นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ "
ตอนที่ 1 : อำนาจทำให้คนมีเสน่ห์ ! ? !
“Control Oil and you control nations;
control food and you control the people”
“ควบคุมน้ำมันได้ คุณก็ควบคุมชาติต่าง ๆ ได้
ควบคุมอาหารได้ คุณก็ควบคุมประชาชนได้”
เป็นคำพูดของนาย Henry Kissinger เมื่อช่วง ค.ศ. 1970 พูดมาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนทิศทางการเมืองระหว่างประเทศจะเป็นไปตามที่นาย Kissinger พูด
เรื่องบังเอิญหรือล็อกเป้า!
งั้นมาทำความรู้จักนาย Kissinger กันหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นคนขี้โม้ หมอดู หรือคนในรู้จริง
นาย Kissinger มีชื่อเต็มว่า Henry Alfred Kissinger ตอนเกิดใช้ชื่อว่า Heinz Alfred Kissinger เป็นคนเยอรมัน อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923 ตอนนี้ก็อายุปาเข้าไป 90 ปี นอกจากยังไม่ตายและยังปากเปราะเหมือนเดิม นาย Kissinger เป็นคนตัวเตี้ย และห่างไกลกับคำว่าเป็นคนหน้าตาดี เขาแต่งงานแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 แต่งกับนาง Nancy ผู้หญิงซึ่งตัวสูงกว่าเขาประมาณเกือบ 1 ฟุต เมื่อสมัยที่นาย Kissinger เรืองอำนาจ นาง Nancy เองซึ่งก็ไม่ใช่คนสวยอะไร จะมีรูปปรากฎอยู่ในนิตยสาร Vogue นานาชาติอยู่เสมอ นิตยสารนี้ นอกจากจะมีแต่รูปนางแบบระดับโลกแล้ว ผู้ที่จะได้มีภาพลงในหนังสือนี้ ก็จะต้องเป็นบุคคลที่สมัยนี้เรียกว่า Celeb คนดังว่างั้นเถอะ ตัวผัวก็ไม่หล่อ คนเป็นเมียก็ไม่สวย แต่ทั้งคู่ดังระเบิด แถมตัวผัวยังมีข่าวเสมอทางด้านส่วนตัวว่าเป็นชายเจ้าชู้ ไม่เร่ขายชาติ แต่ชอบทำลายชาติคนอื่นมากกว่า !
เมื่อนักข่าวถามว่า ได้ข่าวว่าท่านเจ้าชู้ มีสาวควงเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ ท่านทำได้อย่างไรนะ ในเมื่อ ขอโทษ ท่านก็ไม่ใช่คนหล่อ นาย Kissinger ตอบว่า “อำนาจก็ทำให้คนมีเสน่ห์ได้นะ” ฮา
นาย Kissinger มีอำนาจอย่างไร ถึงทำให้สาวๆ ยอมให้ควงบ่อยๆ แต่จะถึงขนาดจัดส่งขึ้นเครื่องบินไปร่วมร้องเพลงแก้เหงา หรือเปล่ารายงานข่าวไม่ได้บอก
นาย Kissinger เริ่มทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศ และต่อมาดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงต่างประเทศ ในสมัยประธานาธิบดี Richard Nixon และเป็นต่อมาจนถึงสมัยประธานาธิบดี Gerald Ford พูดง่ายๆ เป็นคนสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกาและแน่นอนของโลกด้วยในช่วงปี ค.ศ.1969 ถึง ค.ศ.1977
ผลงานของนาย Kissinger ที่เด่นๆ ที่ประกาศอย่างเปิดเผยลงใน Google คือ การคลี่คลาย (detente) สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต การเริ่มสร้างสัมพันธ์กับจีน และเริ่มขบวนการเจรจาสันติภาพที่ปารีส ซึ่งเป็นผลให้ยุติสงครามเวียตนาม (ที่อเมริกาเป็นผู้ริเริ่มนั่นแหละ !) ผลงานนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัล Nobel สาขาสันติภาพในปี ค.ศ.1973 คู่กับคู่กัด คือ นาย Le Duc Tho จากเวียตนามเหนือ แต่นาย Le Duc Tho ปฏิเสธที่จะรับรางวัล เขาเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ปฏิเสธรางวัล Nobel (เยี่ยม !)
เป็นการให้รางวัล Nobel สาขาสันติภาพ ที่ติดอันดับ 1 ใน 5 แห่งความอื้อฉาว และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากสัญญาสันติภาพของจริงกว่าจะได้ลงนาม ในปี ค.ศ. 1975 แต่ผู้เจรจาได้รับรางวัลล่วงหน้า เหมือนล็อตเตอรี่ยังไม่ออก แต่ประกาศแล้วว่าใครถูกรางวัลที่ 1 (เอ้า ตบมือให้ลูกน้องนักเล่นกลกันหน่อย)
แต่ผลงานของนาย Kissinger ที่ไม่ได้เปิดเผย แต่อยากเล่าให้ฟังคือ “National Security Study Memorandum 200” หรือที่เรียกชื่อย่อว่า NSSM 200 ซึ่งได้จัดทำขึ้น ภายใต้การกำกับและอำนวยการสร้างโดยนาย Kissinger เอง สำเร็จเป็นเอกสารหนาเกือบ 200 หน้า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1974
เอกสารนี้เกี่ยวกับอะไรลึกลับซับซ้อนอะไรหนักหนา ถึงขนาดตีตราครั่งว่าจะเปิดเผยได้ โดยคำสั่งของ White House เท่านั้น เก็บแอบซ่อนไว้ 15 ปี สภาความมั่นคงของอเมริกาก็เพิ่งเอามาเปิดให้อ่านกัน เมื่อ ปี ค.ศ. 1989
ตอนที่ 2 : NSSM 200 เอกสารลับซุกลึก (1)
เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 นาย Henry Kissinger ได้มีหนังสือแจ้งไปยัง รมว.กลาโหม รมว. การเกษตร ผอ. สำนักงานข่าวกรอง (CIA) ผช.รมว. กลาโหม และผู้บริหารหน่วยงานพัฒนาด้านต่างประเทศ (AID) เกี่ยวกับผลกระทบต่อความมั่นคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศ เนื่องมาจากการเจริญเติบโตของประชากรโลก
หนังสือดังกล่าวแจ้งว่า ประธานาธิบดี Nixon สั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำการศึกษาเรื่องดังกล่าว โดยใช้วิธีการประมาณการหลายๆ แบบ ในแต่ละแบบจะต้องมีการประเมินถึงอัตราการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะของประเทศที่ยากจน ความต้องการของอเมริกาเกี่ยวกับ การส่งออกสินค้าประเภทอาหาร ปัญหาเกี่ยวกับการค้า ที่อเมริกาอาจจะต้องเผชิญ เนื่องจากการแข่งขันด้านทรัพยากร และความเป็นไปได้ที่การเจริญเติบโตของประชากรดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคกับนโยบายต่างประเทศ และความไม่มั่นคงระหว่างประเทศ
การศึกษาดังกล่าวจะต้องเสนอวิธีดำเนินการที่เป็นไปได้ สำหรับอเมริกาในการจัดการปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของประชากรโลก โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยต้องให้ความสำคัญ ในประเด็นต่อไปนี้ด้วย
- อเมริกาจำเป็นต้องคิดวิธีการใหม่ ๆ หรือไม่ ในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว
- เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่คิดขึ้นมา เพื่อลดการเจริญเติบโต จะต้องได้ผลดีกว่าสภาพที่เป็นอยู่
- อเมริกาจะให้ความช่วยเหลือในด้านนี้ ผ่านหน่วยงานใด และควรจะเป็นสนธิสัญญาแบบใด คู่สัญญา 2 ฝ่าย หลายฝ่าย หรือแบบลับเฉพาะ
เขียนมาซะยาว สรุปสั้น ๆ ว่า อเมริกาเป็นห่วงว่า การที่ประเทศจนๆ จะมีอัตราการขยายตัวของพลเมืองเพิ่มสูงเกินไป จะมีผลกระทบกับทรัพยากรของประเทศนั้น และทำให้เป็นปัญหากับความไม่มั่นคงของอเมริกา
เอะ! เรื่องมันก็ดูธรรมดาๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นเลย แล้วจะมาเล่าให้เมื่อยมือคนเขียน เมื่อยตาคนอ่านทำไม
เมื่อได้รับคำสั่งจากนาย Kissinger สภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา (United States National Security) ก็รีบทำการศึกษาวิจัย กว่าจะเสร็จก็เป็นเวลาที่ประธานาธิบดี Nixon หลุดจากตำแหน่ง เพราะคดี Watergate ไปเสียแล้ว นาย Gerald Ford ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน มาถึงก็รีบรับไม้ต่อ เอาข้อเสนอตาม บันทึกลับ NSSM 200 ไปประกาศใช้เป็นนโยบายความมั่นคงของประเทศในปี ค.ศ. 1975 และให้อยู่ใต้การกำกับดูแลของนาย Kissinger ซึ่งก็ยังทำหน้าที่เป็น ครมว.ตปท. อยู่เหมือนเดิมร่วมกับนาย Brent Scowcroft (ซึ่งภายหลังได้มาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศแทนนาย Kissinger) และมี ผอ. CIA ชื่อ นาย George Bush (ตัวพ่อ) เป็นผู้ร่วมทีมกำกับการแสดงกับ รมว.การคลังรมว.กลาโหม และ รมว.การเกษตร
ประเทศเป้าหมาย ที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของ NSSM 200 มี 13 ประเทศ คือ อินเดีย บังคลาเทศ ปากีสถาน อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ตุรกี ไนจีเรีย อียิปต์ เอธิโอเปีย เมกซิโก โคลัมเบีย และบราซิล (ไง! เริ่มตาลุกขึ้นมาหน่อยละซี พอเห็นชื่อไทยแลนด์ สมันน้อยตื่นเร็ว!)
อะไรทำให้นาย Kissinger คิดเรื่องนี้ เสนอนโยบายนี้ และในภายหลังได้กลายเป็นนโยบายระดับประเทศด้านความมั่นคงของอเมริกา อย่างปิดลับถึง 15 ปี และทำไมสมันน้อยถึงได้เข้ารอบไปอยู่ใน 13 ประเทศ กับเขาด้วย อ่านต่อไปน่าพี่น้อง ขืนบอกกันง่ายๆ เดี๋ยวคนอ่านหายหมด เดี๋ยวนี้กว่าจะได้คนอ่านนิทานไม่ง่ายนะ เขาไปร่วมไล่โจรกับลุงกำนันกันหมดแล้ว
ตอนที่ 2 : NSSM 200 เอกสารลับซุกลึก (2)
เอกสารยาวเกือบ 200 หน้า ทำให้เห็นเค้าลางๆ ว่า อเมริกาเป็นห่วงเรื่องการเจริญเติบโตของประชากรโลก เพราะอะไร แหม! ไอ้จิกโก๋ นี่มันไม่โง่นะ มันมองหลายมิติ ทั้งในด้านทรัพยากร ด้านการเมือง ด้านสังคม และด้านความมั่นคงของประเทศ เพราะฉะนั้นจะรู้จักว่าจิกโก๋คิดอย่างไร อย่าทำตัวเป็นพวกจอแบน หรือที่สมัยนี้ เขาเรียกว่าพวกโลกสวยน่ะ
ในการดำเนินการตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เอกสารลับซุกลึกนี้ อเมริกาแบ่งประเทศเป้าหมาย 13 ประเทศ เป็น 3 กลุ่ม
- กลุ่มที่ 1 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง และไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ประเทศพวกนี้ก็จะเป็นภาระของอเมริกา ในฐานะพี่เบิ้มและประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี ที่จะต้องเลี้ยงดูและให้ความช่วยเหลือ
- กลุ่มที่ 2 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง แต่มีทรัพยากรธรรมชาติมีค่า อยู่ในประเทศดังกล่าว และเป็นทรัพยากรที่อเมริกาต้องการ โดยประเทศดังกล่าวจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ถ้าประเทศเหล่านี้มีประชากรเพิ่มขึ้นสูง ทรัพยากรของประเทศนั้น ก็อาจจะเหลือไม่เพียงพอกับความต้องการของอเมริกา
- กลุ่มที่ 3 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง แต่มีทรัพยากรมีค่าอยู่ในประเทศดังกล่าว และเป็นทรัพยากรที่มีการแข่งขันกันสูงในการครอบครองระหว่างประเทศ และหากประเทศใดได้ครอบครอง ก็จะมีความได้เปรียบ อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของอเมริกา
ที่น่าสนใจ ในเอกสารดังกล่าว ระบุไว้ตอนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องทรัพยากร ว่าปัญหาการเชื่อมโยงระหว่างจำนวนประชากร กับปริมาณของทรัพยากร ในต่างประเทศที่อเมริกาต้องการนั้น อันที่จริงไม่ได้อยู่ที่ความเพียงพอของทรัพยากรอย่างเดียว
ปัญหาที่สำคัญกว่านั้น คือ การเข้าไปถึงทรัพยากรนั้นมากกว่า (จะเข้าไปขโมยของเขาอย่างไรน่ะ) โดยเฉพาะถ้าการเข้าไปถึง เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเมืองของประเทศเจ้าของทรัพยากรนั้น ซึ่งจะสร้างความยุ่งยาก หรือสร้างเงื่อนไขเกี่ยวกับการสำรวจ การขุดเจาะ การใช้สอย การแบ่งผลประโยชน์ระหว่าง อเมริกากับรัฐบาลของประเทศเจ้าของทรัพยากร
นอกจากนี้ เอกสารดังกล่าววิเคราะห์ด้วยว่า จำนวนประชากรของแต่ละประเทศ ก็เป็นเหตุปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เกิดปัญหาทางสังคม และการเมืองในแต่ละประเทศ ตัวอย่างเช่น ในประเทศที่พัฒนาแล้ว และฐานะทางเศรษฐกิจดี อัตราการเจริญเติบโตของประชากร จะอยู่ที่ต่ำกว่าร้อยละ 1 ต่อปี และประเทศเหล่านี้ จะมีปัญหาทางสังคมและการเมืองน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลย ในขณะที่ประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา อัตราการเจริญเติบโตของประชากรจะอยู่ที่อัตราร้อยละ 2.7 ถึงร้อยละ 3 ต่อปี และประเทศเหล่านี้ จะมีปัญหาสังคมและทางการเมืองสูง
ข้อเสนอตามเอกสารนี้ระบุว่า การแก้ปัญหาเบื้องต้น ที่น่าจะทำได้ง่ายและได้ผลที่สุด คือ การทำให้อัตราการเติบโตของประชากร ในประเทศเป้าหมาย เหลือศูนย์ และหากยังมีปัญหาทางสังคมและการเมือง ก็จะต้องมีการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น โดยวิธีการอื่นต่อไป
ตอนที่ 3 : ถุงยางแลกอาหาร
นาย Kissinger เสนอต่อที่ประชุมที่ดูแลนโยบาย ด้านความมั่นคงของชาติว่าการชลอการเจริญเติบโตของประชากร จะต้องเป็นนโยบายด้านความมั่นคง ในระดับจำเป็นสูงสุดของอเมริกา ที่จะใช้กับหลายประเทศในโลกที่สาม เพราะเศรษฐกิจของอเมริกา จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าทรัพยากรจากประเทศดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ถ้าปล่อยให้ประเทศเหล่านั้น มีประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะกระทบกับความมั่นคงของอเมริกา
ข้อเสนอของนาย Kissinger ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง จากผู้มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายความมั่นคงของประเทศ เช่น นายพล Alexander Haig นาย Cyrus Vance และนาย Ed Muskie นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับความคิดของอดีตประธาน World Bank คือ นาย Robert Mcnamara ซึ่งบอกว่า ปัญหาเรื่องประชากรล้นโลกนี้ กระทบต่อความมั่นคงของอเมริกา มากกว่าเรื่องระเบิดนิวเคลียร์เสียอีก
เมื่อได้ไฟเขียวอย่างนั้น นาย Kissinger ก็เดินแผนต่อ แต่ความที่มันเหลี่ยมจัด ถ้าอเมริกาจะทำเรื่องนี้เองอาจตกเป็นเป้า ว่าอเมริกามีความคิดที่จะจำกัดพลเมืองโลก (Depopulation) เป็นพี่เบิ้ม เล่นบทนี้คงไม่สวยแน่ การตอแหลเพื่อชาติ จึงเกิดขึ้น
อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงได้ยื่นข้อเสนอต่อสหประชาชาติว่า การที่ประเทศยากจน ขาดแคลนอาหาร และไม่สามารถช่วยตัวเองได้ แต่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นในอัตราสูง จำเป็นที่โลกจะต้องให้ความสนใจ และสิ่งที่ประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี จะสามารถและควรช่วยได้คือ การให้ความช่วยเหลือทางด้านอาหาร (Food Aids) แต่ประเทศเหล่านั้น ก็ควรที่จะรับรู้ปัญหาของตนเอง และให้ความร่วมมือเป็นการแลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือ ด้วยการดำเนินการชลอการเจริญเติบโตประชากรของตน ด้วยการวางแผนครอบครัว (Family Planning) ฟังแล้วนุ่มหู เหลือเกินนะ
แต่ถ้าพูดภาษาจิกโก๋ ก็หมายความว่า ไม่อยากอดอยาก ก็อย่ามีลูกมาก ลูกมากจะยากจน อะไรทำนองนี้ คนจนไม่มีทางเลือกมาก จำไว้ แล้วในที่สุด UN ก็รับข้อเสนอของพี่เบิ้ม มาอยู่ในความสนับสนุนเป็นโครงการของ UN โดยมีองค์กรของ UN และประเทศสมาชิกต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลืออย่างดี
แต่ที่อเมริกาไม่ได้แจงต่อ UN คือ ชื่อประเทศเป้าหมาย 13 ประเทศของอเมริกา และประเทศใดอยู่ในกลุ่มใด และที่ยิ่งกว่าแน่ อเมริกาไม่มีวันบอกว่า มีความเกี่ยวโยงกับความต้องการของอเมริกา ต่อทรัพยากรของประเทศเหล่านั้นอย่างไร เอกสารนี้จึงต้องเก็บเป็นเอกสารประเภทลับสุดยอด อยู่ถึง 15 ปี
แล้วท่านผู้อ่านนิทาน คิดว่าไทยแลนด์ สมันน้อยของเรา อยู่ในประเภทไหน?
