ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ
น.อ. สนิท เฟื่องระบิล B.Sc., A.M.I.E.E.
คัดลอกจากหนังสือ พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์
โดย พร รัตนสุวรรณ
คัดลอกจากหนังสือ พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์
โดย พร รัตนสุวรรณ
ความมหัศจรรย์ประการที่ 1
คำขวัญในสมัยก่อนมีว่า “ผู้ใดได้ครองทะเล แล้วต่อไปจะได้ครองบกด้วย” ชาติที่มีเมืองขึ้นมากในยุคนั้นจึงต้องเป็นมหาอำนาจทางทะเล แต่ในสมัยนี้ คำขวัญได้เปลี่ยนไปแล้วว่า “ผู้ใดได้ครองอวกาศแล้ว ต่อไปจะได้ครองโลกด้วย” ฉะนั้น ในปัจจุบันนี้ มหาอำนาจทั้งสองฝ่ายจึงได้ทุ่มเทเงินทองอย่างไม่เสียดายในการพิชิตอวกาศ เพื่อบรรลุผลสุดท้ายอย่างเดียวกันคือ “การครองโลก” ซึ่งเป็นการหาเมืองขึ้นแบบใหม่ที่ลึกซึ้งแนบเนียนกว่าการล่าเมืองขึ้นในสมัยก่อนมาก ชาติใดที่ไปถึงดวงจันทร์ก่อนและกลับมาสู่โลกมนุษย์นี้ได้โดยสวัสดิภาพ ชาตินั้นอาจจะได้ครองโลก
ในการพิชิตอวกาศ มนุษย์จะต้องออกเดินทางไปสู่ดาวนพเคราะห์และดาวฤกษ์ดวงอื่น ๆ ดวงจันทร์เป็นดาวบริวารของโลกดวงแรกที่อยู่ใกล้ที่สุดที่มนุษย์คิดจะเดินทางเป็นการทดลอง ถ้าการเดินทางไปและกลับกระทำได้สำเร็จโดยไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้น มนุษย์ก็จะคิดเดินทางไปสู่ดาวนพเคราะห์และดาวฤกษ์ดวงอื่น ๆ เพื่อศึกษาและวิจัยชีวิตนอกโลกและความลึกลับต่าง ๆ ของจักรวาลต่อไป
ดาวแต่ละดวงอยู่ห่างกันหลายสิบ ถึงหลายร้อยปีแสง ซึ่งหมายความว่าเดินทางไปด้วยความเร็วของแสง (3แสนกิโลเมตรต่อวินาที) ยังใช้เวลาหลายสิบหรือหลายร้อยปีกว่าจะถึง การเดินทางในระหว่างดวงดาว (INTERPLANETARY VOYAGE) ถ้าใช้ความเร็วต่ำ ๆ เพียง 10 ถึง 15 เท่าของวามเร็วเสียง จะต้องใช้เวลาหลายพันหรือหลายหมื่นปีกว่าจะถึง มนุษย์อวกาศก็จะแก่ตายกลางทางเสียก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทาง ฉะนั้น การเดินทางในระหว่างดวงดาวนั้น จะต้องใช้ความเร็วสูงมาก คือใกล้กับความเร็วของแสงจึงจะสามารถไปถึงจุกหมายปลายทางได้ในขณะที่นักบินอวกาศยังมีชีวิตอยู่
ในการเดินทางด้วยความเร็วสูงเช่นการเดินทางออกไปนอกโลกนั้น ผู้ที่เดินทางออกไปจะประสบกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติหลายประการด้วยกัน ประการแรกก็คือ “เวลา” ของการเดินทาง ซึ่งจะเป็นไปตามสมการ
t = .......................................................(1 )
ในเมื่อ T = เวลาในโลกมนุษย์
t = เวลาในการเดินทางจริง
v = ความเร็วในการเดินทาง
c = ความเร็วแสง
สมการนี้ค้นพบและบัญญัติขึ้นโดย Paul Langevin นักฟิสิคส์ชาวฝรั่งเศส และศาสตราจารย์แห่ง Collège de France สูตรนี้ได้รับการรับรองจาก Einstein แล้วว่าเป็นความจริง
ถ้าท่านผู้อ่านจะทดลองสมมติตัวเลขลงในสมการดังกล่าว ก็จะเห็นได้ว่า ถ้าความเร็วในการเดินทางต่ำ ความแตกต่างของเวลาจะมีน้อยมาก แต่ถ้าความเร็วในการเดินทางสูงขึ้น จนเกือบเท่าความเร็วของแสงแล้ว ความแตกต่างของเวลาจะปรากฎออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน
เช่น เราลองสมมติว่า ประเทศไทยส่งยานอวกาศเดินทางไปสู่ดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง ใช้เวลาเดินทางเที่ยวไป 1 ปี เที่ยวกลับอีก 1 ปี รวมเวลาในการเดินทางจริงเพียง 2 ปี ด้วยความเร็ว 299,900 กิโลเมตรต่อวินาที อยากทราบว่าเวลาในโลกมนุษย์จะผ่านไปนานเท่าใด
เราให้ t = เวลาในการเดินทางจริง = 2 ปี
v = ความเร็วในการเดินทาง = 299,900 กิโลเมตรต่อวินาที
c = ความเร็วแสง = 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที
จากสมการที่ (1 ) t = …………………………………………(1)
T =
=
เวลาในโลกมนุษย์ = 200 ปี
นักบินเดินทางที่ออกไปท่องอวกาศอยู่ 2 ปี เมื่อกลับมาถึงโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง เขาจะไม่มีโอกาสได้พบกับครอบครัวและคนรุ่นเดียวกับเขาเองเลย เพราะเวลาในโลกมนุษย์ได้ผ่านไปแล้วถึง 200 ปี เขาจะพบกับคนรุ่นใหม่ที่เขาไม่เคยรู้จักเลยทั้งสิ้น
ถ้ายานอวกาศเดินทางไปด้วยความเร็วของแสงคือ v = c
ลองแทนค่านี้ลงในสมการที่ ( 1 ) ก็จะเห็นได้ว่า ถ้าออกไปนอกโลกเพียง 2 ปีเท่านั้น เวลาในโลกมนุษย์จะเป็น Infinity คือนานไม่มีที่สิ้นสุด อาจเป็นหลายร้อยหรือหลายพันล้านล้านปีก็ได้ ภายในระยะเวลาอันยาวนานนี้ อาจเกิดสงครามนิวเคลียร์ในโลกมนุษย์ขึ้นได้หลายครั้ง จนอารยธรรมสมัยใหม่หมดไป มีแต่อารยธรรมดั้งเดิมเท่านั้นที่คงเหลืออยู่ มนุษย์อวกาศซึ่งแก่ตัวไปเพียง 2 ปีเท่านั้น อาจจะพบมนุษย์ที่นุ่งแต่ใบไม้ หรือ หนังสัตว์ ถือขวานหินเป็นอาวุธก็ได้ เมื่อกลับมาถึงโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง
ฉะนั้น ตามที่ในพระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า ผู้ที่ได้สมาธิชั้นสูง ได้แก่ผู้ที่เจริญสมถกรรมฐานหรือวิปัสสนากรรมฐานจนได้รูปฌานและอรูปฌาน เมื่อจุติแล้วจะไปปฏิสนธิเป็นรูปพรหมและอรูปพรหม มีอายุยืนนานนับแสนกัลป์ (หนึ่งกัลป์เท่ากับอายุของโลก) ซึ่งคนส่วนมากไม่ใคร่จะเชื่อ ก็ดูท่าทีว่าจะเป็นไปได้แล้ว
ถ้าพิจารณาจากสมการที่ (1 ) ทั้งนี้ก็เพราะว่า ถ้าพรหมโลกมีจริง บรรดาพรหมทั้งหลาย คงจะรู้สึกตัวว่าเวลาของเขาผ่านไป 30 - 40 ปีเท่านั้น ก็ต้องจุติเพื่อไปปฏิสนธิใหม่ แต่เวลาในโลกมนุษย์ได้ผ่านไปแล้วนับเป็นพัน ๆ ล้านปี
