครั้งที่ 3 นี่ มันจะเป็นอย่างนั้นอีกไหม....ผมไม่รู้ครับ
ตอนจบ 2/3
การทำสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำลายหมากสำคัญตามเป้าหมาย ไปได้ทั้ง 2 ตัว คือ เยอรมันกับญี่ปุ่น แต่ยังเหลืออีก 2 ตัวสำคัญ ...
พี่เบิ้มพระเอก รู้ใจว่าชาวเกาะถังแตกยังมีกระดูกชิ้นใหญ่ขวางคอ .....เอางี้....เรามาจับมือทำลายรัสเซียกันดีกว่าน่า... อย่าเพิ่งกัด เอ้ย แตกกันเองเลย .....การสร้างสงครามเย็นจึงเกิดขึ้น (เรียกได้ไงวะ สงครามเย็น จริงๆ มันร้อนระอุ) เพื่อทุบให้สหภาพโซเวียตแตกในปี ค.ศ.1991 เอาส่วนหนึ่งที่แตก มารวมอยู่ในคอกยุโรป ร่วมกับเยอรมัน (หลอก) ให้ใช้วิธีการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ (EU) และความมั่นคง (NATO) แบบเหมาโหล บี้ทีเดียวตายหมู่ ง่ายดีกว่าจะไล่บี้ทีละประเทศ (เลยมี Brexit คิดเอาตัวรอดก่อน
สงครามโลกครั้งที่ 3 จะมา..... ถึงจะนิ้วก้อยจะแตก แต่ก็ยังเก๋าอยู่โว้ย กูน่วมมา 2 สงครามโลกแล้ว.... หนที่ 3 นี่ ถ้ายังกระสัน ไม่เอาตัวรอด มีหวังจมหายทั้งเกาะ)
เหลือแต่รัสเซียเดี่ยวๆ จะรอดไปได้นานเท่าไหร่กัน แล้วอเมริกา ก็ส่งสงครามเล็กสงครามน้อยไปคอยกระตุกรัสเซียไม่ให้เดินสะดวก ถึงอย่างนั้น รัสเซียก็ฮึดสู้ ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ในปี ค.ศ.1994 รัสเซียเสนอจับมือกับจีน เพื่อสร้างท่อส่งน้ำมัน จากไซบีเรียไปยังทางเหนือฝั่งตะวันออกของจีน....และมีแผนสร้างทางรถไฟทรานส์ไซบีเรีย ยาวมาถึงด้านทางเหนือของจีน เช่นเดียวกัน
ว่าที่ศัตรูอีก 1 โผล่มาแล้ว และมาแรง...
อังกฤษอยากได้จีนมากว่า 100 ปีแล้ว ลงทุนส่งเรือปืน สงครามฝิ่น เสี้ยมให้ญี่ปุ่นไปขยี้จีน สาระพัดจะทำ แล้วก็ได้ผล จีนน่วมจริง แต่ยังไม่ถึงกับเสียเมือง จีนประคองตัวมาได้ โดยใช้ระบอบการปกครอง ปิดบ้าน รักษาเมืองเอาไว้ได้
อเมริกาเอง ก็อยากได้จีน ประเทศใหญ่ที่อุดมด้วยแร่ธาตุสาระพัด อเมริกาเฝ้าตามดูยุทธศาสตร์ ของอังกฤษมาตลอด จะกินจีนแบบโฉ่งฉ่าง คงได้แต่เป็นของว่าง อาหารจานใหญ่ คงอดแดก จีนเล็กนักหรือ กินคำเดียว ไม่วางแผนให้ดีๆ ติดคอตายโหง
โอ้ยตาย...แค่รัสเซียเจ้าเดียว ก็ต้องใช้หลายแผนแล้ว ...นี่มีไอ้ตาตี่ โตเร็วเหมือนไปฉีดยาโด๊ปมาอีกราย และมีที่ท่าว่าจะจี้จ๋าจับคู่กับรัสเซียอีกด้วย ... แบบนี้ฝั่งอยากครองโลก ก็ต้องรีบปรับแผน (ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่)
การปรับแผนครองโลกแต่ละครั้ง มันต้องใช้เวลาเป็นหลาย 10 ปี ไม่เหมือนเปิดปิดไฟจราจรตามสี่แยกนะครับ ไม่ใช่เดี๋ยวเขียว เดี๋ยวแดง ยิ่งใช่ระบบไอที ยิ่งง่ายใหญ่ กดปุ่มให้เครื่องมันจัดระบบกันเอง รถมันถึงได้ติดกันยาวทั้งเมือง สู้สมัยจราจรกางแขนโบกกลางถนนไม่ได้ ถึงรถติด ก็ยังได้ดูลีลาคุณจราจร เวลารถมันเฉี่ยวหน้าเฉี่ยวหลัง ใครที่ชอบด่าตำรวจ ผมขอเว้นพวกคุณจ่าจราจรรุ่นโบไว้หน่อยเถิด
อเมริกา เฝ้าดูจีนมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ความรู้สึกของอเมริกาที่มีต่อจีน น่าจะไม่ต่างกับความรู้สึกของชาวเกาะนิ้วก้อยแตก ที่มีต่อรัสเซีย
อังกฤษใช้เวลานานกว่าหนึ่งศตวรรษ ยังทำลายรัสเซียไม่ได้จริง ได้แต่ทำให้สลายเป็นบางส่วน อเมริกาจึงคิดหนักเกี่ยวกับจีน ....ในที่สุด อเมริกาก็เลือกใช้ยุทธศาสตร์ในการทำลายจีน ทำนองเดียวกับที่อังกฤษใช้ในการทำลายรัสเซียสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ดัดแปลง ใส่เสื้อคลุมมันหลายชั้น จน (จีน) นึกไม่ถึง
ประเทศขนาดใหญ่อย่างจีน ประชากรแยะขนาดนี้ จะมียุทธศาสตร์อะไรเหมาะไปกว่าใช้วิธีทุบจีนจากข้างในให้น่วมก่อนที่จะบุกจากข้างนอก จีนไม่ได้เล็กเท่าเกาะญี่ปุ่นนะ.... นึกว่าส่งดอกเห็ดไปให้ดอก สองดอก อาเฮียจะทำเสียงเครือ ประกาศยอมแพ้หรือ ... แบบนั้น.... ลืมไปได้เลยครับ