ตอนที่ 4 : เรื่องของคนโคตรรวย (1)
ช่วงปี ค.ศ. 1960 ศูนย์อำนาจของอเมริกาไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลเท่านั้น แต่ยังถูกกำกับโดยกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นชนชั้นนำของอเมริกา (Elites) พูดง่ายๆ ว่าเป็นพวกคนรวยผู้มีอิทธิพลในสังคมชั้นสูงนั่นแหละ บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ควบคุมแนวความคิดของบรรดานักวิชาการ นักการเมือง นักธุรกิจ นักการเงินและสื่อ
ผู้นำกลุ่มศูนย์อำนาจนี้ คือ ครอบครัว Rockefeller
อิทธิพลของตระกูล Rockefeller มีสูงและครอบคลุมไปทั่วอย่างที่ในประวัติศาสตร์อเมริกา ยังไม่เคยมีตระกูลใดทำได้ถึงขนาดนี้ เขาใช้อะไรครอบอะไรคลุมล่ะ คนรวยเข้าใช้อะไรครอบขี้ข้า เงินไงล่ะ พี่น้อง แบบนี้เขาเรียกผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย หรือเปล่านะ (ฮา)
ตระกูล Rockefeller ร่ำรวยมาจากธุรกิจน้ำมัน (ไม่ใช่ธุระกิจมือถือ ดาวเทียม นั่นมันเศรษฐีปลายแถว อย่ามาตีเสมอ) ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 จากบริษัท Standard Oil (ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น Exxon Mobil เมื่อประมาณ ปี ค.ศ. 1999) ของตระกูล ต่อมาก็ทำธุรกิจธนาคาร โดยเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ซึ่งเป็น 1 ในธนาคารใหญ่ระดับโลก และด้วยเงินมหาศาลของครอบครัว ตระกูลนี้ก็เริ่มเข้าไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมการเกษตร และที่สำคัญได้เข้าไปมีอิทธิพลต่อนักการเมือง (ถึงว่าซิ มันต้องรวยจากน้ำมัน ถึงจะเจ๋งจริง)
บริษัท Standard Oil ถือเป็น ผู้ครอบครองอาณาจักรธุรกิจน้ำมัน ระดับยักษ์ใหญ่จริง ๆ เป็นอาณาจักรที่ครอบครอง บ่อน้ำมันในประเทศ 20,000 แห่ง มีท่อส่งน้ำมันยาวถึง 4,000 ไมล์ รถขนส่งน้ำมัน 5,000 คัน และมีพนักงานมากกว่า 100,000 คน เป็นบริษัทที่ทำการกลั่นน้ำมัน จำนวน 80 – 90 % ของน้ำมันโลก ตลอดศตวรรษดังกล่าว
ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตระกูล Rockefeller เกือบจะเป็นเจ้าของตึกส่วนใหญ่ใน New York City ซึ่งรวมถึง ตึก World Trade Centre Tower, Lincoln Centre, One Chase Manhattan Plaza และ Nelson A. Rockefeller Empire State Plaza
นอกจากในวงการธุรกิจแล้ว ตระกูล Rockefeller ยังเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย Chicago และมหาวิทยาลัย Philippines และเป็นผู้อุปถัมภ์ใหญ่ ให้แก่มหาวิทยาลัยชั้นนำในอเมริกา ที่เรียกว่า Ivy League ได้แก่
- Harvard University
- Dartmouth College
- Princeton University
- Standford University
- Yale University
- Massachusetts Institute of Technology (MIT)
- Brown University
- Columbia University
- Cornell University
etc.
ตอนที่ 4 : เรื่องของคนโคตรรวย (2)
เอ้า ! มารู้จักครอบครัวตัวอย่าง (คนโคตรรวย) กันหน่อย ใครเป็นใคร อ่านตอนหลังจะได้ไม่งง ตระกูล Rockefeller เป็นคนอเมริกัน เชื้อสายเยอรมัน ผู้นำครอบครัว ที่ทำให้ตระกูลเขามีอิทธิพล มีสายตายาวไกลมาก (นักมายากลตัวพ่อ) คือ นาย John Davison Rockefeller Senior สมาชิกตระกูลที่สืบทอด DNA ของคุณป๋าจอห์น ที่สำคัญมี
- John Davison Rockefeller, Junior
- David Rockefeller
- Nelson A. Rockefeller
- Laurence Rockefeller
- John Davison Rockefeller III
เมื่อรวยล้นฟ้าและมีอิทธิพลขนาดนี้ กลุ่มตระกูล Rockefeller จะอยู่เฉยได้ยังไง คนรวยมีเงิน ก็อยากมีอำนาจ สูตรสำเร็จเดิม ๆ จึงมีแนวคิดที่จะควบคุมนโยบายเศรษฐกิจการเมือง ของอเมริกาและแน่นอนถ้าคุมอเมริกาได้ก็คุมโลกได้ เพื่อให้รวยขึ้นและมีอำนาจอยู่ในมือมากขึ้นอย่างประมาณมิได้
แล้วจะทำกันเฉพาะในครอบครัวมันคงไม่ใหญ่พอมั้ง มันก็ต้องโชว์พาว ว่าแล้วพี่น้องตระกูล Rockefeller ก็ทำการคัดเลือก เฉพาะคนรวยและชนชั้นนำในสังคม จำนวน 300 คน จากเพื่อนและพวกของตนที่มีอิทธิพลสูงในวงการต่างๆ ที่อยู่ในอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น และก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า Trilateral Commission ขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1973 เพื่อจะกำหนดทิศทางเดินของโลกเสียใหม่ ตามที่พวกตนต้องการ (ปัจจุบันนี้สมาคมผู้ทรงอิทธิพลมีสมาชิก จากประเทศแถบเอเซียเพิ่มขึ้นด้วย)
ในจำนวนรายชื่อสมาชิกผู้ก่อตั้ง Trilateral Commission ของ David Rockefeller มีบุคคล เช่น Zbigniew Brzezinski (รายนี้สำคัญ จำกันไว้ให้ดี) และผู้ว่าการรัฐ Georgia คนทำไร่ถั่ว ชื่อ นาย James Earl “Jimmy” Carter (ผู้ซึ่งนาย David Rockefeller สนับสนุนให้เป็นประธานาธิบดี สมัย ค.ศ.1976 แทนนาย Gerald Ford) นาย George H. W Bush (ซึ่งก็ได้เป็นประธานาธิบดี โดยการสนับสนุนของกลุ่มคนรวย แถมยังมีบทบาทที่สำคัญมาก ๆ ต่อมาภายหลังอีกด้วย) Paul Volcker ผู้ซึ่งในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter ได้แต่งตั้งให้เป็นประธาน Federal Reserve นาย Alan Greenspan ซึ่งแม้ตอนนั้นจะเป็นเพียง นักวาณิชย์ธนกิจอยู่แถว Wall Street แต่มีแววโดดเด่นเข้าตากรรมการ รวมทั้งนายพล Alexander Haig, นาย Cyrus Vance และ นาย Ed Muskie (ทั้ง 3 คน ต่อมาได้รับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ นายพล Haig ได้เป็นสมัย นาย Ronald Reagan ส่วน 2 คนหลัง เป็นในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter คนหนึ่งเป็นช่วง ค.ศ. 1977 - 1980 อีกคนเป็นต่อ ค.ศ. 1980 – 1981) อืม! เข้าใจเล่นนะ พวกคนรวย
ตอนนั้นนาย Brzezinski เพิ่งเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นที่แพร่หลาย แต่โดนใจพวก Rockefeller อย่างยิ่ง ชื่อ “Between Two Ages: America’s Role in the Technotronic Era พิมพ์ในปี ค.ศ. 1970
เขาบอกว่า “สังคมควรจะต้องครอบงำ หรือปกครองโดยบุคคล ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) ซึ่งคนพวกนี้ ต้องไม่ลังเล ที่จะทำให้ได้มา ซึ่งอำนาจทางการเมือง โดยใช้เทคนิคใหม่ ๆ ให้มีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมสังคม รวมทั้งการจัดระเบียบสังคม ย้อมพฤติกรรมสังคม ซึ่งจะเป็นการกำหนดและควบคุมสังคมด้วย”
แม่เจ้าโว้ย ยังกะนั่งเขียนอยู่ในใจของนาย David Rockefeller เลยนะ
นอกจากนี้ในหนังสือดังกล่าว นาย Brzezinski ยังได้เสนอความคิดว่า น่าจะได้มีการจับมือกันระหว่างบรรษัทและธนาคารที่มีอิทธิพลและเครือข่ายข้ามชาติ ระหว่างนักธุรกิจชั้นนำของยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น เพื่อกำหนดนโยบายการทำธุรกิจร่วมกัน โดยการดำเนินการอย่างเป็นความลับ
โอ้ย ไอ้หมอนี่ถ้าไม่เอามาใช้เป็นมือขวาก็ต้องมาเป็นมือซ้ายแน่นอน นาย David รำพึง
แล้วนาย Bazezinski ก็ได้รับเลือกจากนาย David Rockefeller ให้เป็นกรรมการบริหารคนแรกของ Trilateral Commission
ตอนที่ 5 : เรื่องของคนโคตรรวย (สาขาประเทศไทย ! ?)
คงมีคนอยากรู้ ว่าแล้วมีสมันน้อยได้รับเชิญ เข้าไปร่วมใน สมาคมคนรวยผู้มีอิทธิพล Trilateral Commission กันบ้างไหมหนอ แหม!
ไม่อยากบอกเลย เดี๋ยวจะหาว่าคนเล่านิทานเล่นไม่เลิก นี่ก็ว่าตามเอกสารนะ
ก็มีล่ะซี ดูจากรายชื่อสมาชิกสมาคมคนรวยผู้มีอิทธิพล Trilateral Commission ปี ค.ศ. 2010 ปรากฎมีคนไทย 4 ราย บางชื่อ ไม่น่าเดากันผิด (555)
1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานธนาคาร Exim แห่งประเทศไทย
2. มรว. เกษมสโมสร เกษมศรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตปลัดกระทรวง ต่างประเทศ
3. นายอานันท์ ปันยารชุน
4. นายสารสิน วีระผล
ชื่อที่ 3 คงไม่ต้องเขียนบรรยายสรรพคุณกันแล้ว ท่านผู้อ่านที่เคยอ่าน นิทานเรื่องจริง เรื่องจิกโก๋ปากซอย คิดเอาเองได้ คนอ่านนิทานฉลาดกันทั้งนั้น
แต่ชื่อที่ 4 นายสารสิน วีระผล นี่เป็นใคร มาได้ยังไง ตอบสั้น ว่าไม่รู้ แต่มีเอกสารน่าสนใจเกี่ยวกับนายสารสิน อ่านกันแล้ว ไม่รู้จะเห็นคำตอบกันหรือเปล่า
อย่างที่เคยเล่าไว้ในนิทานจิกโก๋ปากซอย อเมริกาเมินไทยแลนด์ สมันน้อยไปนาน หลังจากสงครามเวียตนามเลิก จะกลับเข้ามาใหม่ ก็ต้องเริ่มกระชับมิตรกับบรรดานักวิ่งผลัด พี่ทหารที่รักทั้งหลาย ดังนั้นในปี ค.ศ. 2010 ช่วงที่อาเฮียแผ่นดินใหญ่ กำลังรวยเอา รวยเอา ท่านแม่ทัพภาค 7 แห่งกองทัพเรืออเมริกัน ที่ประจำอยู่ที่ฐานทัพอเมริกาที่โอกินาวา ทนไม่ไหวต้องรีบนั่งเรือรบมาเช็คว่าบรรดานักวิ่งผลัด ยังอยู่ในกระเป๋าเหมือนเดิมหรือเปล่า
ที่จะเล่าต่อไปนี้ อภินันทนาการจาก การทำหล่นของ Wikileaks อ่านกันเพลินดี
“เรื่อง Admiral Willard มาเยือนประเทศไทย
รายงานเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010
โดย เอกอัครราชทูต Eric G. John
สรุปย่อ ๆ ว่า ท่านนายพล Willard ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรืออเมริกา ประจำภาคพื้นแปซิฟิก ได้มาเยี่ยมประเทศไทย เมื่อระหว่างวันที่ 2 ถึง 7 ธันวาคม ค.ศ. 2010 และได้มีการหารือกับผู้นำฝ่ายไทย ฝ่ายไทยยืนยันว่า จะให้ความร่วมมือกับกองทัพอเมริกัน และถือว่าความช่วยเหลือของอเมริกาทางการทหารเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง และเป็นการดุลอำนาจในภูมิภาคนี้
ผู้เข้าร่วมประชุมฝ่ายอเมริกา คือ
- Admiral Willard
etc
ผู้เข้าร่วมประชุมฝ่ายไทย
- นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ เวชาชีวะ
- รมว.กลาโหม ประวิตร วงศ์สุวรรณ
- รมว.ตปท. กษิต ภิรมย์
- ผบ.สส ทรงกิตติ จักกาบาตร์
นอกจากนี้ Admiral Willard ยังได้หารือกับ ผบ.ทบ อนุพงศ์ เผ่าจินดา รองผบ.ทบ ประยุทธ์ จันท์โอชา รองเลขาธิการ นายก อภิสิทธิ และโฆษกรัฐบาล ดร.ปณิธาน วัฒนายากร รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ซีพี และอดีตนักการทูตระดับสูง นายสารสิน วีระผล และผู้ช่วยบรรณาธิการกลุ่ม Nation Multimedia กวี จงกิจถาวร”
เขาคุยกันเรื่องการทหาร มีนายกรัฐมนตรีกับนายทหารเข้าร่วมประชุม
กรณี ดร.ปณิธาน นั่นไม่แปลก เพราะเป็นผู้เกี่ยวข้องของรัฐบาลไทย และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ
กรณีนายกวี แปลก แต่ยังพออธิบายได้ว่าเป็นสื่อ แต่ทำไมต้องเป็นสื่อนี้ และคนนี้ วันหลังต้องหาคำตอบมาแก้ข้อข้องใจ (คนเล่านิทาน)
แต่กรณีที่หาคำอธิบายไม่ได้คือ นายสารสิน วีระผล แห่งซีพีกรุ๊ป ซึ่งทำธุรกิจขายอาหารและเมล็ดพันธ์ุพืช และอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งเป็นเจ้าของโทรศัพท์ 2 ล้านเลขหมาย (ถ้าท่านใดเคยอ่านนิทานเรื่องจริง เรื่องจิกโก๋ปากซอย คงพอจำเรื่องนี้ได้นะ ถ้าไม่เคยอ่าน ก็น่าจะกลับไปอ่านกันหน่อย บางเรื่องมันต่อกัน เดี๋ยวเห็นภาพไม่ชัด) แล้วนายสารสิน มาเกี่ยวอะไรด้วยในการสนทนา ! ? !
เอกสาร Wikileaks นี้ ทำหล่นมา2,3 ปีแล้ว ตอนที่อ่านเอกสาร เห็นชื่อนี้ก็แปลกใจ แต่พอเริ่มเขียนนิทานเรื่องนี้ และไปค้นเอกสารที่เกี่ยวข้อง เจอรายชื่อนี้ ว่าอยู่ใน Trilateral Commission ก็เลยไม่แปลกใจเท่าไหร่แล้ว และยิ่งท่านผู้อ่านนิทาน อ่านนิทานเรื่องนี้ต่อไป อาจหายแปลกใจ แต่จะเปลี่ยนเป็นตกใจเลย หรือไม่ก็ดูกันไปแล้วกัน
สำหรับชื่อหมายเลข 1 นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ได้ลองค้นประวัติดู ได้ความว่าจบ
เศรษฐศาสตร์ ปริญญาเอก จาก John Hopkins มหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ผ่านงานมาสารพัด ทั้งด้านธุรกิจและการเงิน เคยดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงพาณิชย์ และเป็นกรรมการนโยบายการเงิน (กนอ.) และอื่นๆ ยาวเหยียดเขียนไม่ไหว แต่ที่น่าสนใจ คือ เป็นผู้จัดทำการวิจัยแนวนโยบายอุตสาหกรรมและการค้า ซึ่งจะกำหนดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2535 – 2539)
สำหรับหมายเลข 2 มรว.เกษมสโมสร เกษมศรี เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชฑูตไทย ประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ.2518 – 2522 (คนแรก) และตำแหน่งเอกอัครราชฑูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน อเมริกา พ.ศ.2525 – 2529
ส่วนนายสารสิน วีระผล นั้น เคยรับราชการกระทรวงต่างประเทศ ประจำสถานฑูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง พ.ศ.2522 – 2524 ประจำสถานฑูตไทย ณ กรุงโตเกียว พ.ศ.2529 – 2531 และเป็นเอกอัครราชฑูตไทย ประจำกรุงมนิลา พ.ศ.2535 – 2538
สำหรับหมายเลข 3 นายอานันท์ ปันยารชุน คงไม่ต้องการคำอธิบายกันมาก
ตอนที่ 6 : ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย
Trilateral Commission เป็นองค์กรส่วนบุคคล เป็นการร่วมตัวของกลุ่มบุคคลในหลาย ๆ วงการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) มีวัตถุประสงค์ที่จะกำหนดยุทธศาสตร์โลก ผ่านเครือข่ายนานาชาติที่เชื่อมโยงกัน ในฐานะคู่ค้าหรือหุ้นส่วนทางการค้า โดยมีตระกูล Rockefeller เป็นผู้นำกลุ่ม ซึ่งเมื่อรวมทรัพย์สิน และอิทธิพลทางการเมือง และเศรษฐกิจของพวกเขาแล้ว ไม่มีใครจะมีรัศมีและบารมี (เหนือประชาธิปไตย) มาทาบได้
ความปรารถนาของพวกเขาคือ ต้องการจะสถาปนา สิ่งซึ่ง George H. W Bush เรียกภายหลังว่า การจัดระเบียบโลกใหม่หรือ New World Order ซึ่งมุ่งเน้นที่จะสร้างและขยายความมั่งคั่ง ภายใต้นโยบายเดียวกัน ทิศทางเดียวกัน หลักเกณฑ์เดียวกัน เสมือนมีรัฐบาลเดียว คือ Global government โดยมี Trilateral Commission เป็นผู้ปูทาง วางรูปแบบกฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งต่อมาในยุค ค.ศ.1990 เป็นที่รู้จักกันในนาม “Globalization” หรือ “โลกาภิวัฒน์”
พวกเขาบอกว่า ปัจจัยที่จะทำให้อเมริกาจะเป็นมหาอำนาจครองโลกนั้น จะต้องพร้อมด้วย แก้ว 3 ประการ
- กองทัพอันเกรียงไกร ที่ไม่มีผู้ใดจะกล้ามาท้าทาย
- เงินสกุลดอลล่าร์ จะต้องเป็นสกุลเงินที่ใช้เป็นทุนสำรอง
- การมีอำนาจควบคุมน้ำมันและอาหาร
ปี ค.ศ.1973 ขณะที่บางซีกของโลกกำลังขาดแคลนอาหาร อเมริกามีอาหารเหลือกิน ประธานาธิบดี Nixon ก็กำลังยืนหน้าเขียวพิงเชือก ถูกกรรมการนับ จากสงครามเวียตนาม ทำท่าจะหลุดจากเชือกลงมากองกับพื้นเสียด้วยซ้ำ
พอดีผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจัดส่งนาย Henry Kissinger มาให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาด้านความมั่นคง
นาย Kissinger ไม่รอช้า เสนอความเห็นกับนาย Nixon ว่า เราควรจะใช้อาหารเป็นพระเอกในด้านการฑูตนะ ควบคู่กับการแสวงหาน้ำมันไปกับภูมิศาสตร์การเมือง
อืม! เด็กเรามันใช้ได้จริงๆ นะ ไม่เสียเวลาเลย นาย David รำพึง
ลืมบอกไปว่าในปี ค.ศ.1950 นาย David Rockefeller เป็นคนไปคัดเลือกตัว นาย Kissinger ตั้งแต่นาย Kissinger ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Harvard เพื่อให้มาทำงานในโครงการสำคัญของมูลนิธิ Rockefeller
เริ่มเห็นภาพกันหรือยังท่านผู้อ่านนิทาน นาย Kissinger ตกลงไม่ใช่คนขี้โม้ และไม่ใช่หมอดู แต่เป็นอะไรนะ คนอ่านนิทานตอบได้น่า
แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อเป็นการสนองนโยบาย (ใครไม่รู้) นาย Kissinger เห็นว่า นโยบายเกี่ยวกับการเกษตรนั้นสำคัญยิ่ง ไม่ควรทิ้งให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงการเกษตรเลย เขาเลยนำมากำกับดูแลเอง โดยบอกว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ
เราต้องใช้อาหารเป็นเครื่องมือสำหรับให้รางวัลเพื่อน และลงโทษศัตรู นโยบายแบบนี้วอชิงตันก็ชอบ นาย David Rockefeller ก็พอใจ มันสมกับเป็นนักการฑูตผู้ยิ่งใหญ่จริง ๆ ไอ้คนนี้มีเสน่ห์เพราะอำนาจ ! ? !
