วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

- Cinema Paradiso หนังดีที่น่าดู






" Cinema Paradiso " เป็นภาพยนตร์จากประเทศอิตาลี่ สร้างและออกฉายเมื่อปี 1988 กำกับโดย Giuseppe Tornatore ผู้กำกับชื่อดังชาวอิตาลี่ เมื่อครั้งที่ออกฉายครั้งแรกในอิตาลี่ภาพยนตร์มีชื่อว่า " Nuovo Cinema Paradiso " ตัวหนังมีความยาวถึง 155 นาทีแต่เมื่อนำออกฉายที่ต่่างประเทศ ได้มีการตัดหนังเพื่อให้เกิดความกระชับยื่งขึ้น

จึงเหลือความยาวเพียง 123 นาทีเท่านั้นและเมื่อออกฉาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ได้รับความสำเร็จอย่างมากมาย โดยได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเทศกาลภาพยนตร์แห่งเมืองคานส์ เมื่อปี 1989 และ รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในสาขาใช้ภาษาต่างประเทศรางวัลลูกโลกทองคำ และบาฟต้า ในปี 1990 รวมไปถึงได้รับรางวัลออสการ์ ในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมในปี1989 ด้วย

ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ หญิงชราโทรแจ้งข่าวร้ายเรื่องการเสียชีวิตของชายชราชื่อ อัลเฟรโดไปยัง ซัลวาตอเร่ ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ซึ่งเป็นลูกชายของเธอที่อยู่ที่กรุงโรม และเขาได้จากบ้านที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ใน ซิซิลี มากว่า 30 ปีแล้วโดยที่ ซัลวาตอเร่ ไม่เคยกลับมาบ้านอีกเลย ตั้งแต่วันที่เขาออกเดินทางจากไปยังเมืองหลวง

ข่าวที่ได้รับทำให้ซัลวาตอเร่ ต้องหวนนึกไปถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมานานมากแล้วของเขา เรื่องราวของมิตรภาพของคนต่างวัย ระหว่าง เขา เมื่อครั้งยังเป็นเพียงเด็กชายโตโต้ กับ อัลเฟรโด้ชายชรา ที่ทำหน้าที่เป็นคนฉายหนัง อยู่ในโรงหนังเล็กๆกลางจตุรัสของเมืองแห่งนั้น ที่มีชื่อว่า " Cinema Paradiso "

กลางยุค 40 อิตาลี่ในช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เมืองเจียคาลโด้ เมืองเล็กๆของซิซิลี่ ชาวบ้านที่มีอาชีพทางกสิกรรม และ ค้าขายต่างๆต้องอดทนทำงานเพื่อต่อสู้กับชีวิตที่ยากลำบากในช่วงสงคราม ผู้ชายที่ยังหนุ่มแน่น ก็ถูกเกณฑ์ไปร่วมรบในสงครามแทบหมด ปล่อยให้ผู้หญิงนั่งเลี้ยงลูกรอวันกลับของผู้เป็นสามี ซึ่งบางครั้งการรอคอยนั้นไม่มีวันที่จะเป็นความจริงสามีของพวกเธอส่วนมากไม่มีวันได้กลับมา

จากความลำบากยากแค้นนี้ ความสุขเพียงสิ่งเดียวที่ชาวเมืองเล็กๆแห่งนี้มีก็คือการได้เข้าไปหาความสุขจากการชมภาพยนตร์เรื่องต่างๆในโรงภาพยนตร์เล็กๆที่มีเพียงที่เดียวในเมืองนี้

" Cinema Paradiso " คือชื่อของมันมันเปรียบเหมือนกับสวรรค์ของคนในเมืองนี้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น เด็ก คนหนุ่มสาว หรือแม้แต่คนชรา ที่พากันทิ้ง โลกแห่งความจริง ที่ยากจนและแสนลำบากจากไฟสงครามมาอยู่กับ โลกมายาแห่งภาพยนตร์ เรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็นหนัง รักโศกเศร้า หนังบู๊ตื่นเต้น หรือหนังตลกเบาสมอง