ผู้ที่จะมีความรู้สึกเช่นนี้ได้ ผู้นั้นจะต้องมีความเร็วสูงมาก คือใกล้เคียงกับความเร็วของแสง แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า บรรดาพรหมทั้งหลาย (ถ้ามีจริง) จะต้องเคลื่อนไหวไปมาด้วยความเร็วของแสงอยู่เสมอ เขาอาจจะอยู่เฉย ๆ ก็ได้ เหมือนกับที่พวกเราส่วนมากไม่ได้สังเกตและไม่ใคร่ทราบว่า แม้เรานั่งเขียนหนังสืออยู่กับโต๊ะ หรือนั่งคุยกันอยู่ก็ตาม เราก็ยังมีความเร็วสูงถึง 30 กิโลเมตรต่อวินาที เคลื่อนตัวไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์พร้อมกับโลก
ลูกปืนที่ถูกยิงออกไปจากปืนที่ทันสมัยที่สุดจะมีความเร็วสูงสุดไม่เกิน 1 กิโลเมตรต่อวินาที มนุษย์มีความเร็วสูงกว่าลูกปืนถึง 30 เท่า ความจริงข้อนี้เกือบไม่มีใครสังเกตหรือรู้สึกตัวกันเท่าใดนัก
ลองมาสมมติกันอีกครั้งว่า ถ้ามนุษย์อวกาศเดินทางออกจากโลกมนุษย์ไปด้วยความเร็วที่สูงกว่าความเร็วของแสง เขาเดินทางไปสู่ดาวฤกษ์ดวงหนึ่งโดยใช้เวลาในการเดินทางทั้งไปและกลับเพียง 2 ปีเท่านั้น เวลาในโลกมนุษย์จะผ่านไปนานเท่าใด
เครื่องหมายลบที่ติดมาด้วยนั้น แสดงว่าเขาจะกลับมาถึงโลกมนุษย์นี้ 447 ปี ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง ถ้าสมมติว่านักบินอวกาศออกเดินทางจากประเทศไทยไปนอกโลกในปี พ.ศ. 2511 เขาใช้เวลาเดินทางอยู่ในอวกาศ 2 ปี เขาจะกลับมาสู่ประเทศไทยอีกครั้งในปี 2604 ซึ่งตรงกับกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในสมัยของพระรามาธิบดีที่ 2 เป็นพระมหากษัตริย์ คราวนี้แหละที่นักบินอวกาศจะได้แลเห็นพระรามาธิบดีที่ 2 ตัวจริงว่า พระองค์ท่านมีรูปร่างลักษณะอย่างใด และถ้าทฤษฎีการเวียนว่ายตายเกิดในพระพุทธศาสนา (Buddhist Theory of Reincarnation) เป็นความจริง นักบินอวกาศก็จะแลเห็นด้วยตาของเขาเองว่า เมื่อ 447 ปีก่อนนั้น เขาเกิดเป็นอะไร อยู่ในตระกูลใด มีวรรณะเป็นอย่างใด มีรูปหยาบหรือประณีต ได้ประกอบกรรมอันใดไว้ จึงได้ส่งผลให้มาเสวยวิบากของมันในชาตินี้อย่างนี้
เครื่องหมาย ที่ติดมาด้วยนี้ ในภาษาคณิตศาสตร์เรียกว่า J operator มีบทบาทที่สำคัญในวัตถุและมวลสารต่าง ๆ ที่สั่นสะเทือน ( vibrate ) หรือ ส่าย ( oscillate ) ไปมาอยู่ในวัตตะของมัน ที่เรียกกันว่าการเคลื่อนตัวแบบ harmonic motion ค่าต่าง ๆ ของไฟฟ้าสลับที่ได้มาจากการคำนวณจะมี J operator ติดมาด้วยเสมอ
J นี้ เมื่อติดตามไปอยู่กับค่าใด แสดงว่าค่านั้นมีคุณสมบัติเป็นนามธรรม
จากหลักฐานคือสูตรของ Langevin นี่เองที่ทำให้เราทราบได้ว่า
1. ผู้ที่จะสามารถแลเห็นอดีตอันแสนไกลของตนเองและผู้อื่นได้นั้น จะต้องมีความเร็วสูงกว่าความเร็วของแสง จึงจะสามารถไล่ตามทันแสงที่ผ่านไปแล้วหลายร้อยหรือหลายพันปีได้ (แสงเป็นปัจจัยในการเห็น)
2. การแลเห็นเหตุการณ์ในอดีตอันแสนไกลนั้น จะกระทำได้เฉพาะในทางนามธรรมเท่านั้น ในทางรูปธรรม เช่น ตาเนื้อ ( Physical eye ) ไม่สามารถจะแลเห็นได้ จะแลเห็นได้เฉพาะทิพยจักษุ ( Spiritual eye ) เท่านั้น เช่น พระอรหันต์ หรือพระอริยบุคคลทั้งหลายที่ท่านได้บรรลุถึง “บุพเพนิวาสานุสติญาณ (ญาณที่สามารถทำให้ระลึกชาติได้) “ และ “เจโตปริยญาณ ( ญาณที่ทำให้เกิดทิพยจักษุ) “ เท่านั้น ปุถุชนธรรมดาผู้ยังไม่บรรลุถึงขั้น “ดวงตาเห็นธรรม” จะไม่สามารถแลเห็นเหตุการณ์ในอดีตได้ รวมทั้งอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ในทางรูปธรรม เช่น กล้องถ่ายรูป กล้องถ่ายภาพยนตร์ และ Time machine ที่ฝรั่งกำลังคิดทำอยู่ ก็เชื่อว่าไม่สามารถจะบันทึกเหตุการณ์ในอดีตได้
3. การเดินทางด้วยความเร็วที่สูงกว่าความเร็วของแสง จะปฏิบัติได้เฉพาะในทางนามธรรมเท่านั้น ไม่สามารถปฏิบัติได้ในทางรูปธรรม สมจริงดังที่วิทยาศาสตร์ได้กล่าวไว้แล้วว่า “ความเร็วของแสงเป็นความเร็วสูงสุดที่มนุษย์จะกระทำได้” ขณะนี้มนุษย์ก็กระทำได้เกือบสำเร็จอยู่แล้วในเครื่อง cyclotron ซึ่งใช้ในการเหวี่ยงมวลด้วยความเร็วที่สูงกว่า 99% ของความเร็วแสง
ความมหัศจรรย์ประการที่ 2
ความมหัศจรรย์ประการที่ 2 ของธรรมชาติก็คือ การเปลี่ยนแปลงของมวลซึ่งจะเป็นไปตามสมการ
…………………………………………………………….(2)
โดย M = มวลใหม่
m = มวลเดิม
v = ความเร็วของมวล
c = ความเร็วของแสง
สมการนี้ Einstein เป็นผู้ค้นพบและบัญญัติขึ้น กิตติศัพท์ของบุคคลนี้เป็นอย่างใด ท่านผู้อ่านทุกคนคงจะทราบดีแล้ว
ในสมการที่ (2) นี้ ถ้าเราทดลองสมมติค่าต่าง ๆ ลงไป ก็จะเห็นได้ว่า มวลจะมากขึ้น ตามความเร็วที่มันเคลื่อนตัวไป และมากจนประมาณไม่ได้ เมื่อมันเคลื่อนตัวไปด้วยความเร็วของแสง
สมมติว่านักบินอวกาศมีมวล 100 กิโลกรัมในโลกมนุษย์ ออกเดินทางด้วยยานอวกาศออกไปนอกโลกด้วยความเร็ว 299,900 กิโลเมตรต่อวินาที เมื่อออกไปอยู่นอกโลกแล้วนักบินอวกาศจะมีมวลเท่าใด
จากสมการที่ (2)
= 10,000 กิโลกรัม
= 10 ตัน
นั่นคือนักบินอวกาศซึ่งมีมวล 100 กิโลกรัมที่พื้นโลก เมื่อออกไปนอกโลกด้วยความเร็ว 299,900 กิโลเมตรต่อวินาที จะมีมวล 10 ตัน
ถ้ายานอวกาศเดินทางไปด้วยความเร็วของแสง มวลของนักบินอวกาศจะกลายเป็น Infinity คือหลายพัน หรือหลายหมื่นตันหรือมากกว่านั้นจนประมาณไม่ได้