ตอนที่ 7 : ยุทธศาสตร์ มายากล
ก่อนที่จะเปิดตัวกลุ่ม Trilateral Commission ตระกูล Rockefeller ได้วางแผนที่จะควบคุมทั้งอาหารและน้ำมันไว้แล้ว
เขาวางแผน แบบหมากล้อมบวกมายากล อำพรางเป้าหมายจริงของพวกเขา จนแทบมองกันไม่ออก มันเป็นวิธีการของนักมายากลชั้นเซียนระดับโลกจริง ๆ ให้คนดูมองแต่หน้าฉาก แต่การจัดการหลังฉากเป็นอย่างไร ดูกันไม่ทัน ไอ้ที่ทำให้ช้างหายไปทั้งตัว ต่อหน้าต่อตาน่ะ มันเรื่องเด็ก ๆ
ช่วงปลายปี ค.ศ.1930 ต่อ ค.ศ.1940 เศรษฐีอเมริกัน เริ่มมองเห็นแล้วว่า อังกฤษน่าจะน่วมไปไม่รอดจากการศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่น่าจะรักษาตำแหน่งแชมป์นักล่าอาณานิคมหมายเลข 1 ไว้ได้อีกนาน แต่เศรษฐีอเมริกันก็ใจร้อน (คนรวยมันก็ใจร้อนแบบนี้ทั้งนั้น) จะรอให้แชมป์ประกาศวางมือก็รอไม่ไหว นักล่าหน้าใหม่จึงรีบคิดแผนสร้างโอกาสสร้างบารมี เพื่อจะให้อเมริกาเป็นแชมป์ใหม่ที่จะควบคุมโลก ทั้งในด้านการทหาร และเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับของพวกเขาเสียเอง
แล้วพวกเขาก็วางแผน สร้างเสื้อคลุมยี่ห้อพี่เบิ้ม ผู้ปรารถนาดี ผู้ปกป้องโลกสวยห่อหุ้ม เป้าหมายแท้จริง คือ การให้อเมริกาเป็นนักล่ารายใหม่ (นักล่าอาณานิคม !)
เมื่อมีแนวความคิดข้างต้น พวกเขาก็ไม่รอช้า กวาดตาหาพื้นที่ผู้ที่จะเป็นเหยื่อ พี่น้องพวกโคตรรวยเห็นพ้องกันว่าลาตินอเมริกา น่าจะเหมาะนะ เพราะเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ และหลายอย่างมันก็ลงตัวสำหรับเป้าหมายของเรานะน้องนะ ว่าแล้วก็แบ่งงานกันระหว่างพี่น้องในตระกูล
ช่วงต้น ค.ศ.1940 นาย Nelson Rockefeller เป็นคนเข้าไปทำธุรกิจน้ำมันกับธุรกิจธนาคาร ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของตระกูล รวมทั้งสร้างโอกาส ในด้านอื่นๆ (การเมือง !) ด้วย
ส่วนนาย Laurence Rockefeller ก็ไปกว้านซื้อท้องไร่ ท้องนา เปล่า พวกเขาไม่ได้คิดจะไปทำไร่ ไถนา หรอก นั่นเป็นเรื่องของคนจน คนรวยเขาคิดทำธุรกิจ ธุรกิจการเกษตร เพื่อจะทดลองกรรมวิธี ผูกขาดอาหารโลก เช่นเดียวกับผูกขาดน้ำมัน !
ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (1)
พวกเศรษฐีนักมายากล เล่นกลกันเป็นระบบ เมื่อเขากว้านซื้อไร่ ซื้อนา ในแถบละตินอเมริกาแล้ว อีกด้านหนึ่ง ก็ทุ่มทุนผ่านมูลนิธิ Rockefeller ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ ตามห้องทดลองเกือบ 50 แห่ง
ในช่วงปี ค.ศ.1950 - 1960 ตระกูล Rockefeller ได้ทดลองการผสมพันธ์พืชใหม่ (hybrid) เมื่อเริ่มเห็นผลพอใช้ได้ก็จับมือ Cargill บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านธุรกิจเกษตร และพันธ์พืช ให้มาเป็นพันธมิตรแล้ว เริ่มทดลองเพาะข้าวโพดพันธ์ hybrid และนำมาทดลองปลูกในลาตินอเมริกา และต่อมาก็ทดลองกับพันธ์พืชต่างๆ ที่เรียกว่า GMO (genetic engineering food crops) โดยเฉพาะข้าว
ซึ่งเศรษฐีนักมายากล ได้ดำเนินการให้แพร่หลายอยู่ในลาตินอเมริกา เม็กซิโก รวมทั้งเอเซีย เช่น อินเดีย และฟิลิปปินส์
ทั้งหมดอยู่ภายใต้เป้าหมายที่แท้จริงของนักมายากล ที่จะควบคุมอาหาร สำหรับประชากรโลก (ที่สาม) ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ความมั่นคงของอเมริกา โดยปฏิบัติการไปพร้อมกับ เรื่องน้ำมันและอำนาจของกองทัพอเมริกา
มันเป็นยุทธศาสตร์ของอเมริกาได้อย่างไร
ไม่ยากสำหรับ นาย Nelson Rockefeller ซึ่งเป็นนักเล่นกลฉากนี้ เพราะรมว.ต่างประเทศของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ.1952 จนถึง ค.ศ.1979 ล้วนแต่เป็นคนที่ตระกูล Rockefeller สร้างมาทั้งนั้น เช่น นาย John Foster Dulles นาย Dean Rusk นาย Henry Kissinger และนาย Cyrus Vance
ในปี ค.ศ. 1970 ร้อยละ 95 ของจำนวนธัญญพืชอยู่ในมือของ 6 บรรษัทข้ามชาติ Cargill Grain Company, Continental Grain Company, Cook Industries Inc., Dreyfus, Bunge Company และ Archer Daniel Midland ทั้งหมดเป็นบริษัทที่มีฐานอยู่ที่อเมริกา
Cargill ใช้เวลาอยู่กว่า 2 ทศวรรษ ในการเปลี่ยนนโยบายการค้าของอเมริกา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อเมริกาสามารถครองตลาดโลกได้ ในธุรกิจการขายเมล็ดพันธ์เกษตร GMO ยาฆ่าแมลงและปุ๋ย และทำให้ชาวไร่ ชาวนา ทั่วโลก เปลี่ยนจากการทำเกษตรในครัวเรือน เป็นเกษตรอุตสาหกรรม และเป็นการเปลี่ยนเมล็ดพันธ์พืชที่ใช่ต่อเนื่องหมุนเวียนไปทุกฤดูกาล เป็น GMO เมล็ดพันธ์ุพืชที่ใช้ได้เพียงฤดูกาลเดียว ทั้งหมดนี้ เริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัฐบาล Nixon
บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Cargill อัดตลาดเกษตรด้วยพืช GMO ขยายตัวเกษตรอุตสาหกรรมด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืชเช่นนี้ไปทั่วโลก โดยเฉพาะโลกที่สาม ขณะเดียวกันก็บอกกับชาวไร่ชาวนาในประเทศโลกที่สามว่า ถ้าขืนทำการปลูกข้าว ธัญญพืช อื่นๆ รวมทั้งเลี้ยงสัตว์ด้วยพืชจากการเกษตรในครอบครัว ยูจะล่มจม เพราะไอจะอัดยูด้วย GMO เข้าใจมั้ย เพราะฉะนั้น ถ้ายูไม่ใช้เมล็ดพันธ์ุGMO พวกยูก็ไปทำไร่ผักสวนครัว ปลูกพริก หอม กระเทียม หรือ ปลูกกล้วย ปลูกอ้อย แทนแล้วกัน
สำหรับโลกที่ 3 เมื่ออเมริกาส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO เข้าไปให้ มีแต่คนปรบมือ พวกเขาเรียก วิวัฒนาการดังกล่าวว่า Green Revolution มันควรจะได้รับการปรบมือแน่จริงหรือ มาทำความรู้จัก Green Revolution กันหน่อย
ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (2)
Green Revolution เป็นศัพท์เทคนิคที่อดีต ผอ. USAID คิดขึ้น เขาบอกว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ดัดแปลงพันธุกรรมเมล็ดพันธ์พืช เพื่อให้โตไว เขานำไปใช้ทดลองกับการปลูกข้าวในอินเดีย เมื่อประมาณปี ค.ศ.1961 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเดียกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ข้าวพันธ์ุดังกล่าว ให้ผลผลิตเป็น 10 เท่า ของข้าวพันธ์ุธรรมดา แต่ต้องใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง
คนอินเดียตาโตเห็นแต่ผลผลิต 10 เท่า อินเดียกลายเป็นประเทศส่งข้าวออกสูงอันดับต้นๆ คนขายพันธ์ุข้าวนับเงินเพลิน เพราะพันธ์ุข้าวนี้ต้องซื้อทุกครั้งที่ปลูก อย่าลืมบวกค่าปุ๋ยเคมี ค่ายาฆ่าแมลงด้วย แถมต้องทำระบบชลประทานด้วย ใครเป็นคนมาช่วยคิดช่วยทำ ใครขายเครื่องจักร คงพอนึกกันออก
ฟิลิปปินส์ได้รับเกียรติเป็นหนูตะเภาตัวต่อมา โดยความอนุเคราะห์ของมูลนิธิ Ford และมูลนิธิ Rockefeller ได้จัดตั้งสถาบัน International Rice Research Institute (IRRI) ดัดแปลงข้าวข้ามสายพันธ์ุ เรียกว่า M 8
M 8 นี่ก็เหมือนกัน ต้องใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงมากมาย แต่ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธ์ุธรรมชาติ การใช้ข้าวพันธ์ M 8 ทำให้ฟิลิปปินส์กระโดดเป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นครั้งแรก ในประมาณปี ค.ศ.1966 แต่การใช้ยาฆ่าแมลงอย่างแรง ทำให้ปลาและกบหลายพันธ์ุในนาข้าวตายเกลี้ยง
Argentina เป็นอีกกรณีที่น่าสนใจ ได้รับเลือกเป็นหนูตะเภา แบบครบวงจร ในปี ค.ศ.1980 การทดลองพืช GMO ถึงขั้นเกือบสมบูรณ์ และนาย Carlos Menem ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี นาย Menem แน่นอน เป็นเด็กสร้างของตระกูล Rockefeller เขาเห็นพ้องทุกอย่างที่ ทางวอชิงตันและตระกูล Rockefeller เสนอ ถึงขนาดยอมให้เพื่อนของนาย David Rockefeller ที่อยู่แถววอชิงตัน ร่างแผนเศรษฐกิจประเทศให้ เป็นแผนเศรษฐกิจตามทฤษฎีที่ศึกษากันอยู่ในมหาวิทยาลัย Chicago เช่น การยกเลิกรัฐวิสาหกิจ การยกเลิกกฎระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคต่อทุนเสรี เปิดประตูให้การค้าเสรีเข้าสะดวก
เอ๊ะ! นี่มันแผนพัฒนาเศรษฐกิจ แผนเปิดเสรี แบบที่สมันน้อยทำเลยนะ คนที่อ่านนิทานจิกโก๋ปากซอยมาแล้ว คงพอจำได้
Argentina เข้าสู่การปลูกพืช GMO อย่างจริงจัง ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลของตน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1996 ถึง ค.ศ.2004 หลังจากเปลี่ยนเป็นใช้พืช GMO ไปไม่กี่ปี ชาวไร่ ชาวนา ของ Argentina ก็เริ่มเป็นหนี้ ไม่มีปัญญาใช้หนี้เขาต้องขายหรือถูกยึดไร่นา แล้วต่างชาติก็เข้าไปกว้านซื้อไร่ ซื้อนา ในราคาถูก แสนถูก
ทั้งหมดเกิดขึ้น ภายใน 10 ปี อ่านนิทานตอนนี้แล้ว ลองนึกถึงเรื่อง ปรส. กันบ้างไหม แม้ไม่ใช่เป็นอุปกรณ์เล่นกลเดียวกัน แต่ฉากเล่นกล มันไม่ต่างกันเท่าไหร่
ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (3)
ตัวอย่างเช่นที่กล่าวมาแล้ว มีอีกมากมาย ที่พูดถึงแต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแท้ที่จริงผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เป็นการถาวร มันเป็นเฉพาะช่วงแรกๆ เท่านั้น แต่คนขายเมล็ดพันธ์ GMO ย่อมไม่บอกผู้ซื้อ
นอกจากนี้ที่น่าเป็นห่วง คือผลกระทบต่อการเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ กับ ชาวไร่ ชาวนา รายย่อย อย่างที่พวกเขาไม่รู้ตัว พวกเขาเคยทำไร่ทำนา จากเมล็ดพันธ์พืชที่ไม่มีต้นทุน ใช้ปุ๋ยธรรมชาติ และไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ต่อมาต้องซื้อทั้งเมล็ดพันธ์ ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี พวกเขาขายผลผลิตได้ราคาสูงก็จริง แต่ต้นทุนก็สูงตามไปด้วย ท้ายที่สุดก็เป็นหนี้ และส่วนใหญ่ก็ไม่มีเงินใช้หนี้ ทำให้ต้องเสียที่ดินไร่นาไป แล้วก็มีบริษัทที่ทำธุรกิจเกษตร มาไล่ซื้อที่ดิน ไปทำต่อ หรือซื้อที่ไปทำอย่างอื่น แล้วชาวไร่ชาวนาเหล่านี้ ก็ไม่มีทางเลือก ต้องอพยพเข้าเมือง ขายแรงงานแทน เป็นปัญหาของบ้านเมืองอีกแบบหนึ่ง
สิ่งเหล่านี้มักจะไม่อยู่ในรายงานของหน่วยงานที่ทำการวิจัย หรือคิดค้นพันธ์พืช เขามักจะพูดถึงแต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริง ของการให้ใช้เมล็ดพืช GMO มันคือการปล้น เอาไร่ เอานา เขามาในราคาถูก
นอกจากปัญหาเรื่องการเสียไร่นาแล้ว ปัญหาที่สำคัญอีกประการคือการใช้ยาฆ่าแมลง ซึ่งในหลายๆ กรณีเป็นอันตราย ต่อสุขภาพของชาวไร่ชาวนา อย่างถึงขนาดหลายๆ หมู่บ้านมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งกันทั้งหมู่บ้าน
ความจนกับความไม่รู้ ทำให้พวกเขาไม่รู้จักหรือไม่สามารถแสวงหาหน้ากาก ป้องกันยาฉีดฆ่าแมลง
ในปี ค.ศ.1989 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณว่ามีคนได้รับสารพิษของยาฆ่าแมลงสูงถึง 1 ล้านคนต่อปี และประมาณ 20,000 คน เสียชีวิต ทั้งหมดนี้ส่วนมากเกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศที่กำลังพัฒนา!
ขบวนการนี้ เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราเรียกว่าโลกาภิวัฒน์ ที่ชาวเราภาคภูมิใจอยากให้มี อยากให้เป็น เพราะเรามองแต่ ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างลวงตา
โลกาภิวัฒน์ย่นระยะเวลา ในการสร้างกลไก สร้างระบบเกษตรอุตสาหกรรมระหว่างประเทศขึ้นมา ทำให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย บวกกับการให้เงินสนับสนุนจากต่างชาติ เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford และหน่วยงานของ USAID โดยเราไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริง หรือผลลัพธ์ ปลายทางที่เกิดขึ้นกับเรา
นี่แหละ ผลของการมองแต่ผลได้ อย่างผิวเผิน ไม่นึกถึงผลเสีย หรือผลข้างเคียง ทั้งระยะใกล้ ระยะไกล เขียนแล้วเศร้า ตลกไม่ออกเลย!
ตอนที่ 9 : ขจัดพันธ์ด้อย
หลังจากที่รัฐบาล Nixon เริ่มขบวนการทำลายเกษตรในครอบครัว ในประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO มาให้แล้ว รัฐบาล Nixon ยังให้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการขยายตัวของประชากรโลกอีกด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่งคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศหรือไม่ โดยถือว่าเป็นนโยบายที่มีความสำคัญสูงสุด ทั้งนี้ก็เป็นการเดินตามแผนลับของตระกูล Rockefeller นั่นเอง
ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยบอกว่าเรา (คืออเมริกา) เราต้องกำหนดเป็นเงื่อนไข ของการได้รับเงินช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาว่า การคุมกำเนิดควรเป็นเงื่อนไข อย่างหนึ่งของการได้รับเงินช่วยเหลือ
ขนาดเราอัดมันด้วยพืช GMO ไอ้พวกพันธ์ด้อย มันยังอยู่ดี มีลูกหัวปีท้ายปี ดังนั้นเราก็ควรหาทางกำจัด การเจริญเติบโตพวกมันเสียด้วย การออกนโยบาย National Security Study Memorandum 200 หรือ NSSM 200 ซะให้หมดเรื่อง ไม่งั้นเราจะครอบครองวัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติของพวกมันในราคาถูกได้ยังไง ถ้ามันยังอยู่กันล้นโลกอย่างงี้!
นาย Kissinger จึงต้องใช้ลิ้นนักการฑูต ตอแหลเพื่อชาติ จนทำให้ UN รับเป็นโครงการของ UN ช่วยประชาชน
เป็นครั้งแรก ที่การจำกัดการเจริญเติบโตของจำนวนพลเมือง ในประเทศที่กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนา เป็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของอเมริกา และเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องทำเป็นการด่วนและลับสุดยอด
แต่ที่ซ่อนไว้ลึกอีกชั้นหนึ่ง จนคนดูมองไม่ออกคือ NSSM 200 นี้ ได้แอบสอดไส้แผนการกำจัดสายพันธ์ุด้อย เพื่อรักษาสายพันธ์ุเด่น โดยใช้การวางแผนครอบครัวบังหน้า เชื่อว่า 13 ประเทศ เป้าหมายจนถึงบัดนี้ ก็อาจยังไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับประเทศตน แผนการมันแสนจะทุเรศ ตามแบบของผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย จริง ๆ นะ
บราซิลเป็นตัวอย่างที่เห็นชัด หลังจากที่ได้มีการปฏิบัติการ NSSM 200 กับบราซิล มา 14 ปี กระทรวงสาธารณะสุขของบราซิล เพิ่งตื่นขึ้นมาทำการสำรวจถึงจำนวนผู้หญิงบราซิลที่เป็นหมัน
รัฐบาลบราซิล ถึงกับช็อครับประทาน เมื่อรายงานบอกว่า 44% ของผู้หญิงบราซิลทั้งหมดที่อายุ ระหว่าง 14 ถึง 55 ปี เป็นหมันอย่างถาวร ปรากฎข้อเท็จจริงว่าพวกที่มีอายุมากกว่านั้น ได้เข้าไปทำหมันด้วยการความสมัครใจ ตามโครงการที่เริ่มเมื่อ ค.ศ.1970 กว่าๆ
ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ร้อยละ 90 ของผู้หญิงบราซิลที่มีเชื้อสายอาฟริกัน ถูกทำหมัน (อันนี้รายงานไม่ได้บอกว่าสมัครใจหรือไม่) แต่น่าสนใจนะ! และการทำหมันดังกล่าว ทำโดยองค์กรต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งเป็นสัญชาติบราซิล และองค์การ International Planned Parenthood Federation (IPPF), US Pathfinder Fund, Family Health International
ทั้งหมดอยู่ภายใต้การแนะนำของ US Agency for International Development (USAID) ยิ่งน่าสนใจใหญ่! ที่มันทำในบ้านเขาแบบนี้ มันพัฒนาตรงไหนนะ!?