โรงหนังเล็กๆแห่งนี้จึง เป็นศูนย์กลางแห่งความสุขของเมืองชนบทแห่งนี้...โตโต้ เด็กน้อยที่ฉลาดและซุกซน เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆกับแม่และน้องสาวทุกคนในบ้านต้องอยูู่่กันอย่างยากลำบากเนื่องจาก พ่อซึ่งเป็นหัวหน้าของครอบครัวถูกเกณฑ์ไปรบที่รัสเซีย

โตโต้ มีความรักในสิ่งเดียว ก็คือการดูหนังเขาชอบแอบไปที่โรงหนัง เพื่อดูหนังเรื่องต่างๆเวลาที่บาทหลวงที่เป็นผู้ควบคุมการฉายหนัง ต้องตรวจสอบหนังก่อนที่จะทำการฉายจริงๆว่ามีบท กอดจูบ ต่างๆที่ดูแล้วล่อแหลมหรือไม่ ซึ่ง หากมีบทต่างๆเหล่านั้นบาทหลวงก็จะให้ อัลเฟรโด้ คนฉายหนังตัดฟิล์มออกก่อนทุกครั้งเนื่องจากในเวลานั้น ผู้สนับสนุนเงินให้แก่ทางโรงหนังก็คือวัดนั่นเอง


จากความแก่นและแสนซนของโตโต้ ทำให้เด็กน้อยชอบขึ้นไปกวนอัลเฟรโด้ในห้องฉายหนังอยู่บ่อยๆเด็กน้อยรบเร้าขอเศษฟิล์มที่ถูกตัดทิ้งแล้วจากอัลเฟรโด้ แต่เขาก็ไม่เคยได้มันมาเนื่องจากชายชรารู้ว่าฟิล์มในสมัยก่อน เป็นวัสดุที่ติดไฟง่าย การที่ให้เด็กเอาไปเล่นมันอาจเกิดอันตรายขึ้นมาได้แต่อัลเฟรโด้ ก็ได้ให้คำสัญญากับโตโต้ว่าสักวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่สมควร เขาจะให้เศษฟิล์มเหล่านี้แก่โตโต้โตโต้จึงได้แต่แอบขโมยเศษของฟิลมชิ้นเล็กๆ เอามาเล่นพากษ์หนังเรื่องที่เขาชอบดู

วันหนึ่ง มีการจัดการสอบไล่ของเด็กนักเรียนที่โรงเรียนขึ้นพร้อมกับ การสอบของผู้ใหญ่ที่มาสอบเทียบด้วยหนึ่งในนั้นก็คืออัลเฟรโด้ และเมื่ออัลเฟรโด้ต้องการความช่วยเหลือจากโตโต้ ในเรื่องของการทำข้อสอบเด็กน้อยจึงยื่นข้อเสนอให้กับเขา ว่าต้องสอนการฉายหนังให้เป็นการตอบแทนมิตรภาพของคนต่างวัย จึงเริ่มต้นขึ้น


ซึ่งเมื่ออัลเฟรโด้ ได้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดของโตโต้ในเรื่องของการใช้เครื่องฉายหนัง เขาก็รู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยคนนี้มากยิ่งขึ้นและเป็นกังวลถึงอนาคตข้างหน้าของโตโต้ส่วนลึกของหัวใจของชายชรา เขาไม่อยากให้โตโต้ต้องเติบโตขึ้นมาเป็นเพียงแค่คนฉายหนังแบบเขา ซึ่งทำงานยํ่าอยู่กับที่จมปลักอยู่ในห้องแคบๆ ชั้นบนของโรงหนัง ไปตลอดชีวิตแบบนี้


มิตรภาพของทั้งคู่ดำเนินไปพร้อมกับความเติบโตของโตโต้จนวันหนึ่ง หลังจากที่อัลเฟรโด้ แสดงให้โตโต้ได้เห็นถึงจิืตใจที่ดีงามของเค้าเมื่อใช้การสะท้อนของกระจก ทำให้เกิดภาพของหนังขึ้นบนกำแพงของจตุรัสในเมืองเพื่อให้คนที่เข้าไปดูหนังยอดนิยมในโรงไม่ได้ และยืนรอดูอยู่ที่หน้าโรงหนังได้ดูฟรีกันก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นบนห้องฉาย เมื่อฟิล์มที่ฉายอยู่เกิดติืดไฟขึ้นมาแล้วลุกลามไปทั่วทั้งโรงหนัง จนไม่เหลือ