ความจริงข้อนี้ได้ปรากฏให้เห็นแล้วในเครื่อง cyclotron เมื่อข้าพเจ้าศึกษาเรื่องของไซโคลตรอนในวิชา Atomic Physics ข้าพเจ้าเข้าใจว่าไซโคลตรอนที่ใช้ในการวิจัยคงจะมีขนาดเล็ก ๆ อย่างใหญ่ก็คงจะเพียงขนาดถังไต่จักรยานยนตร์ตามงานวัดเท่านั้น เพราะใช้เหวี่ยงมวลสารที่มีน้ำหนักเพียงมิลลิกรัมเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2507 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปเยี่ยมศูนย์วิจัยปรมาณูของฝรั่งเศสที่ Saclay (ประมาณ 30 ก.ม. จากปารีส) และที่เมือง Gadarache (อยู่ระหว่าง Toulon และ Marseilles) ซึ่งขณะนั้นกำลังทำเตาปฏิกรณ์ปรมาณูให้แก่เรือดำน้ำปรมาณูของฝรั่งเศสลำแรก ชื่อ Redoutable ข้าพเจ้าต้องประหลาดใจ เพราะเครื่องไซโคลตรอนตัวจริงที่ข้าพเจ้าแลเห็นนั้นมีขนาดพอ ๆ กับกิตติขจรสเตเดียมที่หัวหมาก ผิดกับที่ข้าพเจ้าเคยคิดไว้มาก และพึ่งมาทราบความจริงในภายหลังว่า ที่ต้องทำใหญ่โตมโหฬารขนาดนั้น ก็เพราะว่ามวลเพิ่มตามความเร็ว มิลลิกรัมก็จะกลายเป็นหลายพันตันขึ้นมา เครื่องไซโคลตรอนจึงต้องทำใหญ่โตแข็งแรงมาก มิฉะนั้นจะไม่สามารถทานพลังงานจลน์ ( Kinetic energy ) ที่เพิ่มขึ้นมามากมายได้
ความมหัศจรรย์ประการที่ 3
ความมหัศจรรย์ประการที่ 3 ของธรรมชาติก็คือ การเปลี่ยนแปลงของมิติ ซึ่งจะเป็นไปตามสมการที่ไอนสไตน์ได้ค้นพบและบัญญัติขึ้นดังนี้คือ
………………………………………….(3)
โดย H = ความยาวใหม่
h = ความเดิม
ลองสมมติตัวเลขดูอีกครั้ง คราวนี้ให้นักบินอวกาศสูง 2 เมตรบนพื้นโลก ซึ่งนับว่าค่อนข้างสูงมากสำหรับมนุษย์ เดินทางออกไปนอกโลกด้วยความเร็ว 299,900 กิโลเมตรต่อวินาที เขาจะสูงเท่าใดเมื่ออยู่ในอวกาศ
จากสมการที่ (3)
= 0.02 เมตร
= 2 เซนติเมตร
นั่นคือนักบินอวกาศซึ่งสูง 2 เมตรที่พื้นโลก เมื่อออกไปในอวกาศจะสูงเพียง 2 เซนติเมตร เตี้ยกว่าต้นมะเขือเสียอีก แต่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัว เพราะยานอวกาศตลอดจนอุปกรณ์ต่าง ๆ มันจะหดตัวลงมาเหมือนกันหมด ในอัตราส่วนอย่างเดียวกัน
ถ้านักบินอวกาศเดินทางไปด้วยความเร็วของแสงจากสมการที่ (3) นี้ จะเห็นได้ว่ามิติทั้งหมดกลายเป็นสูญ คือไม่มีรูปร่างใด ๆ ปรากฏให้เห็นอีก แต่ไม่ได้หมายความว่านักบินอวกาศเสียชีวิตเมื่อผ่านกำแพงแสง ( light barrier ) ความจริงเขายังมีชีวิตอยู่ แต่อาจจะมีชีวิตอยู่แบบนามธรรมล้วน ๆ โดยไม่มีรูปธรรมปรากฏให้เห็นแบบอรูปพรหมก็ได้ เมื่อความเร็วในการเดินทางลดลงมาต่ำกว่าความเร็วของแสง รูปธรรมของเขาก็จะปรากฏให้เห็นอีก
ตามพุทธทำนายที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสทำนายไว้เมื่อ 2,500 ปีเศษมาแล้วว่า มนุษย์นับวันจะตัวเล็กลงไปทุกที ก็กำลังจะเป็นความจริง เพราะมนุษย์สมัยใหม่มีความเร็วสูงขึ้นทุกที ขนาดของมนุษย์ก็จะเล็กลงตามความเร็วที่เพิ่มขึ้นตามสมการที่ (3) ที่ไอน์สไตน์ได้ค้นพบและบัญญัติไว้
ในสมัยพุทธกาลมนุษย์เดินทางไปด้วยยานพาหนะที่ลากจูงไปด้วยกำลังคนหรือสัตว์ ความเร็วที่เคลื่อนที่ไปต่ำมากจนไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในทางมิติ ในปัจจุบันมนุษย์เดินทางไปด้วยความเร็วของเสียง (เครื่องบินขับไล่สมัยใหม่บินได้เร็วกว่า 2 เท่าของความเร็วเสียง) มิติก็เริ่มเปลี่ยนไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังสังเกตไม่ได้ ในอนาคตกาลอันใกล้นี้ เมื่อมนุษย์คิดจะเดินทางไปสู่ดาวดวงอื่น ๆ ด้วยความเร็วที่สูงมาก จนเกือบเท่าความเร็วของแสง มนุษย์ก็จะตัวเล็กลงไปทุกที จนขนาดต่าง ๆ หายไปหมดเมื่อเดินทางไปด้วยความเร็วของแสง
ปัญหาจึงมีอยู่ว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทรงทราบเหตุการณ์ในอนาคตได้ดี และทรงพยากรณ์ล่วงหน้าไว้เป็นเวลานานหลายพันปี สิ่งที่พระองค์ทรงพยากรณ์ไว้วิทยาศาสตร์ก็รับรองแล้ว กำลังคอยการปฏิบัติอยู่เท่านั้น สิ่งที่มนุษย์สมัยใหม่ไม่เคยนึกเชื่อ ก็กำลังจะเป็นความจริง ทำไมพระองค์จึงทรงทราบได้ดี ทั้งอดีตกาลและอนาคตกาลอันแสนไกล ก็เพราะว่าพระองค์ทรงเป็น “สัพพัญญู” ทรงรู้แจ้งเห็นจริงในทุก ๆ สิ่ง และทรงเป็น “โลกวิทู” ทรงรู้แจ้งเห็นจริงไม่เฉพาะแต่ในโลกนี้ภพนี้เท่านั้น แม้ในโลกอื่นภพอื่น เช่น กามภพ รูปภพ อรูปภพ ฯลฯ พระองค์ก็ทรงทราบได้เป็นอย่างดี
ลองมาคิดดูกันเล่น ๆ ว่า สิ่งมีชีวิตจากโลกอื่น ๆ อาจเดินทางมาสู่โลกมนุษย์นี้ได้โดยที่เราไม่มีโอกาสแลเห็นเขา เพราะเขาเดินทางมาด้วยความเร็วของแสง สิ่งที่มีชีวิตเหล่านี้อาจมาอยู่คลุกคลีกับเราโดยใกล้ชิดก็ได้ โดยที่เราไม่ทราบและไม่มีโอกาสแลเห็นได้ เขามองเห็นเราและอยากติดต่อกับเราโดยที่เราไม่มีโอกาสทราบ และติดต่อกับเขาได้ เนื่องจากอยู่กันคนละภูมิ (Plane) ภูมิของเขาเคลื่อนตัวไปด้วยความเร็วของแสง แต่ภูมิของเราเคลื่อนตัวไปด้วยความเร็วเพียง 30 กิโลเมตรต่อวินาที แตกต่างกันมากจนไม่สามารถติดต่อกันในทางรูปธรรมได้ แม้จะอยู่ใกล้ชิดกันมากปานใดก็ตาม จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่คนสมัยก่อนได้เรียกสิ่งที่มีชีวิตเหล่านี้ว่า รุกขเทวดา ผีบ้านผีเรือน พระภูมิ เจ้าที่ ฯลฯ ซึ่งเป็น “กำเนิดที่ 4” ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ สำหรับเรียกสิ่งที่มีชีวิตและมีอินทรีย์บริบูรณ์เหล่านี้ว่า “โอปปาติกะ”
นอกจากสมการที่ (2) และ (3) แล้ว ไอน์สไตน์ยังค้นพบพลังงานของมวล โดยบัญญัติไว้ว่า
………………………………………………………(4)
โดย E = พลังงาน
m = มวล
v = ความเร็วของมวล
c = ความเร็วของแสง