ตอนที่ 10 : สมยอมหรือขืนใจ
ย้อนไปในปี 1950 นาย John D. Rockefeller ได้ใช้เปอริโตริโก้ เป็นแหล่งทดลองการลดจำนวนพลเมืองลง ผลปรากฎว่าในปี ค.ศ.1965 ประมาณร้อยละ 35 ของหญิงชาวเปอริโตริกัน ที่อยู่ในวัยเจริญพันธ์ได้ถูกทำหมัน
หญิงยากจนเหล่านั้นถูกแนะนำให้ไปคลอดบุตรที่รพ.สร้างใหม่ของอเมริกา โดยหมอที่ทำการคลอดจะได้รับคำสั่งให้ทำหมันให้บรรดาคุณแม่เหล่านั้น โดยการผูกท่อรังไข่ โดยที่พวกคุณแม่เหล่านั้นไม่รู้เรื่องและไม่ได้ให้ความยินยอม
ในปี ค.ศ.1965 เปอริโตริโก้ได้ตำแหน่งที่ 1 ในการมีผู้หญิงทำหมันสูงสุดในโลก
นาย David Rockefeller กล่าวสุนทรพจน์ เมื่อปี ค.ศ.1961 ที่ UN Food and Agriculture Organization ว่า
"ในความเห็นของข้าพเจ้า การที่อัตราประชากรโลกเพิ่มขึ้นสูง เป็นปัญหาที่น่ากลัว รองลงมาจากการควบคุมระเบิด Atomic "
เป็นประโยคเดียวกับที่นาย Robert Mcnamara นำมาพูด เมื่อนาย Kissinger เสนอนโยบายตามแผน NSSM 200 ในปี ค.ศ.1975 แต่คงไม่แปลกใจเท่าไหร่ ถ้ารู้กันว่านาย Robert Mcnamara ก็เป็นสมาชิก สมาคม Trilateral Commission รุ่นก่อตั้ง
แล้วของไทยล่ะ เรามีสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย (สวท) ที่คุณมีชัย สายรุ้ง ตั้งขึ้น เมื่อ พ.ศ.2517 (ค.ศ.1974)
สวท เป็นองค์กรที่เป็นสมาชิกของสหพันธ์วางแผนครอบครัวระหว่างประเทศ (The International Planned Parenthood Federation) หรือ IPPF
ซึ่งแต่ละปี IPPF จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ในการดำเนินงานของ สวท. สายรุ้งจะรู้ไหมหนอ ว่าถูกเขาหลอกให้ทำอะไร
13 ประเทศเป้าหมายตาม NSSM 200 เช่น อินเดีย ฟิลิปปินส์ บราซิล และประเทศไทย ต่างได้รับของขวัญ แบบต่างๆ จากนักมายากล เราคิดว่าของขวัญมีเท่านี้หรือ กลับไปดู หนังสือของนาย Kissinger ลงวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 (ที่เล่าไว้ในตอนที่ 2) อีกที นักมายากลยังมีวิธีการใหม่ๆ มาเล่นกลหลอกเราอีก มันเล่นกันหลายชั้น กำไรหลายเด้ง !
ตอนที่ 11 : คัดสายพันธ์ุ
สมาคม American Eugenics Society เป็นสมาคมที่มีวัตถุประสงค์สนับสนุนการคัดสายพันธ์ุและทำหมันประชากรที่เรียกว่ามีสายพันธ์ด้อย (inferior people)
สายพันธ์ด้อย หมายถึงใคร แน่นอนไม่ใช่พวกผมทอง ตาสีฟ้า แต่เป็นพวกผิวสี เช่น อาฟริกัน พวกผิวเข้มในเอเซีย และลาติน รวมทั้งผู้มีความไม่สมบูรณ์ทางกายและสมอง
ผู้ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่สมาคมนี้ ได้แก่ Rockefeller, Harriman นายธนาคารจาก J.P Morgan, Mary Duke Biddle ของบริษัทยาสูบใหญ่ etc และอีกหลายคน ๆ ที่เป็นคนรวยในสังคมระดับสูงของอเมริกาและรวมไปถึงพรรคพวกในอีกฝั่งของมหาสมุทรคืออังกฤษด้วย คือ English Eugenics Society ซึ่งสมาคมนี้มีสมาชิก เช่น นาย Winston Churchill นาย John Maynard Keynes etc เป็นต้น การสนับสนุนการคัดสายพันธ์ของกลุ่มคนรวยพวกนี้ เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1920
ที่น่าสนใจมูลนิธิ Rockefeller ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่องค์กร Planned Parenthood Federation of American มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1922 องค์กรนี้ เป็นองค์กรลูกของ International Planned Parenthood Federation (IPPF) เช่นเดียวกับ สวท. ของคุณสายรุ้ง
ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหัวหอกในการดำเนินงาน ชื่อ Margaret Sanger
คุณนายเน้นนโยบายการคัดสายพันธ์ุ โดยการคุมกำเนิดและทำหมัน ภายใต้การพรางตัวเรียกว่า วางแผนครอบครัว คุณนายบอกว่า
ความไม่สมดุลย์ระหว่างอัตราการเกิดของผู้ไม่เหมาะสม (unfit) กับเหมาะสม (fit) เป็นสิ่งที่น่ากวนใจอย่างยิ่งสำหรับความเจริญ ก้าวหน้าของมนุษยชาติ
ในปี ค.ศ.1933 Dr. Gerhard Wagner แพทย์หัวหน้าหน่วย Association Reichsrzfhere นาซีเยอรมัน ได้ยกย่องคุณนาย Sanger ว่านโยบายควบคุมสายพันธ์ของคุณนายเป็นนโยบายที่เยี่ยมมากน่าถือเป็นตัวอย่าง
สมาคมวางแผนของคุณสายรุ้ง ก็ได้รับรางวัล Margaret Sanger เมื่อปี พ.ศ.2532
ขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ ริเริ่มโดยนาย John D Rockefeller ที่ 3 หรือที่พวกคนรวยอเมริกาจะเรียกเขาว่า J D III ตั้งแต่ ค.ศ.1932
เขาเหมือนคนบ้า (หรือมันเป็นบ้าจริง ๆ !) คิด ฟุ้ง สร้าน วุ่นวายอยู่กับขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ุ อยู่หลายสิบปี ถึงขนาดในปี ค.ศ.1952 เขาลงทุนควักกระเป๋าเงินตัวเอง ตั้งสถาบันประชากร (Population Council) ขึ้นที่ นิวยอร์ค เพื่อทำการค้นคว้าอันตรายของการมีประชากรล้นโลก
สถาบันนี้ใช้เงินไปจำนวนเกือบ 200 ล้านเหรียญ ในช่วง 25 ปี ในการหาวิธีการที่ได้ผลที่สุด ในการลดจำนวนประชากร และสถาบันนี้ได้กลายเป็น สถาบันที่มีอิทธิพลสูงในการเสนอความคิดเกี่ยวกับ การลดจำนวนพลเมือง
(นี่มันฆ่าตัดตอนแบบมายากลนะนี่ !)
การคัดสายพันธ์ เริ่มเข้มข้น ทำเป็นขั้นตอนในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 เมื่อตระกูล Rockefeller เข้าไปในแถบลาตินอเมริกา ซึ่งมีพื้นดินอุดมสมบูรณ์
พวกเขาวางแผน Green Revolution ใช้พืช GMO ขายเมล็ดพันธ์ุพืช ทำลายพื้นดิน ทำลายคุณภาพชีวิตของชาวลาติน ขณะเดียวกันหมัดนี้ยังไม่หนักไม่พอ มันยังเกิดก็ไม่หยุด ขบวนการทำหมัน ก็โหมเข้าไป คนลาตินก็ออกลูกน้อยลงๆ ข้าวโพดสายพันธ์ใหม่ ที่ทดลองปลูกก็มีผู้วิเคราะห์ว่า ถ้ากินเข้าไปมากๆ มีผลทำลายสเปิร์มของผู้ชาย 100%
มันเล่นทั้งฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย เลยนะ แต่ภาพที่โลกเห็นเป็นอย่างไร
มูลนิธิ Rockefeller ใจดี ใจบุญ เห็นพลเมืองเขาแยะ ก็ไปช่วยวางแผนครอบครัว ทำหมัน ชาวไร่ ชาวนา ทำมาหากินได้ผลน้อย เพาะปลูกพืชไร่ได้ปีละครั้ง ได้เงินไม่กี่อัฐ มูลนิธิก็เอาพันธ์ุพืชใหม่ไปให้ใช้ ปลูกมันปีละ 3, 4 หน ขายได้เงินเพิ่มโขอยู่
ดูแค่นี้ มันก็เห็นแค่นี้
ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (1)
นักมายากลชั้นเซียน พวก Rockefeller ไม่ได้เข้าไปในลาตินอเมริกา เพื่อไปขายเมล็ดพันธ์พืช GMO กับแจกถุงยางเท่านั้น แต่พวกเขาเข้าไป “ซื้อ” ด้วย
เขาหอบกระเป๋าเงิน ที่ได้กำไรจากการขายเมล็ดพันธ์พืช เอาไปเลี้ยงนักการเมือง และทหารของหลายประเทศในแถบนั้น สร้างเด็กในคาถาอยู่หลายปี ด้วยการร่วมมืออย่างดีของหน่วยงานความมั่นคงของอเมริกา ปฏิบัติการลับเกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศต่าง ๆ ในแถบนั้น แล้วในที่สุด เด็กสร้างของเขา ก็ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ของหลายประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกัน
มันเป็นการค้า ที่ทำกำไรเกินตำราบอก เอาเงินของคนในประเทศ
ซื้อประเทศนั้นเอง !
สมันน้อยอ่านตรงนี้กันหลาย ๆ หนหน่อยนะ !
เขารอเวลา “อันเหมาะสม” แล้วก็ ตั้งสมาคม Trilateral Commission ขึ้นมา สมาชิกสมาคมเป็นผู้ที่เขาคัดเลือกไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะผลักดันให้เข้าไปทำหน้าที่ในรัฐบาล ในตำแหน่งสำคัญ ๆ ตามที่เขากำกับ
และด้วยอำนาจ อิทธิพล และเงิน เมื่อถึงเวลา เขาก็ส่งคนของเขา เข้าไปอยู่ในแวดวงการเมือง เป็นตั้งแต่ประธานาธิบดี รัฐมนตรี นักวิชาการ และสื่อ (ขี้ข้า) และกำหนดนโยบายให้ขี้ข้าเหล่านั้น ปฎิบัติตามกลยุทธที่เขาวางไว้ทั้งหมด พร้อม ๆ กัน แต่แยกกันเล่น เหมือนคนเล่นกล หลอกให้เราดูมือซ้ายที มือขวาที โดยเราไม่รู้ตัวว่ากลนั้นสร้าง
ขึ้นมาได้อย่างไร
เวลา “อันเหมาะสม” สำหรับ การก่อตั้ง Trilateral Commission นั้น น่าสนใจมาก ในปี ค.ศ.1973 นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นเจ้าของความคิดการตั้งสมาคมนี้ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานของ The Council on Foreign Reations (CFR) ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานมันสมอง (Think Tank) ให้กับรัฐบาลอเมริกัน มาตั้งแต่ประมาณปี คศ 1939
แต่ช่วงปี ค.ศ. 1971 ขณะที่โลกกำลังบูมด้วยการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในประเทศผู้ผลิต เช่น อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ประเทศในอีกซีกโลกอีกหนึ่ง คือ กลุ่มประเทศที่ส่งออกน้ำมัน หรือที่เรียกว่า Organization of Petroleum Exporting Countries (OPEC) ก็เกิดอาการชักกระดุก ควบคุมกันเองไม่อยู่ พากันขึ้นราคาล่วงหน้าของน้ำมันอย่างบ้าเลือด ทำให้กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม ที่ต้องพึ่งพาน้ำมันอย่าง กลุ่ม Rockefeller และพรรคพวกในยุโรป และญี่ปุ่น ย่อมกระอักเป็นธรรมดา
ประธานาธิบดี Nixon แก้ปัญหาด้วยการ ควบคุมราคาน้ำมันและก๊าซ ที่ผลิตและขายในประเทศ เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่ผลออกมาคนละเรื่อง บรรดาพวกคุณอาค้าน้ำมัน กลับทุ่มน้ำมันเข้ามาในตลาดอเมริกา ขายในราคาแพง ในขณะที่น้ำมันที่ผลิตและขายในอเมริกา ต้องขายในราคาถูกควบคุม
เศรษฐีเจ้าของ Standard Oil ฉุนขาด เพราะโดน OPEC ตีตลาด แต่ที่จริงแล้ว เศรษฐีก็แอบยิ้มมุมปาก เพราะคุณอาพวกราชวงศ์ซาอุกับคูเวต และพวกบริษัทน้ำมันที่เป็นของรัฐ แถวอิหร่าน อิรัค และอัลจีเรีย ไม่รู้จะทำอะไรกับดอลล่าร์ ที่ได้รับจากการขายน้ำมัน นอกจากฝากกับธนาคาร ใหญ่ ๆ ในอเมริกาและยุโรป แน่นอน Chase Manhatlon ของตระกูล Rockefeller ก็ต้องได้ส้มหล่น ใส่ด้วย
แต่นั่นแหละนะ ของทุกอย่างมีได้ก็มีเสีย ดูด้านเดียวมันก็บื้อไปหน่อย การประกอบธุรกิจธนาคาร ได้เงินฝากมาจะให้มันนอนเฉยอยู่ในลิ้นชักได้ยังไง ธนาคารพวกนี้ก็เอาไปปล่อยต่อให้กับประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่มีน้ำมันของตัวเอง หรือมีแหล่ง แต่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าตัวว่ามี หรือ ถูกหลอกว่าบ้านยูไม่มี ไม่มี ประเทศพวกนี้ คนอ่านนิทานน่าจะเดาออกว่าคงอยู่ แถบเอเซียกับลาตินอเมริกานั้นแหละ
แล้วทำไงล่ะ ประเทศพวกนี้ก็ไปกู้เงินจากธนาคาร ที่รับเงินค้าขายน้ำมันจากคุณอานั่นไง ทีนี้พอ OPEC ดันขึ้นราคาน้ำมันอย่างบ้าเลือด เงินเข้ามามหึมาก็จริง แต่ไอ้ที่ให้เขายืมไป มันก็ตัวแดงแก่มหึมาเหมือนกัน จริง ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาโดยตรงของรัฐบาลอเมริกา และไม่น่าจะใช่ความผิดของคุณ Nixon แก ซึ่งตอนนั้นก็หน้ามืดอยู่หลายเรื่องแล้ว แต่ก็ทำให้เศรษฐีเกิดความคิด ตามประสาคนที่โลภอยากจะเอาแต่ได้ แต่ไม่ยอมเสีย
มันเรื่องอะไร จะทำแต่การวิจัยแนะนำรัฐบาล แล้วรัฐบาลก็ไม่ได้ทำตามที่เขาต้องการทุกเรื่อง แบบนี้มันต้อง คุมรัฐบาลให้อยู่ในกำมือไม่ดีกว่าหรือ แล้วความคิดที่จะตั้งหน่วยงานพิเศษ หรือ Trillateral จึงเกิดขึ้น และได้รวมพรรคพวกที่ทำธุรกิจน้ำมันอุตสาหกรรม และธนาคาร เข้ามาอยู่ในกระบุงเดียวกัน
( จริง ๆ นะ เขียนมาถึงตรงนี้ เชื่อเกือบเต็มร้อย ว่าไอ้โจรนั่น มันต้องเรียนวิธีขี้โกงระดับนโยบาย มาจากผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจริง ๆ)
คิดดูง่าย ๆ จากเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น แทนที่พวกเศรษฐีจะให้ธนาคารตัวเอง ให้เงินกู้กับประเทศที่กำลังพัฒนาต่อไปตามเดิม เขากลับใช้เหตุการณ์วิกฤติน้ำมันครั้งนี้ สร้างโอกาสให้พวกเขาอีกต่อ มันงกจริงๆนะ พวกเศรษฐีกลับคิดว่า ถ้าเรายกเครื่อง IMF World Bank เสียหน่อย แล้วให้องค์กรเหล่านี้เป็นเครื่องมือ รับความเสี่ยงให้กับเรา
แบบนี้เราก็มีแต่ win win solution พูดเหมือนใครหนอ !
เขาจึงเริ่มแผนคุมสหประชาชาติ โดยการ “ซื้อเสียง”
ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (2)
ลาตินอเมริกา มี 19 เสียง เทียบกับยุโรปที่มี 9 เสียง จากปฏิบัติการในลาติน
อเมริกาอยู่ 20 ปี ผลคือทำให้อิทธิพลของนักมายากล สามารถทำให้อเมริกา เป็นผู้คุมเสียงข้างมาก ในสหประชาชาติ และแน่นอนเป็นเสียงชี้ขาดใน World Bank และ IMF ด้วย ที่ดินที่สร้างสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ ในนครนิวยอร์คจึงเป็นอภินันทนาการจากนักมายากล
NSSM 200 เป็นตัวอย่างของมายากลยุทธ ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ที่สามารถนำเรื่องการลดการเจริญเติบโตของประชากรในประเทศด้อยพัฒนา (หรือที่เขาพากันดัดจริต เลี่ยงไปเรียกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา) มาเป็นนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ ที่มีความสำคัญระดับเร่งด่วนของอเมริกา มันเหลือเชื่อเหมือนเราดูการเล่นกลเลย ที่สามารถทำการวิจัย เรื่อง การสนับสนุนการทำหมันของมนุษย์หรือวางแผนครอบครัว ให้โยงกับประเทศเป้าหมาย ที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ได้อย่างมหัศจรรย์เกินจะคิด
แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนและหลังของช่วงเวลาปฏิบัติการ ตามแผน NSSM 200 แล้ว สิ่งที่เห็นชัด การเล่นกลทำได้แนบเนียนและได้ผล ทั้งหมดมาจากเงินและอิทธิพลของตระกูลโคตรรวย ที่พัฒนามาเป็นสถาบันผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของอเมริกา Trilateral Commission นาย Kissinger และบรรดาผู้มีตำแหน่งสูง ๆ ในรัฐบาลอเมริกาตั้งแต่ระดับประธานาธิบดี รมว.กลาโหม รมว.ตปท. สมัยต่าง ๆ แท้จริงแล้ว แม้จะกินเงินเดือนของประเทศ แต่จริง ๆ แล้ว ดูเสมือนเขาเป็น
ขี้ข้ารับใช้ Trilateral Commission ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยนั่นเอง
แล้วอำนาจ Trilateral Commission ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย ก็ขยายครอบคลุมรัฐบาลอเมริกา รวมทั้งขยายไปควบคุม ประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ ตามนโยบาย New World Order ตั้งแต่บัดนั้น จนถึงปัจจุบันนี้
สมันน้อยมองออกบ้างหรือยัง ว่าเป้าหมายแท้จริงของ NSSM 200 คืออะไรและการกำหนด 13 ประเทศเพราะอะไร การเข้าไปในลาตินอเมริกา สมาคมวางแผนครอบครัวของพี่สายรุ้ง นายอานันท์ มรว.เกษมสโมสร ทั้ง 2 มีตำแหน่งอะไร ในหน่วยงานประเทศไทยบ้าง มีความสำคัญอย่างไร และอย่าลืมการวิจัยแผนพัฒนาของนายณรงค์ชัย เกี่ยวกันไหม และนายสารสิน วีระผล แห่ง CP เครือเจริญโภคภัณฑ์ ค้าเมล็ดพันธ์ุพืชมากว่า 50 ปี ใช้เมล็ดพันธ์ GMO หรือไม่ ชาวไร่ ชาวนา เราเจ๊งป่นปี่
ขายที่ ขายไร่ กันไปเท่าไหร่ ปัจจุบันการกว้านซื้อที่ดินของในประเทศเราโดยนายทุน นักธุรกิจใหญ่ ทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวโยงกันไหม จำได้หรือเปล่า เล่าไปแล้วว่าปัจจุบันที่ดินในประเทศไทยจำนวน 1 ใน 3 อยู่ในมือคนต่างชาติไปแล้ว ลองไปคิดเป็นการบ้านดู
เวลาดูเขาเล่นกล อย่าแค่ตบมือชอบใจ
ที่มาของข้อมูล นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น
ตอนที่ 1 : อำนาจทำให้คนมีเสน่ห์ ! ? !