โตโต้ได้ช่วยชีวิตของอัลเฟรโด้ เอาไว้จากกองเพลิงได้แต่ชายชราก็ต้องสูญเสียดวงตาทั้งสองข้างไป...หลังจากนั้นก็มีเศรษฐีใหม่ชาวเนเปิ้ล ที่รํ่ารวยมาจากการถูกล็อตเตอร์รี่ได้ใช้เงินชุบชีวิตโรงหนัง " Ciema Paradiso " ขึ้นมาใหม่และเข้ามาบริหารแทนบาทหลวงคนเดิม ดังนั้นการเซนเซอร์ภาพวาบหวิวที่ชาวบ้านไม่เคยที่จะได้เห็นมาโดยตลอดก็หมดไป


ทางโรงได้ตกลงว่าจ้างเด็กน้อยโตโต้ ให้มาทําหน้าที่ฉายหนังแทนอัลเฟรโด้ เมื่อโตโต้มีงานทำที่โรงหนังแล้ว เด็กน้อยจึงไม่อยากที่จะเรียนหนังสือต่อแต่อัลเฟรโด้ ซึ่งรักและหวังดีต่ออนาคตของเด็กน้อยเสมือนลูกได้ทัดทานไว้ ว่าอย่างไรก็ตามห้ามทื้งการเรียนเด็ดขาดจากเด็กน้อย...โตโต้ก็ได้เติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มซึ่งทำงานที่โรงหนัง และเรียนหนังสือ ไปด้วยตามที่อัลเฟรโด้เคยขอเอาไว้วันหนึ่ง เขาก็ได้รู้จักกับความรักแรกพบ จากหญิงสาวแสนสวยที่ย้ายตามครอบครัวมาใหม่

โตโต้ก็มาขอคำปรึกษาจากเพื่อนต่างวัยของเขาและอัลเฟรโด้ ก็รับรู้ถึงความร้อนรุ่มของไฟรักที่แผดเผาจิตใจของชายหนุ่มได้ดีจากคำสอนเรื่ิองทหารยามที่เฝ้ารอคอย 100 คืน ที่จะได้รับความรักจากเจ้าหญิง เป็นเหมือนดังคำกล่าวเตือน ถึงเรื่องของบทเรียนรักให้กับโตโต้ด้วยความห่วงใยจากเรื่องเล่าทหารยามของอัลเฟรโด้ โตโต้นำมันมาใช้เพื่อพิสูจน์ให้เอเลน่ารับรู้ถึงความรักที่เขามีต่อเธอ เอเลน่าจึงได้รับรักของโตโต้ในคืนวันขึ้นปีใหม่


แต่แล้วอุปสรรคต่อความรักของคนทั้งคู่ก็มาถึงโตโต้ต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารรับใช้ชาติ เอเลน่าต้องย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยที่เมืองอื่นช่วงเวลาที่โตโต้ต้องอยู่ในชีวิตทหารเกณฑ์ เขาเฝ้าเขียนจดหมายหาเอเลน่าโดยตลอดแต่ จดหมายรักเหล่านั้นไม่เคยไปถึงมือของเธอ มันถูกตีกลับคืนมาเพราะไม่มีผู้รับ

จวบจนวันที่โตโต้พ้นเกณฑ์ เขากลับมาที่เมืองเจียคาลโด้อีกครั้งแต่เขากลายเป็นเหมือนคนแปลกหน้า ของที่นี่ไปเสียแล้วมีคนฉายหนังมาทำแทนเขาที่โรงหนังแล้ว อัลเฟรโด้ที่เริ่มแก่ชราลงไปและไม่ยอมออกไปไหนอีกเลยเมื่อโตโต้ไปเยี่ยมชายชรา และเล่าเรื่องของเขาในขณะที่จากบ้านไปให้ฟังอัลเฟรโด้ ได้เตือนสติของโตโต้ให้มองไปข้างหน้า ไปยังชีวิตที่มีอนาคตที่ดีรอคอยเขาอยู่ซึ่งไม่ใช่ที่นี่ ที่เมืองเล็กๆห่างไกลความเจริญแบบนี้


