วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

- พระในบ้าน



พระในบ้าน
โดย พระธรรมกิตติวงศ์
(ทองดี สุรเตโช ป.ธ.9 ราชบัญฑิต)

“พระ” หมายถึงผู้ประเสริฐ ผู้ยอดเยี่ยม เพราะเป็นผู้มีคุณสมบัติดีอยู่ในตัว และประกอบความดีต่อผู้อื่น โดยมิได้มุ่งหวังการตอบแทน ทำด้วยดวงใจอันเปี่ยมล้นด้วยความรักความปรารถนาดีและความสงสารเป็นมูลฐาน หากผู้ใดทำได้ดังนี้ ไม่ว่าผู้นั้นจะครองเพศแบบไหน วัยไหนโลกย่อมแซ่ซ้อง สรรเสริญผู้นั้นว่าเป็น “พระ” ในสายตาของเขา และพร้อมที่จะยกมือทั้งสองขึ้นไหว้บูชา หรือยอมก้มศีรษะพร้อมทั้งกายหมอบราบกราบกรานด้วยความเต็มใจมิได้ตะขิดตะขวงหรือลังเลสักนิด เพราะมาเห็นว่าผู้นั้น คือเนื้อนาบุญอันหาได้ยากของเขาอย่างแท้จริง
“ความเป็นพระ” อย่างที่ว่ามานั้น มิใช่จะมีฉะเพราะกับนักบวชในศาสนาใดศาสนาหนึ่งตามความเข้าใจของคนทั่วไปเท่านั้น ความจริงเราท่านทุกคนต่างก็เคย ประสบพระหรือมีพระผู้ประกอบด้วยคุณความดีดังกล่าวมาแล้วทุกคนและมิได้พบที่ในป่าถ้ำลำเนาเขาหรือแดนบุญสถานนักบวชอื่นใดเลย หากพบกันอยู่ที่บ้าน มีอยู่ในบ้านของเรานั้นเองมิพักต้องไปหาที่อื่นเสียให้ยากเลย เพราะพระดังกล่าวนี้หาได้ในบ้าน จึงเรียกในที่นี้ว่า “พระในบ้าน”

หากจะบอกในตอนต้นนี้เสียเลยว่า “พระในบ้าน” นั้นคือ “พ่อ” กับ “แม่” ก็คงจะทำให้คลายสงสัยไปได้เปลาะหนึ่งเพราะบางทีอาจเกิดความแคลงใจขึ้นมาเมื่อได้ยินคำนี้เข้า ว่าเหตุใดพระจึงไปอยู่ในบ้าน ดุออกจะขัดๆ หูอยู่ ด้วยตามปกติเรามักจะเห็นพระท่านอยู่แต่ในวัดหรืออยู่ในถ้ำในเขาเท่านั้น แม้หากจะเข้าบ้านบ้างในบางคราว ก็อยู่ชั่วระยะเวลามีกิจเสร็จแล้วท่านจะกลับวัดอย่างเดิม และก็คงไม่มีใครกล้าคัดค้านหรือปฏิเสธว่า “พ่อแม่” ไม่ได้เป็น “พระ” หากว่าผู้นั้นเป็นคนดีมีความคิดและยุติธรรมทั้งมองโลกในแง่ที่ถูกต้องตามความเป็นจริง

 เหตุที่ท่านทั้งสองได้นามว่าเป็นพระนั้น เพราะท่านมี “ความเป็นพระ” คือคุณธรรมความดีอยู่ในตัว และได้ปฏิบัติภารกิจอันเป็นหน้าที่ของตัวอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งในด้านจิตใจก็เปี่ยมล้นด้วยความรัก ความปรารถนาดี และความสงสาร อันเป็นเหตุชักจูงให้ท่านได้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ ยอมเป็น “ผู้ให้” อยู่ตลอดมา แน่แล้ว พ่อแม่ คือ พระในบ้าน ตามปกติเรามักจะแสวงหาพระ ไปกราบไว้พระกันตามวัดตามถ้ำ ตามป่า หรือแม้อยู่บนยอดเขาก็ยอมไปกันด้วยความมุ่งมั่นว่าจะเป็นมงคลแก่ตัว แม้จะต้องไปค้างอ้างแรมกัน หรือใช้เวลาเดินทางไปเป็นวันๆ เราก็ยังทนหอบหิ้วสังขารไปจนกระทั่งถึงท่านจนได้ พอได้เห็นท่านได้กราบไหว้บูชาท่านแล้วก็กลับ เท่านี้เกิดความอิ่มเอิบใจหายเหน็ดเหนื่อย โอกาสหน้าก็แวะเวียนไปหาท่านบ่อยๆ เล่าทุกข์สุขให้ท่านฟังให้ท่านช่วยแก้ปัญหาชีวิตซึ่งมันคับอกคับใจให้ เป็นต้น

 “พระนอกบ้าน” ที่ว่ามานี้เราไปหาได้ บูชาได้ แลัทำได้บ่อยๆเสียด้วยซ้ำไป แต่ในเราทั้งหลายนี้ จะมีสักกี่คนเล่าที่นึกถึง “พระในบ้าน” กัน พระในบ้านที่ใจจดใจจ่อรอท่าที่บรรดา “ลูก” จะมาหามากราบไหว้บูชา หรืออย่างน้อยๆมาให้เห็นหน้าก็ดีใจถมไปแล้ว โดยมากเราต่างก็มักจะเอื้อบำรุงอุดหนุนกันแต่พระนอกบ้าน หรือดั้นด้นไปเช่าพระนอกบ้าน ซึ่งปราศจากลมหายใจเข้ามาไว้ในบ้านด้วยราคาแพงๆ ทำที่ประดิษบานไว้ด้วยห้องหรูๆ ราคาแพงลิบแต่พระในบ้านซึ่งยังมีลมหายใจอยู่ เรากลับปล่อยให้อดอยากปากแห้ง ปล่อยให้ใจแล้งอับเฉา และเศร้าใจอยู่ตามลำพัง เพราะปราศจากน้ำใจลูกๆนั้น อาจยิ่งกว่า “ข้าวคอยฝน” อย่างที่เราชอบเปรียบกันเสียอีก
ท่านคงจะมิใช่เป็นผู้หนึ่งในจำนวน “โดยมาก” นั้น! ตำแหน่งพ่อแม่ คนเก่าเล่ากันมาให้รู้ว่า พ่อแม่นั้นมีพระคุณมหาศาลยากที่จะพรรณาให้หมดสิ้นได้ ถึงกับเปรียบเทียบไว้ว่า แม้จะเอาท้องฟ้าอันหาขอบเขตมิได้สมมุติเป้นแผ่นกระดาษ เอายอดเขาพระสุเมรุ อันเป็นยอดหนึ่งของเขาหิมาลัยสมมุติเป็นปากกา เอาน้ำในมหาสมุทรทุกแห่งในโลกสมมุติเป้นน้ำหมึก จดจารึกพระคุณของท่านทั้งสองว่ามีต่อลูกอย่างนั้นๆ และจารึกว่าท่านได้ทำอย่างไรกับลูกบ้าง จนกระทั่งท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษรจนยอดพระสุเมรุสึกหรอไปจนสิ้น และน้ำในมหาสมุทร ถูกใช้จดจารึกจนแห้งขอดไปเท่านี้ก็ยังจดพรรณนาพระคุณของพ่อแม่ได้ไม่หมดสิ้น และการที่จะทดแทนพระคุณของท่านทั้งสองให้หมดสิ้นนั้น ก็ยากนักหนาถึงกับยกเปรียบไว้ว่า หากลูกจะยกพ่อไว้บนบ่าซ้าย ยกแม่ไว้บนบ่าขวาของตน ประคับประคองให้ท่านทั้งสองอยู่บนบ่านั้นแหละ ให้ท่านอาบน้ำ ให้ท่านกินท่านนอน และจนกระทั่งถ่ายอุจจาระปัสสาวะอยู่บนบ่าของลูกนั้นเองแม้ลูกจะทำอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งพ่อแม่หมดลมหายใจไป ก็ยังไม่อาจจะทดแทนข้าวป้อนน้ำนม และอุปการคุณที่ท่านได้ทำไว้ต่อลูกเลย

ตัวอย่างทั้งสองนี้ท่านยกมากล่าวไว้เพื่อแสดงให้เห็นเพียงว่าพระคุณของท่านมีมากมายจนไม่อาจจะทำตอบแทนชดใช้ให้หมดสิ้นไปด้วยการกระทำเล็กๆ น้อยๆ หรือเป็นครั้งคราวเท่านั้น มิใช่จะหมายความว่า จะต้องให้ลูกทำใหญ่โต ปานดังเปรียบตามที่บางคนเข้าใจแล้วเอะอะโวยวายเอาว่า ใครกันจะสามารถยกเขาพระสุเมรุมาเขียน และลูกคนใดเล่า จะแบกพ่อแบกแม่ไว้ได้เป็นสิบเป็นร้อยปี หรือพ่อแม่คนใดเล่าจะทนทุกข์ทรมานกินนอนบนบ่าลูกได้ไม่รำคาญ ไม่สงสารลูกบ้างหรืออย่างไรกัน อะไรทำนองนี้ เรื่องนี้ต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของคนเล่า เพราะคำเปรียบก็ต้องเป็นคำเปรียบ อยู่วันยังค่ำ คือ ต้องนึกเอาไปเปรียบอย่างนี้จะถือเป็นจริงจังใหญ่โตอย่างนั้นไม่ได้ ต้องตีความหมายหรือเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้คิดเปรียบเท่านั้น เพราะเหตุใดหรือท่านจึงเปรียบพ่อแม่หรือ “พระในบ้าน” เสียใหญ่โตปานนั้น

ก็เพราะท่านเป็น “บุพการีชน” คือ ผู้ทำให้ก่อนได้สะสมบุญคุณแก่ลูกมาตั้งแต่ลูกอยู่ในครรภ์จนกระทั่งตายจากกันไป หรือกระทั่งทำให้ไม่ไหว อันนับกันว่าเป็นบุคคล ที่หาได้ยากนัก เพราะตามปกติคนเรามักจะมีความเห็นแก่ตัวใจไม่กว้างพอที่จะยอมเสียสละเอื้ออารีต่อผู้อื่น แต่พ่อแม่ท่านทำได้และทำได้อย่างดีเสียด้วย และเป็นบุญวาสนาของลูกอย่างหนึ่งคือ ลูกเป็น “ผู้รับ” ความรักความปรารถนาดี และความเอื้อเฟื้อที่พ่อแม่ “ให้” นั้นทั้งหมด ด้วยเหตุดังกล่าวมานี่เอง
ตำแหน่ง “พระในบ้าน” จึงเป็นตำแหน่งที่สมควรอย่างยิ่งแล้วสำหรับเป็นของขวัญอันบริสุทธิ์ จะมีใครเหมาะกับตำแหน่ง “พระ” เท่าพ่อแม่อีกเล่า และพ่อแม่นั้น ยังเป็นพระยิ่งกว่าพระใดๆ ในโลก ประเสริฐกว่าพระใดๆ ในโลกเท่าที่ลูกจะพึงมีและพึงหาได้ ทั้งนี้ เพราะพ่อแม่เป็นศูนย์รวมความเป็น “พระ” ไว้ในตัวมากมาย คือ เป็นหลายพระนั่นเอง
ตำแหน่งพระของพ่อแม่คือ
 - พ่อแม่เป็นพระพรหม
 - พ่อแม่เป็นพระเทพ
 - พ่อแม่เป็นพระอาจารย์
 - พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ 

พ่อแม่เป็นพระพรหม “พระพรหม” 