แน่นอน ก่อนทุบ อเมริกาก็ต้องสร้างเครื่องทุบที่ทันสมัยปกปิดรูปทรง จนคนถูกทุบแทบไม่รู้ตัว ทำให้ต้องกินน้ำใบบัวบกกันนานหน่อย
ท่านร้อกกี้หินร่วง ลงทุนส่งมิชชันนารี วายเอ็มซีเอ ตั้งมูลนิธิ ตั้งโรงเรียน ตั้งมหาวิทยาลัย ตั้งโรงพยาบาล เข้าไปในจีน มากว่าร้อยปีแล้ว และที่เรารู้จากนิทานเรื่องนี้ อเมริกายังตั้งสำนักประกันภัย ที่กลายเป็นเครื่องมือทุบอันสำคัญยิ่ง ให้ทำหน้าที่เป็นทั้งหน่วยสืบราชการลับ โรงฟอกย้อมความคิดคนจีน และเป็นเฟืองตัวใหญ่ในการทำธุรกิจ และสานสัมพันธ์ในจีน มาร้อยกว่าปี เช่นเดียวกัน
แต่จีนนั้น บริเวณใหญ่เหลือเกิน และพลเมืองมากกว่ารัสเซีย ไม่แน่ว่าทุบได้ง่ายอย่างที่วางแผนนะครับ ... แต่ถ้ามีการวางแผนเลี้ยงหนอนใน ชนิดมีพิษ มีรากชอนไชเอาไว้ร่วมร้อยปี ก็น่าเป็นห่วงว่า จีนอาจจะน่วมเพราะหนอนใน ที่เขาปลูกฝังไว้นานนั่นแหละ....
ตามหลักยุทธศาสตร์ เขาว่า เวลาจะทุบใคร จุดที่ทุบได้ผลมากที่สุดคือ ทุบจุดอ่อนที่สุด
อเมริกาพยายามหาจุดอ่อนของจีนมานาน แต่ด้วยระบบการปกครองของจีน ก่อนช่วงจีนเปิดประตูบ้าน อเมริกาถึงจะหาเจอ ก็คงทำอะไรยาก เพราะประตูบ้านจีนยังปิดแน่น จนเมื่อจีนเปิดประตูบ้าน มุ่งหน้าค้าขาย เพื่อเอาเงินมาพัฒนาประเทศ เศรษฐกิจของจีน ที่เจริญเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งมา 3 ทศวรรษ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1978 จนถึง 2008 จึงเป็นทั้งจุดแข็ง และจุดอ่อนของจีน
จีนผลิตสินค้าราคาถูกส่งไปทั่วโลก ตลาดใหญ่ที่สุดคือ สหภาพยุโรป(21%) รองมาคืออเมริกา(18%) แต่ตลาดเอเซีย แม้เดี่ยวๆจะน้อยกว่า 2 รายแรก แต่ถ้านับรวมแล้ว ก็ร่วม 30 กว่าเปอร์เซนต์
เมื่อขายของได้มาก ได้เงินมาแยะ จีนก็เอามาพัฒนาประเทศส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็เอาไปซื้อพันบัตรของอเมริกา มาเก็บเอาไว้เหมือนกับเป็นกองทุนสำรองของตัว
แบบนี้ อเมริกาไม่ชอบนะ ขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปนานๆ เครื่องมือทุบอาจจะเอาไม่อยู่ เลยต้องมีการทดสอบเครื่องมือทุบรุ่นแรกๆกันหน่อย
เริ่มแรก ต้องทำให้ตลาดจีนเล็กลงก่อน ตลาดไหนล่ะ ก็ตลาดเอเซียไง กำลังซ่าทั้งนั้น อย่างนี้ทุบมันส์.... ต้มยำกุ้งจึงเกิด ในปี ค.ศ.1997 (พ.ศ.2540) และลามไปทั่วเอเซีย กำลังซื้อจากเอเซียก็หดตามเป้าหมาย ... เสือ 4,5 ตัว ก็นอนอ้าปากปะงาบ เขี้ยวหลุด... บางตัว ตอนนี้ยังไม่ฟื้นดี
ผลของการทดลองในเอเซีย นับได้ผลสำหรับอเมริการะดับหนึ่ง เพราะจีนก็สะอึกพรวดไปเหมือนกัน และไอ้เสือ 4,5 นั่นมันก็นอนพะงาบไปด้วย มันจะได้ผนึกกำลังกันไม่ติด รวยไม่ออก ต้องเป็นสมันน้อย เป็นลูกหาบให้พี่เบิ้มพระเอก ที่เขาคิดครองโลกไปตลอดไง เข้าใจไหม ทุบที่เดียวช้ำกันเรียงแถว .....ไม่เป็นไรน่า เราก็แค่เป็นส่วนประกอบของการทดลอง รับบท ที่เรียกสั้นๆ ว่า " เหยื่อ" น่ะ แต่อย่าเป็นเหยื่อเขาบ่อยนัก ก็แล้วกัน
ส่วนจีนนั้น เลยยิ่งเพิ่มการเก็บกระดาษสีเขียวตรานกอินทรี กันเหนียวไว้ เผื่อจะโดนอีกรอบ อ้าว....แบบนี้อเมริกาก็ยิ่งต้องกลับมาเล่นเอาเถิดกับจีนต่ออีก แปลว่า ยังทุบไม่หนักพอใช่มั้ย ....จีนยังเงินเหลือแยะ
แถมช่วงนั้น จีนขยายอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภค มีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างมาก ....จึงมีการ "สร้าง" ราคาน้ำมัน ให้ขึ้นไปเรื่อยๆ คราวนี้อาเฮียชักจะสะอึกจริง เพราะต้อง ไล่ซื้อน้ำมันจากตะวันออกกลางทุกราคา ที่ฝรั่งเป็นคนกำกับ เราจะเป็นเบี้ยล้างเขาไปตลอดหรือไงนะ ...อาเฮียคิดหนัก
จีนจึงตกลงจับมือกับรัสเซีย.... สร้างท่อส่งน้ำมันมาด่วนเลยพี่ปู ....จะว่าไป ก็เหมือนอเมริกาเป็นพ่อสื่อ ให้รัสเซียกับจีน เขารักกันจั๋งหนับ อุ้ย จักกะจี้จัง ....เพราะรวมกันเราอาจสู้(มัน) ได้ แต่แยกกัน คงเหนื่อยนะพวก...