เขาบอกให้โตโต้ได้รู้ว่า ชีวิตของคนเรานั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายและจะมีความสุขเหมือนกับที่เห็นในหนังการใช้ชีวิตในโลกของความเป็นจริงนั้นยากกว่านั้นมากวันและเวลาไม่เคยที่รออะไร โตโต้ไม่ควรที่จะทิ้งชีวิตที่เหลือไว้ในเมืองเล็กๆแห่งนี้อีกต่อไปที่นี่ควรจะเป็นเพียงแค่ " อดีต " ของความทรงจําที่สวยงามของเขาเพียงเท่านั้น

แต่ชีวิตจริง โตโต้ต้องก้าวต่อไปค้นหาความสําเร็จให้กับตัวเองที่เมืองใหญ่โดยที่ไม่ต้องหวลกลับมาที่นี่อีก ไม่ต้องมองย้อนกลับมายึดติดกับสิ่งที่จะผ่านเลยไปโตโต้ เชื่อและทําตามที่อัลเฟรโด้สั่งอีกครั้ง เขานั่งรถไฟเดินทางจากเมืองนี้ไปยังกรุงโรม การจากลาอัลเฟรโด้และครอบครัวที่สถานนีนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ที่เขาได้พบกับอัลเฟรโด้เพื่อนรัก และเปรียบเสมือนพ่อคนที่สองไปตลอดกาล

ตลอดสามสิบปีที่เขาจากมา โตโตได้้ทำความฝันของเขาเป็นจริงเขาได้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง ทำให้เขามีชีวิตที่รํ่ารวยและสุขสบายแต่ในเมืองใหญ่แห่งนี้ เขามีเพียงแค่ความเหงาเป็นเพื่อนความทรงจำต่อเรื่องในอดีตเกาะกุมใจของเขาเสมอมา แต่ด้วยคำสั่งของอัลเฟรโด้ทำให้เขาไม่กล้าที่จะกลับไป จวบจนถึงเวลานี้เมื่ออัลเฟรโด้จากไปแล้ว การกลับไปร่วมพิธีศพจึงเป็นการกลับไปบ้านเกิดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สามสิบปีที่เขาเดินทางจากมา...

เมื่อโตโต้เดินทางกลับไปถึงเจียคาลโด้ เมืองทั้งเมืองได้เปลี่ยนแปลงไปหมดสิ้นไม่เหมือนเช่นในวันก่อนอีกแล้ว จตุรัสของเมืองเปลี่ยนไปโรงหนังก็กําลังจะถูกรื้อทิ้ง ทำเป็นที่จอดรถของเมืองแทนหลังจากพิธีศพ ภรรยาของอัลเฟรโด้ได้เอากล่องใบหนึ่งมอบให้กับโตโต้มันเป็นของที่อัลเฟรโด้ได้ฝากเอาไว้ให้กับเขา

เมื่อโตโต้เดินทางกลับมายังโรม เขาได้เอากล่องนั้นมาเปิดดูและพบว่ามันเป็นฟิล์มหนังเขาจึงเปิดฟิล์มม้วนนั้นดู....สิ่งที่เขาเห็นบนจอภาพยนตร์ มันได้เรียกนํ้าตาของเขาออกมามันเป็นนํ้าตาแห่งความสุข ฟิล์มม้วนนั้นมันประกอบกันขึ้นมาจากเศษของฟิล์มหนังนับร้อยเรื่องที่เป็นฉากจูบต่างๆที่ในอดีต มันได้ถูกตัดทิ้งออกไปก่อนที่จะฉายในโรง


อัลเฟรโด้ไม่เคยลืมสัญญาที่เคยให้ไว้กับเขาว่าวันหนึ่งเขาจะให้เศษฟิล์มแก่เขาฟิล์มม้วนนั้นมันคือ ความทรงจำที่สวยงามในอดีตของโตโต้กับเพื่อนรักต่างวัยของเขานั่นเองสิ่งที่อัลเฟรโด้ี่ อยากจะบอกกับเขาตลอดมาก็คือ...