ตามความรู้สึกของเราทั่วไปก็คือพระเจ้า ผู้สร้างโลกตามคติของศาสนาพราหมณ์ ส่วนตามคติของศาสนาพุทธ พระพรหมก็คือผู้ประกอบด้วยรูปฌาน หรืออรูปฌาน แล้วจุติจากอัตภาพมนุษย์ไปเกิดเป็นพรหมมีที่อยู่ของ ตัวเองเป็นสัดส่วนเรียกว่า “พรหมโลก”
 แต่ความหมายที่แท้จริงที่เรียกว่า “พรหมวิหารธรรม” ครบถ้วนบริบูรณ์คือ หมายถึง คนเราธรรมดาๆนี้เองจะอยู่ในวัยไหนมีเพศพรรณ หรือตระกูลใดก็แล้วแต่ มีสิทธิที่จะเป็นพรหมด้วยกันทั้งนั้น และเป็นได้ทั้งๆที่อยู่ในโลกอลู่รวมกับชาวโลกอื่นๆนี่แหละ เพียงแต่มีข้อแม้ว่าต้องมรพรหมวิหารธรรมครบถ้วนเท่านั้น

อันพรหมวิหารธรรมนั้นมี 4 ประการคือ
1. เมตตา ความจริงใจ ความรัก ความปราถนาดีต่อผู้อื่น ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ดูได้จากสีหน้าที่บ่งบอกคือ ยิ้มแย้มแจ่มใส และดูจากการกระทำที่มุ่งหวังให้ผู้อื่นดีๆยิ่งขึ้นไป
 2. กรุณา ความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจ ต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ยามผู้อื่นมีความลำบากก็ทนอยู่ไม่ได้ต้องแสดงออกมาด้วยการเข้าช่วยเหลือเจือจุนด้วยความเต็มใจเสมอ ในทำนองสุขก็สุขด้วย ทุกข์ก็ทุกข์ด้วย นั่นเทียว
 3. มุทิตา ความชื่นชมยินดีในความสำเร็จสมหวังของผู้อื่น ไม่แสดงความอิจฉาริษยาด้วยการทนดูทนเห็นคนที่เขาได้ดีกว่าตัวไม่ได้ ดูได้จากการไปแสดงไมตรีจิตต่อบุคคลอื่น หรือชื่นชมต่อความสำเร็จของผู้อื่นโดยไม่ต้องบังคับใจ
 4. อุเบกขา ความวางเฉยในเมื่อไม่อาจจะช่วยเหลือเขาได้ ไม่ทับถมซ้ำเติมเมื่อผู้อื่นผิดพลาดหรือได้รับความวิบัติไม่แสดงอาการสมน้ำหน้าเมื่อเขาพลาด เป็นต้น

ผู้ใดมีคุณธรรม 4 ประการนี้ในหัวใจและแสดงออกมาให้ปรากฎได้ ผู้นั้นท่านเรียกว่า “พรหม” ทั้งนั้น พ่อแม่หรือพระในบ้านของเราเป็นบุคคลแรกที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมทั้งหมดนี้ โดยเฉพาะมีต่อเราผู้เป็นลูกท่านทั้งคู่จึงควรจะได้รับการขนานนามว่าเป็น “พระพรหม” ของลูกอย่างแท้จริง

คุณธรรมนี้มีประจำอยู่ในจิตใจของพ่อแม่ แต่ท่านได้แสดงออกไม่พร้อมกันทีเดียวโดยมากก็แสดงออกทั้งหมดแต่ต่างกรรมต่างวาระกัน แต่เพราะท่านแสดงออกบ่อยครั้ง จนบางทีลูกๆ เกิดความรู้สึกเคยชินจนมองข้ามความสำคัญหรือไม่เห็นความสำคัญไปเสีย แล้วมาบ่นว่าท่านไม่เห็นมีอย่างที่ว่ามาสักหน่อยเลย ลองทบทวนดูให้ละเอียดดูเถิดจะเห็นได้ชัด

มีปริศนาอันหนึ่งที่คนเก่าเขาทำไว้ จะเพื่อสอนใจคนรุ่นหลัง หรือให้คนรุ่งหลังคิด เพื่อทดสอบปัญญาก็ไม่ทราบได้คือเวลาท่านเขียนหรือปั้นภาพเป็นรูป “พระพรหม” ท่านจะทำให้พระพรหมมี 4 หน้าทุกครั้งไป ที่ว่าเป็นปริศนานั้นก็เพราะเหตุใดท่านจึงทำเป็นรูปพรหม 4 หน้า จะทำหน้าเดียวเหมือนเทวดาพวกอื่นๆ มิได้หรือข้อนี้ต้องมีความหมายแน่ๆ และท่านก็ตีความและเล่าต่อกันมาเรื่อยๆ คือที่ทำเป็น 4 หน้านั้น

เพราะว่าผู้จะเป็นพรหมนั้นต้องแสดงได้ 4 หน้า หรือต้องแสดงสีหน้าได้ 4 สีหน้า คือสีหน้าเมตตา สีหน้า กรุณา สีหน้ามุทิตา และสีหน้าอุเบกขา แสดงได้เพียงสีหน้าเดียว ยังไม่เป็นพรหมแท้ ข้อนี้ก็น่าคิดอยู่ แต่ความหมายดังกล่าวมานี้ดูชักจะลางเลือนไปทุกขณะแล้วเวลานี้ เพราะว่าเรามักจะคิดตีความ “พระพรหม” ว่าเป็นเทพเจ้าพวกหนึ่งที่อยู่บนสวรรค์ไปเสียทำให้มองข้ามพระพรหมที่แท้จริงคือพ่อแม่ไป พอมองข้ามก็เลยมองไม่เห็น เมื่อไม่เห็นก็ไม่รู้ความสำคัญของพระพรหมในบ้าน พระพรหมในบ้านก็เลยเกือบจะ หรือหมดความหมายไปด้วยประการฉะนี้

 คนที่โบราณท่านเขียนหรือปั้นพระพรหม 4 หน้าไว้นั้น ท่านคงไม่ได้หมายถึงเทพเจ้าหรือผู้วิเศษที่ไหนท่านคงจะบอกให้ทราบถึงพระพรหมจริงๆ ของมนุษย์ และมีอยู่ในโลกที่เราเห็นๆ กันอยู่ คือ พ่อแม่นี้เอง เพราะผู้จะแสดงสีหน้าได้ครบทั้ง 4 นี้ได้ ก็เห็นมีแต่พ่อกับแม่เท่านั้นที่แสดงได้คล่อง และไม่ต้องบังคับใจเท่าไรนักท่านแสดงออกในโอกาสต่างๆ กัน มากบ้าง น้อยบ้างตามเหตุการณ์ บางครั้งท่านก็นำหน้าเมตตาออกมาแสดง บางคราวก็นำหน้ามุทิตาออกอวด บางขณะท่านก็ทำทีตีสีหน้าอุเบกขาวางเฉยเสีย

นานๆ จึงจะแสดง “หน้าพิเศษ” หรือ “หน้าจริง” สักครั้งหนึ่ง หน้าที่ว่านั้นคือ “หน้ายักษ์” นั่นไง แต่หน้านี้ถือเป็นหน้าประจำไม่ได้ เพราะนานๆ จึงจะได้เห็นกันสักครั้ง! เรามีพระพรหมนั่งอยู่ที่บ้านตั้ง 2 องค์ ลองๆ สังเกตสีหน้าท่านบ้างเป็นไร หรือเมื่อท่านเป็นพระพรหมของลูกๆ อยู่ก็ลองนึกย้อนหลังดูทีหรือว่าเคยแสดงหน้าไหนให้ลูกเห็นบ่อยๆ หรือเคยแสดง “หน้าพิเศษ” ให้ลูกเห็นบ้างไหม?


**************************** 

พ่อแม่เป็นพระเทพ 

ความเชื่อถือของคนโบราณมีว่า โลกนี้มีเทพชื่อนั้นๆ เป็นใหญ่คอยกำกับคุ้มครองมนุษย์ไว้เรียกว่า “ท้าวโลกบาล” มี 4 ท่าน คือ
 - ท้าวธตรฐ ประจำทิศตะวันออก
 - ท้าววิรุฬหก ประจำทิศใต้
 - ท้าววิรูปักษ์ ประจำทิศตะวันตก
 - ท้าวกุเวร ประจำทิศเหนือ

 ท้าวโลกบาลซึ่งเป็นเทพเจ้าเหล่านี้ทำหน้าที่ปกป้องผองภัยให้ชาวโลกอย่างไร พ่อแม่ก็มีหน้าที่ปกป้องภัยให้แก่เลือดในอกของตนคือลูกอย่างนั้น และท่านก็ทำเช่นนี้มาก่อนใครหมดแม้ท้าวโลกบาลทั้ง 4 นั้นจะเผลอหรือไม่ยอมปกป้องเราก็ตามแต่ พ่อแม่ไม่เคยลืมและไม่เคยละทิ้งท่านปกป้องเราตลอดมา ท่านปกป้องอย่างไร ? ข้อนี้เห็นจะต้องสาธยายกันยาวหน่อย เพราะเป็นเรื่องจริงที่มองเห็นได้ แต่เรื่องจริงนี้แปลกที่เรามักจะมองข้ามความสำคัญไปหรือทำเป็นไม่รู้เสียเฉยๆ ก็มี

เรื่องปกป้องลูกนี้ พ่อรู้สึกจะทำได้น้อยและไม่ค่อยสนิทนักเหมือนแม่ แม่ทำสิ่งที่ทำได้ยากได้แม่ต้องอดทนอดกลั้นทุกอย่างนับแต่รู้ว่าลูกมาเกิดแล้ว เคยทานเผ็ดก็ต้องงด เคยทานร้อนก็ต้องเว้น กลัวลูกจะลำบาก เคยกระโดดโลดเต้นก็ต้องหยุด กลัวพลาดพลั้งหกล้มไปจนเป็นอันตรายต่อลูกในท้อง จะทำงานหนักก็กลัวลูกจะทรมานสารพัดจะกลัว คลอดออกมาแล้วยิ่งไม่ให้ ห่างหูห่างตาได้เลย ประคบประหงมยิ่งกว่าไข่ในหินเสียอีก ชนิดที่เรียกว่า “ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม” นั่นเชียวละ

ดึกๆ ดื่นๆ จะง่วง จะเพลีย จะหนาวจะร้อนอย่างไร หากลูกร้องขึ้นมา แม่เป็นต้องสะดุ้งตื่นและรีบดูลูก หาสาเหตุว่าลูกร้องทำไม ลูกพูดไม่ได้สักคำบอกไม่ได้สักนิดว่าเป็นอะไรจึงร้อง แม่ต้องเดาเอาว่าต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วทำไปจนกว่าลูกจะหายร้อง หากยังไม่หายก็ต้องคอยปลอบคอยเอาใจกันอยู่นั้นแล้ว แม้ว่าลูกจะหลับคาอกไปแล้ว แต่แม่ก็ยังหาหลับได้สนิทลงไปไม่ แม่ทำยิ่งกว่านี้ ปกป้องลูกยิ่งกว่านี้ และท่านมานับด้วยสิบปีคือ ตั้งแต่ลูกมี “เท้าเท่าฝาหอย” อย่างที่พูดกันจริงๆ

พอลูกเติบใหญ่มีวัยอันสมควรแล้ว ความต้องการของลูกเพิ่มขึ้นทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น ยามหิวพ่อแม่ก็หามาป้อนยามเจ็บไข้ก็พยายามเยียวยารักษา ยามร้องก็ใช้อ้อมอกและอ้อมแขนนั่นแหละเป็นเครื่องปลอมประโลมให้หายเศร้าโศก คอยเอาตาดูหูใส่ ทั้งในเวลาลูกกิน ยืน เดิน นั่ง นอน เล่น ไม่ว่าลูกจะไปทางไหนเป็นต้องชำเลืองตามองตามเสมอ กลัวลูกจะพลัดตกหกล้ม กลัวเป็นอันตราย กลัวไปเสียทุกอย่าง กว่าจะปกต้องรักษาอวัยวะต่างๆ ของลูกให้อยู่ครบมาได้จนโตนี้ พ่อแม่ต้องเหนื่อยยากเหลือเกินกว่าลูกจะรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ พ่อแม่ลงทุนลงแรงมากเหลือเกิน