แบบนี้อเมริกา เลยปรับแผน (อีกรอบ) เล่นมันแรงทั้ง 2 ประเทศ
รัสเซีย มึงรบเก่งนัก เอาสงครามรอบบ้านไป ยุให้พวกเด็กๆ พรรคพวกเก่าของสหภาพโซเวียตแยกตัวบ้าง สร้างปฏิวัติหลากสีบ้าง เพราะเรื่องสหภาพโซเวียตล่มสลายนี่ เป็นจุดอ่อนของรัสเซีย เทน้ำกรดราดแผล ซ้ำมันไปเรื่อยๆ รัสเซียจะทนไหวไหม ลามมาล่อให้ไปตกหลุมแถวซีเรียอีกด้วย นี่ยังจะเอาตุรกี อิรัคมาล่ออีก อย่าลืมอิหร่านหมากสำคัญ ฝ่ายไหนเอาไปอม ก็ได้เปรียบแยะ
ส่วนจีน ก็ต้องเจอเรื่องเศรษฐกิจและสังคม ทุบทั้งข้างนอกและข้างใน
ปี ค.ศ.1990 จีนเปิดตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ เปิดได้แค่ 2 ปี AIG ถลากลับบ้านเก่าที่เซี่ยงไฮ้ ในปี ค.ศ.1992 พูดเสีย(น้ำลายไหล) หยดย้อย ... เรากลับบ้านแล้ว มาต้มพวกมึงต่อไง 55
ก่อนกลับบ้านเซี่ยงไฮ้ ไม่กี่ปีก่อนตลาดหุ้นเปิด ปี ค.ศ.1987 AIG แอบไปเปิด AIGFP ดักรอไว้แล้ว แหม... ก็นั่งกินแฮมเบอร์เก้ออยู่กลางเซี่ยงไฮ้ จะไม่รู้ความเคลื่อนไหวหรือว่าเขาจะทำอะไรกัน ... ไม่ต้องทำอะไรมาก เตรียมหาหม้อใบใหญ่ ใส่น้ำ เอาขึ้นตั้งเตา รอต้ม ... เหยื่อตัวใหญ่ ในบ้านเขาเอง....
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
1 ส.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google
นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายปลอม"
ตอนจบ 3/3
อเมริกา เข้าไปตั้งหลักสังเกตการณ์ในจีนอย่างใกล้ชิดมากว่า 100 ปี แม้ในยามที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนแข็ง และจีนปิดประตูบ้าน แต่ใช่ว่าจะกันให้อเมริกาออกไปอยู่นอกวงได้หมดจริง...อเมริกายังฝากของที่ระลึกหลอกทิ้งไว้ในบ้านจีน เช่น มูลนิธิ โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล ของที่ระลึกเหล่านี้ ยังคงทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายต่อไป .... ศึกษา และหาจุดอ่อนของจีน....
จีนแม้จะใหญ่และประตูปิดแน่นแค่ไหน แต่ถ้าอเมริกาทำให้จีนเปิดประตูได้ และการค้าเสรีเดินเข้าออกในจีนตามแผนของฝ่ายอเมริกาเมื่อไหร่ ด้วยของที่ระลึกที่ทิ้งไว้ข้างใน บวกของกับใหม่ ที่อเมริกาจะส่งไปให้จีน ผ่านเสื้อคลุมเศรษฐกิจและสังคม มังกร....ก็มีโอกาสร่วงได้เหมือนกัน....