" อย่ายึดติดกับอดีตจนทำให้ลืมอนาคตไป "


จงปล่อยให้ " อดีต " เป็นเพียงแค่ " ความทรงจำที่สวยงาม " เท่านั้น


ชีวิตของมนุษย์ต้องก้าวเดินหน้าต่อไป เพราะในความเป็นจริงแล้วเมื่อเวลาผ่านไปวันหนึ่งเราก็จะเป็นได้เพียงแค่...


" คนแปลกหน้า " ในสถานที่ที่เรา " เคยมีอดีต "เท่านั้นเอง....

..........................................................................

ผู้กํากับTornatore

ได้ถ่ายทอดความมีชีวิตชีวาและอารมณ์ขันกับการเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีของเขาไปในงานภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้บรรยากาศของหนังอบอวลไปด้วยความอบอุ่นของโทนสีของภาพ และ การตัดต่อ , การเชื่อมฉาก รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของกล้องที่เป็นเอกลักษณ์หรือเปรียบเสมือนกับเป็นลายเซนต์ของเขา ต่อมาในภาพยนตร์เรื่องหลังๆของเขา( Malena , The Star Maker )

อีกทั้งเขายังได้สอดแทรก วิวัฒนาการของโรงภาพยนตร์ในประเทศอิตาลีไล่มาตั้งแต่ยุค 40 - 50 รวมถึงสภาพการใช้ชีวิตของชาวชนบทในเมืองเล็กๆที่ขาดแคลนในทุกๆสิ่ง รวมไปถึงการดำเนินชีวิตที่ยากจนข้นแค้นสิ่งเดียว ที่จะช่วยสรรสร้างและจรรโลงความสุขแก่ชาวบ้านที่ยากจนเหล่านี้ได้ก็คือการหลบหนีความทุกข์ในชีวิตจริงของตน มาปล่อบตัวปล่อยใจไปกับความบันเทิงราคาถูก ก็คือการชมภาพยนตร์นั่นเอง

สิ่งเหล่านี้ ผู้กำกับTornatore ได้นำมาสอดประสานกันอย่างลงตัวประกอบกับการที่ได้ นักประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ชาวอิตาเลี่ยน Ennio Morricone มาทำงานเพลงประกอบให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ทุกวันนี้ถือกันว่าเป็นงานชิ้นเอกที่เข้าขั้นคลาสสิค ของตัวเขาเองแล้ว จึงเป็น ส่วนที่เติมเต็มความสมบรูณ์แบบให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ เป็นอย่างดียิ่ง

" Cinema Paradiso "
ถือเป็นงานที่ปลุกให้วงการภาพยนตร์ของอิตาลี่ตื่นตัวขึ้นอีกครั้งและเป็นงานที่สร้างชื่อให้กับผู้กำกับGiuseppe Tornatore ให้เป็นที่รู้จักในวงการภาพยนตร์ในระดับนานาชาติด้วย ถือเป็นภาพยนตร์ที่ " คนรักหนัง " ต้องไม่พลาดในการหามาชมเพราะเมื่อคุณได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้จนจบแล้ว คุณจะมีความรักใน " ภาพยนตร์ " มากยิ่งขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน........








ชื่อภาพยนตร์ : Nuovo Cinema Paradiso

ความยาว : 123 นาที

ปีที่สร้าง : 1988

สัญชาติ : อิตาลี่ , ฝรั่งเศส

ผู้อำนวยการสร้าง : Franco Cristaldi

ผู้กำกับภาพยนตร์ : Giuseppe Tornatore

นักแสดง

Alfredo : Philippe Noiret

Toto( เด็ก ) : Salvatore Cascio

Toto( วัยหนุ่ม ) : Marco Leonardi

Salvatore : Jacques Perrin

Elena : Agnese Nano

Father : Nino Terzo