ถ้าขยายสมการที่ (4) เป็นสมการแบบไม่รู้จบ คือจะเขียนต่อไปอีกกี่บรรทัดก็ได้ แต่ความถูกต้องแน่นอนจะมีเพียง 3 – 4 เทอมแรกทางขวามือของสมการเท่านั้น
เราจะเห็นได้ว่าเทอมที่ 3 ทางขวามือของสมการที่ (5) ถูกหารด้วยความเร็วของแสงกำลังสอง ฉะนั้นจึงมีค่าน้อยมากเมื่อเทียบกับสองเทอมแรก เราตัดทิ้งได้ โดยไม่ทำให้ค่าของสมการทั้งหมดเปลี่ยนแปลง
สมการที่ (5) จึงลดลงมาเป็น
……………………………………………………….(6)
ถ้ามวลอยู่กับที่ v = 0 สมการที่ (6) จะลดลงมาเป็น
………………………………………………………….…….(7)
สมการที่ (7) นี้เป็นสมการที่สำคัญมาก แสดงให้เห็นถึงพลังงานที่ได้มาจากการทำลายมวล
ทดลองคิดดูว่า ถ้าทำลายมวล 1 กรัม เราจะได้พลังงานเท่าใด โดยใช้ระบบ CGS unit
m = 1 กรัม
c = ความเร็วของแสง
= 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที
= 3 x 1010 เซนติเมตรต่อวินาที
จากสมการที่ (7)
= 1 x ( 3 x 1010)2
= 9 x 1020 ergs
มาถึงขั้นนี้เราก็ยังไม่ทราบว่า พลังงานที่ออกมา 9 x 1020 ergs ในการทำลายมวล 1 กรัม นี้มากมายมหาศาลปานใด
ลองทำเป็นกิโลวัตต์ชั่วโมงดู โดยเทียบ 1 KWH = 3.6 x 1012 ergs
เราจะได้ = 2.5 x 108 KWH
= 250,000,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง
พลังงานไฟฟ้า 250 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงที่ได้มาจากการทำลายมวล 1 กรัมนี้ ถ้ามาจ่ายไฟให้จังหวัดเล็ก ๆ ที่มีคนอยู่ไม่เกิน 20,000 คนแล้ว จะจ่ายได้นานถึง 1 ปี
ทีนี้ลองมาทำเป็นแคลอรี่ดูบ้าง โดยเทียบ 1 แคลอรี่ เท่ากับ 4.18 x 107 ergs
เราจะได้ = 2.16 x 1013 แคลอรี่
หรือเท่ากับพลังงานความร้อนที่ใช้ต้มน้ำ 216 ล้านลิตรจากอุณหภูมิ ศูนย์องศาเซ็นติเกรดจนเดือด
ฉะนั้น จึงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจที่ลูกระเบิดปรมาณูเพียงลูกเดียวสามารถทำลายมหานครใหญ่ ๆ ให้พินาศลงได้ภายในพริบตาเดียว ลูกระเบิดปรมาณูก็ไม่ใช่จะมีน้ำหนักเป็นเพียงกรัมเท่านั้น แต่น้ำหนักของมันเขาคิดเป็นกิโลตัน หรือเมกาตัน (เมกา = ล้าน) อำนาจการทำลายของมันจะสยดสยองน่าสะพรึงกลัวเพียงใด ท่านผู้อ่านคงจะนึกภาพได้ดี เรือสมัยใหม่ในปัจจุบันก็ได้เปลี่ยนมาใช้พลังงานปรมาณูในการขับเคลื่อน เพราะประหยัดกว่าและรัศมีทำการไกลกว่า เชื้อเพลิงเพียงกรัมเดียวก็สามารถเดินทางไปได้รอบโลก
การทำลายมวลที่เราเห็นเป็นประจำอยู่ทุกวันนี้ก็คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติในดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ทำลายมวลของมันเองในอัตราที่สูงมาก คือ 4 ล้านตันต่อวินาที ออกมาในรูปของพลังงานความร้อนและแสงสว่าง ฉะนั้น ดวงอาทิตย์มีขนาดเล็กลงทุกวันและจะดับหมดลงวันใดวันหนึ่งในอนาคต แต่เนื่องจากดวงอาทิตย์มีมวลอันมหาศาล กว่ามันจะทำลายตัวของมันเองหมด ก็ต้องใช้เวลาอีกนับเป็นพันล้านปี ต่อจากนั้นจึงจะถึงยุคมืดและยุคน้ำแข็ง ซึ่งจะเป็นอวสานของบรรดาพืชและสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายในสุริยจักรวาล
ในวิชาฟิสิคส์แบบเก่า (Classic Physics) ซึ่งต่อไปจะขอเรียกว่า “โลกียฟิสิคส์” เพราะเป็นวิชาฟิสิคส์ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนตัวของมวลไปด้วยความเร็วต่ำ ๆ ที่สามารถกระทำได้บนพื้นโลก หรือในบรรยากาศของโลกเท่านั้น สมการของพลังงานคือ
โลกียฟิสิคส์ …………………………………………(8)
สมการที่ (8) คือสูตรของพลังงานจลน์ ( Kinetic energy ) ของมวลที่ที่เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็ว v
ลองเปรียบเทียบดูกับสมการที่ (6) ที่ไอน์สไตน์ค้นพบ
โลกุตตรฟิสิคส์ …………………………………….(6)
จะเห็นได้ว่า โลกียฟิสิคส์ ไม่มีเทอมของ mc2 อยู่ด้วยนับว่าขาดสิ่งที่สำคัญที่สุดไป เพราะ mc2 นี้มีค่าอันมหาศาลดังที่ได้แสดงให้ดูมาแล้ว ฉะนั้น mc2 จึงกลายเป็นพลังงานแฝง (latent energy ) เช่นเดียวกับความร้อนแฝง (latent heat ) ซึ่งตามธรรมดามักจะไม่แสดงตัว จะแสดงตัวออกมาเมื่อมีการเปลี่ยนสภาวะธรรม (change of state ) เช่น จากน้ำแข็งเป็นน้ำ หรือ จากน้ำเป็นไอน้ำ ฯลฯ เท่านั้น
ฉะนั้นสูตรต่าง ๆ ในวิชาโลกียฟิสิคส์จึงยังใช้ได้ ตราบใดที่มวลยังไม่เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วที่สูงมาก หรือถึงขั้นเปลี่ยนสภาวธรรม คือ การทำลายมวล ถ้าถึงขั้นเปลี่ยนสภาวะธรรม หรือการทำลายมวลเมื่อใด สูตรต่าง ๆ ในโลกียะฟิสิคส์ก็หมดสมัยนำมาใช้อีกไม่ได้
จากการเปรียบเทียบระหว่างสมการที่ (6) และ (8) นี่เองที่เป็นเครื่องยืนยันให้เราทราบได้อย่างแน่นอนว่า ทุกสิ่งที่มีมวลต้องมีพลังงานแฝง (latent heat ) อยู่ในตัวของมันอยู่เสมอ ตราบใดที่มวลของมันยังไม่ถูกทำลาย ตราบนั้นพลังงานแฝงนี้จะนอนนิ่งอยู่ไม่แสดงตัวออก ถ้ามวลของมันถูกทำลายเมื่อใด เมื่อนั้นพลังงานแฝงจะปรากฏตัวออกมา เป็นพลังงานที่มีอำนาจมหาศาลอย่างที่มนุษย์ไม่เคยพบเห็นมาก่อน สสารทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น ยูเรเนียม ตะกั่ว ก้อนอิฐ ต้นไม้ ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งที่มีมวลทั้งสิ้น เมื่อมีมวลก็ย่อมมีพลังงานแฝงอยู่ในตัวของมัน ฉะนั้น จากการค้นพบของไอน์สไตน์ เราจึงทราบได้ว่า “พลังงานเป็นรากฐานของสิ่งทั้งปวง”
สมการที่ (7) เป็นสมการแบบ reversible equation ซึ่งจะเขียนอีกแแบบได้ดังนี้
D ……………………………………………………………….(9)