โชคดีที่มังกรยังมองไกล แม้จะเปิดประตูบ้านแล้ว แต่รัฐบาลจีนยังเป็นเจ้าของแบงค์ใหญ่ เกือบทั้งหมดอยู่ในตอนนี้ และเป็นยังเจ้าของรัฐวิสาหกิจอีกประมาณ แสนกว่าแห่ง ส่วนรัฐบาลท้องถิ่น ก็ยังไม่มีอำนาจเต็มตัว ถ้าจะกู้เงินนอกงบประมาณที่จัดสรรมาให้ ต้องผ่านรัฐบาลกลาง จีนยังมีการระวังตัว ไม่เปิดประตูบ้านอย่างอล่างฉ่าง
แต่ที่เปิดไปแล้ว และน่าจะเป็นเป้าหมายที่เหมาะ เป็นบริเวณที่จะได้เหยื่อเอามาลงหม้อต้มมากที่สุดคือ ตลาดหุ้น
ฝ่ายตั้งหม้อต้ม น่าจะเห็นแล้วว่า การค้าขายสินค้าทางการเงิน ไม่ว่าจะซื้อขาย ผ่านตลาดหุ้น หรือซื้อขายระหว่างคู่สัญญา หลอกให้ลงทุน เหมือนเล่นพนัน น่าจะเป็นแนวทางต้มเหยื่อที่เร็วที่สุด จำนวนมากที่สุด ยุ่งกับทางการน้อยที่สุด เจ้าของบ้านควบคุมยากที่สุด และมีผลกระทบทางลบ กับเจ้าของบ้านได้มากที่สุด เพราะจีนแสดงให้เห็นว่า ชอบสะสมกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีไม่น้อยทีเดียว
สินค้าการเงินจึงถูกคิดค้นขึ้นมา ในเวลาที่สอดคล้องกับการที่จีนจะเปิดตลาดหุ้นที่เซี่ยงไฮ้
ลองดู timeline ของการเดินแผนอีกที
- ค.ศ. 1987 AIG ตั้ง AIGFP ตัวสำคัญในการล่อเหยื่อ
- ค.ศ. 1990 จีนเปิดตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้
- ค.ศ. 1990 อเมริกา แก้กฏหมาย ทุบกำแพง เพื่อสร้างยักษ์ใหญ่ ให้มาทำหน้าที่ผลิต และจำหน่ายสินค้ากำไรงาม สำหรับล่อเหยื่อ รวมทั้งให้ประกันแบบตั๋วพนันหลอกเหยื่อได้
- ค.ศ. 1992 AIG กลับไปเปิดสำนักงานเซี่ยงไฮ้
- ค.ศ. 1994 ตั้งเห็ดฟันจีเนียส LTCM ทดลองสูตรการต้มเหยื่อ
- ค.ศ. 1998 AIGFP ร่วมมือกับสวนสัตว์วอลสตรีท ออกสินค้า CDS
- ค.ศ. 1998 ตั้งหม้อต้มใบใหญ่ชื่อ Citigroup
- ค.ศ. 2000 สวนสัตว์วอลสตรีท ระดมตั้งเห็ดฟัน hedge fund กองทุนส่วนบุคคลที่ไม่มีกฏหมายควบคุมขึ้นมาเต็ม และออกล่าเหยื่อ แถวเอเซียโดยเฉพาะในจีน และฮ่องกง
- ค.ศ. 2001 สินค้ายอดนิยม ตราสารข้าวต้มมัด CDO ติดตลาด
- ค.ศ. 2005 Goldman Sachs กับพวก เริ่มออกสินค้าพิฆาตชื่อ CDOs
- ค.ศ. 2006 สินค้า CDOs เป็นที่นิยม
- ค.ศ. 2007 สินค้า CDOs เริ่มออกฤทธิ์ ตลาดบ้านเริ่มพัง
- ค.ศ. 2008 สวนสัตว์วอลสตรีทพัง (ตามแผน หรือตามบท)
- ค.ศ. 2009 ตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนพัง ผู้ลงทุนในจีน ขาดทุนยับ ระบบการเงินของจีนเริ่มมีปัญหา
Kyle Bass ผู้ก่อตั้งเห็ดฟันตัวใหญ่ Hayman Capital Management ที่ในช่วงปี ค.ศ.2007 เขาพนันว่าตลาดบ้านในอเมริกาจะพังแน่ และกองทุนของ Bass ก็ซื้อตั๋วพนัน กับบริษัทประกัน แล้วก็กำไรเละ
Bass บอกว่า ในช่วงที่เรียกว่าวิกฤติซับไพรม์ ระบบการเงินของแบงค์จีนเจ๊งอย่างหนัก ....เขาประมาณว่า มันน่าจะถึง 4 เท่า ของที่อเมริกาเจ๊ง
อเมริกาเจ๊งไปเท่าไหร่ ดูง่ายๆ อย่างน้อยที่สุด เอาแค่จำนวนที่รัฐอุ้มพวกสวนสัตว์ และสถาบันการเงินอื่นๆ ตามโครงการทั้งหมด ประมาณ 7.7 ล้านล้านเหรียญ ของเป็นจีนเท่าไหร่ ก็คูณ 4 เข้าไป (ก็ประมาณ 30 ล้านล้านเหรียญ คิดเป็นเงินบาทไม่ถูกเลยครับ)
เจ้า Bass ยังบอกอีกว่า ...นี่ยังไม่ได้พูดถึงหนี้สูญของแบงค์จีนนะ ถ้าสูญไป 10% ก็เท่ากับ 3.5 ล้านล้านเหรียญเข้าไปแล้ว 10% นี่คิดอย่างต่ำนะ ตัวเลขนี่เจ้า Bass อ้างว่า คิดจากจำนวนทุนของแบงค์จีน ที่รัฐเป็นเจ้าของ
จริงๆ คงยากที่จะรู้ตัวเลขความฉิบหายของจีน หรือแม้แต่ของอเมริกาเอง เพราะไม่มีใครบอกความจริง บางรายบอกมาก จะได้เงินอุ้มจากรัฐมาก บางรายบอกน้อย เพราะทั้งขายหน้าและเจ็บกระดองใจ
คงมีคนถาม ทำไมไม่ดูจากบัญชีล่ะ จากการตรวจสอบบัญชี จากรายงาน ไม่มีเหรอ ...มีครับ คงหาได้โลกสวย ..แต่ในโลกจริง คงหาของจริงยาก ขนาดเจ้าตัวมันยังเอาลงไปอยู่ในหม้อต้ม ตัวเลขมันคงจะยุ่ยจนดูไม่ออก
The Economist รายงานในต้นเดือนธันวาคม ค.ศ.2008 ว่า แบงค์ใหญ่ที่สุด 4 อันดับของจีน คือ Industrial and Commercial Bank of China, the Bank of China, China Merchants Bank และ Bank of Communications รวมทั้งบริษัทในเครือของพวก 4 แบงค์ ต่างลงทุนในข้าวต้มมัดของเลห์แมน เข้าไปจนเต็มแน่น แค่นั่นยังไม่พอ ยังอมเอาข้าวต้มมัดของ"เครือ" เลห์แมนเข้าไปด้วยอีก อย่างนี้ มันคงยิ่งทำให้คิดตัวเลขความฉิบหายของจีนยากขึ้น
นอกจากนี้ กองทุนรายย่อยของจีน แมงเม่าจีน เหยื่อตลาดหุ้น และเหยื่อเห็ดฟัน ก็รับประทานข้าวต้มมัด จนพุงกางกันทั้งนั้น เพราะมันเป็น "สินค้าการเงินสมัยใหม่" กำไรงาม ใครไม่ลงทุน ก็โง่ตายชัก ช่วงนั้นเห็ดฟันบานเต็มจีน เรื่องเล่นหุ้น เป็นการลงทุน หรือการพนันของโปรดของคนจีนอยู่แล้ว อเมริกาคงไม่ต้องทำอะไรมาก แมงเม่าตาตี่ พร้อมโดดลงหม้อด้วยความเต็มใจ