“Control Oil and you control nations;
control food and you control the people”
“ควบคุมน้ำมันได้ คุณก็ควบคุมชาติต่าง ๆ ได้
ควบคุมอาหารได้ คุณก็ควบคุมประชาชนได้”
เป็นคำพูดของนาย Henry Kissinger เมื่อช่วง ค.ศ. 1970 พูดมาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนทิศทางการเมืองระหว่างประเทศจะเป็นไปตามที่นาย Kissinger พูด
เรื่องบังเอิญหรือล็อกเป้า!
งั้นมาทำความรู้จักนาย Kissinger กันหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นคนขี้โม้ หมอดู หรือคนในรู้จริง
นาย Kissinger มีชื่อเต็มว่า Henry Alfred Kissinger ตอนเกิดใช้ชื่อว่า Heinz Alfred Kissinger เป็นคนเยอรมัน อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923 ตอนนี้ก็อายุปาเข้าไป 90 ปี นอกจากยังไม่ตายและยังปากเปราะเหมือนเดิม นาย Kissinger เป็นคนตัวเตี้ย และห่างไกลกับคำว่าเป็นคนหน้าตาดี เขาแต่งงานแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 แต่งกับนาง Nancy ผู้หญิงซึ่งตัวสูงกว่าเขาประมาณเกือบ 1 ฟุต เมื่อสมัยที่นาย Kissinger เรืองอำนาจ นาง Nancy เองซึ่งก็ไม่ใช่คนสวยอะไร จะมีรูปปรากฎอยู่ในนิตยสาร Vogue นานาชาติอยู่เสมอ นิตยสารนี้ นอกจากจะมีแต่รูปนางแบบระดับโลกแล้ว ผู้ที่จะได้มีภาพลงในหนังสือนี้ ก็จะต้องเป็นบุคคลที่สมัยนี้เรียกว่า Celeb คนดังว่างั้นเถอะ ตัวผัวก็ไม่หล่อ คนเป็นเมียก็ไม่สวย แต่ทั้งคู่ดังระเบิด แถมตัวผัวยังมีข่าวเสมอทางด้านส่วนตัวว่าเป็นชายเจ้าชู้ ไม่เร่ขายชาติ แต่ชอบทำลายชาติคนอื่นมากกว่า !
เมื่อนักข่าวถามว่า ได้ข่าวว่าท่านเจ้าชู้ มีสาวควงเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ ท่านทำได้อย่างไรนะ ในเมื่อ ขอโทษ ท่านก็ไม่ใช่คนหล่อ นาย Kissinger ตอบว่า “อำนาจก็ทำให้คนมีเสน่ห์ได้นะ” ฮา
นาย Kissinger มีอำนาจอย่างไร ถึงทำให้สาวๆ ยอมให้ควงบ่อยๆ แต่จะถึงขนาดจัดส่งขึ้นเครื่องบินไปร่วมร้องเพลงแก้เหงา หรือเปล่ารายงานข่าวไม่ได้บอก
นาย Kissinger เริ่มทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศ และต่อมาดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงต่างประเทศ ในสมัยประธานาธิบดี Richard Nixon และเป็นต่อมาจนถึงสมัยประธานาธิบดี Gerald Ford พูดง่ายๆ เป็นคนสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกาและแน่นอนของโลกด้วยในช่วงปี ค.ศ.1969 ถึง ค.ศ.1977
ผลงานของนาย Kissinger ที่เด่นๆ ที่ประกาศอย่างเปิดเผยลงใน Google คือ การคลี่คลาย (detente) สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต การเริ่มสร้างสัมพันธ์กับจีน และเริ่มขบวนการเจรจาสันติภาพที่ปารีส ซึ่งเป็นผลให้ยุติสงครามเวียตนาม (ที่อเมริกาเป็นผู้ริเริ่มนั่นแหละ !) ผลงานนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัล Nobel สาขาสันติภาพในปี ค.ศ.1973 คู่กับคู่กัด คือ นาย Le Duc Tho จากเวียตนามเหนือ แต่นาย Le Duc Tho ปฏิเสธที่จะรับรางวัล เขาเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ปฏิเสธรางวัล Nobel (เยี่ยม !)
เป็นการให้รางวัล Nobel สาขาสันติภาพ ที่ติดอันดับ 1 ใน 5 แห่งความอื้อฉาว และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากสัญญาสันติภาพของจริงกว่าจะได้ลงนาม ในปี ค.ศ. 1975 แต่ผู้เจรจาได้รับรางวัลล่วงหน้า เหมือนล็อตเตอรี่ยังไม่ออก แต่ประกาศแล้วว่าใครถูกรางวัลที่ 1 (เอ้า ตบมือให้ลูกน้องนักเล่นกลกันหน่อย)
แต่ผลงานของนาย Kissinger ที่ไม่ได้เปิดเผย แต่อยากเล่าให้ฟังคือ “National Security Study Memorandum 200” หรือที่เรียกชื่อย่อว่า NSSM 200 ซึ่งได้จัดทำขึ้น ภายใต้การกำกับและอำนวยการสร้างโดยนาย Kissinger เอง สำเร็จเป็นเอกสารหนาเกือบ 200 หน้า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1974
เอกสารนี้เกี่ยวกับอะไรลึกลับซับซ้อนอะไรหนักหนา ถึงขนาดตีตราครั่งว่าจะเปิดเผยได้ โดยคำสั่งของ White House เท่านั้น เก็บแอบซ่อนไว้ 15 ปี สภาความมั่นคงของอเมริกาก็เพิ่งเอามาเปิดให้อ่านกัน เมื่อ ปี ค.ศ. 1989
ตอนที่ 2 : NSSM 200 เอกสารลับซุกลึก (1)
เมื่อวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 นาย Henry Kissinger ได้มีหนังสือแจ้งไปยัง รมว.กลาโหม รมว. การเกษตร ผอ. สำนักงานข่าวกรอง (CIA) ผช.รมว. กลาโหม และผู้บริหารหน่วยงานพัฒนาด้านต่างประเทศ (AID) เกี่ยวกับผลกระทบต่อความมั่นคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศ เนื่องมาจากการเจริญเติบโตของประชากรโลก
หนังสือดังกล่าวแจ้งว่า ประธานาธิบดี Nixon สั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำการศึกษาเรื่องดังกล่าว โดยใช้วิธีการประมาณการหลายๆ แบบ ในแต่ละแบบจะต้องมีการประเมินถึงอัตราการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะของประเทศที่ยากจน ความต้องการของอเมริกาเกี่ยวกับ การส่งออกสินค้าประเภทอาหาร ปัญหาเกี่ยวกับการค้า ที่อเมริกาอาจจะต้องเผชิญ เนื่องจากการแข่งขันด้านทรัพยากร และความเป็นไปได้ที่การเจริญเติบโตของประชากรดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคกับนโยบายต่างประเทศ และความไม่มั่นคงระหว่างประเทศ
การศึกษาดังกล่าวจะต้องเสนอวิธีดำเนินการที่เป็นไปได้ สำหรับอเมริกาในการจัดการปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของประชากรโลก โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา โดยต้องให้ความสำคัญ ในประเด็นต่อไปนี้ด้วย
- อเมริกาจำเป็นต้องคิดวิธีการใหม่ ๆ หรือไม่ ในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว
- เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่คิดขึ้นมา เพื่อลดการเจริญเติบโต จะต้องได้ผลดีกว่าสภาพที่เป็นอยู่
- อเมริกาจะให้ความช่วยเหลือในด้านนี้ ผ่านหน่วยงานใด และควรจะเป็นสนธิสัญญาแบบใด คู่สัญญา 2 ฝ่าย หลายฝ่าย หรือแบบลับเฉพาะ
เขียนมาซะยาว สรุปสั้น ๆ ว่า อเมริกาเป็นห่วงว่า การที่ประเทศจนๆ จะมีอัตราการขยายตัวของพลเมืองเพิ่มสูงเกินไป จะมีผลกระทบกับทรัพยากรของประเทศนั้น และทำให้เป็นปัญหากับความไม่มั่นคงของอเมริกา
เอะ! เรื่องมันก็ดูธรรมดาๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นเลย แล้วจะมาเล่าให้เมื่อยมือคนเขียน เมื่อยตาคนอ่านทำไม
เมื่อได้รับคำสั่งจากนาย Kissinger สภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา (United States National Security) ก็รีบทำการศึกษาวิจัย กว่าจะเสร็จก็เป็นเวลาที่ประธานาธิบดี Nixon หลุดจากตำแหน่ง เพราะคดี Watergate ไปเสียแล้ว นาย Gerald Ford ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน มาถึงก็รีบรับไม้ต่อ เอาข้อเสนอตาม บันทึกลับ NSSM 200 ไปประกาศใช้เป็นนโยบายความมั่นคงของประเทศในปี ค.ศ. 1975 และให้อยู่ใต้การกำกับดูแลของนาย Kissinger ซึ่งก็ยังทำหน้าที่เป็น ครมว.ตปท. อยู่เหมือนเดิมร่วมกับนาย Brent Scowcroft (ซึ่งภายหลังได้มาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศแทนนาย Kissinger) และมี ผอ. CIA ชื่อ นาย George Bush (ตัวพ่อ) เป็นผู้ร่วมทีมกำกับการแสดงกับ รมว.การคลังรมว.กลาโหม และ รมว.การเกษตร
ประเทศเป้าหมาย ที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของ NSSM 200 มี 13 ประเทศ คือ อินเดีย บังคลาเทศ ปากีสถาน อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ตุรกี ไนจีเรีย อียิปต์ เอธิโอเปีย เมกซิโก โคลัมเบีย และบราซิล (ไง! เริ่มตาลุกขึ้นมาหน่อยละซี พอเห็นชื่อไทยแลนด์ สมันน้อยตื่นเร็ว!)
อะไรทำให้นาย Kissinger คิดเรื่องนี้ เสนอนโยบายนี้ และในภายหลังได้กลายเป็นนโยบายระดับประเทศด้านความมั่นคงของอเมริกา อย่างปิดลับถึง 15 ปี และทำไมสมันน้อยถึงได้เข้ารอบไปอยู่ใน 13 ประเทศ กับเขาด้วย อ่านต่อไปน่าพี่น้อง ขืนบอกกันง่ายๆ เดี๋ยวคนอ่านหายหมด เดี๋ยวนี้กว่าจะได้คนอ่านนิทานไม่ง่ายนะ เขาไปร่วมไล่โจรกับลุงกำนันกันหมดแล้ว
ตอนที่ 2 : NSSM 200 เอกสารลับซุกลึก (2)
เอกสารยาวเกือบ 200 หน้า ทำให้เห็นเค้าลางๆ ว่า อเมริกาเป็นห่วงเรื่องการเจริญเติบโตของประชากรโลก เพราะอะไร แหม! ไอ้จิกโก๋ นี่มันไม่โง่นะ มันมองหลายมิติ ทั้งในด้านทรัพยากร ด้านการเมือง ด้านสังคม และด้านความมั่นคงของประเทศ เพราะฉะนั้นจะรู้จักว่าจิกโก๋คิดอย่างไร อย่าทำตัวเป็นพวกจอแบน หรือที่สมัยนี้ เขาเรียกว่าพวกโลกสวยน่ะ
ในการดำเนินการตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เอกสารลับซุกลึกนี้ อเมริกาแบ่งประเทศเป้าหมาย 13 ประเทศ เป็น 3 กลุ่ม
- กลุ่มที่ 1 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง และไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ประเทศพวกนี้ก็จะเป็นภาระของอเมริกา ในฐานะพี่เบิ้มและประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี ที่จะต้องเลี้ยงดูและให้ความช่วยเหลือ
- กลุ่มที่ 2 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง แต่มีทรัพยากรธรรมชาติมีค่า อยู่ในประเทศดังกล่าว และเป็นทรัพยากรที่อเมริกาต้องการ โดยประเทศดังกล่าวจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ถ้าประเทศเหล่านี้มีประชากรเพิ่มขึ้นสูง ทรัพยากรของประเทศนั้น ก็อาจจะเหลือไม่เพียงพอกับความต้องการของอเมริกา
- กลุ่มที่ 3 คือ ประเทศที่ยากจน อัตราการเจริญเติบโตของพลเมืองสูง แต่มีทรัพยากรมีค่าอยู่ในประเทศดังกล่าว และเป็นทรัพยากรที่มีการแข่งขันกันสูงในการครอบครองระหว่างประเทศ และหากประเทศใดได้ครอบครอง ก็จะมีความได้เปรียบ อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของอเมริกา
ที่น่าสนใจ ในเอกสารดังกล่าว ระบุไว้ตอนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องทรัพยากร ว่าปัญหาการเชื่อมโยงระหว่างจำนวนประชากร กับปริมาณของทรัพยากร ในต่างประเทศที่อเมริกาต้องการนั้น อันที่จริงไม่ได้อยู่ที่ความเพียงพอของทรัพยากรอย่างเดียว
ปัญหาที่สำคัญกว่านั้น คือ การเข้าไปถึงทรัพยากรนั้นมากกว่า (จะเข้าไปขโมยของเขาอย่างไรน่ะ) โดยเฉพาะถ้าการเข้าไปถึง เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเมืองของประเทศเจ้าของทรัพยากรนั้น ซึ่งจะสร้างความยุ่งยาก หรือสร้างเงื่อนไขเกี่ยวกับการสำรวจ การขุดเจาะ การใช้สอย การแบ่งผลประโยชน์ระหว่าง อเมริกากับรัฐบาลของประเทศเจ้าของทรัพยากร
นอกจากนี้ เอกสารดังกล่าววิเคราะห์ด้วยว่า จำนวนประชากรของแต่ละประเทศ ก็เป็นเหตุปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เกิดปัญหาทางสังคม และการเมืองในแต่ละประเทศ ตัวอย่างเช่น ในประเทศที่พัฒนาแล้ว และฐานะทางเศรษฐกิจดี อัตราการเจริญเติบโตของประชากร จะอยู่ที่ต่ำกว่าร้อยละ 1 ต่อปี และประเทศเหล่านี้ จะมีปัญหาทางสังคมและการเมืองน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลย ในขณะที่ประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา อัตราการเจริญเติบโตของประชากรจะอยู่ที่อัตราร้อยละ 2.7 ถึงร้อยละ 3 ต่อปี และประเทศเหล่านี้ จะมีปัญหาสังคมและทางการเมืองสูง
ข้อเสนอตามเอกสารนี้ระบุว่า การแก้ปัญหาเบื้องต้น ที่น่าจะทำได้ง่ายและได้ผลที่สุด คือ การทำให้อัตราการเติบโตของประชากร ในประเทศเป้าหมาย เหลือศูนย์ และหากยังมีปัญหาทางสังคมและการเมือง ก็จะต้องมีการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น โดยวิธีการอื่นต่อไป
ตอนที่ 3 : ถุงยางแลกอาหาร
นาย Kissinger เสนอต่อที่ประชุมที่ดูแลนโยบาย ด้านความมั่นคงของชาติว่าการชลอการเจริญเติบโตของประชากร จะต้องเป็นนโยบายด้านความมั่นคง ในระดับจำเป็นสูงสุดของอเมริกา ที่จะใช้กับหลายประเทศในโลกที่สาม เพราะเศรษฐกิจของอเมริกา จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าทรัพยากรจากประเทศดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ถ้าปล่อยให้ประเทศเหล่านั้น มีประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะกระทบกับความมั่นคงของอเมริกา
ข้อเสนอของนาย Kissinger ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง จากผู้มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายความมั่นคงของประเทศ เช่น นายพล Alexander Haig นาย Cyrus Vance และนาย Ed Muskie นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับความคิดของอดีตประธาน World Bank คือ นาย Robert Mcnamara ซึ่งบอกว่า ปัญหาเรื่องประชากรล้นโลกนี้ กระทบต่อความมั่นคงของอเมริกา มากกว่าเรื่องระเบิดนิวเคลียร์เสียอีก
เมื่อได้ไฟเขียวอย่างนั้น นาย Kissinger ก็เดินแผนต่อ แต่ความที่มันเหลี่ยมจัด ถ้าอเมริกาจะทำเรื่องนี้เองอาจตกเป็นเป้า ว่าอเมริกามีความคิดที่จะจำกัดพลเมืองโลก (Depopulation) เป็นพี่เบิ้ม เล่นบทนี้คงไม่สวยแน่ การตอแหลเพื่อชาติ จึงเกิดขึ้น
อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงได้ยื่นข้อเสนอต่อสหประชาชาติว่า การที่ประเทศยากจน ขาดแคลนอาหาร และไม่สามารถช่วยตัวเองได้ แต่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นในอัตราสูง จำเป็นที่โลกจะต้องให้ความสนใจ และสิ่งที่ประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี จะสามารถและควรช่วยได้คือ การให้ความช่วยเหลือทางด้านอาหาร (Food Aids) แต่ประเทศเหล่านั้น ก็ควรที่จะรับรู้ปัญหาของตนเอง และให้ความร่วมมือเป็นการแลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือ ด้วยการดำเนินการชลอการเจริญเติบโตประชากรของตน ด้วยการวางแผนครอบครัว (Family Planning) ฟังแล้วนุ่มหู เหลือเกินนะ
แต่ถ้าพูดภาษาจิกโก๋ ก็หมายความว่า ไม่อยากอดอยาก ก็อย่ามีลูกมาก ลูกมากจะยากจน อะไรทำนองนี้ คนจนไม่มีทางเลือกมาก จำไว้ แล้วในที่สุด UN ก็รับข้อเสนอของพี่เบิ้ม มาอยู่ในความสนับสนุนเป็นโครงการของ UN โดยมีองค์กรของ UN และประเทศสมาชิกต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลืออย่างดี
แต่ที่อเมริกาไม่ได้แจงต่อ UN คือ ชื่อประเทศเป้าหมาย 13 ประเทศของอเมริกา และประเทศใดอยู่ในกลุ่มใด และที่ยิ่งกว่าแน่ อเมริกาไม่มีวันบอกว่า มีความเกี่ยวโยงกับความต้องการของอเมริกา ต่อทรัพยากรของประเทศเหล่านั้นอย่างไร เอกสารนี้จึงต้องเก็บเป็นเอกสารประเภทลับสุดยอด อยู่ถึง 15 ปี
แล้วท่านผู้อ่านนิทาน คิดว่าไทยแลนด์ สมันน้อยของเรา อยู่ในประเภทไหน?