หรือ พลังงานเป็นปัจจัยให้เกิดมวล
และ
มวลก็เป็นปัจจัยให้เกิดพลังงาน
ถ้าจะเขียนให้ชัดก็คงจะเป็น
พลังงาน D มวล ………………………………………………….(10)
เมื่อเขียนมาถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าก็นึกถึงพระพุทธพจน์บทหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในกฎของปฏิจจสมุปบาท (law of dependence) ตอนหนึ่งว่า
วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ
วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป
และ
นามรูปปจฺจยา วิญฺญานํ
นามรูปก็เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ
ถ้าเขียนแบบสมการเคมี จะเป็นดังนี้คือ
วิญญาณ D นามรูป………………………………………………….(11)
ลองเปรียบเทียบสมการที่ (11) ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบเมื่อ 2500 ปีเศษมาแล้ว กับสมการที่ (10) ที่ไอน์สไตน์ค้นพบเมื่อ 50 ปีเศษมาแล้วว่าคล้ายคลึงกันมากปานใด
เมื่อกล่าวว่า นามรูปคือมวล คงจะไม่มีผู้ใดสงสัย แต่วิญญาณคือพลังงานอาจมีผู้สงสัยได้ ฉะนั้นจะขอยกการค้นพบของพระบรมศาสดากับของไอน์สไตน์มาเปรียบเทียบกันให้ดูดังนี้คือ
พระพุทธเจ้า “วิญญาณเป็นรากฐานของสิ่งทั้งปวง”
ไอน์สไตน์ “พลังงานเป็นรากฐานของสิ่งทั้งปวง”
พระพุทธเจ้า “วิญญาณเป็นผู้สร้างนามรูป”
ไอน์สไตน์ “พลังงานเป็นผู้สร้างมวล”
จากการเปรียบเทียบข้างบนนี้เอง ก็จะเห็นได้ถนัดว่า วิญญาณก็คือพลังงาน และพลังงานก็คือวิญญาณ นั่นเอง
ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า สสารทุกชนิดที่มีมวลจะต้องมีพลังงานแฝงอยู่ในตัวของมัน ฉะนั้น ก็อาจจะกล่าวได้ว่า สสารทุกชนิดที่มีมวลจะต้องมีวิญญาณแฝงอยู่ในตัวของมัน ไม่ว่าจะเป็นก้อนอิฐ ก้อนหิน ต้นไม้ ฯลฯ ย่อมมีวิญญาณแฝงอยู่ในตัวของมันทั้งสิ้น
พระพุทธศาสนากำหนดให้วิญญาณเป็นขันธ์ที่ 5 มีคุณสมบัติเป็นนามธรรม คือ ไม่มีตัวตน มองไม่เห็น จับต้องและสัมผัสไม่ได้ พลังงานส่วนใหญ่ก็มีคุณสมบัติเป็นนามธรรม เช่นพลังงานแสงสว่าง พลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน มองไม่เห็น ถูกต้องและสัมผัสไม่ได้
จากการเปรียบเทียบการค้นพบของพระบรมศาสดา กับ ท่านไอน์สไตน์ปราชญ์เอกของโลก ก็จะเห็นได้ว่า วิทยาศาสตร์ยิ่งเจริญมากขึ้นเท่าใด ก็เข้ามาสนับสนุนหลักการต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนามากขึ้นเท่านั้น
เรื่องของ มวล เป็นเรื่องที่เข้าใจยากสำหรับผู้เริ่มเรียนวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ เพราะหน่วยของมวลเขาบอกเป็น ปอนด์ หรือเป็น กรัม ทำให้ผู้ที่เริ่มศึกษาใหม่ ๆ เป็นจำนวนไม่น้อย ที่เข้าใจว่ามวลคือ น้ำหนัก แต่ความจริง มวล ไม่ใช้ น้ำหนัก เพราะว่าถ้าจะทำมวลให้เป็นน้ำหนัก จะต้องเอาค่าของ G (gravity) มาคูณจึงจะออกมาเป็นน้ำหนัก จะเห็นว่าเป็นความแน่นของวัตถุก็ไม่ใช่ เพราะความแน่นนั้นมีศัพท์โดยเฉพาะอยู่แล้ว คือ density ฉะนั้น มวลจึงเป็นสิ่งที่เข้าใจยากสำหรับผู้ที่เริ่มศึกษาวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ
ความจริง มวล ก็คือ ความเป็น ตัวตน ของวัตถุนั่นเอง ที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป เช่น ทองคำ กับตะกั่ว แม้จะเป็นโลหะเหมือนกัน แต่มวลของมันต่างกัน ฉะนั้น ความเป็น “ตัวตน” ที่แท้จริง หรือคุณสมบัติของมันจึงแตกต่างกัน รวมทั้งราคาของมันด้วย
การที่เราเอาวัตถุมาทุบ บด เผา หรือ ต้ม หาใช่เป็นการทำลายมวล หรือ ความเป็น ตัวตน ของมันไม่ เป็นแต่เพียงการเปลี่ยนสภาวะธรรมทางเคมี หรือฟิสิคส์ (chemical or physical change of state) ของวัตถุนั้น มวล หรือ ตัวตน ของมันยังอยู่ และมันจะกลับมาเป็นธาตุเดิมของมันอีก เช่นตัวอย่าง การเผาถ่านไม่ใช่การทำลาย มวล หรือ ความเป็น ตัวตน ของถ่าน เป็นแต่เพียงการเปลี่ยนสภาวะธรรมทางเคมีของมันเท่านั้น ถ่านเมื่อถูกเผาจนร้อนจัด ก็จะเข้ารวมตัวกับออกซิเจนในอากาศ กลายเป็นกาซคาร์บอนไดออกไซด์ตามสมการเคมี
……………………………………………………..(12)
ถ่าน + กาซออกซิเจน = กาซคาร์บอนไดออกไซด์
สมการที่ (12) เป็นสมการของการเผาไหม้หมดจด (complete combustion) ของถ่าน ฉะนั้น จึงไม่มีเขม่าหรือขี้เถ้าหลงเหลืออยู่ คือ ถ่านเข้าผสมกับกาซออกซิเจนในอากาศจนหมด กลายเป็นกาซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้น ทำให้ผู้ที่ไม่ทราบเข้าใจว่า มวล หรือ ตัวตน ของถ่านถูกทำลายหมด แต่ความจริงไม่ใช่ มวล หรือ ตัวตน ของถ่านยังอยู่ในกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นกาซที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส แต่เป็นกาซอันตราย ถ้าใครสูดเข้าไปมาก ๆ นาน ๆ ก็อาจทำให้ตายได้ แม้ ตัวตน ของถ่าน ยังมีอยู่ แต่เราก็มองไม่เห็น ถ้ามีใครมีวิธีไปกะเทาะเอาออกซิเจน 2 ปรมาณู ออกมาจากกาซคาร์บอนไดออกไซด์ได้แล้ว (อย่างในประเทศอุตสาหกรรมที่เขากลัวบรรยากาศเป็นพิษ เขาจะมีกฎหมายบังคับให้ติดเครื่อง carbon precipitation apparatus ไว้ที่ปากปล่องโรงงานทุก ๆ ปล่อง) ถ่านก็จะตกตะกอนทันที ตอนนี้แหละที่เราจะแลเห็นถ่านได้ เพราะมันกลับมาเป็นธาตุเดิมของมันอีกครั้งหนึ่ง