มันคงเป็นคำอธิบายว่า ทำไมเลห์แมนถึงออกข้าวต้มมัดอย่างบ้าเลือด และทำไมคิงเฮนรี่ถึงปล่อยให้เลห์แมนตกหน้าผาล้มละลายไป คนถือทรัพย์สิน หรือเจ้าหนี้ของเลห์แมน จะได้กินแต่แห้ว ไม่ได้อะไรคืน ส่วนพนักงาน 5 หมื่นกว่าที่ตกงาน... เมื่อเทียบกับงานใหญ่แล้ว มันก็เหมือนกับปล่อยให้ชาวบ้านในอเมริกาถูกยึดบ้านน่ะ .....จะเอามังกรลงหมัอต้ม มันก็ต้องปล่อยให้มด ให้แมงเม่าลอยคอบ้าง..... ไม่งั้นจะต้มมังกรสำเร็จหรือ และภายหลัง Nomura Holdings Inc. ก็เข้าไปซื้อธุรกิจทั้งหมดของเลห์แมนเอเซีย มาทำธุรกิจต่อไปเหมือนเดิม แต่การลงทุนของแมงเม่าจีน เจ๊งเรียบ
และถ้าเอามาโยงกับต้มยำกุ้ง ปี ค.ศ.1997 (พ.ศ.2540) ที่เลห์แมนเจ้าเดียว ได้รับบทพระเอก ซื้อของดีราคาถูกไปจากบ้านเรา ก็คงยิ่งทำให้เห็นเกมการเงินมหาโหดนี่ชัดขึ้น ไอ้กอริลลา อาจได้รับเหรียญกล้าหาญก็เป็นได้
ในกรณีของ Citi ก็ไม่ต่างกันนักกับเลห์แมน เพราะเป็นทั้งผู้ผลิตและจัดจำหน่ายข้าวต้มมัดรายใหญ่อีกราย แถมยังทำหน้าที่เหมือนประธานสมาพันธ์ข้าวต้มมัดแห่งโลก เพราะเป็นเจ้าของเห็ดฟันหลายฟาร์มมาก ทำหน้าที่ขายข้าวต้มมัดให้ ลูกค้ารายย่อยอีกมหาศาล เวลาเจ๊ง จะได้ลามไปทั่วตามแผน ถึงจำเป็นต้องรีบสร้าง Citi ให้เป็นหนึ่งในตัวเอกของแผน นอกเหนือจากตัวเอกอย่าง AIG และ โกลด์แมน
Citi น่าจะเป็นฝ่ายล่าเหยื่อเอกชน ในขณะที่เลห์แมนหลอกเหยื่อที่เป็นฝ่ายรัฐ
ถึงจีนจะไม่รับอย่างเต็มปากว่า ระบบการเงินของตนเอง ถูกหินทุบเสียน่วมเอาเรื่อง แต่จีนก็มีรอยช้ำหลายรายการ ที่ทำให้น่าเชื่อว่า ไอ้ที่เรียกว่าวิกฤติซับไพรม์ มันทำให้มังกรได้แผล
รายการแรก คือด้านอสังหาริมริมทรัพย์ ห้างสรรพสินค้า ตึกใหญ่ บ้านใหญ่บ้านน้อย รวมทั้งโรงงาน ในหลายๆท้องที่ของจีน ถูกทิ้งร้าง ตั้งแต่ ค.ศ.2008 จนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังร้างอยู่เหมือนเดิม กำลังซื้อของคนชั้นกลาง หายไปเกือบหมด
เมื่อยอดหนี้ค้างชำระกับแบงค์ ที่มีการกู้เงินไปพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไม่ลด แบงค์จีนกลับให้กู้รายใหม่ เอาไปชำระของเก่า เพื่อให้ดูเหมือนมีการเคลื่อนไหว ระบบการตรวจสอบของจีน อาจจะไม่ทัน หรือไม่คุ้นกับหนี้ที่บานเร็ว หุบช้า
แต่ที่ทำให้เห็นว่าจีนหนักใจจริง คือ เมื่อรู้เรื่องเลห์แมนล้มละลาย จีนออกโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือรายการปลอบใจกับเขาทันทีเหมือนกัน เป็นจำนวนถึง 600,000 ล้านเหรียญ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2008 เพื่อเป็นเงินทุนให้รัฐวิสาหกิจของจีนเอาไปสร้างสาธารณูปโภคต่อ ไม่ให้มีการทิ้งร้าง
แต่การตั้งโครงการกระตุ้นของจีน กลับกลายเป็นการเปิดทางให้ รัฐบาลท้องถิ่น เล่นกล ตั้งบัญชีปลอม สร้างงานปลอม (ลูกน้องอาเฮีย ก็มีชอบปลอมป้ายเหมือนกันเนอะ) เบิกเงินรัฐไปถลุงอีกต่อ ...เดินตามทางที่เจ้าของหม้อต้ม ขุดหลุมล่อไว้
แค่ 7 ปี จาก 2008 ถึงปี 2015 เขาว่า หนี้ภาคเอกชนของจีนเพิ่ม 2 เท่า หนี้ภาครัฐเพิ่ม 2 เท่า และทุนสำรองส่วนที่เป็น กระดาษสีเขียวตรานกอินทรีที่จีนสะสมไว้ ลดไป 1 ใน 3 และราคาที่ดินตกไปถึง 30%
ถ้าตัวเลขนี้จริง ก็น่าคิดว่า จีนสะสมกระดาษสีเขียวมา 30 ปี เจอขบวนการทุบ ที่ใช้เวลาทั้งวางแผน และปฏิบัติการ ประมาณ 10 กว่าปี ทำให้กระดาษสีเขียวหายไป 30% บวกกับความเสียหายทางภาคเอกชนอีก ... มังกรก็อาจจะต้องชะโลมด้วยน้ำใบบัวบกนานเหมือนกัน
ล่าสุด บรรดานักวิเคราะห์ฝรั่ง ต่างประสานเสียงกันว่า ฝันร้ายอย่างปี ค.ศ.2008 อาจจะกลับมาอีก แต่คราวนี้ไม่ได้กลับไปที่อเมริกานะ แต่จะมาที่จีน และจะมาในปี ค.ศ.2016 นี้เอง ฝรั่งบอกว่า ทางแก้ของจีนคือ ลดค่าเงินหยวน ขายที่ดินที่รัฐเป็นเจ้าของทั้งหมดออกมาบ้าง และให้แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ให้เอกชนมาซื้อไปสิ เก็บไว้ทำไม และรัฐจะได้มีเงินกันไว้ไง เพราะมังกรก็มีทีท่าว่าอาจถังแตกได้เหมือนกัน ถ้าปล่อยไปแบบนี้
กร๊วกเอ๊ย ...ก็สูตรหลอกแดกเหมือนเดิม ก็ใช้สื่อตีปีบขู่แบบเดิม ...ไหนว่าฉลาดนัก ไงมึง ....คิดอะไรให้เอี่ยมอ่องกว่านี้หน่อยได้ไหม(วะ)
มันเหมือนเป็นเส้นทางที่ฝรั่งวางหลอกจีนไว้ ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.2000 ให้จีนมาถึงจุดนี้ และจีนก็ดูเหมือนจะมาถึง....