 แล้วอย่างนี้จะไม่สมควรเรียกท่านว่าเป็น “พระเทพ” ได้อย่างไร แต่ก็ประหลาดใจอยู่เหมือนกัน พ่อแม่น่ะหวงแหนอวัยวะแขนขาของลูก ขนาดจะตีลูกสักแปะก็ต้องคิด กลัวลูกจะเจ็บปกป้องมามิให้มีรอยด่างพร้อย หรือถูกขีดข่วนเป็นบาดแผลในร่างกายของลูก แต่ลูกสิกลับนำอวัยวะร่างกายส่วนนั้นๆ ไปสังเวยหรือรองรับคมมีด คมกระบอง หรือลูกปืนของผู้อื่นโดยง่ายดายเหลือเกิน เวลาพ่อแม่ตีทำไมชอบโวยวายร้องไห้ ให้ลั่นบ้านทีไปถูกตีหรือเตะต่อยมาหน้าตาเขียวปูดทำไมชอบ ทำไมไม่เสียดายอวัยวะที่พ่อแม่อุตส่าห์ปกป้องมา และเลี้ยงดูมาจนเติบโตแข็งแกร่งกันเสียบ้างเลยทำไมจึงเป็นกันอย่างนี้ก็ไม่รู้ น่าประหลาดนัก มิใช่เฉพาะร่างกายเท่านั้นที่พ่อแม่ปกป้องให้ลูก แม้ชื่อเสียงของลูกพ่อแม่ก็คอยป้องกันไว้ให้เสมอกลัวลูกจะเสียชื่อเสียเสียง กลัวลูกจะดีไม่เท่าเขา จะดูได้จากเวลามีใครมาด่ารว่าลูกของตัวว่า ไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ ไปทำเสียอย่างนั้นอย่างนี้ หรือมาว่าเสียๆ หายๆ อย่างอื่น พ่อแม่เป็นต้องออกรับแทนลูกก่อนทุกครั้งไป จะปฏิเสธเป็นพัลวันทีเดียวว่าไม่จริงเป็นไปไม่ได้ ลูกตัวไม่เป็นอย่างนั้นแน่ทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่ได้สืบสาวราวเรื่องเลยว่าที่ะเขาพูดนะเป็นจริงแค่ไหนแต่ก็ป้องกันชื่อเสียงลูกไว้ก่อนละ 

**************************** 

พ่อแม่เป็นพระอาจารย์ 


อาจารย์ คือ ผู้ดูแลเรื่องจริยามารยาท ความประพฤติและการกระทำของศิษย์ พร้อมทั้งเป็นผู้คอยแนะนำชี้แจงศิษย์ให้รู้จักโลก มีหูตากว้างไกล และประสิทธิ์ประสาท ความรู้ความชำนาญ ให้เครื่องมือพร้อมมูลเพื่อศิษย์จะได้นำไปต่อสู้เผชิญชีวิตในโลกกว้างให้ทัดเทียมคนอื่น

บางครั้งเราเรียก “อาจารย์” ว่า “ครู” หรือเรียกรวมกันว่า “ครูอาจารย์” ก็มีจะเรียกอย่างไรก็หมายถึง ผู้ให้ความรู้ ดูแลมารยาททั้งสิ้น หากคนเราปราศจากครูอาจารย์ “ศิษย์ไม่มีครู” แล้วอย่าหวังเลยว่าจะมีความก้าวหน้าในชีวิตได้ คนเราจึงต้องมีครูอาจารย์คอยให้แบบอย่างไว้สำหรับเลียนหรือลอกแม้จะเพียงชั่วครั้งคราวหรือเป็นอาจารย์ประจำก็ตาม ดังนั้นคนเราจึงมีครูอาจารย์กันมากมายหลายคนหลายสำนัก

ในจำนวนนั้นพ่อแม่ก็ติดอันดับว่าเป็น “ครู” เป็น “อาจารย์” ด้วย และเป็นครูอาจารย์ที่อยู่ในอันดับหนึ่งชั้นแนวหน้ากว่าอาจารย์ทั้งหมด ทั้งดูเหมือนว่าจะสำคัญกว่า ครูอาจารย์อื่นใดขนาดพอจะยกเรียกว่าเป็น “พระครู” หรือ “พระอาจารย์” ได้โดยไม่กระดากปาก และท่านเป็นครูอาจารย์ตลอดชีพ ศิษย์ของพระครูพระอาจารย์หรือพ่อแม่นั้นก็คือ เราท่านผู้เป็นลูกนั่นเอง หรือพ่อแม่นั้นจัดเป็นครูที่ยอดเยี่ยมกว่าใครหมด ถึงขั้นเป็น “พ่อครู” และ “แม่ครู” นั่นเชียว

 เพราะครูธรรมดาก็สอนกันแค่วิชาการในหลักสูตรเป็นพื้น แต่พ่อแม่ท่านสอนเราทั้งในหลักสูตรและนอกหลักสูตร สอนทั้งในแง่ของทฤษฎีและภาคปฏิบัติในชีวิตจริง ทั้งสอนโดยไม่ต้องมีตารางสอน ไม่มีเวลาจำกัดว่าต้องสอนตามชั่วโมงนั้นชั่วโมงนี้เหมือนครูทั่วไป เราต้องยอมรับความจริงกันว่าเวลาเราเกิดใหม่ๆ นั้นเราอาศัยตัวเองหรือพึ่งตัวเองไม่ได้เลย โลกนี้ช่างมืดมนเสียเหลือกัน สำหรับเราไม่รู้ว่าอะไรทั้งสิ้น เข้าทำนองที่ว่า “ไม่รู้เดียงสา” นั่นแหละ

ต่อมาเราจึงค่อยรู้อะไรต่อมิอะไร รู้จักโลกดีขึ้นทีละเล็กละน้อย จนกระทั่งกว้างไกลออกไปจากตัวเองเรื่อยๆ “ความรู้เดียงสา” ค่อยๆ มาหาเราตามลำดับๆ ความรู้เดียงสานั้น พ่อแม่ท่านให้เรา เรารับมาจากพ่อแม่เป็นอันดับแรก พ่อแม่สอนเรามาทุกอย่างตั้งแต่เริ่มจำความได้ สอนตั้งแต่เรื่องกิน เรื่องนอน เดิน นั่ง การขับถ่าย การใช้ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ไปจนกระทั่งเรื่องสูงสุด คือ การควรทำควรเว้น เรียกว่า ท่านสอนให้เราจนกระทั่งเราสามารถพึ่งตัวเองได้จนกระทั่งเรามีความรู้ทันโลกและทันคน

ความจริง การสอนคนนี่มิใช่จะเป็นเรื่องง่ายๆ หากไม่รักจริง หรือไม่เมตตากันจริงๆ แล้ว ก็ไม่อยากจะสอนกันให้เมื่อยปาก ยิ่งพ่อแม่ด้วยแล้วดูเหมือนว่าท่านจะไม่เคยเบื่อหน่ายต่อการอบรมสั่งสอนลูกของตนเลยทั้งๆ ที่ต้องปากเปียก อยู่ทุกวันนี่แหละทั้งนี้ มิใช่เพราะหน้าที่เท่านั้น

หากท่านทำด้วยดวงใจที่เปี่ยมล้นด้วยเมตตาด้วยความรักความเอ็นดู ต้องการให้ลูกทุกคนเป็นคนดี ทำดี หนีชั่ว พาตัวให้รอดพ้นความลำบากนานนัปการได้ในอนาคต หากพ่อแม่ไม่เอาใจใส่ในเรื่องสั่งสอนอบรมเสียอย่างเดียวลูกๆ ก็คงจะไม่เห็น ทางเดินที่ถูกที่ควรแน่ หากลูกเลือกทางเดินเองจะเป็นเช่นไร ลองนึกวาดภาพ หรือมองดูคนที่เขาขาดพ่อขาดแม่ หรือไม่พ่อแม่ไม่ค่อยเอาใจใส่ดูแลก็จะได้เห็นภาพเด็กเกเร เหลือขอ ไม่มีการศึกษาด้อยทั้งความคิด ด้อยทั้งปัญญา มีแต่จะก่อปัญหาใหแก่สังคมท่าเดียวท้ายสุดอนาคตก็จะฝากไว้กับสิ่งเสพติดสารพัดชนิดบรรดามี เช่น สุรา บุหรี่ ฝิ่น เฮโรอีน เป็นต้น ซึ่งบั้นปลายของชีวิตถ้าไม่จบลงด้วยคุกตะรางก็จบลงด้วย ถูกฆ่าหรือไม่งั้นตายทั้งเป็นด้วยความทรมารเพราะฤทธิ์สิ่งเสพติดเหล่านั้น

ขึ้นชื่อว่าพ่อแม่ย่อมมองเห็นลูกเป็นเด็กอยู่ร่ำไปในสายตา แม้ว่า ลูกจะโตถึงมีเหย้ามีเรือนเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้วหรือมียศมีศักดิ์ มีหน้าตาในสังคมไปแล้วก็ตามที หรือบางทีลูกเป็นครูบาอาจารย์ของคนทั่วเมืองเสียด้วยซ้ำ พ่อแม่ก็ยังเตือนอบรมลูกอยู่นั่นแล้ว ระวังเนื้อระวังตัวนะลูกนะ ลูกเป็นเจ้าคนนายคนแล้วสิ่งนั้นสิ่งนี้ อย่าทำนะ ลูกนะ สารพัดที่พ่อแม่จะสรรหามาอบรมลูกซ้ำแล้วซ้ำเล่า พ่อแม่ไม่คำนึงหรอกว่าลูกจะโตใหญ่สักปานใด ท่านคิดแต่เพียงว่า เป็นลูกของท่าน ท่านก็ยังห่วงใยอยู่วันยังค่ำ และตั้งตัวเป็นพระอาจารย์ของลูกอยู่ร่ำไป คำสอนของพ่อแม่นั้นย่อมมีค่าอยู่เสมอ แม้ว่าคำสอนบางคำบางสอนจะออกมาปะปนกับถ้อยคำที่ฟังดูหยาบคายและภายใต้สีหน้าอันบึ้งตึง ก็ยังจัดเป็นคำสอนอันประเสริฐอยู่นั่นเอง เพราะว่าคำสอนนั้นกลั่นออกมาจากน้ำใจอันประเสริฐบริสุทธิ์ต่อลูกของท่าน กลั่นมาจากความรักความปรารถนาดีที่จะเห็นลูกเป็นคนดีต่อไปในอนาคต กลั่นมาจากความห่วงใยในลูกของตนคำพูดที่หยาบคายหรือสีหน้าอันบึ้งตึงนันเป็นส่วนประกอบต่างหากเป็นเปลือกนอกที่จะถือเอาเป็นอารมณ์ไม่ได้ หากจะพูดอย่างยุติธรรมแล้ว

เราผู้เป็นลูกนั่นแหละมีส่วนทำให้ท่านต้องพูด หรือแสดงสีหน้าเช่นนั้นออกมาลองใคร่ครวญกันดูเถิด ลูกที่มีพ่อแม่คอยอบรมตักเตือนอยู่เสมอนั้นนับเป็นบุญอย่างล้นเหลืออยู่แล้ว ต่อไปภายหน้าจะเอาตัวรอดได้เสมอ หากสิ้นพ่อแม่เสียแล้ว อย่าหวังเลยว่าใครอื่นเขาจะคอยเป็นพี่เลี้ยง เป็นกระจกเงาหรือเป็นผู้คอยจ้ำจี้จ้ำใชบอกทางเดินให้เราด้วยความรักอย่างบริสุทธิ์ เหมือนพ่อเหมือนแม่ ดังนั้น แม้ว่าคำสอนของท่านจะรุนแรงไปบ้างก็น่าที่จะได้จดได้จำไว้ น้อมรับฟังด้วยความเต็มใจ

