วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร




พระญาณสิทธาจารย์
(หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
“พระอริยเจ้าผู้มีกลิ่นศีลธรรมกำจรกำจาย”

      พระเดชพระคุณหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร พระอริยเจ้าผู้ทุ่มเทชีวิตจิตใจในเพศพรหมจรรย์ บากบั่นดำเนินตามรอยพระบูรพาจารย์ อุปนิสัยละมุนละไม มีเมตตาเป็นสาธารณะ ใจเด็ด มุ่งหวังเพียงความพ้นทุกข์ ได้รับคำชมจากท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตว่า “เป็นดอกบัวที่ยังตูมอยู่ เบ่งบานเมื่อใดจะหอมกว่าหมู่”

ท่านเที่ยวธุดงค์ไปตามป่าเขาและยอดดอยทั่วทุกภาค ขณะที่ท่านพระอาจารย์มั่นยังมีชีวิตอยู่จะเที่ยววนเวียนเข้ามาฟังธรรมภาคปฏิบัติอยู่เสมอ เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นท่องเที่ยงธุดงค์ไปทางภาคเหนือ ท่านก็จะติดตามไปอาศัยอยู่ในรัศมีธรรมของท่านพระอาจารย์มั่นเสมอมา

ท่านชอบอยู่ตามท้องถ้ำและภูเขาสูงตราบจนวัยชรา เก่งในการพิจารณาอสุภะกรรมฐาน ท่านสามารถอรรถาธิบายในกายคตาสติกรรมฐานพิจารณากระดูก ๓๐๐ ท่อนได้อย่างพิสดาร ท่านถือเคร่งใน “โสสานิกังคธุดงค์” คือ ธุดงค์ข้อ ๑๑ ว่าด้วย การเข้าไปเยี่ยมและอยู่ในป่าช้า พิจารณาซากศพเป็นวัตร ท่านเป็นผู้มีใจหนักแน่นมั่นคงไม่หวั่นไหว ในโลกธรรมทั้งหลาย

ท่านเกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๒ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีระกา เวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. ที่บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร เป็นบุตรของนายสาน และ นางสิงห์คำ วงศ์เข็มมา

ในคืนที่ท่านมาปฏิสนธิ มารดานิมิตเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งเหาะมาจากท้องฟ้ามีรัศมีในกายเปล่งประกายแลดูเย็นตาเย็นใจ เหาะลงสู่กระต๊อบกลางทุ่งนา ด้วยนิมิตดังกล่าวนายสานผู้เป็นบิดาจึงได้ตั้งชื่อลูกชายว่า “สิม” (หมายถึงโบสถ์)

เมื่อท่านอายุ ๑๗ ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชา เป็นสามเณรฝ่ายมหานิกาย ณ วัดศรีรัตนาราม บ้านบัว ในวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยมีพระอาจารย์สีทอง เป็นพระปัพพชาจารย์

ต่อมาท่านได้มีโอกาสฟังธรรมจากท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม และพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล  ณ  วัดศรีสงคราม ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ได้ปีติในธรรมบังเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจขอถวายตัวเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ได้บรรพชาใหม่เป็นสามเณรฝ่ายธรรมยุต ที่โบสถ์น้ำวัดศรีสงคราม โดยท่านพระอาจารย์มั่น เป็นประธาน และเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระปัพพชาจารย์
ท่านอุปสมบทเมื่อวันอังคารที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะเส็ง ณ
วัดศรีจันทราวาส ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยมี พระครูพิศาล อรัญเขต (จันทร์ เขมิโย) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดดวงจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

หลังจากท่านอุปสมบท ได้เดินธุดงค์ติดตามพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม ไปจำพรรษาที่วัดป่าเหล่างา (วัดป่าวิเวกธรรม) จังหวัดขอนแก่นและท่านพระอาจารย์ สิงห์ได้สอนอุบายในการพิจารณาอสุภกรรมฐานจากซากศพ โดยพาไปขุดซากศพที่ป่าช้าขึ้นมาพิจารณา ท่านได้อสุภะกรรมฐานจากซากศพว่า

“นี่แหละร่างกาย สักแต่ว่ารูป ไม่ว่ารูปหญิงรูปชาย คืออันเดียวกัน ไม่มีใครสวยใครงามกว่ากัน อสุภํ มรณํ ทั้งนั้น ไม่นานล่ะ เดี๋ยวมันก็ทยอยตาย ไปทีละคน สองคน หมดไปสิ้นไป ไม่มีเหลือ ตายจนกระทั่งหมดโลก”

ปีพุทธศักราช ๒๕๐๓ ท่านได้เดินทางธุดงค์มาพบถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ถ้ำนี้ทะลุถึงกันได้ มีลักษณะเป็นปล่อง อากาศถ่ายเทสะดวกเหมาะสำหรับบำเพ็ญเพียรภาวนาเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาท่านก็อยู่จำพรรษา และพัฒนาจนกลายเป็นสถานที่อบรมภาวนาปฏิบัติธรรม สำหรับพระภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา ผู้หวังความหลุดพ้อ มาจนถึงจวบจนสิ้นอายุสังขารของท่าน

ท่านละสังขารเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ณ วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ สิริรวมอายุได้ ๘๒ ปี ๙ เดือน ๑๙ วัน ๖๓ พรรษา