และถ้าจีนมาถึงจุดนี้จริง มันแปลว่าอะไรครับ.... แปลว่า แผนทุบจีนสำเร็จตามเป้าหมายแล้ว หรืออย่างน้อยก็ได้ผลส่วนใหญ่ตามแผนแล้วอย่างนั้นหรือ..... อำนาจของโลก ที่เคยมีขั้วเดียวคือขั้วของฝ่ายอเมริกา และถูกท้าทายโดยขั้วอำนาจใหม่ ที่มีรัสเซียกับจีน เป็นตัวคาน มาประมาณเกือบ 20 ปี ที่ผ่านมา.....ก็หายวับไปกับตา ..เราก็กลับไปเป็นสมันน้อย เดินต้อยๆ กลับเข้าคอกอย่างนั้นหรือ...!?!!
มันไม่แน่ว่าจะเป็นอย่างนั้นหรอก ....มันอาจจะตรงกันข้ามก็ได้ ....อะไรที่ถูกปะทะอย่างแรง การสท้อนกลับ ก็มักแรงตามไปด้วย.....
ที่ผ่านมา กี่ปีจนจำแทบไม่ได้ เกือบตลอดชีวิตผมมั้ง.... ไม่ว่าจะดูหนัง ฟังข่าว จากฝั่งอเมริกา มีแต่รัสเซียชั่วช้า รัสเซียเลวทราม รัสเซียโหดร้าย จนเห็นรัสเซีย แล้วแทบจะฉี่ราด
มา 10 กว่าปีนี้ ก็มีแต่ข่าวจีนจอมก๊อบ จอมขี้โกง สกปรก ล่าสุด ถึงขนาดมีข่าวว่า มีการประท้วงนักท่องเที่ยวจีนสกปรก เถื่อน ทั้งๆที่เราไปง้อให้เขามาเที่ยวบ้านเรา เพราะเรากำลังบ้อท่า พอเขามาจริง ก็รุมกันด่าเขา.... จีนสกปรก ....เขาก็เลยไม่มา อาบน้ำอยู่ที่บ้านดีกว่า นี่ได้ข่าวว่า จะไปง้อให้เขากลับมาอีกแล้ว ....เรากลับมารักกันนะเจ๊ เพราะนักท่องเที่ยวฝรั่งพ่อมึงหายหมด .... ไม่ต่างกับเห็นอิสลาม เธอจ๋าอย่ามาวางระเบิดนะจ้ะ...
ใครทำ ใครสร้างภาพ ให้มนุษย์เรา มีความน่ารังเกียจ และเกิดความเกลียดชังกันถึงขนาดนี้ .....แล้วพวกคนสร้าง มันดีเหมือนเทวดากันนักหรือ...
อะไรทำให้เรากลายเป็นคนบ้าจี้ เชื่อตามที่ฝรั่งมันย้อมเราหมด
ไม่ต้องไปถามใคร ไม่ต้องไปฟังใครวิเคราะห์หรอกครับ หัดคิดเอง ใช้สมองตัวเอง ใช้ใจที่เป็นธรรมของตัวเองพิจารณาดู รัสเซีย จีน โดนต้มมาร้อยกว่าปี ข้อหา.... เป็นประเทศที่มีของดี และเป็นกระดูกขวางคอ ขวางทาง การเป็นพี่เบิ้มตลอดกาลของอเมริกา.. จึงต้องโดนทำโทษด้วยการกล่าวหากลั่นแกล้งสาระพัด....
คนเราโดนเขกหัวมากๆ ยังไม่มีฤทธิ์ ก็คงต้องกัดฟันทน แต่ถ้าเขาพอมีฤทธิ์กันขึ้นมา เขาจะยอมให้เขกหัวไปตลอดกาลหรือ
จีน ไม่ได้ดูง่าย.... จีนอาจจะโดนทุบจนช้ำก็จริง แต่จะช้ำมากหรือน้อย ...คงยากที่จะรู้จักเกล็ดมังกรทุกชิ้น จีนไม่ใช่ประเทศใหม่ จีนมีระบอบการปกครองที่มีแนวทางคิดและแนวจัดการประเทศของตนที่ชัดเจนและค่อนข้างเคร่งครัด เมื่อมีบทเรียนแล้ว คงระวังตัว เพราะถ้ามังกรช้ำอีกรอบ คงจะทะยานขึ้นมายาก เราเป็นมังกรจะทำอย่างไรครับ ...