การต้มน้ำก็เหมือนกัน ไม่ใช่การทำลายมวลของน้ำ เป็นแต่เพียงการเปลี่ยนสภาวะธรรมทางฟิสิคส์ของน้ำเท่านั้น น้ำเมื่อถูกต้มก็จะกลายเป็นไอ แล้ไปเป็นเมฆ ต่อจากนั้นก็ตกลงมาเป็นฝน กลายเป็นน้ำอีก วนเวียนอยู่ในวัฏฏสงสารของมันเช่นนี้เรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด น้ำมันก็จะต้องกลับมาเป็นน้ำอีก ตราบใดที่ มวล หรือ ตัวตน ของมันยังไม่ถูกทำลาย แต่มันจะกลับมาที่เก่าของมัน หรือไปที่อื่นไม่มีใครทราบ ไอน้ำที่ระเหยขึ้นมาจากมหาสมุทรอินเดีย อาจกลายเป็นฝนตกลงในประเทศอินเดีย หรือประเทศจีนก็ได้ แต่น้ำในโลกนี้ไม่มีทางสูญหายไปไหน ตราบที่ มวล หรือ ตัวตน ของมันยังไม่ถูกทำลาย ตราบนั้นมันก็จะกลับไปสู่ธาตุเดิมคือความเป็นน้ำของมันอีกจนได้
การทำลาย มวล หรือ ตัวตน ของสสารก็คือการทำลายโครงสร้างพื้นฐานทางปรมาณู (Atomic structure) ของมัน ซึ่งเรียกในภาษาวิทยาศาสตร์ว่า atomic fission โดยยิงธาตุที่เป็นกลาง เช่น neutron ซึ่งไม่มีประจุไฟฟ้าทั้งบวกและลบอยู่ในตัวของมันเข้าไป neutron ก็จะเข้าไปกระแทกโครงสร้างทางปรมาณูนั้นพังทลายลงจนหมดคุณสมบัติที่มันจะกลับมาเป็นธาตุเดิมอีก ตอนนี้แหละพลังงานแฝงที่นอนนิ่งอยู่ในขันธสันดานเป็นเวลาหลายแสนหลายล้านปีมาแล้ว ก็จะแสดงตัวออกมา มวลทั้งหมดจะแปรสภาพเป็นพลังงานขึ้นมาทันที เป็นพลังงานมหาศาลที่มนุษย์ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
โลกยกย่อง ไอน์สไตน์ว่าเป็นปราชญ์เอกในทางฟิสิคส์ เพราะเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกของโลกที่ค้นพบการทำลายมวล เมื่อสสารถูกทำลาย มวล หรือ ความเป็น ตัวตน ของมันจนสิ้นเชื้อไม่ให้มันกลับมาเป็นธาตุเดิมของมันอีก มันก็จะคายพลังงานอันมหาศาลออกมาให้แก่ผู้ที่ทำลายมัน การค้นพบของไอน์สไตน์นำไปสู่การสร้างระเบิดปรมาณู ที่มนุษย์นำมาใช้ทำลายกัน หรือขู่กันในสงครามเย็นที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ พุทธศาสนิกชนเท่านั้นที่ทราบดีว่า พระพุทธเจ้าทรงค้นพบวิธีทำลายมวล (นามรูป) ได้ก่อนไอน์สไตน์ถึงสองพันปีเศษ การค้นพบของพระบรมศาสดานำไปสู่สันติและการพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ไม่ใช่สงครามอย่างนักวิทยาศาสตร์
วิธีการทำลายมวล (นามรูป) ของพระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องใช้ทุนรอนอย่างมหาศาลเหมือนทางวิทยาศาสตร์ ตรงกันข้าม วิธีการของพระองค์กลับต้องดำเนินไปด้วยการเสียสละอย่างใหญ่หลวง ด้วยการทำทั้ง กาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์อย่างยิ่ง และต้องใช้ความเพียรอย่างสูงจึงจะทำสำเร็จได้ วิธีการที่พระองค์ทรงนำมาสั่งสอนแก่สาวกและพุทธบริษัทก็คือ พระมหาสติปัฏฐาน 4 อันเป็นทางสายเอก และทางสายตรง เพียงทางเดียวเท่านั้น ที่จะนำผู้ปฏิบัติไปสู่อิสรภาพอันถาวร หลุดพ้นออกไปจากวัฏสงสาร สิ้นเชื้อ ไม่กลับมาสู่โลกนี้อีก โดยที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางเอก เพื่อความบริสุทธิ์หมดจดของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความล่วงพ้นเสียซึ่งความโศกและความร่ำไร เพื่อความสิ้นไปแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมอันวิเศษ เพื่อรู้แจ้ง เห็นแจ้งในพระนิพพาน ทางนี้คือ “สติปัฏฐาน 4 ประการ” ดังนี้ "
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงเป็นบุคคลแรกของโลก ที่ทรงกอบกู้อิสรภาพให้มวลมนุษย์ทั้งผอง ไม่ว่าจะเป็นชาติใด ภาษาใด นับถือศาสนาใดก็ตาม ถ้าได้ประพฤติปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงสั่งสอนแนะนำทางไว้แล้ว ก็จะได้รับอิสรภาพที่แท้จริงอย่างถาวร หลุดพ้นออกไปจากวัฏสงสาร ไม่กลับมาสู่โลกนี้อีก
มวลเป็นรากฐานที่สำคัญในทางวิทยาศาสตร์อย่างใด ตัวตนหรือนามรูป ก็เป็นรากฐานที่สำคัญในพระพุทธศาสนาอย่างนั้น เพราะนามรูปเป็นตัวการที่สำคัญที่ทำให้เกิดอะไรต่ออะไรติดตามมาอีกมากมาย และเป็นตัวการสำคัญที่นำมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายไปสู่การปฏิสนธิอีก
การทำลายตัวตน หรือ “นามรูป” ให้สิ้นเชื้อไม่กลับมาเกิดอีกนั้น ผู้ปฏิบัติจะต้องเข้าใจนามรูปให้ดี เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติและความเข้าใจ พระบรมศาสดาจึงทรงจำแนกความจริงออกเป็น 2 สถาน คือ
1. ความจริงบัญญัติ (Assumed truth) ได้แก่ ความจริงที่สมมติขึ้น เพื่อใช้เรียกชั่วระยะเวลาจำกัด เมื่อธาตุทั้งหลายมาประชุมกันอยู่ชั่วคราว เช่น พ่อ แม่ ลูก รถ เรือ ฯลฯ เมื่อธาตุทั้งหลายเสื่อมไปสิ้นไปภายใต้อำนาจของไตรลักษณ์ ความจริงข้อนี้ก็สิ้นสุดลงด้วย
2. ความจริงปรมัตถ์ (Genuine truth) ได้แก่ความจริงถาวร สิ่งทั้งหลายไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะมีแต่รูปและนามเพียง 2 อย่างเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นอีก (ยกเว้นอรูปพรหม ซึ่งมีแต่นามอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีรูป)
นามและรูปที่เป็นความจริงปรมัตถ์นี้ ย่อมเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างอุปการะซึ่งกันและกัน คือนามย่อมอุปการะรูป และรูปก็อุปการะนาม นามที่ปรากฏโดยไม่มีรูปรองรับ และรูปที่ปรากฏโดยไม่มีนามรองรับ ย่อมหาได้ยากมาก นี่เป็นความจริงในพระพุทธศาสนา และเป็นความจริงในทางวิทยาศาสตร์ด้วย ผู้ที่เคยศึกษาวิชาไฟฟ้ามาแล้วย่อมทราบดีว่า ค่าต่าง ๆ ของไฟฟ้าสลับ แม้จะไม่มีชีวิต มองไม่เห็น แต่ก็มีทั้งรูปและนามเกิดขึ้นร่วมกันเสมอ เช่นตัวอย่าง ค่าของกระแสไฟฟ้าสลับ