ตอนที่ 4 : เรื่องของคนโคตรรวย (1)
ช่วงปี ค.ศ. 1960 ศูนย์อำนาจของอเมริกาไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลเท่านั้น แต่ยังถูกกำกับโดยกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นชนชั้นนำของอเมริกา (Elites) พูดง่ายๆ ว่าเป็นพวกคนรวยผู้มีอิทธิพลในสังคมชั้นสูงนั่นแหละ บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ควบคุมแนวความคิดของบรรดานักวิชาการ นักการเมือง นักธุรกิจ นักการเงินและสื่อ
ผู้นำกลุ่มศูนย์อำนาจนี้ คือ ครอบครัว Rockefeller
อิทธิพลของตระกูล Rockefeller มีสูงและครอบคลุมไปทั่วอย่างที่ในประวัติศาสตร์อเมริกา ยังไม่เคยมีตระกูลใดทำได้ถึงขนาดนี้ เขาใช้อะไรครอบอะไรคลุมล่ะ คนรวยเข้าใช้อะไรครอบขี้ข้า เงินไงล่ะ พี่น้อง แบบนี้เขาเรียกผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย หรือเปล่านะ (ฮา)
ตระกูล Rockefeller ร่ำรวยมาจากธุรกิจน้ำมัน (ไม่ใช่ธุระกิจมือถือ ดาวเทียม นั่นมันเศรษฐีปลายแถว อย่ามาตีเสมอ) ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 จากบริษัท Standard Oil (ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น Exxon Mobil เมื่อประมาณ ปี ค.ศ. 1999) ของตระกูล ต่อมาก็ทำธุรกิจธนาคาร โดยเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ซึ่งเป็น 1 ในธนาคารใหญ่ระดับโลก และด้วยเงินมหาศาลของครอบครัว ตระกูลนี้ก็เริ่มเข้าไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมการเกษตร และที่สำคัญได้เข้าไปมีอิทธิพลต่อนักการเมือง (ถึงว่าซิ มันต้องรวยจากน้ำมัน ถึงจะเจ๋งจริง)
บริษัท Standard Oil ถือเป็น ผู้ครอบครองอาณาจักรธุรกิจน้ำมัน ระดับยักษ์ใหญ่จริง ๆ เป็นอาณาจักรที่ครอบครอง บ่อน้ำมันในประเทศ 20,000 แห่ง มีท่อส่งน้ำมันยาวถึง 4,000 ไมล์ รถขนส่งน้ำมัน 5,000 คัน และมีพนักงานมากกว่า 100,000 คน เป็นบริษัทที่ทำการกลั่นน้ำมัน จำนวน 80 – 90 % ของน้ำมันโลก ตลอดศตวรรษดังกล่าว
ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตระกูล Rockefeller เกือบจะเป็นเจ้าของตึกส่วนใหญ่ใน New York City ซึ่งรวมถึง ตึก World Trade Centre Tower, Lincoln Centre, One Chase Manhattan Plaza และ Nelson A. Rockefeller Empire State Plaza
นอกจากในวงการธุรกิจแล้ว ตระกูล Rockefeller ยังเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย Chicago และมหาวิทยาลัย Philippines และเป็นผู้อุปถัมภ์ใหญ่ ให้แก่มหาวิทยาลัยชั้นนำในอเมริกา ที่เรียกว่า Ivy League ได้แก่
- Harvard University
- Dartmouth College
- Princeton University
- Standford University
- Yale University
- Massachusetts Institute of Technology (MIT)
- Brown University
- Columbia University
- Cornell University
etc.
ตอนที่ 4 : เรื่องของคนโคตรรวย (2)
เอ้า ! มารู้จักครอบครัวตัวอย่าง (คนโคตรรวย) กันหน่อย ใครเป็นใคร อ่านตอนหลังจะได้ไม่งง ตระกูล Rockefeller เป็นคนอเมริกัน เชื้อสายเยอรมัน ผู้นำครอบครัว ที่ทำให้ตระกูลเขามีอิทธิพล มีสายตายาวไกลมาก (นักมายากลตัวพ่อ) คือ นาย John Davison Rockefeller Senior สมาชิกตระกูลที่สืบทอด DNA ของคุณป๋าจอห์น ที่สำคัญมี
- John Davison Rockefeller, Junior
- David Rockefeller
- Nelson A. Rockefeller
- Laurence Rockefeller
- John Davison Rockefeller III
เมื่อรวยล้นฟ้าและมีอิทธิพลขนาดนี้ กลุ่มตระกูล Rockefeller จะอยู่เฉยได้ยังไง คนรวยมีเงิน ก็อยากมีอำนาจ สูตรสำเร็จเดิม ๆ จึงมีแนวคิดที่จะควบคุมนโยบายเศรษฐกิจการเมือง ของอเมริกาและแน่นอนถ้าคุมอเมริกาได้ก็คุมโลกได้ เพื่อให้รวยขึ้นและมีอำนาจอยู่ในมือมากขึ้นอย่างประมาณมิได้
แล้วจะทำกันเฉพาะในครอบครัวมันคงไม่ใหญ่พอมั้ง มันก็ต้องโชว์พาว ว่าแล้วพี่น้องตระกูล Rockefeller ก็ทำการคัดเลือก เฉพาะคนรวยและชนชั้นนำในสังคม จำนวน 300 คน จากเพื่อนและพวกของตนที่มีอิทธิพลสูงในวงการต่างๆ ที่อยู่ในอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น และก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า Trilateral Commission ขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1973 เพื่อจะกำหนดทิศทางเดินของโลกเสียใหม่ ตามที่พวกตนต้องการ (ปัจจุบันนี้สมาคมผู้ทรงอิทธิพลมีสมาชิก จากประเทศแถบเอเซียเพิ่มขึ้นด้วย)
ในจำนวนรายชื่อสมาชิกผู้ก่อตั้ง Trilateral Commission ของ David Rockefeller มีบุคคล เช่น Zbigniew Brzezinski (รายนี้สำคัญ จำกันไว้ให้ดี) และผู้ว่าการรัฐ Georgia คนทำไร่ถั่ว ชื่อ นาย James Earl “Jimmy” Carter (ผู้ซึ่งนาย David Rockefeller สนับสนุนให้เป็นประธานาธิบดี สมัย ค.ศ.1976 แทนนาย Gerald Ford) นาย George H. W Bush (ซึ่งก็ได้เป็นประธานาธิบดี โดยการสนับสนุนของกลุ่มคนรวย แถมยังมีบทบาทที่สำคัญมาก ๆ ต่อมาภายหลังอีกด้วย) Paul Volcker ผู้ซึ่งในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter ได้แต่งตั้งให้เป็นประธาน Federal Reserve นาย Alan Greenspan ซึ่งแม้ตอนนั้นจะเป็นเพียง นักวาณิชย์ธนกิจอยู่แถว Wall Street แต่มีแววโดดเด่นเข้าตากรรมการ รวมทั้งนายพล Alexander Haig, นาย Cyrus Vance และ นาย Ed Muskie (ทั้ง 3 คน ต่อมาได้รับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ นายพล Haig ได้เป็นสมัย นาย Ronald Reagan ส่วน 2 คนหลัง เป็นในสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter คนหนึ่งเป็นช่วง ค.ศ. 1977 - 1980 อีกคนเป็นต่อ ค.ศ. 1980 – 1981) อืม! เข้าใจเล่นนะ พวกคนรวย
ตอนนั้นนาย Brzezinski เพิ่งเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นที่แพร่หลาย แต่โดนใจพวก Rockefeller อย่างยิ่ง ชื่อ “Between Two Ages: America’s Role in the Technotronic Era พิมพ์ในปี ค.ศ. 1970
เขาบอกว่า “สังคมควรจะต้องครอบงำ หรือปกครองโดยบุคคล ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) ซึ่งคนพวกนี้ ต้องไม่ลังเล ที่จะทำให้ได้มา ซึ่งอำนาจทางการเมือง โดยใช้เทคนิคใหม่ ๆ ให้มีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมสังคม รวมทั้งการจัดระเบียบสังคม ย้อมพฤติกรรมสังคม ซึ่งจะเป็นการกำหนดและควบคุมสังคมด้วย”
แม่เจ้าโว้ย ยังกะนั่งเขียนอยู่ในใจของนาย David Rockefeller เลยนะ
นอกจากนี้ในหนังสือดังกล่าว นาย Brzezinski ยังได้เสนอความคิดว่า น่าจะได้มีการจับมือกันระหว่างบรรษัทและธนาคารที่มีอิทธิพลและเครือข่ายข้ามชาติ ระหว่างนักธุรกิจชั้นนำของยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น เพื่อกำหนดนโยบายการทำธุรกิจร่วมกัน โดยการดำเนินการอย่างเป็นความลับ
โอ้ย ไอ้หมอนี่ถ้าไม่เอามาใช้เป็นมือขวาก็ต้องมาเป็นมือซ้ายแน่นอน นาย David รำพึง
แล้วนาย Bazezinski ก็ได้รับเลือกจากนาย David Rockefeller ให้เป็นกรรมการบริหารคนแรกของ Trilateral Commission
ตอนที่ 5 : เรื่องของคนโคตรรวย (สาขาประเทศไทย ! ?)
คงมีคนอยากรู้ ว่าแล้วมีสมันน้อยได้รับเชิญ เข้าไปร่วมใน สมาคมคนรวยผู้มีอิทธิพล Trilateral Commission กันบ้างไหมหนอ แหม!
ไม่อยากบอกเลย เดี๋ยวจะหาว่าคนเล่านิทานเล่นไม่เลิก นี่ก็ว่าตามเอกสารนะ
ก็มีล่ะซี ดูจากรายชื่อสมาชิกสมาคมคนรวยผู้มีอิทธิพล Trilateral Commission ปี ค.ศ. 2010 ปรากฎมีคนไทย 4 ราย บางชื่อ ไม่น่าเดากันผิด (555)
1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานธนาคาร Exim แห่งประเทศไทย
2. มรว. เกษมสโมสร เกษมศรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตปลัดกระทรวง ต่างประเทศ
3. นายอานันท์ ปันยารชุน
4. นายสารสิน วีระผล
ชื่อที่ 3 คงไม่ต้องเขียนบรรยายสรรพคุณกันแล้ว ท่านผู้อ่านที่เคยอ่าน นิทานเรื่องจริง เรื่องจิกโก๋ปากซอย คิดเอาเองได้ คนอ่านนิทานฉลาดกันทั้งนั้น
แต่ชื่อที่ 4 นายสารสิน วีระผล นี่เป็นใคร มาได้ยังไง ตอบสั้น ว่าไม่รู้ แต่มีเอกสารน่าสนใจเกี่ยวกับนายสารสิน อ่านกันแล้ว ไม่รู้จะเห็นคำตอบกันหรือเปล่า
อย่างที่เคยเล่าไว้ในนิทานจิกโก๋ปากซอย อเมริกาเมินไทยแลนด์ สมันน้อยไปนาน หลังจากสงครามเวียตนามเลิก จะกลับเข้ามาใหม่ ก็ต้องเริ่มกระชับมิตรกับบรรดานักวิ่งผลัด พี่ทหารที่รักทั้งหลาย ดังนั้นในปี ค.ศ. 2010 ช่วงที่อาเฮียแผ่นดินใหญ่ กำลังรวยเอา รวยเอา ท่านแม่ทัพภาค 7 แห่งกองทัพเรืออเมริกัน ที่ประจำอยู่ที่ฐานทัพอเมริกาที่โอกินาวา ทนไม่ไหวต้องรีบนั่งเรือรบมาเช็คว่าบรรดานักวิ่งผลัด ยังอยู่ในกระเป๋าเหมือนเดิมหรือเปล่า
ที่จะเล่าต่อไปนี้ อภินันทนาการจาก การทำหล่นของ Wikileaks อ่านกันเพลินดี
“เรื่อง Admiral Willard มาเยือนประเทศไทย
รายงานเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010
โดย เอกอัครราชทูต Eric G. John
สรุปย่อ ๆ ว่า ท่านนายพล Willard ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรืออเมริกา ประจำภาคพื้นแปซิฟิก ได้มาเยี่ยมประเทศไทย เมื่อระหว่างวันที่ 2 ถึง 7 ธันวาคม ค.ศ. 2010 และได้มีการหารือกับผู้นำฝ่ายไทย ฝ่ายไทยยืนยันว่า จะให้ความร่วมมือกับกองทัพอเมริกัน และถือว่าความช่วยเหลือของอเมริกาทางการทหารเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง และเป็นการดุลอำนาจในภูมิภาคนี้
ผู้เข้าร่วมประชุมฝ่ายอเมริกา คือ
- Admiral Willard
etc
ผู้เข้าร่วมประชุมฝ่ายไทย
- นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ เวชาชีวะ
- รมว.กลาโหม ประวิตร วงศ์สุวรรณ
- รมว.ตปท. กษิต ภิรมย์
- ผบ.สส ทรงกิตติ จักกาบาตร์
นอกจากนี้ Admiral Willard ยังได้หารือกับ ผบ.ทบ อนุพงศ์ เผ่าจินดา รองผบ.ทบ ประยุทธ์ จันท์โอชา รองเลขาธิการ นายก อภิสิทธิ และโฆษกรัฐบาล ดร.ปณิธาน วัฒนายากร รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ซีพี และอดีตนักการทูตระดับสูง นายสารสิน วีระผล และผู้ช่วยบรรณาธิการกลุ่ม Nation Multimedia กวี จงกิจถาวร”
เขาคุยกันเรื่องการทหาร มีนายกรัฐมนตรีกับนายทหารเข้าร่วมประชุม
กรณี ดร.ปณิธาน นั่นไม่แปลก เพราะเป็นผู้เกี่ยวข้องของรัฐบาลไทย และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ
กรณีนายกวี แปลก แต่ยังพออธิบายได้ว่าเป็นสื่อ แต่ทำไมต้องเป็นสื่อนี้ และคนนี้ วันหลังต้องหาคำตอบมาแก้ข้อข้องใจ (คนเล่านิทาน)
แต่กรณีที่หาคำอธิบายไม่ได้คือ นายสารสิน วีระผล แห่งซีพีกรุ๊ป ซึ่งทำธุรกิจขายอาหารและเมล็ดพันธ์ุพืช และอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งเป็นเจ้าของโทรศัพท์ 2 ล้านเลขหมาย (ถ้าท่านใดเคยอ่านนิทานเรื่องจริง เรื่องจิกโก๋ปากซอย คงพอจำเรื่องนี้ได้นะ ถ้าไม่เคยอ่าน ก็น่าจะกลับไปอ่านกันหน่อย บางเรื่องมันต่อกัน เดี๋ยวเห็นภาพไม่ชัด) แล้วนายสารสิน มาเกี่ยวอะไรด้วยในการสนทนา ! ? !
เอกสาร Wikileaks นี้ ทำหล่นมา2,3 ปีแล้ว ตอนที่อ่านเอกสาร เห็นชื่อนี้ก็แปลกใจ แต่พอเริ่มเขียนนิทานเรื่องนี้ และไปค้นเอกสารที่เกี่ยวข้อง เจอรายชื่อนี้ ว่าอยู่ใน Trilateral Commission ก็เลยไม่แปลกใจเท่าไหร่แล้ว และยิ่งท่านผู้อ่านนิทาน อ่านนิทานเรื่องนี้ต่อไป อาจหายแปลกใจ แต่จะเปลี่ยนเป็นตกใจเลย หรือไม่ก็ดูกันไปแล้วกัน
สำหรับชื่อหมายเลข 1 นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ได้ลองค้นประวัติดู ได้ความว่าจบ
เศรษฐศาสตร์ ปริญญาเอก จาก John Hopkins มหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ผ่านงานมาสารพัด ทั้งด้านธุรกิจและการเงิน เคยดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงพาณิชย์ และเป็นกรรมการนโยบายการเงิน (กนอ.) และอื่นๆ ยาวเหยียดเขียนไม่ไหว แต่ที่น่าสนใจ คือ เป็นผู้จัดทำการวิจัยแนวนโยบายอุตสาหกรรมและการค้า ซึ่งจะกำหนดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2535 – 2539)
สำหรับหมายเลข 2 มรว.เกษมสโมสร เกษมศรี เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชฑูตไทย ประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ.2518 – 2522 (คนแรก) และตำแหน่งเอกอัครราชฑูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน อเมริกา พ.ศ.2525 – 2529
ส่วนนายสารสิน วีระผล นั้น เคยรับราชการกระทรวงต่างประเทศ ประจำสถานฑูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง พ.ศ.2522 – 2524 ประจำสถานฑูตไทย ณ กรุงโตเกียว พ.ศ.2529 – 2531 และเป็นเอกอัครราชฑูตไทย ประจำกรุงมนิลา พ.ศ.2535 – 2538
สำหรับหมายเลข 3 นายอานันท์ ปันยารชุน คงไม่ต้องการคำอธิบายกันมาก
ตอนที่ 6 : ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย
Trilateral Commission เป็นองค์กรส่วนบุคคล เป็นการร่วมตัวของกลุ่มบุคคลในหลาย ๆ วงการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับสูง (Elites) มีวัตถุประสงค์ที่จะกำหนดยุทธศาสตร์โลก ผ่านเครือข่ายนานาชาติที่เชื่อมโยงกัน ในฐานะคู่ค้าหรือหุ้นส่วนทางการค้า โดยมีตระกูล Rockefeller เป็นผู้นำกลุ่ม ซึ่งเมื่อรวมทรัพย์สิน และอิทธิพลทางการเมือง และเศรษฐกิจของพวกเขาแล้ว ไม่มีใครจะมีรัศมีและบารมี (เหนือประชาธิปไตย) มาทาบได้
ความปรารถนาของพวกเขาคือ ต้องการจะสถาปนา สิ่งซึ่ง George H. W Bush เรียกภายหลังว่า การจัดระเบียบโลกใหม่หรือ New World Order ซึ่งมุ่งเน้นที่จะสร้างและขยายความมั่งคั่ง ภายใต้นโยบายเดียวกัน ทิศทางเดียวกัน หลักเกณฑ์เดียวกัน เสมือนมีรัฐบาลเดียว คือ Global government โดยมี Trilateral Commission เป็นผู้ปูทาง วางรูปแบบกฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งต่อมาในยุค ค.ศ.1990 เป็นที่รู้จักกันในนาม “Globalization” หรือ “โลกาภิวัฒน์”
พวกเขาบอกว่า ปัจจัยที่จะทำให้อเมริกาจะเป็นมหาอำนาจครองโลกนั้น จะต้องพร้อมด้วย แก้ว 3 ประการ
- กองทัพอันเกรียงไกร ที่ไม่มีผู้ใดจะกล้ามาท้าทาย
- เงินสกุลดอลล่าร์ จะต้องเป็นสกุลเงินที่ใช้เป็นทุนสำรอง
- การมีอำนาจควบคุมน้ำมันและอาหาร
ปี ค.ศ.1973 ขณะที่บางซีกของโลกกำลังขาดแคลนอาหาร อเมริกามีอาหารเหลือกิน ประธานาธิบดี Nixon ก็กำลังยืนหน้าเขียวพิงเชือก ถูกกรรมการนับ จากสงครามเวียตนาม ทำท่าจะหลุดจากเชือกลงมากองกับพื้นเสียด้วยซ้ำ
พอดีผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจัดส่งนาย Henry Kissinger มาให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาด้านความมั่นคง
นาย Kissinger ไม่รอช้า เสนอความเห็นกับนาย Nixon ว่า เราควรจะใช้อาหารเป็นพระเอกในด้านการฑูตนะ ควบคู่กับการแสวงหาน้ำมันไปกับภูมิศาสตร์การเมือง
อืม! เด็กเรามันใช้ได้จริงๆ นะ ไม่เสียเวลาเลย นาย David รำพึง
ลืมบอกไปว่าในปี ค.ศ.1950 นาย David Rockefeller เป็นคนไปคัดเลือกตัว นาย Kissinger ตั้งแต่นาย Kissinger ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Harvard เพื่อให้มาทำงานในโครงการสำคัญของมูลนิธิ Rockefeller
เริ่มเห็นภาพกันหรือยังท่านผู้อ่านนิทาน นาย Kissinger ตกลงไม่ใช่คนขี้โม้ และไม่ใช่หมอดู แต่เป็นอะไรนะ คนอ่านนิทานตอบได้น่า
แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อเป็นการสนองนโยบาย (ใครไม่รู้) นาย Kissinger เห็นว่า นโยบายเกี่ยวกับการเกษตรนั้นสำคัญยิ่ง ไม่ควรทิ้งให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงการเกษตรเลย เขาเลยนำมากำกับดูแลเอง โดยบอกว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ
เราต้องใช้อาหารเป็นเครื่องมือสำหรับให้รางวัลเพื่อน และลงโทษศัตรู นโยบายแบบนี้วอชิงตันก็ชอบ นาย David Rockefeller ก็พอใจ มันสมกับเป็นนักการฑูตผู้ยิ่งใหญ่จริง ๆ ไอ้คนนี้มีเสน่ห์เพราะอำนาจ ! ? !