ขณะเดียวกัน เจ้าของหม้อต้มใบใหญ่ ที่วางแผนยาวนานเหี้ยมโหดขึ้นทุกวัน ผมก็ไม่เชื่อว่า วางแผนแบบนั้นแล้ว จะชนะทุกเกม ได้เหยื่อคุ้มทุนที่ลงทุกครั้ง ยิ่งลงทุน โดยเอาความลำบากเดือดร้อนไปอยู่ที่ประชาชน ไม่ว่าจะตาสีอะไร ผมว่า โอกาสที่หม้อจะล้ม น้ำเดือดท่วมตัวลวกจนหนังเนื้อหลุดเป็นชิ้นๆ .. อาจเกิดขึ้นได้
สรุปแล้ว ตกลงมันเป็นวิกฤติ แท้หรือเป็นวิกฤติ สร้าง ....มันอาจจะยากแก่การตรวจสอบ อย่างมีใบเสร็จละเอียดทุกรายการ
ผมทำหน้าที่ตั้งข้อสังเกต ติดตามหาข้อมูลเอามาเรียง เล่าให้ฟัง ให้ท่านผู้อ่านพิจารณากันเอง
การจะ "สร้าง" วิกฤติใหญ่ระดับนี้ได้ มันต้องมีแผนยุทธศาสตร์ในการดำเนินการที่วางมาอย่างดี เป็นแผนที่มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ เวลา โอกาส และสถานที่
และการจะทำให้องค์ประกอบทั้ง 3 ประการ ได้ผล มันต้องมีทีมงานครบถ้วน และมี "อำนาจ บารมี" พอที่จะบันดาล ให้ องค์ประกอบ 3 ประการเกิดขึ้นได้ตามแผน
ใคร กลุ่มใด องค์กรไหนบ้าง ที่สามารถสร้างแผนวิกฤติปลอมได้ถึงขนาดนี้
ข้อมูลส่วนหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าตัวละครหลัก ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ที่จะสามารถ "จัด" ให้มีการเดินตามแผนการสร้างวิกฤตินี้ ได้ตลอดทาง ....เกือบ 100% เกี่ยวข้อง หรืออยู่ในองค์กรที่เรียกตัวเองว่า Council on Foreign Relations (CFR) ในระดับต่างๆกัน ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน
CFR คืออะไรกันแน่ เขาสำคัญขนาดไหน เขาเป็นแค่องค์กร ที่ฉวยโอกาส ..จากการส่งคนเข้าไปอยู่ในจุดที่สำคัญ เพื่อสร้างทุนและอำนาจให้กับพรรคพวกตนเอง หรือ ....จริงๆแล้ว เขาคือองค์กร ที่คุม หรือชักใยรัฐบาลพี่เบิ้มของโลก หรือจะพูดให้ชัด เขาเป็นอเมริกาตัวจริง ....พรรคการเมืองและรัฐบาล แค่เป็นมือเป็นตีนเป็นปาก ที่ใช้แสดงหน้าฉากประชาธิปไตย แต่เนื้อในแล้ว อเมริกา อาจไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเลย แต่ปกครองโดยหัวกะทิ คนมีอำนาจมีเงิน (Plutocracy) ไม่กี่คน ที่ใช้ CFR เป็นสมอง และใช้รัฐบาลเป็นร่าง ประกอบเป็นหนึ่งเดียวกัน
และอย่าคิดว่า CFR เป็นเรื่องของยิวอย่างเดียว แม้จะมีคนยิวรับใช้ CFR อยู่มาก อย่าไปให้คะแนนยิวมากเกินเหตุครับ ยิวจะยิ่งดีใจ เอาไปโม้ในทุกสื่อ เราก็ช่วยลือให้ยิวอีกต่อ CFR คืออเมริกาครับ ยิวคือเครื่องมืออันหนึ่งเท่านั้นเอง
แค่การออกสินค้าการเงิน เพื่อต้มเหยื่อรายใหญ่ เขายังวางแผนซับซ้อน อย่างเป็นขั้นตอน ใช้เวลาดำเนินการเพื่อได้ผลตามเป้าหมายนานร่วม 20 ปี ...
และถ้าเขามีแผนมากกว่า และไกลกว่าการต้มเหยื่อ เราจะรู้ทัน รู้ตัวกันไหม
มันเป็นเรื่องชวนให้เราคิดว่า เขามีเป้าหมายอะไร ไกลไปถึงไหน และมันจะเกี่ยวโยงไปถึงสงครามโลกครั้งที่ 3 ด้วยหรือเปล่า และถ้าเกี่ยว บ้านเราจะเป็นอย่างไร ....มันเป็นเรื่องที่เราน่าติดตามศึกษาดูบ้าง ....เผื่อจะได้เตรียมตัว เตรียมใจไว้
อย่าตามแต่ข่าว ที่เขาหลอกให้เราตาม....
ระหว่างนี้ ผมฝากไว้ให้ตามดูสถานการณ์โลกบ้าง ส่วนที่สื่อไม่ได้จูง หรือชี้นำให้เราดู
ตั้งแต่นิวเคลียร์ดีลของเสี่ยปั้มอิหร่านผ่าน เราคงเห็นรายการเช็คชื่อทะยอยเกิดขึ้นเรื่อยๆ เหมือนพี่เบิ้มที่ครองโลก กำลังบอกพรรคพวกฝั่งตัวว่า ...มึงเลือกเอา ยังจะตีกรรเชียงเลี้ยวไปเลี้ยวมา หรือจะรีบรัดเข็มขัดที่นั่ง แล้วออกลุยด้วยกัน....
ถ้าเลือกวิธีแรก ก็เตรียมร่างคำแถลงเสียใจต่อประชาชนไว้ล่วงหน้าได้เลย ...
รายการลุย คงพร้อมเริ่ม เมื่อมีการเช็คชื่อได้ครบเรียบร้อย (ใกล้จะครบแล้ว ?!)