เท่ากับว่าพ่อแม่ได้ฝากขุมทรัพย์อันมหาศาลที่จะกินที่จะใช้ไม่มีวันหมดดีกว่าท่านมอบมรดกเป็นเงินเป็นทองให้เสียอีก เพราะสิ่งนั้นอาจหมดไปเมื่อไรก็ได้ ส่วนคำสอนนั้นย่อมมีประโยชน์ใช้ได้ไม่มีวันหมด อย่างน้อยก็นไปอบรมลูกหลานของตัวต่อไปได้ มีพ่อแม่ไม่น้อยเหมือนกัน ไม่รู้จะอบรมลูกของตนให้ดีได้อย่างไรมันจะแต้มจนปัญญาที่จะหาคำสอนมาว่ากล่วแนะนำลูกได้ ทั้งนี้เพราะตอนตัวเป็นเด็กเป็นลูกของพ่อแม่นั้นไม่เคยได้รับการอบรมมาก่อน หรือได้รับการอบรมมาเหมือนกัน แต่ไม่เคยสนใจที่จะฟัง ไม่เคยสนใจที่จะจดจำรับรู้ พอถึงคราวที่จะอบรมลูกบ้างก็เลยจนแต้ม อึดอัดใจด้วยว่าไม่ถูก บอกไม่ได้หนักเข้าก็เลยปล่อยลูกไปตามเรื่องตามราว ยกให้เรื่องของเวรของกรรมไป เลยเป็นกรรมของลูกไปเสียจริงๆ

ลูกศิษย์กับพระอาจารย์ พ่อแม่มีสถานะเป็นพระอาจารย์ของลูก ลูกอยู่ในฐานะเป็นทั้งลูกเป็นทั้งศิษย์ ซึ่งรวมเรียกว่า “ลูกศิษย์” หรือเป็นศิษย์ในฐานะเป็นลูกอย่างสมบูรณ์ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์คู่นี้จึงมีอย่างแน่นแฟ้น ล้ำลึกและสนิทแน่นกว่าศิษย์อื่นกับอาจารย์ เพราะมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดปนอยู่ด้วย หรือจะพูดอีกทีก็คือมีเลือดอย่างเดียวกันนั่นเอง พ่อแม่นอกจากจะเป็นอาจารย์ประจำบ้าน ประจำชีวิตประจำวันแล้ว พ่อแม่ยังหาพอใจเพียงแค่ให้ลูกรู้จักโลกเท่าที่ตนอบรมสั่งสอนเท่านั้นไม่ยังใจกว้างพอที่จะส่งให้ลูกไปศึกษาหาความรู้ จากอาจารย์อื่นให้อาจารย์อื่นช่วยอบรมลูกของตนต่อไปในสิ่งที่ตนไม่อาจจะสอนให้ได้ โดยส่งให้เข้าโรงเรียนจนกว่าจะจบการศึกษาตามหลักสูตร หรือจบชั้นสูงสุดของโรงเรียนหรือสถาบันนั้นๆ พ่อแม่บางคนให้ลูกเรียนในบ้านในเมืองตนยังไม่พอใจยังยอมให้ลูกไปเรียนต่อถึงเมืองนอก แม้จะรักจะห่วงอย่างไร ก็ยอมให้ลูกไปตัวเองยอมทนนอนคิดถึงลูก รอวันรอคืนที่ลูกจะได้รับความสำเร็จกลับมาให้ชื่นใจ นี่คือน้ำใจ “พระอาจารย์” ของลูกละ

การที่เราต้องเข้าศึกษาเล่าเรียนนั้น พ่อแม่ต้องเป็นคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังทำนองเป็น “กองหนุน” ก็ว่าได้ เงินทอง ทุกบาททุกสตางค์ ไม่ว่าจะเป็นค่าเทอม ค่าหนังสือ ค่าเครื่องแต่งตัว ค่าอาหาร ขนม หรือค่าพาหนะเดินทางทุกอย่างเป็นภาระของพ่อแม่ทั้งนั้น และเงินทองเหล่านั้นแหละที่พ่อแม่ต้องอาบหงื่อ ต่างน้ำสู้หน้าดำคร่ำเครียดหามากว่าจะได้มาเป็นค่าอะไรต่อมิอะไรตนนั้น ท่านต้องลำบากไม่น้อยเลย แต่ความลำบากนั้นพ่อแม่ไม่ค่อยได้คำนึงถึงนักหรอกขอเพียงอย่างเดียวคือให้ลูกได้ศึกษา ให้ลูกได้มีวิชาติดตัวก็พอแล้ว ขอเพียงให้ลูกทัดหน้าเทียมตาเพื่อนๆ เท่านั้นเป็นพอ และหากรู้ว่าลูกได้ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ให้เป็นประโยชน์ตามที่ตนต้องการเท่านั้น ความเหน็ดเหนื่อยความลำบากลำบนก็จะพลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง กลับได้ความสบายใจยิ้มร่าต้อนรับลูกเสียด้วยซ้ำ

 ทุกต้นปีการศึกษาเรามักจะหาดอกไม้ธูปเทียนหาของฝากของที่ระลึกไป “ไหว้ครู บูชาอาจารย์” กันเป็นทิวแถว แต่อนิจจา! พระอาจารย์ทั้งคู่ที่อยู่ที่บ้านเราไม่เคยหันมามองหรือคิดที่จะถือดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้บูชาเลย แม้ว่าวันนั้นจะเป็นวัน “ไหว้ครู” ประจำปี หากเราท่านใดฐานะเป็นลูก พร้อมใจพร้อมหน้าประคองดอกไม้ธูปเทียน หรือ “หญ้าแพรก ข้าวตอก และดอกมะเขือเทศ” เข้าไปไหว้ท่าน พร้อมกล่าวสดุดีพระคุณของท่านเหมือนกับที่เรากล่าวในโรงเรียนแล้ว ภาพนั้นจะงดงามประทับใจผู้ทำผู้เห็นสักเพียงไหน พระทั้งสองของเราจะตื้นตันใจเพียงไร เราคงจะเห็นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติจากดวงตาอันอ่อนโยนของท่านเป็นแร่ ถึงเวลาแล้วที่เราผู้เป็น “ลูกศิษย์” จะน้อมรำลึกนึกถึงพระคุณอันใหญ่หลวงของ “พระอาจารย์” และพร้อมกับบูชาคุณท่าน แม้จะด้วยเพียง “สักการะ” คือดอกไม้ธูปเทียนหรือด้วยเพียงนิ้วทั้งสิบและสองมือของเราเท่านั้นก็พอแล้ว สำหรับบูชาพระอาจารย์ สำหรับ “ไหว้ครู” ของเราความเป็นลูกศิษย์กับพระอาจารย์จะสมบูรณ์แบบก็ต้องเริ่มกันที่ตรงจุดนี้แหละ ลองเริ่มกันดูทีหรือ? ท่านคงไม่คิดว่าเราทำพิเรนทร์ถึงกับยันเราออกมาได้ลงคอหรอกน่า! 

***************** 

พ่อแม่เป็นพระอรหันต์


ธรรมดาพระอรหันต์เป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดแล้ว ถือกันว่าเป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยมหากใครได้ทำบุญกับอรหันต์ก็นับว่าเป็นลาภอันประเสริฐของผู้นั้นเราจึงแสดงหาพระอรหันต์กันทั่วทุกหนแห่ง ถึงกับพอได้ยินข่าวคราวว่าพระองค์นั้นองค์นี้เป็นพระอรหันต์ หรือพระอรหันต์มีอยู่ที่นั่น ที่นี่ เราก็จะพากันดั้นด้นไปหาแม้ว่าท่านจะอยู่ห่างไกลหรืออยู่ลึกกลับในหุบในห้วยป่าไหนตำบลไหนก็ตามแม้ว่าจะเราจะไม่มีข้อพิสูจน์ได้ถ่องแท้ว่าท่านเป็นพระอรหันต์จริงหรือไม่ก็ตาม เราก็ยังต้องการทำบุญกับท่านอยู่ดี

พระอรหันต์มีคุณนุภาพอย่างนี้ และพระอรหันต์นั้น ท่านจะประกอบด้วยจิตใจที่อ่อนโยนมีน้ำใจที่เอื้อเฟือ้มุ่งแต่จะอนุเคราะห์มวลพลโลกให้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ ให้พ้นจากความยากลำบาก และพ้นจากหุบเหวแห่งความเป็นทาสของกิเลสตัณหาเท่านั้น โดยจะทำทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนเป็นคนมีอิสระเป็นไทแก่ตัว มีเสรีภาพในหัวใจของตัวเอง ไม่ต้องดิ้นรนหาเสรีภาพหรือความเป็นอิสระจากบุคคลอื่นด้วยวิธีการกระจายพลังธรรมให้กว้างขวางออกไปในหมู่ปวงชน ให้หมู่ชนอยู่ในร่มเงาแห่งพระธรรมคำสั่งสอน และให้เดินทางไปตามมรรคที่ถูกต้องด้วยมีแสงประทีปแห่งธรรมเป็น เครื่องส่องให้เห็นมรรคนั้นๆ ซึ่งการกระทำเช่นนั้นย่อมทำให้เกิดความไม่พอใจแก่คนบางหมู่บางเหล่า แต่ว่าแม้ใครจะด่าว่าฆ่าแกงท่าง จะมุ่งร้ายหมายหัวท่าน หรือขัดขวางการกระทำเช่นนั้น ท่านก็มิได้ถือโทษโกรธเคืองในผู้นั้นๆ จะมีก็แต่เพียงแผ่การุญภาพให้เขาเหล่านั้น พ้นจากหุบเหวแห่งความอาฆาตพยาบาลมาตร้ายนั้นเสีย ยอมให้อภัยเขาด้วยประการทั้งปวง

ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ทางกาย และน้ำใจของท่านก็ใสสะอาดอย่างนี้ มวลมนุษย์จึงได้ขนานนามท่านว่า “พระอรหันต์” คือผู้ห่างเว้นจากกิเลส โลภ โกรธ หลงแล้ว และขนานนามว่า “อาหุไนยบุคคล” คือผู้สมควรที่จะได้รับการยกย่องเชิดชู และสมควรที่เราท่านจะพึงเข้าไปกราบไหว้บูชา สมควรจะได้รับของบูชานั้นๆจากเราไม่ว่าเราจะนำไปถวายท่านถึงที่หรือเราจัดเตรียมไว้ในบ้าน

น้ำใจของพระอรหันต์ที่มีต่อมวลชนหมดจดฉันใด น้ำใจของพ่อแม่ที่มีต่อลูกก็หมดจดฉันนั้น เพราะฉะนั้น พ่อแม่จึงเปรียบเสมือนพระอรหันต์ของลูกเป็นพระอรหันต์ที่ลูกจะพึงได้พบได้เห็นในปัจจุบันทั้งอยู่ในบ้านของตนทุกขณะทุกเวลานั่นเอง ถ้าพูดถึงความรักลูก ความมีน้ำใจต่อลูก ความห่วงใย และความต้องการให้ลูกได้ดิบได้ดีทัดหน้าเทียมตาคนอื่นๆ ความต้องการให้ลูกอยู่เย็นเป็นสุข ไม่อยู่ร้อนนอนทุกข์ต้องการให้พ้นจากภัยพิบัตินานาประการแล้ว พ่อแม่ย่อมมีไม่แพ้พระอรหันต์ที่มีต่อมวลมนุษย์เลย

ถ้าจะพูดให้ยิ่งไปกว่านี้ก็อาจพูดได้เต็มปากว่า บางครั้งพ่อแม่ก็มีภาษีดีกว่าพระอรหันต์เสียด้วยซ้ำ มีภาษีตรงที่ว่าพ่อแม่ยังมีโอกาสแสดงออกต่อเราผู้เป็นลูกบ่อยครั้งกว่าพระอรหันต์จริงๆ ซึ่งพระอรหันต์ดังกล่าวนั้น บางทีในชีวิตเรานี้เราไม่เคนได้รับอุปการคุณจากท่านเลย ทั้งนี้เพราะท่านหาได้ยากจริงๆในยุคปัจจุบันหรืออาจจะไม่มีแล้วก็เป็นได้ เราจึงเหลือกันเพียงพระอรหันต์ในบ้านไว้ให้ดูต่างหน้าพระอรหันต์อริยบุคคลคือ “พ่อกับแม่” เท่านั้น