ตอนที่ 7 : ยุทธศาสตร์ มายากล
ก่อนที่จะเปิดตัวกลุ่ม Trilateral Commission ตระกูล Rockefeller ได้วางแผนที่จะควบคุมทั้งอาหารและน้ำมันไว้แล้ว
เขาวางแผน แบบหมากล้อมบวกมายากล อำพรางเป้าหมายจริงของพวกเขา จนแทบมองกันไม่ออก มันเป็นวิธีการของนักมายากลชั้นเซียนระดับโลกจริง ๆ ให้คนดูมองแต่หน้าฉาก แต่การจัดการหลังฉากเป็นอย่างไร ดูกันไม่ทัน ไอ้ที่ทำให้ช้างหายไปทั้งตัว ต่อหน้าต่อตาน่ะ มันเรื่องเด็ก ๆ
ช่วงปลายปี ค.ศ.1930 ต่อ ค.ศ.1940 เศรษฐีอเมริกัน เริ่มมองเห็นแล้วว่า อังกฤษน่าจะน่วมไปไม่รอดจากการศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่น่าจะรักษาตำแหน่งแชมป์นักล่าอาณานิคมหมายเลข 1 ไว้ได้อีกนาน แต่เศรษฐีอเมริกันก็ใจร้อน (คนรวยมันก็ใจร้อนแบบนี้ทั้งนั้น) จะรอให้แชมป์ประกาศวางมือก็รอไม่ไหว นักล่าหน้าใหม่จึงรีบคิดแผนสร้างโอกาสสร้างบารมี เพื่อจะให้อเมริกาเป็นแชมป์ใหม่ที่จะควบคุมโลก ทั้งในด้านการทหาร และเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับของพวกเขาเสียเอง
แล้วพวกเขาก็วางแผน สร้างเสื้อคลุมยี่ห้อพี่เบิ้ม ผู้ปรารถนาดี ผู้ปกป้องโลกสวยห่อหุ้ม เป้าหมายแท้จริง คือ การให้อเมริกาเป็นนักล่ารายใหม่ (นักล่าอาณานิคม !)
เมื่อมีแนวความคิดข้างต้น พวกเขาก็ไม่รอช้า กวาดตาหาพื้นที่ผู้ที่จะเป็นเหยื่อ พี่น้องพวกโคตรรวยเห็นพ้องกันว่าลาตินอเมริกา น่าจะเหมาะนะ เพราะเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ และหลายอย่างมันก็ลงตัวสำหรับเป้าหมายของเรานะน้องนะ ว่าแล้วก็แบ่งงานกันระหว่างพี่น้องในตระกูล
ช่วงต้น ค.ศ.1940 นาย Nelson Rockefeller เป็นคนเข้าไปทำธุรกิจน้ำมันกับธุรกิจธนาคาร ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของตระกูล รวมทั้งสร้างโอกาส ในด้านอื่นๆ (การเมือง !) ด้วย
ส่วนนาย Laurence Rockefeller ก็ไปกว้านซื้อท้องไร่ ท้องนา เปล่า พวกเขาไม่ได้คิดจะไปทำไร่ ไถนา หรอก นั่นเป็นเรื่องของคนจน คนรวยเขาคิดทำธุรกิจ ธุรกิจการเกษตร เพื่อจะทดลองกรรมวิธี ผูกขาดอาหารโลก เช่นเดียวกับผูกขาดน้ำมัน !
ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (1)
พวกเศรษฐีนักมายากล เล่นกลกันเป็นระบบ เมื่อเขากว้านซื้อไร่ ซื้อนา ในแถบละตินอเมริกาแล้ว อีกด้านหนึ่ง ก็ทุ่มทุนผ่านมูลนิธิ Rockefeller ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ ตามห้องทดลองเกือบ 50 แห่ง
ในช่วงปี ค.ศ.1950 - 1960 ตระกูล Rockefeller ได้ทดลองการผสมพันธ์พืชใหม่ (hybrid) เมื่อเริ่มเห็นผลพอใช้ได้ก็จับมือ Cargill บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านธุรกิจเกษตร และพันธ์พืช ให้มาเป็นพันธมิตรแล้ว เริ่มทดลองเพาะข้าวโพดพันธ์ hybrid และนำมาทดลองปลูกในลาตินอเมริกา และต่อมาก็ทดลองกับพันธ์พืชต่างๆ ที่เรียกว่า GMO (genetic engineering food crops) โดยเฉพาะข้าว
ซึ่งเศรษฐีนักมายากล ได้ดำเนินการให้แพร่หลายอยู่ในลาตินอเมริกา เม็กซิโก รวมทั้งเอเซีย เช่น อินเดีย และฟิลิปปินส์
ทั้งหมดอยู่ภายใต้เป้าหมายที่แท้จริงของนักมายากล ที่จะควบคุมอาหาร สำหรับประชากรโลก (ที่สาม) ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ความมั่นคงของอเมริกา โดยปฏิบัติการไปพร้อมกับ เรื่องน้ำมันและอำนาจของกองทัพอเมริกา
มันเป็นยุทธศาสตร์ของอเมริกาได้อย่างไร
ไม่ยากสำหรับ นาย Nelson Rockefeller ซึ่งเป็นนักเล่นกลฉากนี้ เพราะรมว.ต่างประเทศของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ.1952 จนถึง ค.ศ.1979 ล้วนแต่เป็นคนที่ตระกูล Rockefeller สร้างมาทั้งนั้น เช่น นาย John Foster Dulles นาย Dean Rusk นาย Henry Kissinger และนาย Cyrus Vance
ในปี ค.ศ. 1970 ร้อยละ 95 ของจำนวนธัญญพืชอยู่ในมือของ 6 บรรษัทข้ามชาติ Cargill Grain Company, Continental Grain Company, Cook Industries Inc., Dreyfus, Bunge Company และ Archer Daniel Midland ทั้งหมดเป็นบริษัทที่มีฐานอยู่ที่อเมริกา
Cargill ใช้เวลาอยู่กว่า 2 ทศวรรษ ในการเปลี่ยนนโยบายการค้าของอเมริกา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อเมริกาสามารถครองตลาดโลกได้ ในธุรกิจการขายเมล็ดพันธ์เกษตร GMO ยาฆ่าแมลงและปุ๋ย และทำให้ชาวไร่ ชาวนา ทั่วโลก เปลี่ยนจากการทำเกษตรในครัวเรือน เป็นเกษตรอุตสาหกรรม และเป็นการเปลี่ยนเมล็ดพันธ์พืชที่ใช่ต่อเนื่องหมุนเวียนไปทุกฤดูกาล เป็น GMO เมล็ดพันธ์ุพืชที่ใช้ได้เพียงฤดูกาลเดียว ทั้งหมดนี้ เริ่มต้นตั้งแต่สมัยรัฐบาล Nixon
บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Cargill อัดตลาดเกษตรด้วยพืช GMO ขยายตัวเกษตรอุตสาหกรรมด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืชเช่นนี้ไปทั่วโลก โดยเฉพาะโลกที่สาม ขณะเดียวกันก็บอกกับชาวไร่ชาวนาในประเทศโลกที่สามว่า ถ้าขืนทำการปลูกข้าว ธัญญพืช อื่นๆ รวมทั้งเลี้ยงสัตว์ด้วยพืชจากการเกษตรในครอบครัว ยูจะล่มจม เพราะไอจะอัดยูด้วย GMO เข้าใจมั้ย เพราะฉะนั้น ถ้ายูไม่ใช้เมล็ดพันธ์ุGMO พวกยูก็ไปทำไร่ผักสวนครัว ปลูกพริก หอม กระเทียม หรือ ปลูกกล้วย ปลูกอ้อย แทนแล้วกัน
สำหรับโลกที่ 3 เมื่ออเมริกาส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO เข้าไปให้ มีแต่คนปรบมือ พวกเขาเรียก วิวัฒนาการดังกล่าวว่า Green Revolution มันควรจะได้รับการปรบมือแน่จริงหรือ มาทำความรู้จัก Green Revolution กันหน่อย
ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (2)
Green Revolution เป็นศัพท์เทคนิคที่อดีต ผอ. USAID คิดขึ้น เขาบอกว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ดัดแปลงพันธุกรรมเมล็ดพันธ์พืช เพื่อให้โตไว เขานำไปใช้ทดลองกับการปลูกข้าวในอินเดีย เมื่อประมาณปี ค.ศ.1961 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเดียกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร ข้าวพันธ์ุดังกล่าว ให้ผลผลิตเป็น 10 เท่า ของข้าวพันธ์ุธรรมดา แต่ต้องใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง
คนอินเดียตาโตเห็นแต่ผลผลิต 10 เท่า อินเดียกลายเป็นประเทศส่งข้าวออกสูงอันดับต้นๆ คนขายพันธ์ุข้าวนับเงินเพลิน เพราะพันธ์ุข้าวนี้ต้องซื้อทุกครั้งที่ปลูก อย่าลืมบวกค่าปุ๋ยเคมี ค่ายาฆ่าแมลงด้วย แถมต้องทำระบบชลประทานด้วย ใครเป็นคนมาช่วยคิดช่วยทำ ใครขายเครื่องจักร คงพอนึกกันออก
ฟิลิปปินส์ได้รับเกียรติเป็นหนูตะเภาตัวต่อมา โดยความอนุเคราะห์ของมูลนิธิ Ford และมูลนิธิ Rockefeller ได้จัดตั้งสถาบัน International Rice Research Institute (IRRI) ดัดแปลงข้าวข้ามสายพันธ์ุ เรียกว่า M 8
M 8 นี่ก็เหมือนกัน ต้องใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงมากมาย แต่ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธ์ุธรรมชาติ การใช้ข้าวพันธ์ M 8 ทำให้ฟิลิปปินส์กระโดดเป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นครั้งแรก ในประมาณปี ค.ศ.1966 แต่การใช้ยาฆ่าแมลงอย่างแรง ทำให้ปลาและกบหลายพันธ์ุในนาข้าวตายเกลี้ยง
Argentina เป็นอีกกรณีที่น่าสนใจ ได้รับเลือกเป็นหนูตะเภา แบบครบวงจร ในปี ค.ศ.1980 การทดลองพืช GMO ถึงขั้นเกือบสมบูรณ์ และนาย Carlos Menem ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี นาย Menem แน่นอน เป็นเด็กสร้างของตระกูล Rockefeller เขาเห็นพ้องทุกอย่างที่ ทางวอชิงตันและตระกูล Rockefeller เสนอ ถึงขนาดยอมให้เพื่อนของนาย David Rockefeller ที่อยู่แถววอชิงตัน ร่างแผนเศรษฐกิจประเทศให้ เป็นแผนเศรษฐกิจตามทฤษฎีที่ศึกษากันอยู่ในมหาวิทยาลัย Chicago เช่น การยกเลิกรัฐวิสาหกิจ การยกเลิกกฎระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคต่อทุนเสรี เปิดประตูให้การค้าเสรีเข้าสะดวก
เอ๊ะ! นี่มันแผนพัฒนาเศรษฐกิจ แผนเปิดเสรี แบบที่สมันน้อยทำเลยนะ คนที่อ่านนิทานจิกโก๋ปากซอยมาแล้ว คงพอจำได้
Argentina เข้าสู่การปลูกพืช GMO อย่างจริงจัง ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลของตน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1996 ถึง ค.ศ.2004 หลังจากเปลี่ยนเป็นใช้พืช GMO ไปไม่กี่ปี ชาวไร่ ชาวนา ของ Argentina ก็เริ่มเป็นหนี้ ไม่มีปัญญาใช้หนี้เขาต้องขายหรือถูกยึดไร่นา แล้วต่างชาติก็เข้าไปกว้านซื้อไร่ ซื้อนา ในราคาถูก แสนถูก
ทั้งหมดเกิดขึ้น ภายใน 10 ปี อ่านนิทานตอนนี้แล้ว ลองนึกถึงเรื่อง ปรส. กันบ้างไหม แม้ไม่ใช่เป็นอุปกรณ์เล่นกลเดียวกัน แต่ฉากเล่นกล มันไม่ต่างกันเท่าไหร่
ตอนที่ 8 : เมล็ดพันธ์พิฆาต (3)
ตัวอย่างเช่นที่กล่าวมาแล้ว มีอีกมากมาย ที่พูดถึงแต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแท้ที่จริงผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เป็นการถาวร มันเป็นเฉพาะช่วงแรกๆ เท่านั้น แต่คนขายเมล็ดพันธ์ GMO ย่อมไม่บอกผู้ซื้อ
นอกจากนี้ที่น่าเป็นห่วง คือผลกระทบต่อการเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ กับ ชาวไร่ ชาวนา รายย่อย อย่างที่พวกเขาไม่รู้ตัว พวกเขาเคยทำไร่ทำนา จากเมล็ดพันธ์พืชที่ไม่มีต้นทุน ใช้ปุ๋ยธรรมชาติ และไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ต่อมาต้องซื้อทั้งเมล็ดพันธ์ ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี พวกเขาขายผลผลิตได้ราคาสูงก็จริง แต่ต้นทุนก็สูงตามไปด้วย ท้ายที่สุดก็เป็นหนี้ และส่วนใหญ่ก็ไม่มีเงินใช้หนี้ ทำให้ต้องเสียที่ดินไร่นาไป แล้วก็มีบริษัทที่ทำธุรกิจเกษตร มาไล่ซื้อที่ดิน ไปทำต่อ หรือซื้อที่ไปทำอย่างอื่น แล้วชาวไร่ชาวนาเหล่านี้ ก็ไม่มีทางเลือก ต้องอพยพเข้าเมือง ขายแรงงานแทน เป็นปัญหาของบ้านเมืองอีกแบบหนึ่ง
สิ่งเหล่านี้มักจะไม่อยู่ในรายงานของหน่วยงานที่ทำการวิจัย หรือคิดค้นพันธ์พืช เขามักจะพูดถึงแต่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริง ของการให้ใช้เมล็ดพืช GMO มันคือการปล้น เอาไร่ เอานา เขามาในราคาถูก
นอกจากปัญหาเรื่องการเสียไร่นาแล้ว ปัญหาที่สำคัญอีกประการคือการใช้ยาฆ่าแมลง ซึ่งในหลายๆ กรณีเป็นอันตราย ต่อสุขภาพของชาวไร่ชาวนา อย่างถึงขนาดหลายๆ หมู่บ้านมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งกันทั้งหมู่บ้าน
ความจนกับความไม่รู้ ทำให้พวกเขาไม่รู้จักหรือไม่สามารถแสวงหาหน้ากาก ป้องกันยาฉีดฆ่าแมลง
ในปี ค.ศ.1989 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณว่ามีคนได้รับสารพิษของยาฆ่าแมลงสูงถึง 1 ล้านคนต่อปี และประมาณ 20,000 คน เสียชีวิต ทั้งหมดนี้ส่วนมากเกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศที่กำลังพัฒนา!
ขบวนการนี้ เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราเรียกว่าโลกาภิวัฒน์ ที่ชาวเราภาคภูมิใจอยากให้มี อยากให้เป็น เพราะเรามองแต่ ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างลวงตา
โลกาภิวัฒน์ย่นระยะเวลา ในการสร้างกลไก สร้างระบบเกษตรอุตสาหกรรมระหว่างประเทศขึ้นมา ทำให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย บวกกับการให้เงินสนับสนุนจากต่างชาติ เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford และหน่วยงานของ USAID โดยเราไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริง หรือผลลัพธ์ ปลายทางที่เกิดขึ้นกับเรา
นี่แหละ ผลของการมองแต่ผลได้ อย่างผิวเผิน ไม่นึกถึงผลเสีย หรือผลข้างเคียง ทั้งระยะใกล้ ระยะไกล เขียนแล้วเศร้า ตลกไม่ออกเลย!
ตอนที่ 9 : ขจัดพันธ์ด้อย
หลังจากที่รัฐบาล Nixon เริ่มขบวนการทำลายเกษตรในครอบครัว ในประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO มาให้แล้ว รัฐบาล Nixon ยังให้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการขยายตัวของประชากรโลกอีกด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่งคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศหรือไม่ โดยถือว่าเป็นนโยบายที่มีความสำคัญสูงสุด ทั้งนี้ก็เป็นการเดินตามแผนลับของตระกูล Rockefeller นั่นเอง
ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยบอกว่าเรา (คืออเมริกา) เราต้องกำหนดเป็นเงื่อนไข ของการได้รับเงินช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาว่า การคุมกำเนิดควรเป็นเงื่อนไข อย่างหนึ่งของการได้รับเงินช่วยเหลือ
ขนาดเราอัดมันด้วยพืช GMO ไอ้พวกพันธ์ด้อย มันยังอยู่ดี มีลูกหัวปีท้ายปี ดังนั้นเราก็ควรหาทางกำจัด การเจริญเติบโตพวกมันเสียด้วย การออกนโยบาย National Security Study Memorandum 200 หรือ NSSM 200 ซะให้หมดเรื่อง ไม่งั้นเราจะครอบครองวัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติของพวกมันในราคาถูกได้ยังไง ถ้ามันยังอยู่กันล้นโลกอย่างงี้!
นาย Kissinger จึงต้องใช้ลิ้นนักการฑูต ตอแหลเพื่อชาติ จนทำให้ UN รับเป็นโครงการของ UN ช่วยประชาชน
เป็นครั้งแรก ที่การจำกัดการเจริญเติบโตของจำนวนพลเมือง ในประเทศที่กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนา เป็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของอเมริกา และเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องทำเป็นการด่วนและลับสุดยอด
แต่ที่ซ่อนไว้ลึกอีกชั้นหนึ่ง จนคนดูมองไม่ออกคือ NSSM 200 นี้ ได้แอบสอดไส้แผนการกำจัดสายพันธ์ุด้อย เพื่อรักษาสายพันธ์ุเด่น โดยใช้การวางแผนครอบครัวบังหน้า เชื่อว่า 13 ประเทศ เป้าหมายจนถึงบัดนี้ ก็อาจยังไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับประเทศตน แผนการมันแสนจะทุเรศ ตามแบบของผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย จริง ๆ นะ
บราซิลเป็นตัวอย่างที่เห็นชัด หลังจากที่ได้มีการปฏิบัติการ NSSM 200 กับบราซิล มา 14 ปี กระทรวงสาธารณะสุขของบราซิล เพิ่งตื่นขึ้นมาทำการสำรวจถึงจำนวนผู้หญิงบราซิลที่เป็นหมัน
รัฐบาลบราซิล ถึงกับช็อครับประทาน เมื่อรายงานบอกว่า 44% ของผู้หญิงบราซิลทั้งหมดที่อายุ ระหว่าง 14 ถึง 55 ปี เป็นหมันอย่างถาวร ปรากฎข้อเท็จจริงว่าพวกที่มีอายุมากกว่านั้น ได้เข้าไปทำหมันด้วยการความสมัครใจ ตามโครงการที่เริ่มเมื่อ ค.ศ.1970 กว่าๆ
ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ร้อยละ 90 ของผู้หญิงบราซิลที่มีเชื้อสายอาฟริกัน ถูกทำหมัน (อันนี้รายงานไม่ได้บอกว่าสมัครใจหรือไม่) แต่น่าสนใจนะ! และการทำหมันดังกล่าว ทำโดยองค์กรต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งเป็นสัญชาติบราซิล และองค์การ International Planned Parenthood Federation (IPPF), US Pathfinder Fund, Family Health International
ทั้งหมดอยู่ภายใต้การแนะนำของ US Agency for International Development (USAID) ยิ่งน่าสนใจใหญ่! ที่มันทำในบ้านเขาแบบนี้ มันพัฒนาตรงไหนนะ!?