อังกฤษ ทำตัวให้ดูยาก ตกลงเกาะนิ้วก้อยแตก ตีกรรเชียงเอาตัวรอดจากกันจริง หรือเล่นกลอีกต่อ แต่ถ้าการเช็คชื่อเล่นแรงขึ้นเรื่อยๆ อังกฤษในฐานะเก๋าจริง น่าจะประเมินรูปมวยแล้วว่า ระหว่างนี้ ยังมีเวลา ออกลีลาเล่นเป็นคนดู ลองของไปก่อน จะรอดไหม... ตอนนี้นิ้วก้อยแค่แตก แต่ถ้าอยู่ผิดที่ ถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน นิ้วก้อยอาจถึงกับแหลกได้
สื่อใหญ่ๆ มักเล่นเรื่องซ้ำตามใบสั่ง แม้จะเป็นเรื่องน่าเศร้าเสียใจ แต่เรื่องที่อาจจะมีส่วนให้การรัดเข็มขัดที่นั่ง ออกลุยเร็วขึ้น นอกเหนือจากการออกจากอียูของชาวเกาะนิ้วก้อยแตกแล้ว การที่ไอ้แบกถาดพรรคอาเบะของญี่ปุ่นชนะการเลือกตั้งเมื่อ เร็วๆนี้ ก็เป็นเรื่องที่น่าจับตา เช่นเดียวกับเรื่องของตุรกีจอมไต่ลวด
ไอ้แบกถาดคงพยายามขอแก้รัฐธรรมนูญ ให้ญี่ปุ่นมีกองทัพได้เองเต็มรูปแบบพร้อมเคลื่อนไหวออกนอกประเทศได้ ... จริงๆลูกพี่ก็จัดทัพไว้ให้พร้อมแล้ว เพียงแต่ญี่ปุ่นยังไม่กล้าถลาออกมามาก เพราะรัฐสภา และประชาชนยังไม่เห็นด้วย แต่คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ มีถาดพร้อมให้แบก และคนแบก คือคุณอาเบะก็พร้อมแบกมาตั้งแต่รุ่นตาแล้ว
ญี่ปุ่นกับก้อนหิน ดูเหมือนจะถูกอัธยาศัย น่าประหลาดไหมครับ ทั้งๆที่โดนเขาแจกของขวัญจนเมืองเกลี้ยงไป 2 เมือง?!
ญี่ปุ่นเป็นเรื่องใกล้บ้านเราครับ วางใจไม่ได้
ส่วนเรื่องตุรกีจอมเล่นเสียว ก็ต้องดูว่าท่านตอยับ ตัดสินใจแน่หรือยัง ว่าจะยืนตรงไหน หรือยังอยากเล่นเสียวไต่ลวดอยู่อีก บทเรียนครั้งนี้ ตุรกี น่าจะรู้ว่าใครเป็นเพื่อนแท้
ปากีสถาน อินเดีย ยังเป็นเรื่องที่ค้างคาของอเมริกา บังคลาเทศ เป็นหนังตัวอย่าง สะกิดให้หันมาว่า อยากเจอกันไหมพวก...
ยังมีเรื่องไม่น่าวางใจอีกหลายเรื่องครับ จากนี้ไป ก็เข้าสู่สถานการณ์ ที่เข้มขึ้นไปทุกที เวลาลั้นลา น่าจะน้อยลงได้แล้ว หันมองรอบบ้านในบ้าน รวมทั้งเตรียมจัดการเรื่องของตัวเองบ้าง บางทีอะไรมันก็อาจจะมาเร็วอย่างนึกไม่นึกเหมือนกันนะครับ
ในบ้านเราตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมเคยเขียนไว้แล้ว ในนิทานเรื่องทางน้ำเชี่ยว บ้านเมืองเราจะรอดแค่ไหน ส่วนสำคัญคือ รัฐบาลกับประชาชนมีเอกภาพ มีความเข้าใจในทิศทางเดียวกัน ผมไม่ได้เชียร์รัฐบาล แต่ผมเข้าใจว่า การประคองประเทศให้ผ่านทางน้ำเชี่ยวในยามนี้ เป็นเรื่องยากลำบาก เรายังมีคนเห็นต่าง เรายังมีคนมองเห็นแต่เรื่องเล็ก โดยมองข้ามเรื่องใหญ่กว่า เรายังมีหนอนใน เรายังมีคนเอาตีนราน้ำ และยังมีคนที่คิดแต่เรื่องไร้สาระลั้นลาไปวันๆนึง "แยะมาก"
เราต้องตื่นที่จะมารับรู้ความเป็นจริงหลายๆอย่างเสียที เราต้องหันมาใช้สติปัญญา มากกว่าใช้อารมณ์ มากกว่านิ้วจิ้มไลน์ส่งเรื่องไร้สาระกัน.... ผมเจอมาแล้ว หนึ่งสงครามโลก แม้จะเด็กมาก แต่ผมพอรู้ และจำได้ว่า พ่อแม่ผมลำบากขนาดไหน สมัยก่อน เรายังมีคนน้อย ที่ทางยังพออาศัยกันอยู่ อาหารยังพอแบ่งกันกิน
ผมไม่ได้จะปลุกให้แตกตื่น แต่ผมคิดว่า ในสถานการณ์โลก ที่เป็นอยู่ระดับนี้ เราน่าจะเริ่มใส่ใจ ในเรื่องการเป็นอยู่ในอนาคตของเรา นอกเหนือจากชีวิตประจำวันบ้าง
หลายท่าน เขียนมาบอกว่า ตัวเองก็แค่นี้ เป็นประชาชนธรรมดา จะไปทำอะไรได้ นั่นเป็นการเข้าใจผิดครับ ประชาชนทุกคน เป็นส่วนหนึ่งของประเทศ ถ้าเราจับมือกัน รวมกันได้เท่าไหร่ นั้นคือพลังของประเทศครับ
สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
1 ส.ค. 2559
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google