ทั้งพ่อกับแม่มีน้ำใจบริสุทธิ์ต่อเราผู้เป็นลูกนัก คิดดูเถิดตอนเราเป็นเด็ก เราเคยหยิก เคยข่วน ทุบ ตี เตะ ต่อย กัด หรือด่าทอท่านต่างๆ นานา เพราะไร้เดียงสา ท่านไม่โกรธเคือง กลับยิ้มร่าชอบใจเพิ่มความรักความเอ็นดูขึ้นอีก แม้เราเป็นผู้ใหญ่รู้เดียงสาแล้ว แต่ก็ยังทำอยู่เช่นนั้นแทนที่ท่านจะโกรธถือโทษหรือเอาผิดต่อเรา ท่านกลับยอมนิ่งเฉย ทนยอมรับทุกข์เพียงฝ่ายเดียว ยอมเสียน้ำตายอมเป็นเครื่องรองรับมือ เท้าและปากของเรา ให้อภัยในการกระทำของเราเสมอ

เพราะท่านกลัวเราจะเป็นบาปเป็นกรรม หรือมีเวรต่อไปข้างหน้า จึงยอมเจ็บยอมทุกข์เสียเอง พระอรหันต์ของเราจริงๆ เราได้รับอุปการะได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่มาจนป่านนี้ หากจะคิดถึงความสิ้นเปลืองข้าวสุกข้าวสารแกงกับต่างๆ, ผ้านุ่ง, ผ้าห่ม, เงินทอง, และความสิ้นเปลืองไปของแรงกายแรงใจของพ่อแม่ที่ท่านได้ทุ่มเทให้เรานั้น ย่อมประมาณค่าออกมาเป็นตัวเลข หรือด้วยสัญลักษณ์ใดๆ ให้รู้ไม่ได้เลย

ทั้งนี้เพราะมันมากมายเสียจนเกินกว่าจะประมาณหรือประเมินได้ ดังนั้นอย่าได้ตีค่าน้ำใจของพระอรหันต์ในบ้านออกมาเป็นเงินเป็นทองเลย ถึงจะตีให้สูงสักเท่าไรก็ไม่มีวันถูก หรือทัดเทียมสมน้ำสมเนื้อกับความเป็นจริงที่ท่านได้ทุ่มเทไว้ทั้งกายและใจเลย ทั้งน้ำใจของท่านก็ไม่ควรจะถูกตีราคาค่างวดเป็นเงินเป็นทองแบบพ่อค้าตีราคาสิ่งของทั้งหลายด้วย ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะหวังดีปรารถนาดีต่อเราอย่างจริงจัง และจริงใจเหมือนพ่อแม่ของเราหรอก และไม่มีใครในโลกนี้ที่จะเลี้ยงดูเราได้ดีเหมือนท่านด้วย

ท่านเลี้ยงเรามาตั้งแต่เราอยู่ในท้องของท่าน แม้ท่านจะไม่รู้ว่าลูกในท้องนั้นจะเป็นหญิงหรือชายมีหน้าตาเป็นอย่างไร จะพิกลพิการ หูหนวก ตาบอด จะสมประกอบ เหมือนเด็กทั่วไป หรือคลอดออกมาแล้วจะเป็นตายอย่างไร แม้ท่านจะไม่รู้ไม่ทราบ แต่ท่านก็ประคับประคองเรามาด้วยดีเก้าเดือนบ้างสิบเดือนบ้าง คลอดออกมาแล้วท่านทั้งสองไม่เคยคิดรังเกียจเราเลย เราจะเป็นหญิงเป็นชายพ่อแม่พอใจทั้งนั้น แม้ท่านจะผิดหวังบ้างในตอนแรก แต่ท่านก็พอใจในตอนหลัง เพราะถือว่าเราเป็นลูกบางทีบางครั้งเกิดมาพิกลพิการพ่อแม่ก็ยังรักอยู่ ตาบอดท่านก็รัก หูหนวกท่านก็รัก เกิดมาตีนกุดมือกุด แม้ว่าท่านจะใจหายแต่ก็ยังรักเพราะท่านคิดว่า นั้นคือสายเลือดและแทนที่ท่านจะทอดทิ้ง ท่านกลับเพิ่มความรัก ความสงสารประคบประหงมลูกคนนั้นเพิ่มขึ้น ท่านไม่เคยท้อถอยหรือน้อยใจในเรา ว่ามาเกิดเป็นลูกท่านทำไมท่านรักท่านเลี้ยงลูกมาทุกคนที่เกิดกับท่านเป็นสายเลือดท่าน แม้ว่าท่านเลี้ยงมาจนโตแล้วลูกกลับมาตายเสีย หรือไม่พบจุดจบด้วยมีด และลูกปืนของผู้อื่นก็ตาม ท่านก็มิได้คิดว่าจะเลี้ยงมาเพื่อตายหรือเพื่อให้คนอื่นมาฆ่าแบบนั้น! 

***************** 

พระในบ้านคือพ่อแม่ 

ความเป็นพระในบ้านของพ่อแม่นั้น จะมีสักกี่คนกัน ที่รู้เพราะเรามักจะมุ่งหากันแต่พระนอกบ้าน พระที่ไม่มีลมหายใจแม้จะต้องซื้อหาด้วยราคาแพง แม้จะต้องลงทุนลงแรงมากมายกว่าจะได้มา และมักจะเฝ้าปรนเปรอหรือบูชาแต่พระนอกบ้านเช่นนั้นเท่านั้น แต่พระในบ้านซึ่งมีลมหายใจอยู่หรือใกล้ชิดอยู่กับตัวเราตลอดเวลาเรากลับมองข้ามไปเสีย

เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นคนอยู่ในวัยไหน ฐานะอย่างไร ย่อมเป็นเหมือนๆ กันได้ทุกที เหมือนกันในข้อที่ไม่รู้จักว่า พระในบ้านคือใคร มีเรื่องที่เล่ากันสืบๆ มาว่า มีคุณนายคนหนึ่งเป็นคนใจบุญพอควรทีเดียว ดูได้จากการที่ตักบาตรทุกเช้า และหลังจากนั้นก็จะถือสำรับกับข้าว ที่บรรจงจัดอย่างประณีต นำไปวัดแห่งหนึ่งทางฝั่งพระนคร เพื่อถวายท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ผู้เป็นเจ้าอาวาส เพราะมีความเคารพนับถือในจริยาวัตรของท่านและชอบฟังท่านคุย หรือเล่าเรื่องอะไรมิอะไรให้ฟัง เรียกว่า มีเวลาว่างหลังจากตักบาตรตอนเช้าแล้ว คุณนายคนนั้นเป็นต้องมาวัดให้ได้ทุกวัน อาหารที่จัดมาก็ประณีตทุกอย่างเพื่อให้สมกับนำมาถวายสมเด็จฯ อยู่คุยกับท่านพอสมควรแล้วก็กราบลากลับ ทำอยู่เช่นนี้เป็นประจำ

วันหนึ่งหลังจากคุณนายกลับแล้ว พระหนุ่มรูปหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฎิของสมเด็จฯ เข้าไปเรียนถวายว่าคุณนายคนนี้ใจบุญสุนทานจริง แต่เคยได้ยินว่าเป็นคนใจแคบ มีแม่อยู่คนเดียวก็ปล่อยให้อดๆ อยากๆ ไม่ค่อยเอาใจใส่ ปล่อยให้อยู่ห้องแคบๆ หลังบ้านส่วนตัวเองพร้อมลูกๆ อยู่บนตึกใหญ่สะดวกสบายทุกอย่าง เขาว่าตอนอยู่บ้านนั้นพูดจากับแม่ฟังไม่ค่อยได้เลย ผิดกับที่มาพูดอยู่ที่วัดจากหน้ามือเป็นหลังมือ แม่จะเดินออกมาหน้าบ้านบ้างก็ไม่ได้กลัวเขาจะเห็นว่ายังมีแม่แก่อยู่ในบ้านอายเขา

คนเขามาเล่าให้ฟังหลายรายแล้ว เท็จจริง อย่างไรไม่ทราบได้ ฝ่ายสมเด็จฯ ท่านได้ฟังพระว่าก็ไม่พูดอะไร นิ่งฟังเฉยอยู่ ต่อมาอีกหลายวัน ท่านไปกิจนิมนต์นอกวัด และบังเอิญขากลับต้องผ่านทางบ้านคุณนายด้วย ท่านจึงแวะบ้านคุณนายก่อน คุณนายดีใจมาที่สมเด็จฯ มาถึงที่บ้าน เพราะไม่เคยมีพระมาที่บ้านเลยในยามปกติ นอกจากเวลาทำบุญเท่านั้น จึงถือว่าเป็นนิมิตมงคลอย่างสูงสุดที่พระขั้นสมเด็จฯ มาเหยียบบ้าน จึงเรียกลูกหลานเข้ามากราบไหว้ ท่านเป็นการใหญ่ ให้ท่านอวยชัยให้พรลูกหลาย แล้วชวนท่านคุยเรื่องต่างๆ มากมาย สมเด็จฯ ท่านก็คุยบ้าง ถามสุขทุกข์บ้างตามธรรมเนียม ตอนหนึ่งสมเด็จฯ ท่านถามคุณนายว่า พระในบ้านของคุณนายมีบ้างไหม

คุณนายได้ยินเข้าก็รีบตอบว่าพระในบ้านของตัวมีมากมายเป็นพระเก่าๆ ทั้งนั้น สมัยสุโขทัยก็มีสมัยเชียงแสนก็มี พร้อมกับอวดใหญ่ และชวนสมเด็จฯ ขึ้นไปดุห้องพระข้างบน

 สมเด็จฯ ท่านทราบว่าคุณนายยังไม่เข้าใจ จึงถามขึ้นอีกว่าได้ทราบว่าคุณนายมีแม่อีกคนหนึ่งเดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน?

คุณนายได้ยินเข้าถึงกับเสียวแปลบเข้าไปในหัวใจ ไม่นึกว่าจะถูกจู่โจมด้วยคำถามชนิดฟ้าแลบอย่างนี้จากสมเด็จฯ จะตอบไปตามตรงว่า แม่อยู่หลังบ้าน ก็กลัวสมเด็จฯ จะเดินไปดู และจะเห็นสภาพความเป็นอยู่ของแม่ แล้วท่านจะว่าเอาได้ ก็เลยอีกๆ อักๆ ตอบส่งๆ ไปว่า ตอนนี้แม่ไม่อยู่ ออกไปเยี่ยมญาติคงอีกนานกว่าจะกลับ
แน่ะ! คอยกันท่ากันไว้เสร็จ กลัวสมเด็จฯจะนั่งคอยพบ สมเด็จฯ ท่านก็ไม่ต่อความอีก เพราะเริ่มจะรู้อะไรเป็นอะไรแล้ว พอสมควรแก่เวลาท่านก็ลากลับ หลังจากนั้นก็พบคุณนายอีกเป็นประจำเหมือนเคย

จนวันหนึ่งท่านเห็นคุณนายยิ้มแย้มแจ่มใสดี พูดคุยรื่นเริงเรื่องการทำบุญสุนทาน และยังมีเวลาอีกพอควรที่จะถึงเวลาเพล ท่านจึงถามขึ้นมาว่า “พระในบ้านของโยม โยมดูแลเรียบร้อยดีแล้วหรือ ?” คุณนายก็ตอบอย่างยิ้มย่อง ด้วยความเข้าใจผิดเช่นเคยว่า
“เจ้าค่า...อิฉันจัดถวายท่านเรียบร้อยทุกวันแหละค่ะ ก่อนจะมาถวายท่านนี่ อิฉันต้องจัดถวายในห้องพระก่อน จุดธูปเทียนบูชาท่านเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงนำมาถวายท่านทีหลัง ท่านไม่ต้องห่วงหรอก อิฉันทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร” อวดสรรพคุณของตัวไปโน่นเลย

 “อาตมามิได้หมายถึงพระพุทธรูปนะโยม พระในบ้านที่อาตมาถามนี่หมายถึง พระที่มีลมหายใจ คือ แม่ผู้มีพระคุณของโยมน่ะ” ถึงตอนนี้คุณนายนิ่งเป็นรูปปั้นไปโดยอัตโนมัติส่วนสมเด็จฯท่านก็พูดต่อไปเรื่อยๆ คนเราน่ะมีพระอยู่ในบ้านทุกคน พระที่มีลมหายใจนะ บางคนมีพ่อ บางคนเหลือแม่ บางคนโชคดีเหลือทั้งพ่อทั้งแม่ในบ้าน นับเป็นบุญมหาศาล ใครเหลือเท่าไรก็ควรจะได้เอาตาดูเอาหูใส่ท่านบ้าง ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยไม่เอาใจใส่ ปล่อยให้ท่านอดๆอยากๆเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างไร ก็ดูแลท่านบ้าง ท่านแก่แล้วท่านกินท่านใช้จะหมดเปลืองไปสักเท่าไรเชียว ใช่ไหมโยม? “ค่ะ ใช่” จำใจเงยหน้ามองตาสมเด็จฯ แล้วตอบ
“โยมก็เหมือนกัน...." สมเด็จฯ พูดตรงๆ เลยคราวนี้เรียกว่าหลังจากขึ้นสายมานานแล้ว ตอนนี้ก็ปล่อยธนูออกไปเลยทีเดียว เพราะท่านทราบว่าบางคนเรานั้นต้องว่าต้องสอนกันตรงๆ จึงจะรู้สึก
 “ทราบว่ามีแม่อยู่คนเดียวเท่านั้น แต่โยมไม่ค่อยสนใจในความเป็นอยู่ของท่านเท่าไรนัก ปล่อยให้อยู่ในห้องแคบๆ อับทึบแทบไม่มีอากาศหายใจอยู่หลังบ้าง ทั้งๆ ที่ท่านเป็นเจ้าของบ้านที่ดินทั้งหมด ที่โยมอยู่โยมอยู่อย่างสบายแต่ปล่อยให้ท่านอดๆ อยากๆ ไม่สงสารท่านบ้างหรือ?” 