I = 3 + j4 …………………………(13)
กระแสไฟฟ้าสลับ = รูปธรรม + นามธรรม
สมการที่ (13) คือ ค่าของกระแสไฟฟ้าสลับที่ปรากฏในวงจรไฟฟ้าที่มี condenser ประกอบอยู่ด้วยทำไมเราจึงทราบได้ ทั้ง ๆ ที่เรายังไม่เห็นวงจรของมัน เราทราบได้ก็เพราะมีเครื่องหมายบวก นำหน้านามธรรม เราก็เลยทราบต่อไปอีกว่า ในวงจรนั้น กระแสนำหน้าแรงเคลื่อนอยู่เป็นมุม
=
= 0.6
= 53 องศา
ถ้าเราเอา แอมมิเตอร์ มาวัดค่าของกระแสไฟฟ้าที่ปรากฏในสมการที่ (13) แอมมิเตอร์ จะอ่านได้
=
= 5 แอมแปร์
และนี่ก็คือความจริงที่ยืนยันข้อความที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า รูปและนามย่อมอุปการะซึ่งกันและกัน ค่าของกระแสไฟฟ้าสลับในสมการที่ (13) ประกอบด้วยค่ารูปธรรม 3 แอมแปร์ และค่านามธรรม 4 แอมแปร์ ทั้งรูปและนามต่างอุปการะซึ่งกันและกัน จึงทำให้แอมมิเตอร์อ่านค่าได้ 5 แอมแปร์
กระแสไฟฟ้าสลับ 5 แอมแปร์ที่มีทั้งรูปและนามนี้เกิดดับอย่างรวดเร็วมาก ถึงวินาทีละ 50 ครั้ง เมื่อกระแสไฟฟ้านี้ผ่านไส้ของหลอดไฟฟ้า จะทำให้หลอดนั้นสว่างและมืดอยู่ตลอดเวลา วินาทีละ 50 ครั้ง แต่ตาเราดูไม่ทัน จึงแลเห็นว่ามันสว่างอยู่ตลอดเวลา
กระแสไฟฟ้าสลับที่มีแต่รูปธรรมอย่างเดียวโดยไม่มีนามธรรมมาร่วมด้วย (วงจรที่มีแต่ pure resistance) ย่อมหาได้ยากมากในวงจรไฟฟ้าสลับ และกระแสไฟฟ้าสลับที่มีแต่นามธรรมอย่างเดียวโดยไม่มีรูปธรรมมาร่วมด้วย (วงจรที่มีแต่ pure capacitance หรือ pure inductance) ย่อมหาได้ยากอย่างยิ่ง และเป็นการยืนยันว่าความจริงในพระพุทธศาสนาก็คือ ความจริงในวิทยาศาสตร์ด้วย
ผู้ที่แสวงหาธรรม หรือ ปัญญาชั้นสูง จึงต้องศึกษาและฝึกกำหนดนามรูป เมื่อฝึกจนชำนาญแล้วต่อไป การที่จะทำลายนามรูปให้สิ้นเชื้อก็จะง่ายเข้า การฝึกกำหนดบางกรณีก็ทำได้ง่าย บางกรณีก็ทำได้ยากมาก เช่น อิริยาบถทุกอย่างของมนุษย์ ก็มีทั้งนามและรูป การตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออก (อานาปานสติ) ก็มีทั้งนามและรูป ผู้ที่เคยฝึกวิปัสสนากรรมฐานมาแล้วย่อมทราบดี
มีข้อที่ควรคิดอีกข้อหนึ่งก็คือ พระอรหันต์เป็นจำนวนมาก (ยกเว้นพระอรหันต์ประเภท สุกขวิปัสก ซึ่งเป็นพวก ปัญญาวิมุติ) ท่านมีอภิญญาทั้ง 6 มีอิทธิวิธี สมารถแสดงปาฏิหาริย์ได้ นับเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับคนในสมัยปัจจุบัน แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดี บุคคลที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้นั้น ก็เพราะท่านได้ทำลาย ตัวตน หรือ นามรูป ลงจนสิ้นเชื้อ ไม่กลับมาปฏิสนธิอีก ท่านก็ได้พลังงานอันมหาศาลไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในบางโอกาสนั้น จะนับว่าเป็นการแสดงปาฏิหาริย์ได้หรือไม่นั้นเป็นสิ่งที่ควรคิด
ขอให้ลองพิจารณาสมการที่ (2) (3) และ (7) ที่ไอน์สไตน์ได้ค้นพบและบัญญัติขึ้น ก็จะแลเห็นว่า ไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกของโลก ที่ได้ค้นพบกฎความจริงของธรรมชาติว่า มวลนั้นเป็นอนิจจัง (ไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงไปตามความเร็ว) และเป็นอนัตตา (แตกดับทำลายได้ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง) ซึ่งเป็นการขัดแย้งกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่ ซึ่งเชื่อกันมาหลายชั่วอายุคนว่า มวลนั้นเป็นนิจ และเป็นอัตตา อยู่ยงคงกระพัน ไม่มีใครมีอำนาจที่จะทำลายมวลได้
แต่ไอน์สไตน์หาได้เป็นมนุษย์คนแรกมี่ได้ค้นพบสัจธรรมเหล่านี้ไม่ พระพุทธเจ้าต่างหากที่เป็นบุคคลแรกของโลก ที่ได้ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติว่า มวล (นามรูป) นั้นตกอยู่ใต้อำนาจของไตรลักษณ์ คือเป็นทั้ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ย่อมแปรปรวนไปในท่ามกลาง และแตกดับทำลายไปในที่สุด ไม่มีตัวตนอันแท้จริงให้ยึดถือได้เลย
ไอน์สไตน์ได้ค้นพบสัจธรรมของธรรมชาติเหล่านี้ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 คือในปี พ.ศ. 2459 เทื่อเสร็จสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว ทฤษฎีใหม่ของไอน์สไตน์ก็แพร่หลายไปทั่วยุโรป ในประเทศอังกฤษนั้นตื่นเต้นมาก เพราะ นิวตัน ซึ่งเป็นคนอังกฤษที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในวงการฟิสิคส์ เป็นผู้หนึ่งที่เชื่อว่า มวลนั้นเป็นนิจและเป็นอัตตา ไม่มีใครมีอำนาจที่จะทำลายมวลได้ และทำให้คนอื่น ๆ พลอยเชื่อตามนั้นไปด้วย หนังสือพิมพ์ไทมส์ ของอังกฤษฉบับประจำวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2462 ได้ลงข่าวพาดหัวว่า “เกิดการปฏิวัติครั้งสำคัญในวงการวิทยาศาสตร์ กฎต่าง ๆ ที่นิวตันได้บัญญัติขึ้นไว้ ใช้ไม่ได้เสียแล้ว”
การที่จะกล่าวว่า กฎต่าง ๆที่นิวตันบัญญัติไว้ใช้ไม่ได้ทั้งหมด ก็ดูจะไม่ถูกต้องนัก ท่านนิวตันเป็นยอดอัจฉริยะไม่เฉพาะแต่ทางด้านฟิสิคส์เท่านั้น แต่ในทางคณิตศาสตร์ด้วย เช่นเป็นผู้ให้กำเนิด Differential Calculus และ Binomial Theorem ฯลฯ ท่านเป็นผู้บัญญัติสูตรและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ไว้มากมายทั้งฟิสิคส์และคณิตศาสตร์ แต่สูตรและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ
ที่ท่านได้บัญญัติขึ้นไว้ส่วนมากใช้ได้ดีแต่ โลกียฟิสิคส์เท่านั้น ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่คิดจะออกไปนอกโลก หรือศึกษาเกี่ยวกับวัตถุนอกโลกแล้ว กฎเกณฑ์ของนิวตันยังใช้ได้อยู่ทุกยุคทุกสมัย แต่พอถึงระดับโลกุตรฟิสิคส์ คือฟิสิคส์ที่เกี่ยวกับวัตถุนอกโลก หรือการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงมากที่ไม่สามารถปฏิบัติได้บนพื้นโลกและในบรรยากาศที่หุ้มห่อโลกนั้นนำมาใช้ไม่ได้ เช่นการคำนวณหาตำแหน่งของดาวต่าง ๆบนท้องฟ้าโดยใช้กฎของนิวตันก็ดี ของ Kepler ก็ดี
จึงผิดพลาดไปอย่างน่าเสียดาย สาเหตุของการผิดพลาดของปราชญ์ทั้งสองท่าน ก็เพราะอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในโลกมนุษย์ที่ท่านอาศัยอยู่ ท่านจึงเอาโลกมนุษย์นี้เป็นศูนย์กลาง (origin) สำหรับคำนวณหาการเคลื่อนไหวของวัตถุต่าง ๆ บนท้องฟ้า (Celestial bodies) แต่จุดศูนย์กลางของท่านหาได้เป็นจุดนิ่งในอวกาศไม่ แต่กลับเคลื่อนตัวไปด้วยความเร็วสูงถึง 30 กิโลเมตรต่อวินาที ตำแหน่งต่าง ๆ ของดวงดาวที่คำนวณหาออกมาได้ จึงเป็นเพียงตำแหน่งสัมพัทธ์ (Relative position) เท่านั้น ผิดกับตำแหน่งจริง ๆ ไปหลายองศา การเดินเรือก็ดี การเดินอากาศก็ดีตลอดจนการทำแผนที่ ซึ่งต้องอาศัยวิชาดาราศาสตร์ในสมัยก่อนจึงประสบความยุ่งยากเป็นอันมาก ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นง่าย ๆ ก็เหมือนเรานั่งอยู่บนรถที่เคลื่อนที่ แล้วพยายามวัดความเร็วของรถคันอื่น ๆ ที่ผ่านไปมา ความเร็วที่เราวัดได้จะเป็นเพียงความเร็วสัมพัทธ์ (Relative speed) เท่านั้น ไม่ใช่ความเร็วจริง ถ้าต้องการจะทราบความเร็วจริง (True speed) ผู้วัดจะต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ จึงจะสามารถวัดหาความเร็วจริงของยวดยานต่าง ๆ ที่ผ่านไปมาได้
พระบรมศาสดาและท่านไอน์สไตน์นับเป็นมหาบุรุษ 2 ท่านแรกของโลกที่ได้เอาตัวของท่านออกอยู่นอกโลก ไปสู่จุดนิ่งในความว่างเปล่าของอวกาศ พ้นจากความดึงดูดของจักรวาลใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วมองมาสู่โลกมนุษย์ จึงแลเห็นชีวิตต่าง ๆได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง (True life) ถ้าตราบใดยังติดอยู่ในโลกนี้จะแลเห็นชีวิตต่าง ๆ อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงไม่ได้ จะและเห็นได้ก็เฉพาะชีวิตสัมพัทธ์ (Relative life) เท่านั้น
การออกไปโคจรในอวกาศรอบโลกที่มนุษย์กระทำได้แล้วในปัจจุบันนี้ ยังเป็นเพียงการทดลองด้วยความเร็วต่ำ ๆ ยังไม่สูงมากพอที่จะทำให้นักบินอวกาศรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับเวลา มวล และมิติ ในการโคจรรอบโลกนี้ นักบินอวกาศ จะต้องพยายามรักษาความเร็วของยานอวกาศให้อยู่ระหว่าง 7.9 ถึง 11.18 กิโลเมตรต่อวินาทีอยู่เสมอ ด้วยความเร็วขนาดนี้ แรงเหวี่ยงออก (Centrifugal force) กับแรงดึงดูดของโลก (Gravitational force) ก็จะเท่ากันพอดี วัตถุทุกชนิดจะอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก
มนุษย์อวกาศก็จะออกมาปีนป่ายเล่นรอบ ๆ ยานอวกาศของตัวเองได้โดยไม่ตกลงมาสู่โลก ถ้าความเร็วของยานอวกาศลดลงมาต่ำกว่า 7.9 กิโลเมตรต่อวินาที แรงดึงดูดของโลกก็จะชนะแรงเหวี่ยงออก ยานอวกาศจะตกลงสู่พื้นโลก ด้วยความเร็วสูงขนาดนั้น เมื่อผ่านเข้ามาเสียดสีกับบรรยากาศของโลก อาจร้อนจัดจนไหม้หมดทั้งลำได้ ถ้าความเร็วของยานอวกาศสูงกว่า 11.18 กิโลเมตรต่อวินาที แรงเหวี่ยงออกก็จะชนะแรงดึงดูดของโลก ยานอวกาศก็จะหลุดออกไปนอกโลก กลายเป็นดาวนพเคราะห์หรือดาวบริวารอีกดวงหนึ่งของพระอาทิตย์ ไม่มีทางที่กลับมาสู่โลกนี้ได้อีก
การค้นพบที่ทำให้คนทั้งโลกต้องประหลาดใจ เมื่อไอน์สไตน์ประกาศออกมาว่า แสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง ผู้ที่เคยศึกษาเรื่องของแสงในวิชาฟิสิคส์ ที่เกี่ยวกับ Photometry กระจกเว้า-นูน เลนส์เว้า-นูน มาแล้ว ย่อมทราบดีว่าแสงต้องเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอ ความจริงแสงเดินทางเป็นเส้นตรงเมื่อแสงเดินทางไปในระยะสั้น ๆ แต่เมื่อแสงต้องเดินทางไกลมากเป็นระยะทางหลาย ๆ ปีแสงแล้ว แสงจะเดินทางเป็นเส้นตรงก่อน แต่ถ้ามีมวลขนาดใหญ่มาขวางทางของมันแล้ว มันก็จะเดินอ้อมมวลนั้น ความจริงข้อนี้จะพิสูจน์ได้เมื่อเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายต่างก็จะพากันไปยังจุดที่คาดว่าจะแลเห็นคราสเต็มดวงเพื่อบันทึกภาพ ในขณะที่ดวงอาทิตย์ถูกบังจนมืดหมดทั้งดวง ภาพถ่ายที่ปรากฏ จะแลเห็นดวงดาวที่อยู่หลังดวงอาทิตย์ ซึ่งตามธรรมดาแล้วจะแลเห็นไม่ได้ เพราะดวงอาทิตย์ทั้งดวงบังอยู่ ที่แลเห็นได้เพราะแสงเดินทางอ้อมดวงอาทิตย์มาเข้ากล้องบันทึกภาพ ซึ่งเป็นการยืนยันการค้นพบของไอนส์ไตน์ว่าแสงเดินทางเป็นเส้นโค้งจริง
ถ้ามนุษย์สามารถออกเดินทางจากโลกนี้ไปสู่ดาวดวงอื่น ๆ ได้เมื่อใด สัจธรรมในพุทธศาสนาก็คงจะปรากฏออกมาให้เห็นได้ชัด ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ปลงใจเชื่อนักในบางส่วนของพุทธศาสนา เพราะยังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ก็เพราะวิทยาศาสตร์ยังล้าหลังพระพุทธศาสนาอยู่มากนั่นเอง
เอกสารที่ใช้ในการเรียบเรียง
1. La Relativité par Paul Coudere
2. La Théorie de la Relativité restreinte exposé élémentaire pay Hemri Montias
3. คำบรรยายพุทธปรัชญา โดย พร รัตนสุวรรณ