วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

นางสิริมา พระโสดาบัน




นางสิริมา 
พระโสดาบัน

นางสิริมาเป็นหญิงที่มีรูปร่างงดงาม และมีอาชีพเป็นนครโสเภณีอีกคนหนึ่งของพระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ ( เล่ากันว่านางสิริมาเป็นธิดาของนางสาลวดี โดยเมื่อมารดาคลอดนางแล้วรู้ว่าเป็นเพศหญิงจึงเลี้ยงไว้ เพราะหวังจักให้สืบอาชีพเป็นนครโสเภณีต่อไป ฉะนั้น เมื่อนางสิริมาเติบโตขึ้นจึงได้รับการฝึก อบรมจนฉลาดและชำนาญในคณิกาศิลป์) และมีอาชีพเป็นนครโสเภณีเมื่อเป็นสาวแล้ว

เนื่องจากนางมีรูปร่างงดงาม และมีความรู้ความเชี่ยวชาญในศิลปะอันเป็นวิชาชีพ จึงมีพวกบุรุษทั้งหลายรับนางไปบำเรอและสมสู่ด้วยโดยจ่ายทรัพย์ให้นางเป็นค่าตอบแทนตามราคาที่นางกำหนดไว้ นางสิริมาจึงร่ำรวยด้วยอาชีพเช่นนั้น ทั้งต่อมา นางสิริมาผู้นี้ยังบรรลุคุณธรรมพิเศษคือโสดาปัตติผลอีกด้วย.......นางสิริมาผู้ตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผลแล้ว พร้อมด้วยหญิงบริวารจำนวน ๕๐๐ คน ต่างประกาศตนเป็นเป็นอุบาสิกาผู้มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ

มีพระภิกษุรูปหนึ่งตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกไปบิณฑบาตตอนเช้าวันนั้นเผอิญนางสิริมามาใส่บาตร พระภิกษุองค์นั้นรับบาตรจากนางสิริมาแล้วก็ได้มองหน้าทรวดทรงองเอวทั้งอาภรณ์เครื่องประดับแต่งกายของนางสิริมานั้นงดงามมากก็ให้เกิดนึกรักนาง พอกลับถึงวัด ปิดฝาบาตรและวางบาตรไว้ในที่แห่งหนึ่ง ปูจีวร นอนหลับตา ไม่พูดไม่จากับผู้ใดทั้งสิ้น หลับตา นั่งนอนก็ให้นึกถึงแต่ภาพนางสิริมา ทั้งไม่ยอมฉันอาหารอีกเลย ถึงภิกษุผู้เป็นสหายสนิทอ้อนวอนให้ฉันเมื่อถึงเวลาฉัน ก็ไม่ลุกจากที่นอน และไม่ฉัน นอนอดอาหารอย่างนั้นต่อไปในวันอื่นอีกด้วย

เมื่อนางสิริมาใส่บาตรวันนั้นแล้วนางถึงแก่กรรมเพราะโรคที่เกิดแก่นาง พระพุทธเจ้าทรงทราบ เพราะพระพุทธเจ้าทรงเป็นพระสัพพัญญูวิสัย เรื่องที่พระองค์ไม่ทรงรู้นั้นไม่มี พระองค์ทรงทราบแต่ก็นิ่งเฉยไว้ให้เวลากาลผ่านไปสักสองสามวัน นางสิริมาตายสัก ๒- ๓ วัน ก็ปรากฏว่าศพของนางสิริมาก็ขึ้นอืด

ขณะที่นางตายพระเจ้าพิมพ์สารก็ส่งข่าวให้พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า “ นางสิริมา น้องสาวหมอชีวก” ถึงแก่กรรมแล้ว พระเจ้าข้า ทั้งนี้โดยมีพระราชประสงค์ได้ทรงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงให้จัดการกับศพของนางสิริมาอย่างไร ? เนื่องจากนางเป็นโสดาบันอริยบุคคล ผู้เป็นสาวิกาของพระผู้มีพระภาคเจ้าคนหนึ่ง

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีพระพุทธดำรัสให้ราชบุรุษนั้นไปกราบทูลพระเจ้าพิมพิสารว่า

“ อย่าให้มีการฌาปนกิจ ( กิจคือการเผาศพ) นางสิริมาในระหว่างนี้แต่อย่างใด ขอจงทรงเก็บศพของนางสิริมานั้นไว้ อย่าเพิ่งทำอะไรจนกว่าตถาคตจะสั่ง”

พอถึงวันที่ ๒-๓ วัน ศพของนางสิริมาก็ขึ้นอืด พระองค์จึงได้ทรงรับสั่งกับพระเจ้าพิมพ์สารว่าวันนี้พระตถาคตจะไปเยี่ยมศพของนางสิริมา เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบก็จักสั่งให้การศพไปตั้งไว้ที่กลางแจ้ง

พระพุทธเจ้าก็ทรงรับสั่งกับพระอานนท์ว่า “ อานนท์วันนี้ตถาคตจะไปเยี่ยมนางสิริมาท่านไม่บอกว่าจะไปเยี่ยมศพ ให้ไปบอกพระทั้งหมดว่าใครจะไปเยี่ยมนางสิริมากับเราบ้างก็ให้ไปได้ พระอานนท์จึงไปบอก พอพระองค์นั้นทราบว่าจะไปเยี่ยมนางสิริมาก็ให้ดีใจ ลุกขึ้นล้างบาตร ข้าวปลาที่บูดเน่ามาหลายวันก็จัดการเก็บล้างเช็ดให้สอาดแต่งตัวห่มผ้าสดสวย พอเเต่งตัวเสร็จพระพุทธเจ้าก็ทรงเสด็จไป