ตอนที่ 10 : สมยอมหรือขืนใจ
ย้อนไปในปี 1950 นาย John D. Rockefeller ได้ใช้เปอริโตริโก้ เป็นแหล่งทดลองการลดจำนวนพลเมืองลง ผลปรากฎว่าในปี ค.ศ.1965 ประมาณร้อยละ 35 ของหญิงชาวเปอริโตริกัน ที่อยู่ในวัยเจริญพันธ์ได้ถูกทำหมัน
หญิงยากจนเหล่านั้นถูกแนะนำให้ไปคลอดบุตรที่รพ.สร้างใหม่ของอเมริกา โดยหมอที่ทำการคลอดจะได้รับคำสั่งให้ทำหมันให้บรรดาคุณแม่เหล่านั้น โดยการผูกท่อรังไข่ โดยที่พวกคุณแม่เหล่านั้นไม่รู้เรื่องและไม่ได้ให้ความยินยอม
ในปี ค.ศ.1965 เปอริโตริโก้ได้ตำแหน่งที่ 1 ในการมีผู้หญิงทำหมันสูงสุดในโลก
นาย David Rockefeller กล่าวสุนทรพจน์ เมื่อปี ค.ศ.1961 ที่ UN Food and Agriculture Organization ว่า
"ในความเห็นของข้าพเจ้า การที่อัตราประชากรโลกเพิ่มขึ้นสูง เป็นปัญหาที่น่ากลัว รองลงมาจากการควบคุมระเบิด Atomic "
เป็นประโยคเดียวกับที่นาย Robert Mcnamara นำมาพูด เมื่อนาย Kissinger เสนอนโยบายตามแผน NSSM 200 ในปี ค.ศ.1975 แต่คงไม่แปลกใจเท่าไหร่ ถ้ารู้กันว่านาย Robert Mcnamara ก็เป็นสมาชิก สมาคม Trilateral Commission รุ่นก่อตั้ง
แล้วของไทยล่ะ เรามีสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย (สวท) ที่คุณมีชัย สายรุ้ง ตั้งขึ้น เมื่อ พ.ศ.2517 (ค.ศ.1974)
สวท เป็นองค์กรที่เป็นสมาชิกของสหพันธ์วางแผนครอบครัวระหว่างประเทศ (The International Planned Parenthood Federation) หรือ IPPF
ซึ่งแต่ละปี IPPF จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ในการดำเนินงานของ สวท. สายรุ้งจะรู้ไหมหนอ ว่าถูกเขาหลอกให้ทำอะไร
13 ประเทศเป้าหมายตาม NSSM 200 เช่น อินเดีย ฟิลิปปินส์ บราซิล และประเทศไทย ต่างได้รับของขวัญ แบบต่างๆ จากนักมายากล เราคิดว่าของขวัญมีเท่านี้หรือ กลับไปดู หนังสือของนาย Kissinger ลงวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 (ที่เล่าไว้ในตอนที่ 2) อีกที นักมายากลยังมีวิธีการใหม่ๆ มาเล่นกลหลอกเราอีก มันเล่นกันหลายชั้น กำไรหลายเด้ง !
ตอนที่ 11 : คัดสายพันธ์ุ
สมาคม American Eugenics Society เป็นสมาคมที่มีวัตถุประสงค์สนับสนุนการคัดสายพันธ์ุและทำหมันประชากรที่เรียกว่ามีสายพันธ์ด้อย (inferior people)
สายพันธ์ด้อย หมายถึงใคร แน่นอนไม่ใช่พวกผมทอง ตาสีฟ้า แต่เป็นพวกผิวสี เช่น อาฟริกัน พวกผิวเข้มในเอเซีย และลาติน รวมทั้งผู้มีความไม่สมบูรณ์ทางกายและสมอง
ผู้ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่สมาคมนี้ ได้แก่ Rockefeller, Harriman นายธนาคารจาก J.P Morgan, Mary Duke Biddle ของบริษัทยาสูบใหญ่ etc และอีกหลายคน ๆ ที่เป็นคนรวยในสังคมระดับสูงของอเมริกาและรวมไปถึงพรรคพวกในอีกฝั่งของมหาสมุทรคืออังกฤษด้วย คือ English Eugenics Society ซึ่งสมาคมนี้มีสมาชิก เช่น นาย Winston Churchill นาย John Maynard Keynes etc เป็นต้น การสนับสนุนการคัดสายพันธ์ของกลุ่มคนรวยพวกนี้ เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1920
ที่น่าสนใจมูลนิธิ Rockefeller ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่องค์กร Planned Parenthood Federation of American มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1922 องค์กรนี้ เป็นองค์กรลูกของ International Planned Parenthood Federation (IPPF) เช่นเดียวกับ สวท. ของคุณสายรุ้ง
ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหัวหอกในการดำเนินงาน ชื่อ Margaret Sanger
คุณนายเน้นนโยบายการคัดสายพันธ์ุ โดยการคุมกำเนิดและทำหมัน ภายใต้การพรางตัวเรียกว่า วางแผนครอบครัว คุณนายบอกว่า
ความไม่สมดุลย์ระหว่างอัตราการเกิดของผู้ไม่เหมาะสม (unfit) กับเหมาะสม (fit) เป็นสิ่งที่น่ากวนใจอย่างยิ่งสำหรับความเจริญ ก้าวหน้าของมนุษยชาติ
ในปี ค.ศ.1933 Dr. Gerhard Wagner แพทย์หัวหน้าหน่วย Association Reichsrzfhere นาซีเยอรมัน ได้ยกย่องคุณนาย Sanger ว่านโยบายควบคุมสายพันธ์ของคุณนายเป็นนโยบายที่เยี่ยมมากน่าถือเป็นตัวอย่าง
สมาคมวางแผนของคุณสายรุ้ง ก็ได้รับรางวัล Margaret Sanger เมื่อปี พ.ศ.2532
ขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ ริเริ่มโดยนาย John D Rockefeller ที่ 3 หรือที่พวกคนรวยอเมริกาจะเรียกเขาว่า J D III ตั้งแต่ ค.ศ.1932
เขาเหมือนคนบ้า (หรือมันเป็นบ้าจริง ๆ !) คิด ฟุ้ง สร้าน วุ่นวายอยู่กับขบวนการกำจัดและคัดสายพันธ์ุ อยู่หลายสิบปี ถึงขนาดในปี ค.ศ.1952 เขาลงทุนควักกระเป๋าเงินตัวเอง ตั้งสถาบันประชากร (Population Council) ขึ้นที่ นิวยอร์ค เพื่อทำการค้นคว้าอันตรายของการมีประชากรล้นโลก
สถาบันนี้ใช้เงินไปจำนวนเกือบ 200 ล้านเหรียญ ในช่วง 25 ปี ในการหาวิธีการที่ได้ผลที่สุด ในการลดจำนวนประชากร และสถาบันนี้ได้กลายเป็น สถาบันที่มีอิทธิพลสูงในการเสนอความคิดเกี่ยวกับ การลดจำนวนพลเมือง
(นี่มันฆ่าตัดตอนแบบมายากลนะนี่ !)
การคัดสายพันธ์ เริ่มเข้มข้น ทำเป็นขั้นตอนในช่วงปี ค.ศ.1950 – 1960 เมื่อตระกูล Rockefeller เข้าไปในแถบลาตินอเมริกา ซึ่งมีพื้นดินอุดมสมบูรณ์
พวกเขาวางแผน Green Revolution ใช้พืช GMO ขายเมล็ดพันธ์ุพืช ทำลายพื้นดิน ทำลายคุณภาพชีวิตของชาวลาติน ขณะเดียวกันหมัดนี้ยังไม่หนักไม่พอ มันยังเกิดก็ไม่หยุด ขบวนการทำหมัน ก็โหมเข้าไป คนลาตินก็ออกลูกน้อยลงๆ ข้าวโพดสายพันธ์ใหม่ ที่ทดลองปลูกก็มีผู้วิเคราะห์ว่า ถ้ากินเข้าไปมากๆ มีผลทำลายสเปิร์มของผู้ชาย 100%
มันเล่นทั้งฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย เลยนะ แต่ภาพที่โลกเห็นเป็นอย่างไร
มูลนิธิ Rockefeller ใจดี ใจบุญ เห็นพลเมืองเขาแยะ ก็ไปช่วยวางแผนครอบครัว ทำหมัน ชาวไร่ ชาวนา ทำมาหากินได้ผลน้อย เพาะปลูกพืชไร่ได้ปีละครั้ง ได้เงินไม่กี่อัฐ มูลนิธิก็เอาพันธ์ุพืชใหม่ไปให้ใช้ ปลูกมันปีละ 3, 4 หน ขายได้เงินเพิ่มโขอยู่
ดูแค่นี้ มันก็เห็นแค่นี้
ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (1)
นักมายากลชั้นเซียน พวก Rockefeller ไม่ได้เข้าไปในลาตินอเมริกา เพื่อไปขายเมล็ดพันธ์พืช GMO กับแจกถุงยางเท่านั้น แต่พวกเขาเข้าไป “ซื้อ” ด้วย
เขาหอบกระเป๋าเงิน ที่ได้กำไรจากการขายเมล็ดพันธ์พืช เอาไปเลี้ยงนักการเมือง และทหารของหลายประเทศในแถบนั้น สร้างเด็กในคาถาอยู่หลายปี ด้วยการร่วมมืออย่างดีของหน่วยงานความมั่นคงของอเมริกา ปฏิบัติการลับเกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศต่าง ๆ ในแถบนั้น แล้วในที่สุด เด็กสร้างของเขา ก็ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ของหลายประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกัน
มันเป็นการค้า ที่ทำกำไรเกินตำราบอก เอาเงินของคนในประเทศ
ซื้อประเทศนั้นเอง !
สมันน้อยอ่านตรงนี้กันหลาย ๆ หนหน่อยนะ !
เขารอเวลา “อันเหมาะสม” แล้วก็ ตั้งสมาคม Trilateral Commission ขึ้นมา สมาชิกสมาคมเป็นผู้ที่เขาคัดเลือกไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะผลักดันให้เข้าไปทำหน้าที่ในรัฐบาล ในตำแหน่งสำคัญ ๆ ตามที่เขากำกับ
และด้วยอำนาจ อิทธิพล และเงิน เมื่อถึงเวลา เขาก็ส่งคนของเขา เข้าไปอยู่ในแวดวงการเมือง เป็นตั้งแต่ประธานาธิบดี รัฐมนตรี นักวิชาการ และสื่อ (ขี้ข้า) และกำหนดนโยบายให้ขี้ข้าเหล่านั้น ปฎิบัติตามกลยุทธที่เขาวางไว้ทั้งหมด พร้อม ๆ กัน แต่แยกกันเล่น เหมือนคนเล่นกล หลอกให้เราดูมือซ้ายที มือขวาที โดยเราไม่รู้ตัวว่ากลนั้นสร้าง
ขึ้นมาได้อย่างไร
เวลา “อันเหมาะสม” สำหรับ การก่อตั้ง Trilateral Commission นั้น น่าสนใจมาก ในปี ค.ศ.1973 นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นเจ้าของความคิดการตั้งสมาคมนี้ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานของ The Council on Foreign Reations (CFR) ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานมันสมอง (Think Tank) ให้กับรัฐบาลอเมริกัน มาตั้งแต่ประมาณปี คศ 1939
แต่ช่วงปี ค.ศ. 1971 ขณะที่โลกกำลังบูมด้วยการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในประเทศผู้ผลิต เช่น อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ประเทศในอีกซีกโลกอีกหนึ่ง คือ กลุ่มประเทศที่ส่งออกน้ำมัน หรือที่เรียกว่า Organization of Petroleum Exporting Countries (OPEC) ก็เกิดอาการชักกระดุก ควบคุมกันเองไม่อยู่ พากันขึ้นราคาล่วงหน้าของน้ำมันอย่างบ้าเลือด ทำให้กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม ที่ต้องพึ่งพาน้ำมันอย่าง กลุ่ม Rockefeller และพรรคพวกในยุโรป และญี่ปุ่น ย่อมกระอักเป็นธรรมดา
ประธานาธิบดี Nixon แก้ปัญหาด้วยการ ควบคุมราคาน้ำมันและก๊าซ ที่ผลิตและขายในประเทศ เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่ผลออกมาคนละเรื่อง บรรดาพวกคุณอาค้าน้ำมัน กลับทุ่มน้ำมันเข้ามาในตลาดอเมริกา ขายในราคาแพง ในขณะที่น้ำมันที่ผลิตและขายในอเมริกา ต้องขายในราคาถูกควบคุม
เศรษฐีเจ้าของ Standard Oil ฉุนขาด เพราะโดน OPEC ตีตลาด แต่ที่จริงแล้ว เศรษฐีก็แอบยิ้มมุมปาก เพราะคุณอาพวกราชวงศ์ซาอุกับคูเวต และพวกบริษัทน้ำมันที่เป็นของรัฐ แถวอิหร่าน อิรัค และอัลจีเรีย ไม่รู้จะทำอะไรกับดอลล่าร์ ที่ได้รับจากการขายน้ำมัน นอกจากฝากกับธนาคาร ใหญ่ ๆ ในอเมริกาและยุโรป แน่นอน Chase Manhatlon ของตระกูล Rockefeller ก็ต้องได้ส้มหล่น ใส่ด้วย
แต่นั่นแหละนะ ของทุกอย่างมีได้ก็มีเสีย ดูด้านเดียวมันก็บื้อไปหน่อย การประกอบธุรกิจธนาคาร ได้เงินฝากมาจะให้มันนอนเฉยอยู่ในลิ้นชักได้ยังไง ธนาคารพวกนี้ก็เอาไปปล่อยต่อให้กับประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่มีน้ำมันของตัวเอง หรือมีแหล่ง แต่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าตัวว่ามี หรือ ถูกหลอกว่าบ้านยูไม่มี ไม่มี ประเทศพวกนี้ คนอ่านนิทานน่าจะเดาออกว่าคงอยู่ แถบเอเซียกับลาตินอเมริกานั้นแหละ
แล้วทำไงล่ะ ประเทศพวกนี้ก็ไปกู้เงินจากธนาคาร ที่รับเงินค้าขายน้ำมันจากคุณอานั่นไง ทีนี้พอ OPEC ดันขึ้นราคาน้ำมันอย่างบ้าเลือด เงินเข้ามามหึมาก็จริง แต่ไอ้ที่ให้เขายืมไป มันก็ตัวแดงแก่มหึมาเหมือนกัน จริง ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาโดยตรงของรัฐบาลอเมริกา และไม่น่าจะใช่ความผิดของคุณ Nixon แก ซึ่งตอนนั้นก็หน้ามืดอยู่หลายเรื่องแล้ว แต่ก็ทำให้เศรษฐีเกิดความคิด ตามประสาคนที่โลภอยากจะเอาแต่ได้ แต่ไม่ยอมเสีย
มันเรื่องอะไร จะทำแต่การวิจัยแนะนำรัฐบาล แล้วรัฐบาลก็ไม่ได้ทำตามที่เขาต้องการทุกเรื่อง แบบนี้มันต้อง คุมรัฐบาลให้อยู่ในกำมือไม่ดีกว่าหรือ แล้วความคิดที่จะตั้งหน่วยงานพิเศษ หรือ Trillateral จึงเกิดขึ้น และได้รวมพรรคพวกที่ทำธุรกิจน้ำมันอุตสาหกรรม และธนาคาร เข้ามาอยู่ในกระบุงเดียวกัน
( จริง ๆ นะ เขียนมาถึงตรงนี้ เชื่อเกือบเต็มร้อย ว่าไอ้โจรนั่น มันต้องเรียนวิธีขี้โกงระดับนโยบาย มาจากผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยจริง ๆ)
คิดดูง่าย ๆ จากเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น แทนที่พวกเศรษฐีจะให้ธนาคารตัวเอง ให้เงินกู้กับประเทศที่กำลังพัฒนาต่อไปตามเดิม เขากลับใช้เหตุการณ์วิกฤติน้ำมันครั้งนี้ สร้างโอกาสให้พวกเขาอีกต่อ มันงกจริงๆนะ พวกเศรษฐีกลับคิดว่า ถ้าเรายกเครื่อง IMF World Bank เสียหน่อย แล้วให้องค์กรเหล่านี้เป็นเครื่องมือ รับความเสี่ยงให้กับเรา
แบบนี้เราก็มีแต่ win win solution พูดเหมือนใครหนอ !
เขาจึงเริ่มแผนคุมสหประชาชาติ โดยการ “ซื้อเสียง”
ตอนที่ 12 : นักมายากลชั้นเซียน (2)
ลาตินอเมริกา มี 19 เสียง เทียบกับยุโรปที่มี 9 เสียง จากปฏิบัติการในลาติน
อเมริกาอยู่ 20 ปี ผลคือทำให้อิทธิพลของนักมายากล สามารถทำให้อเมริกา เป็นผู้คุมเสียงข้างมาก ในสหประชาชาติ และแน่นอนเป็นเสียงชี้ขาดใน World Bank และ IMF ด้วย ที่ดินที่สร้างสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ ในนครนิวยอร์คจึงเป็นอภินันทนาการจากนักมายากล
NSSM 200 เป็นตัวอย่างของมายากลยุทธ ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ที่สามารถนำเรื่องการลดการเจริญเติบโตของประชากรในประเทศด้อยพัฒนา (หรือที่เขาพากันดัดจริต เลี่ยงไปเรียกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา) มาเป็นนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ ที่มีความสำคัญระดับเร่งด่วนของอเมริกา มันเหลือเชื่อเหมือนเราดูการเล่นกลเลย ที่สามารถทำการวิจัย เรื่อง การสนับสนุนการทำหมันของมนุษย์หรือวางแผนครอบครัว ให้โยงกับประเทศเป้าหมาย ที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ได้อย่างมหัศจรรย์เกินจะคิด
แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนและหลังของช่วงเวลาปฏิบัติการ ตามแผน NSSM 200 แล้ว สิ่งที่เห็นชัด การเล่นกลทำได้แนบเนียนและได้ผล ทั้งหมดมาจากเงินและอิทธิพลของตระกูลโคตรรวย ที่พัฒนามาเป็นสถาบันผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของอเมริกา Trilateral Commission นาย Kissinger และบรรดาผู้มีตำแหน่งสูง ๆ ในรัฐบาลอเมริกาตั้งแต่ระดับประธานาธิบดี รมว.กลาโหม รมว.ตปท. สมัยต่าง ๆ แท้จริงแล้ว แม้จะกินเงินเดือนของประเทศ แต่จริง ๆ แล้ว ดูเสมือนเขาเป็น
ขี้ข้ารับใช้ Trilateral Commission ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยนั่นเอง
แล้วอำนาจ Trilateral Commission ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย ก็ขยายครอบคลุมรัฐบาลอเมริกา รวมทั้งขยายไปควบคุม ประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ ตามนโยบาย New World Order ตั้งแต่บัดนั้น จนถึงปัจจุบันนี้
สมันน้อยมองออกบ้างหรือยัง ว่าเป้าหมายแท้จริงของ NSSM 200 คืออะไรและการกำหนด 13 ประเทศเพราะอะไร การเข้าไปในลาตินอเมริกา สมาคมวางแผนครอบครัวของพี่สายรุ้ง นายอานันท์ มรว.เกษมสโมสร ทั้ง 2 มีตำแหน่งอะไร ในหน่วยงานประเทศไทยบ้าง มีความสำคัญอย่างไร และอย่าลืมการวิจัยแผนพัฒนาของนายณรงค์ชัย เกี่ยวกันไหม และนายสารสิน วีระผล แห่ง CP เครือเจริญโภคภัณฑ์ ค้าเมล็ดพันธ์ุพืชมากว่า 50 ปี ใช้เมล็ดพันธ์ GMO หรือไม่ ชาวไร่ ชาวนา เราเจ๊งป่นปี่
ขายที่ ขายไร่ กันไปเท่าไหร่ ปัจจุบันการกว้านซื้อที่ดินของในประเทศเราโดยนายทุน นักธุรกิจใหญ่ ทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวโยงกันไหม จำได้หรือเปล่า เล่าไปแล้วว่าปัจจุบันที่ดินในประเทศไทยจำนวน 1 ใน 3 อยู่ในมือคนต่างชาติไปแล้ว ลองไปคิดเป็นการบ้านดู
เวลาดูเขาเล่นกล อย่าแค่ตบมือชอบใจ
ที่มาของข้อมูล นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น