ตอนนี้คุณนายนิ่งเงียบจริงๆ ตอบไม่ได้ เพราะก้อนสะอื้นกำลังแล่นขึ้นมาจุกคอ
“โยมจัดอาหารถวายพระในห้องพระได้ทุกวัน แต่พระในบ้านอีกองค์หนึ่งคือแม่ โยมไม่เคยจัดหาให้และตอนที่จัดหามาให้อาตมานี่ อาตมาสังเกตดู โยมจัดหามาอย่างดีทีเดียวทำก็ประณีตบรรจง เมื่อก่อนอาตมาไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไรก็ฉันของโยมไปตามปกติ แต่ตอนนี้บอกตรงๆ ว่ามันกลืนไม่ค่อยลงมาหลายวันแล้ว เพราะอาตมารู้ว่าอาตมานี่เป็นพระในวัดไม่ควรจะเอาเปรียบ พระในบ้านของโยมเกินไปเลยกลืนไม่ลง อาตมาน่ะ อย่างไรก็ได้ พระเราจะเลือกฉันแต่ที่ดีๆ ไม่ได้ โยมลองคิดดู...” 

ท่านเว้นระยะนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ
“อาตมาคิดมาหลายวันแล้ว ว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดีสุดท้าย ตกลงใจว่าพูด เพราะเห็นใจแม่ของโยม สงสารโยมเพราะผลการกระทำของโยมจะตกแก่ตัวโยมต่อไป และลูกหลานของโยมเห็นโยมทำกับแม่เช่นนี้ มันก็จะจำเอาไปแล้วทำกับโยมบ้าง และทำกันต่อๆ ไปไม่สิ้นสุดสักที เพราะเห็นว่าแม่ทำได้ ยายทำได้ เราก็ทำได้เหมือนกันอาตมาพูดแล้วโยมจะโกรธจะเคืองอาตมาก็ตามใจเถอะ อาตมาพูดความหวังดีต่อโยม โยมลองคิดดูให้ดีก็แล้วกัน” 
น้ำตาเจ้ากรรมมันพงลงจากทำนบตาของคุณนายเมื่อไรไม่ทราบ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแล่นเข้าจับหัวใจ ตามวิสัยของคนผิดที่กลับตัวกลับใจได้ทันเวลา สะอื้นพลางกราบลาสมเด็จฯ โดยไม่กล่าวคำอำลาสักน้อยหนึ่ง จะโกรธสมเด็จฯ ที่พูดจี้ใจดำหรือไม่ ไม่ทราบได้ แต่หลังจากนั้น สมเด็จฯ ท่านก็ได้ทราบข่าวมาว่าคุณนายเงียบเหงาไปไม่ร่าเริง เหมือนแต่ก่อน และจัดการย้ายห้องแม่ให้อยู่ติดๆ กับห้องตนบนตึกใหญ่ชั้นล่าง ดูแลท่านอย่างดีไม่ค่อยออกนอกบ้าน เช่นแต่ก่อน และกว่าจะเข้าวัดมาหาสมเด็จฯ อีกก็ต่อเมื่อเวลาล่วงไปแล้วได้หลายเดือน ไม่กล้าเข้าหาสมเด็จฯ เพราะความละอายใจนั่นเอง

สาธุ! นับเป็นบุญของคุณนายคนนั้นที่ได้พบพระเช่นสมเด็จฯ องค์นั้นเสียก่อน และเป็นบุญยิ่งนักที่กลับเนื้อกลับใจเสียใหม่ เมื่อยังไม่สายเกินไป เวลาที่จะสนองพระคุณแม่นั้นยังพอมีอยู่บ้าง แม้ว่า จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดี ผิดกับบางคนกว่าจะรู้ว่า พ่อแม่เป้นพระในบ้านผู้ประเสริฐ ก็สายเสียแล้วคือรู้ก็ต่อเมื่อท่านทั้งสองไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้แล้ว หรือบางคนแม้จะมีผู้พูดกรอกหูให้ฟังอยู่ทุกวันยังไม่รู้สึก ปล่อยให้พระในบ้านตนลำบากอยู่เหมือนเดิม ก็แล้วมาถึงท่านบ้างละ พระในบ้านของท่านยังสบายดีอยู่หรือ? 

********************** 

การบำรุงพระในบ้าน 

ก็รู้แล้วว่า “พระในบ้าน” นั้นคือใคร ยังเหลืออีกเพียงขั้นตอนเดียวเท่านั้น คือ ทำอย่างไรจึงจะทำให้พระในบ้านมีความสุขความสบายใจได้บ้าง ให้ท่านได้มีโอกาสชื่นชมยินดีในความสำเร็จของลูกหลานทันเวลาก่อนที่จะลาโลกไป และให้ท่านได้มีโอกาสพักบ้าง หลังจากได้ตรากตรำทำงานหาเลี้ยงลูกมาจนถึงวัยปูนแก่แล้ว คือ ช่วยยืดอายุให้ท่านอยู่กับเรานานๆ นั่นแหละ

โอกาสที่จะทำได้อย่างว่านั้น สำหรับลูกๆ แล้วมีตลอดไป และมีมากเสียด้วย เว้นไว้แต่จะไม่ยอมมอบโอกาสเช่นนี้ให้พ่อแม่บ้างเท่านั้น เพราะปกติเรามักจะอ้างกันอยู่เสมอว่าไม่มีเวลา ไม่มีโอกาส โดยเฉพาะสำหรับพ่อแม่ แต่สำหรับกิจการอื่นๆ หรือการแสวงหาความสุข การใช้เวลา การใช้เงินใช้ทองไปบำรุงบำเรอผู้อื่นนั้น เราช่างมีเวลาโอกาสเหลือเฟือพอที่จะทำได้เสมอๆ โดยมิพักต้องกังวลหรือคิดหน้าคิดหลังเสียด้วยซ้ำไป การบำรุงท่านเป็นวิธีการเดียวที่ถูกต้องและสมน้ำสมเนื้อกับคุณข้าวป้อนน้ำนม รวมทั้งหยาดเหงื่อแรงงานที่ท่านได้ลงไว้กับเรา เพื่อให้เราดีจนกระทั่งเรามีหลักฐาน มีงานทำอยู่ทุกวันนี้

ตามหลักธรรมะหรือจะพูดให้ชัด คือหลักธรรมตามสัจธรรมอันเป็นเรื่องจริง และเป็นธรรมชาติธรรมดาของโลก การบำรุง พ่อแม่เพื่อตอบแทนพระคุณท่านั้นเราอาจทำได้หลายวิธี เป็นต้นว่า การเลี้ยงดูท่าน การช่วยเหลือท่านทำกิจการงานต่างๆ บรรดามีการประพฤติตนให้ดี มิให้ท่านมีมลทินเสียชื่อเสียงไปด้วย การดำรงอยู่ในโอวาสคำตักเตือนแนะนำของท่าน การรักษามรดก ทั้งมรดกที่เป็นเลือดเนื้อคือตัวเราเอง และมรดก คือทรัพย์สินที่ท่านมอบไว้ให้ด้วยดี ไม่ให้มรดกนั้นมลายสูญไปเพราะตัวเรา และใช้มรกดกของท่านให้เกิดดอกออกผลงอกเงยขึ้นมาให้ยิ่งๆ ขึ้นไปกว่านั้น

การบำรุงพ่อแม่นั้น เราอาจทำได้ทุกเวลาและทุกโอกาสและทุกวัย เพราะไม่ยากจนเกินไปหากจะทำ แม้ว่าเราจะมีครอบครัวไปแล้ว แม้ว่าเราจะแยกกันอยู่ต่างหากจากพ่อแม่หรือไปอยู่ห่างไกลในหนใดก็แล้วแต่ ก็ยังพอทำได้เช่นกัน อย่าได้นึกเลยว่าอยู่ไกล คิดว่าท่านล้มหายตายจากไปแล้ว จะไปบำรุงท่านที่ไหน การบำรุงพ่อแม่ไม่ใช่เพียงต้องเลี้ยงดูท่านอย่างเดียว เราอยู่ที่ไหรท่านก็ไปอยู่กับเราที่นั่น เราขึ้นเขาลงห้วย เราไปอยู่ในสมาคมคนดีหรือคนเลว ท่านก็ไปกับเราด้วย ก็ตัวเรานี่แหละที่เป็นเสมือนตัวท่านเป็นตัวแทนของท่าน และเป็นส่วนหนึ่งที่แยกภาคมาจากท่าน เพราะตัวเราคือเลือดเนื้อเชื้อไขจากสายโลหิตของท่าน

แต่การบำรุงพระในบ้านที่สำคัญเป็นอันดับแรกที่เราควรทำเป็นอย่างยิ่งก็คือ “การเลี้ยงดูท่านให้เป็นสุข” เพราะการเลี้ยงดูเป็นการต่อเติมชีวิตของท่านให้อยู่นานๆ เท่ากับเป็นการเพิ่มเติมพลังกายพลังใจให้ท่านนั่นเอง และเป็นการสนองระคุณท่านในขณะที่ท่านยังมีลมหายใจอยู่ ทั้งเป็นการแสดงน้ำใจของเราให้ท่านเห็นด้วย คนเราจะรู้ว่าใครดีไม่ดีก็ต่อเมื่อได้เห็นน้ำใจกันก่อนน้ำใจย่อมมีค่าสูงและมีพลังมากกว่าน้ำใดๆ ในโลก “พระในบ้าน” ปรารถนาเหลือเกินจะได้เห็นน้ำใจจากลูกๆ ที่ท่านอุตส่าห์เลี้ยงดูอุ้มชูมาแต่น้อยคุ้มใหญ่ แต่ความปรารถนาของพ่อแม่จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับน้ำใจของเราผู้เป็นลูกเท่านั้น 

********************** 

การเลี้ยงพ่อแม่ 

พ่อแม่ได้ใช้ความพากเพียรพยายามตรากตรำหาเงินหาทองเลี้ยงดูลูกมา กว่าจะโตได้แต่ละคนนั้นก็เลือดตากแทบกระเด็นร่างกายก็พลอยทรุดโทรมลงตามลำดับ อายุวัยก็เพิ่มขึ้น จนในที่สุดก็ต้องหยุดพักไปโดยปริยาย เพราะสังขารร่างกายไม่อำนวยให้ทำงานได้เหมือนเมื่อหนุ่ม แม้ว่าจิตใจจะแข็งแกร่งอยากทำสักปานใดก็ไม่อาจฝืนธรรมชาติของสังขารได้