พอเสด็จไปถึงเขาก็เอาศพออกมาให้ดู พระพุทธเจ้าก็ทรงบอกว่านี้นางสิริมาที่เมื่อก่อนเป็นหญิงที่สวยที่สุดของเมืองราชคฤหมหานคร แต่เวลานี้นางได้ตายแล้ว พวกเธอดูสิว่ามีความสวยงามตรงไหนบ้าง พระทุกองค์ท่านไม่ต้องดูก็ได้ เพราะท่านทราบแล้วว่าไม่สวย อนิจจงฺ วตสงฺขารา ทุกคนเมื่อตายไปแล้วก็ต้องขึ้นอืด แต่พระพระองค์นั้นท่านก็คิดในใจว่า “ เออ..เมื่อวานซืนนางได้ใส่บาตรแก่เรา นางมีรูปร่างสวยสดงดงาม แต่พอเวลานี้ใช้การอะไรไม่ได้ พองอืดมันขึ้นเต็มที่ น้ำเหลืองน้ำหนองมันไหลออกปากปาก และมีหมู่หนอนไต่ออกจากปากทางทั้ง ๙ คือตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ ปาก ๑ ช่องทวานหนัก ๑ และช่องทวานเบาอีก ๑ รวม ๙ ทางหรือเรียกกันว่าทวานทั้ง ๙”

ก็เลยคิดในใจว่าร่างกายของคนมันเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าว่าทรงท่านเทศน์ว่าร่างกายของคนมันเป็นอย่างนี้คือหาความดีไม่ได้ ไอ้สิ่งทั้งหลายที่ปรากฏเวลานี้นะความจริงมันไม่ได้มาจากทางอื่น มันอยู่ในร่างกายของเรานั้นเอง นางสิริมานั้นเป็นหญิงสวยประจำกรุงราชคฤหมหานครแต่ทว่าในเวลานี้นางสิริมาหมดแล้วซึ้งความสวย แม้แต่ร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งคนทั้งหลายปรารถนาจะเตะต้องก็ไม่มี

พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งให้พระเจ้าพิมพิสารประกาศว่า จะมีผู้ใดต้องการนางสิริมาไปก็ได้ โดยไม่จ่ายทรัพย์หนึ่งพันกษาปณ์ ( เมื่อนางยังมีชีวิตอยู่ถ้าใครต้องการนางไปร่วมด้วยจะต้องจ่ายทรัพย์หนึ่งพันกษาปณ์ ) ก็ไม่มีผู้ใดต้องการ

พระเจ้าพิมพิสารก็สั่งให้ลดลงมาเรื่อย ๆ เหลือห้าร้อยกษาปณ์ สองร้อย หนึ่งร้อย ห้าสิบ ยี่สิบ สิบ ห้ากษาปณ์ หนึ่งกษาปณ์ ครั้งกษาปณ์ หนึ่งบาท หนึ่งสลึง หนึ่งเฟื้อง ก็ไม่มีผู้ใดรับ และในที่สุดก็ประกาศยกให้เปล่าๆๆ ก็ไม่มีไม่ผู้ใดรับศพของนางสิริมาเลย พระพุทธเจ้าก็เลยรับสั่งให้พระเจ้าพิมพิสารประกาศว่าถ้าใครต้องการร่างกายของนางสิริมาเราจะยกให้เอาไปครองและแถมเงินให้อีกหนึ่งพันกษาปณ์ ก็ไม่มีใครต้องการอีก

พระพุทธเจ้าก็เลยเทศน์โปรดว่าร่างกายคนของเรานี้มันไม่มีประโยชน์แบบนี้ ฉนั้นคนเราถ้าต้องการความดีคือความสุขใจ ว่าให้ใช้ปัญาญาพิจารณาหาตามความเป็นจริง ว่าร่ายกายของผู้ชายก็ดีผู้หญิงก็ดีของสัตว์ทั้งหลายก็ดีมันเต็มไปด้วยความสกปรกเต็มไปด้วยความโสโครก ที่เรามีความต้องการในร่างกายของบุคคลและสัตว์ทั้งหลายก็เพราะว่าด้วยอำนาจกิเลสตัญหาเข้ามาบังตาบังใจอวิชชาเป็นตัวต้น หรือว่าไอ้ความตัวโง่มันเป็นตัวบังเป็นสมุฐาน พระองค์นั้นพอได้ฟังพระผู้พิชิตมารกล่าวดังนี้ก็เลยเป็นพระอรหันต์ในบัดนั้น

ภิกษุกระสันด้วยรูป.....สิริมา
เพลิงราครุมกายา....เร่าร้อน
พระเสด็จนำภิกษุมา....เห็นร่าง นางเฮย
ครั้นตายกายกลับย้อน....เปื่อยเน่าอนิจจัง ฯ

ภิิกษุเห็นอนิจลักษณ์แล้ว..พึงแสยง
ตามพุทธโอวาทแสดง....เหตุนั้น
ข่มจิตมิให้ระแวง.....เป็นหนึ่ง
ดับซึ่งไฟราคกลั้น....กลับได้พระโสดา ฯ