ตอนนี้แหละเป็นโอกาสของลูกแล้วที่จะได้ตอบแทนใช้หนี้บุญคุณท่านด้วยการเลี้ยงดูท่านบ้างตามความเหมาะสม เพราะหากลูกไม่เลี้ยงพ่อแม่ตอนนี้แล้วใครจะเลี้ยง? จะให้ท่านไปอยู่สถานสงเคราะห์คนชราหรือ อาจทำได้แต่เท่ากับว่าส่งท่านให้ไปอยู่ในคุกในตะราง หรือไปทรมานใจอยู่ในนั้นมากกว่า เพราะสถานที่เช่นนั้นมันจะว้าเหว่และเหมือนกันอยู่โดดเดี่ยวสักเพียงไหน และเป็นสถานที่สำหรับคนที่ไร้ญาติขาดมิตร หรือคนที่ลูกหลานไม่เลี้ยง ไม่เอาใจใส่แล้วเท่านั้น

เราลองคิดและนึกวาดภาพดูก็แล้วกัน ในหมู่คนแก่ที่แปลกหน้าไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน และท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอ้างว้าง เดียวดายของคนแก่แต่ละคน จะผิดอะไรกับส่งท่านไปตายแบบผ่อนส่งเล่า เราใจถึงพอที่จะส่งท่านไปอยู่ ณ สถานที่เช่นนั้นหรือ ? แต่ก็มีคนแก่อีกจำนวนไม่น้อยที่พอใจจะอยู่ในที่เช่นนั้น ซึ่งตนรู้ดีว่าไม่สุขสโมสรหรือน่ารื่นรมย์เท่าไรนัก แต่ก็พอใจจะอยู่ เพราะเห็นว่ายังดีกว่าอยู่บ้านของตัวหรือบ้านของลูกหลาน ซึ่งเป็นเสมือนขุมนรกของท่าน มีลูกมีหลานก็เหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันมาก่อน จะพูดจะจาทักบ้างก็ไม่มี จะถามไถ่สุขทุกข์บ้างก็ไม่เคยได้ยินอยู่ไปก็ถูกด่าสารพัดหาว่าเกะกะบ้านบ้างละ เมื่อได้ยินลูกหลานพูดเข้าทำนองนี้ขืนอยู่ไปก็รังแต่จะน้อยใจ ช้ำใจและอึดอัดใจเปล่าๆ เลยขอไปให้พ้นๆ บ้านเสีย ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าและก็มักจะตายด้วยดาบหน้าจริงๆ อย่างที่ตั้งใจไว้เสียด้วยซี การเลี้ยงพ่อแม่ให้อยู่ดีมีสุขตามสมควรนั้น หากจะให้สมบูรณ์แล้วต้องเลี้ยงท่านสองทางคือ - เลี้ยงร่างกาย - เลี้ยงจิตใจ 

********************************* 

การเลี้ยงร่างกายพ่อแม่ 


การเลี้ยงร่างกายพ่อแม่นั้นออกจะไม่ยากนัก เพราะคนแก่ อยู่ง่ายกินง่ายอยู่แล้ว ไม่ค่อยพิถีพิถันในเรื่องการกิน การนอนนักเพียงให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่อยู่อาศัย ให้ยากรักษาโรคและให้เครื่องนุ่งห่ม อันเป็นปัจจัยจำเป็นสำหรับชีวิตแก่ท่านก็เพียงพอแล้ว

สำหรับเลี้ยงร่างกายให้อยู่รอดไปวันๆ และดูเหมือนว่าจะไม่สิ้นเปลืองเท่าไรด้วย หากคิดเปรียบเทียบกับที่ท่านเลี้ยงเรามา การเลี้ยงเท่านี้ไม่น่าจะต้องเป็นกังวลสำหรับลูกเลย ลองนึกย้อนหลังดูทีหรือว่าเมื่อเราเป็นเด็กนั้น เรากินเราใช้เปลืองกว่านี้ ข้าวก็ต้องอย่างน้อยวันละ 3 มื้อ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มปีหนึ่งนับชุดไม่ได้ ขนมนมเนยต่างหาก เครื่องประดับต่างหาก

ทั้งการใช้จ่ายเพื่อความสนุกสนานแลความสำราญต่างๆ ก็ต่างหาก เปลืองอย่างนี้ทำไมพ่อแม่ยังหาเลี้ยงเรามาได้ และไม่ใช่เฉพาะเราเท่านั้นลูกของพ่อแม่อื่นๆ ซึ่งก็เป็นพี่น้องเรานี้แหละ ท่านก็หาให้เหมือนๆ กันทุกคนเปลืองพอๆ กัน ซ้ำยิ่งโตยิ่งเปลืองหนักเข้าไปอีกพอถึงคราวที่เราจะต้องเลี้ยงท่านให้อิ่มหนำสำราญบ้าง ทำไมเราจึงทำไม่ค่อยได้? เคยเห็นอยู่ออกบ่อยไป ที่ลูกบางคนเวลาพ่อแม่ยังมีชีวิต อยู่ไม่เคยดูดำดูดี ไม่เคยที่จะสนใจเหลียวแหลนักท่านจะสุขทุกข์

แม่ไปเยี่ยมเยียนบ้างก็ตั้งท่ารังเกียจ พ่อแม่ไปอยู่ด้วยก็พูดกระทบกระทียบให้เจ็บช้ำน้ำใจเล่น กล่าวหาว่าเกะกะบ้านทำอะไร ไม่ได้เรื่องได้ราว สารพัดจะหาคำพูดมาประหัตประหารน้ำใจ เวลาท่านตายจากไปก็นำศพของท่าไปจัดตามประเพณี และจัดอย่างสวยหรูเสียด้วยทั้งนี้ เพราะหากไม่ทำจะถูกคนอื่นนินทา หรือทำให้เสื่อมเกียรติของตนไป ดอกไม้จัดอย่างแพรวพราวประดับประดาเสียจนผู้อื่นเห็นแล้วอยากจะตายและถูกทำศพอย่างนี้บ้าง แถมยังจัดสำรับกับข้าวอย่างดีไปวางไว้ที่ข้างๆ โลก ข้างๆ ศพ กลัวท่านจะไม่รู้เคาะโลงเรียกให้พ่อแม่มากินเสียอีก “พ่อมากินเสีย แม่มากินเสีย” 

โธ่เอ๋ย! ยามท่านมีลมหายใจ ยังจะกินได้ไม่ยักเรียกท่านให้มากิน ไม่ยักยกไปให้ท่านกินบ้าง ภาพอย่างนั้นมันควรจะมีตอนที่ท่านมีลมหายใจอยู่ มากกว่าตอนที่ท่านไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยอย่างนั้น ท่านจะรู้หรือเออออไปกับเราด้วยหรือไม่ เราก็ไม่ทราบ ท่านอาจจะไม่กินของเราก็ได้ แต่เราก็มักทำกันโดยมาก บางทีทำเพื่อความสบายใจ ของตัวเองก็มี เฮ้อ! คนอย่างนี้ก็มีด้วย

บางคนต่อเมื่อพ่อแม่ตายไปแล้ว จึงเกิดความรักคิดถึงท่าน บ้านก็เงียบเหงา เคยมีเสียงบ่น เคยมีเสียงตักเตือนสั่งสอน เคยมีหลักอยู่ในบ้าน แม้จะเป็นเพียงหลักที่ลูกมองเป็น “หัวตอ” ก็ตามที พอท่านตายจากไปเสียงนั้น ก็หมดไปหลักบ้านก็ขาดหายไป ทำให้เกิดความเงียบเหงาวังเวง มันเหมือนกับบ้านขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง คิดไปคิดมาก็นึกถึงพ่อแม่ได้ ยิ่งตอนที่ลูกตัวเองไม่เอาใจใส่ดูดำดูดี หรือเถียงคำไม่ตกฟากด้วยแล้ว จะเหลือก็เพียงรูปถ่ายไว้ให้ดูต่างหน้าหรือกองกระดูกไว้เป็นตัวแทนเท่านั้น ตอนนี้แหละจะมองเห็นความสำคัญของท่านขึ้นมา แต่ก็สายเสียแล้วกว่าจะรู้ว่าท่านสำคัญก็หาตัวท่านไม่ได้เสียแล้ว ก็เข้าทำนองที่ท่านว่าไว้นั่นเทียวว่า “คนเราจะรู้ว่าอะไรมีค่ามีความสำคัญ ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นได้หลุดจากมือไปแล้ว” แล้วที่บ้านของท่านเล่า ยังมีพระในบ้านซึ่งมีค่ามีความสำคัญ ที่ยังไม่หลุดจากมือไปหรือไม่

 ตอนที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านเปรียบเสมือนต้นโพธิ์ต้นไทร ใบดกหนา มีร่มเงาอันเย็นสบาย ที่บรรดาลูกๆ จะพึงเข้ามาพี่งพาอาศัยได้ทุกเมื่อทุกคราว แม้จะโผผินจากไปแล้ว แม้จะถ่ายรดหรือจิกกินลุกผลจนหมด หรือหักรานกิ่งก้านสาขาไปแล้วหวนกลับมาพึ่งร่มโพธิ์ร่มไทรต้นเดิมอีก โพธิ์ไทรนี้ก็ยังมีร่มให้ลูกๆ ได้พักชื่นพร้อมเสมอที่จะให้ความเย็นแก่ลูกทุกคนทุกครั้ง พอท่านล้มหายตายจากไปนั้นแหละลูกๆ จึงหมดที่พึ่งหมดร่มเงาอันเย็นสนิทไป แม้จะคิดถึงโพธิ์ไทรต้นนี้ก็หมดหวัง จึงต่างก็ต้องแยกย้ายกันไปคนละทิศละทางรวมกันได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เข้ากันไม่ติดบ้าง ทะเลาะกันเองบ้างไปตามเรื่องตามราว บางทีไม่พบกันเลยตลอดชีวิตก็ยังมี

นี่แหละท่านจึงว่า - ขาดพ่อเหมือนถ่อหัก - ขาดแม่เหมือนแพแตก ไม่มีพ่อนะเพียงแค่เหมือนคนล่องแพไปตามน้ำบังเอิญถ่อที่เคยใช้พยุงแพคัดแพให้ตรงร่องน้ำ ให้พ้นเกาะแก่งโขดหินในท้องน้ำมาหักเสียกลางคัน แพก็ยังจะประทังตัวเองให้ล่องลอยไปตามกระแสน้ำได้ จะกระทบโขดหินจะติดเกาะติดแก่งทำให้คนบนแพ ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างก็ยังดี แต่พอแพแตกนี่สิ หมดที่พึ่งเอาเสียจริงๆ พอแพแตกเท่านั้น คนบนแพก็จะแตกกระสานซ่านเซ็นล่องลอยไปตามกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก ที่แข็งแรงหน่อย ก็พอจะพยุงตัวลอยคอไปถึงฝั่งได้บ้าง ที่อ่อนแอก็อาจถึงกับจมน้ำตายไปเลย หรืออาจจะรอดได้หมด แต่ก็ต้องถูกกระแสน้ำพัดพากระทบเกาะแก่ง โขดหินในลำธาร ให้แขนขาเนื้อตัวถลอกปอกเปิกไปตามๆ กัน ผู้ที่ยังมีทั้งถ่อทั้งแพนี่ นับว่ายังมีโชคดี ประคับประคองไว้ให้ดีเถิด 

*************************** 

การเลี้ยงน้ำใจพ่อแม่ 

การเลี้ยงร่างกายพ่อแม่ให้อยู่เย็นเป็นสุขอย่างนี้ยังหาเพียงพอที่จะ “เปลื้องหนี้” ที่ท่านเคยให้เราไม่ เพราะหนี้ของท่านที่มีต่อเรานั้น เป็นหนี้ชนิดที่ไม่ใช่เพียงท่วมบ่าท่วมหูเท่านั้น แต่เป็นหนี้ชนิดท่วมหัวทีเดียว เราจะทดแทนเพียงเล็กน้อยหาคุ้มไม่เลี้ยงกายท่านยังไม่พอ

ยังต้องเลี้ยงน้ำใจท่านควบคู่กันไปด้วย การเลี้ยงน้ำใจพ่อแม่ก็คือ การไม่ทำให้พ่อแม่ช้ำใจเสียใจ หรือถึงกับน้ำตาตกเพราะเรา การที่เราผู้เป็นลูกประพฤติตนตามคำแนะนำตักเตือนของท่าน เป็นคนอ่อนน้อม ไม่หัวดื้อถือรั้นสัมมาคารวะ รักเคารพท่านทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่ถือโทษโกรธเคือง หรือแสดงความไม่พอใจออกให้ท่านเห็นให้ท่านน้อยใจ โดยถือว่าท่านเป็นพระจริงๆ การพูดจาหรือการแสดงกิริยาอื่นก็ออกมาด้วย ความยำเกรง มีความยกย่องนับถืออยู่ในที

การประพฤติปฏิบัติตนของเราอย่างนี้ ย่อมจะนำความแช่มชื้นเบิกบานใจและความพอใจมาสู่ท่านได้ เพราะพ่อแม่นั้นพอเห็นลูกเชื่อถ้อยฟังคำเท่านั้นก็เป็นอันหมดห่วงได้เปลาะหนึ่ง ความกังวลว่าลูกจะไม่ดีดังใจนึก ความกลัวว่าลูกจะลำบากลำบนในวันหน้าจะหมดไป เมื่อท่านหมดห่วงใยเรา ท่านก็กินได้นอนหลับจิตใจก็พลอยสบายไปด้วย เป็นการต่ออายุท่านได้เสียด้วย จริงอยู่บางทีเราอาจจะอยู่ห่างพ่อแม่ด้วยไปมีครอบครัวอยู่ที่อื่นไปอยู่ทำงานในที่ไกลๆ ไม่ค่อยได้มีโอกาสเลี้ยงร่างกายท่าน นานๆ จึงจะได้กลับมาหาท่านที นานๆ จึงจะได้ส่งของมาให้ท่านครั้ง

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าได้คิดวิตกกังวลว่าจะไม่ได้ทดแทนคุณท่าน แม้ว่าจะไม่ได้เลี้ยงท่านเป็นการตอบแทน แต่การเลี้ยงจิตใจท่านนี้แหละก็ทดแทนได้เหมือนกัน อยู่ที่ไหนก็ประพฤติตัวให้ดีที่นั่น อยู่ที่ไหนทำชื่อเสียงไว้ที่นั่น อยู่ที่ไหนวางตัวให้เหมาะสม ทำตัวให้เขารักให้เขานับถือในที่นั่น โดยหมั่นนึกและทำตามคำแนะนำของพ่อแม่เสมอๆ เท่านี้ก็ถือว่าดีถมไปแล้ว ที่ว่าดีในที่นี้ คือ ดีสำหรับตัวเองด้วย ดีสำหรับพ่อแม่ด้วยคือ แม้พ่อแม่จะอยู่ห่างลูก แต่ความดีที่ลูกทำไว้จะขจรขจายไปถึงหูท่านเอง เพราะขึ้นชื่อว่า กลิ่นของความดีนี่สามารถฟุ้งได้ ได้ทั้งตามลม และทวนลม ดีกว่ากลิ่นอื่นๆ ในโลก

เมื่อท่านได้ยินเข้าก็จะปลื้มใจสบายใจหายห่วงว่าลูกอยู่ดีมีสุขแล้ว พร้อมกันก็อาจจะอวยชัยให้พรเราให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป เราอยู่ที่ไหนก็เท่ากับเอาพ่อแม่ติดตัวไปด้วย แม้จะเป็นเพียงคำเตือนคำสอนของท่านก็ยังดี หรืออยู่ไกลไม่อาจจะอยู่ใกล้ชิดได้ นานๆ ก็มาหาท่านบ้างมาเยี่ยมเยียน ถามไถ่สุขทุกข์ท่านบ้างตามโอกาสยามเจ็บไข้ได้ป่วยก็มาดูแลรักษาท่าน หรือ ทำประการอื่นๆ ที่จะทำให้เกิดความสบายใจ การทำเช่นนี้เป็นการเลี้ยงจิตใจท่านทั้งนั้น และเป็นการสนองความหวังของท่าน

เพราะพ่อแม่น้นอุตส่าห์เลี้ยงเรามา ก็เพื่อประสงค์ว่า

 ยามมีกิจ          หวังให้เจ้า     เฝ้ารับใช้
 ยามป่วยไข้       หวังให้เจ้า     เฝ้ารักษา
 ยามถึงคราว      ล่วงลับ         ดับชีวา 
 หวังให้เจ้า        ปิดตา          เวลาตายฯ 

รวมความว่า การเลี้ยงน้ำใจพ่อแม่ก็คือ การทำอย่างไรก็ได้ จะให้ท่านเกิดความเบิกบานใจ ไม่ทุกข์กังวลเดือดร้อนหรือไม่สบายใจเพราะการกระทำของเรา เพราะเราเป็นต้นเหตุ และการเลี้ยงแบบหลังนี่ สำคัญกว่าการเลี้ยงร่างกายนัก เพราะพ่อแม่นั้นแม่จะกินอิ่มนอนอุ่นเพียงไร หากเกิดความไม่สบายใจต้องแอบร้องไห้เพราะลูก ลูกไม่เคยเอาตาดูเอาหูใส่ ไม่เคยคำนึงถึงท่าน แทบจะลืมว่ามีท่านอยู่ในโลกนี้ด้วย หรือชอบทำตัวเหลวไหล ไม่เชื่อฟังคำเตือน ชอบก่อเรื่องวุ่นวายให้ท่านกระเทือนจิตใจไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อเป็นเช่นนี้เลี้ยงร่างกายจะได้ประโยชน์อะไร หากใจไม่เป็นสุขเสียอย่าง แม้กินก็กินไม่ได้ แม้นอนก็นอนไม่หลับ แล้วร่างกายจะทนไหวหรือ เลี้ยงจิตใจพ่อแม่ยากอย่างนี้ แต่ก็สมควรแล้วที่เราผู้เป็นลูกจะพึงเลี้ยงได้มิใช่หรือ

ตอนที่เราเป็นเด็กเราดื้อก็เท่านั้น โกงก็เท่านั้น เอาใจยากสารพัด พ่อแม่ยังอดทน ตามใจเราเลี้ยงน้ำใจเราจนเติบใหญ่มาได้ ทีเราจะเลี้ยงเอาใจท่านบ้างมิได้เชียวหรือ แต่ผู้ที่จะเลี้ยงพ่อแม่ได้นั้น ก่อนอื่นต้องรู้จักธรรมชาติของคนแก่ด้วย หากไม่รู้กันเสียก่อนก็อาจเลี้ยงไม่ได้ หรือเลี้ยงได้แต่ไม่นานนัก จะเกิดความเบื่อหน่าย ชิงชังขึ้นมากลางคัน แล้วจะบ่นว่าคนแก่เอาใจยากและเลี้ยงยาก ขึ้นชื่อว่าคนแก่แล้วย่อมเป็นเหมือนๆ กันหมด เพราะเป็นธรรมดาของคนแก่ คือ จู้จี้ ขี้บ่น จุกจิก หลงลืม ขี้รำคาญ เห็นลูกเห็นหลานทำอะไรเป็นขวางหูขวางตาไปหมด คือมักไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจอยู่ร่ำไป ทั้งจะทำอะไรให้ถูกใจท่านยากด้วย เพราะการปรับใจปรับอารมณ์ของคนแก่ๆ นั้น ไม่ไวไฟเหมือนกับตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวหรืออายุยังน้อย ทั้งนี้เพราะมีความคิดละเอียดสุขุมรอบคอบขึ้น ไม่ตกอยู่ในอารมณ์อื่นได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้แหละ คนรุ่นใหม่จึงชอบขนานนามคนเก่าคนแก่ว่าเป็น “ไดโนเสาร์” หรือ “เต่าพันปี” อะไรทำนองนี้ ก็จริงของเขา อย่าได้ไปว่าเด็กเลย? และก็จริงอีกเหมือนกัน ที่เด็กรุ่นใหม่ที่เคยว่าเป็นอย่างนั้นมาแล้ว พอตัวเองแก่ตัวลงไป ความคิดความอ่านก็จะพลอยแก่ไปด้วย ก็จะตกอยู่ในสถานะอย่างที่ตัวเคยว่าเขามาแล้วนั่นแหละเป็นทอดๆ กันไปทำนอง ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง นั่นเทียว

ที่ว่าควรรู้จักคนแก่ให้ดีก็คือ ควรรู้ธรรมชาติของคนแก่เช่นนี้ พอรู้แล้วจะได้มีความเห็นว่าที่คนแก่จู้จี้ ขี้บ่น หรือเอาใจยากนั้นเป็นธรรมดา ไม่ได้จริงจังอะไรนัก จะถือเอาเป็นอารมณ์จนเกินไปไม่ได้หรืออย่าได้ถือเป็นจริงเป็นจังจนถึงกับเห็นท่านทำอย่างนั้นแล้ว โกรธเคืองไม่พอใจ และถกเถียงท่าเลย ทำเช่นนั้นเท่ากับเป็นการเติมเชื้อไฟโกรธให้คนแก่ไปเสีย การเลี้ยงคนแก่ต้องอดต้องทนท่านก็บ่นของท่านไปตามเรื่อง

ท่านว่า จะเลี้ยงคนแก่ได้ดีต้องพก “พระปิดทวาร” จึงจะเลี้ยงได้ ท่านให้พกพระปิดทวารนั้น ท่านเปรียบให้เห็นว่าต้องทำตัวให้เหมือนกับพระปิดทวาร ซึ่งพระปิดทวารนั้นท่านปิดอวัยวะรับรู้อารมณ์ทั้งหลายหมด ท่านปิดไว้มิดชิดดีนัก คือ ท่านปิดตา ปิดหู และปิดปาก ไว้ไม่ให้ตาเห็น ไม่ให้หูได้ยิน ไม่ให้ปากพูดที่ให้พกพระแบบนี้เข้าไว้ เท่ากับท่านสอนให้ดูพระปิดทวารเป็นตัวอย่าง แล้วทำอย่างท่านบ้าง คือ ปิดหู ปิดตา ปิดปากบ้าง

เพื่อทำให้จำง่ายๆ ถึงกับบอกไว้เป็นตำราว่า
 - ปิดตาทั้งคู่ ปิดหูสองข้าง ปิดปากเสียบ้าง นั่งนอนสบาย
 - ปิดตาทั้งคู่ เปิดหูสองข้าง ไม่ปิดปากเสียบ้าง เป็นทุกข์จนตาย

 คนเรานั้น บางครั้งแม้ตาจะไม่บอดก็ต้องทำเป็นตาบอดเสียบ้าง หูไม่หนวกก็ต้องทำเป็นหนวกเสียบ้าง ไม่ได้เป็นใบ้ ก็ต้องทำเป็นเหมือนใบ้เสียบ้าง เพื่อปิดกั้นอารมณ์ภายนอกไม่ให้เข้ากระทบใจให้กระเทือนใจได้ เลี้ยงคนแก่ก็ทำใจให้หนักแน่นและบางครั้งก็ต้องปิดตา ปิดหู ปิดปาก อย่างนี้จึงจะเลี้ยงท่านได้ เมื่อทำได้นอกจากจะเลี้ยงพ่อแม่ได้แล้วยังนั่งนอนสบาย ไม่รำคาญใจเมื่อได้เห็นได้ยินท่านบ่น หรือทำไม่ถูกใจเพราะหลงๆ ลืมๆ ด้วย โดยมาคิดเห็นว่านั่นเป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาของคนแก่ ท่านจู้จี้นักก็ทนฟังท่านไปสักครู่ ท่านเหนื่อยท่านก็หยุดเอง ท่านจะมานั่งบ่นเราได้ทั้งวันทั้งคือเมื่อไร ท่านจะเอาแรงที่ไหนมา สำคัญตอนฟังอยู่นั้นอย่าให้พระปิดทวารหลุดหายไปได้เป็นดี หากหล่นหายเสีย เกิดเปิดตาเปิดหูขึ้นมาก็พอทำเนา หากเปิดปากขึ้นมาบ้าง คราวนี้แหละไฟประลัยกัลป์เชียวลุ? 



***********************