วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรื่อง ป้ายลวง



นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง "
ตอน 1

การเล่าข่าวกับการวิเคราะห์ข่าว โดยเฉพาะข่าวต่างประเทศ ต่างกันนะครับ
การเล่าข่าวนั้น ข่าวมายังไง คนเล่าก็นำมาเล่าตามแนวและลูกเล่นของตัวเอง ใครเล่าเก่ง มีสีสรรลูกเล่นเพียบ คนดูคนอ่านก็ติดกันเกรียว ส่วนคนวิเคราะห์ข่าว ต้องเพิ่มความคิดเห็นของตัวเข้าไปด้วย แปลว่า จะวิเคราะห์ข่าวได้จริง ต้องมีภูมิหลัง คิดออก มองเห็น "เกิน" กว่าเนื้อข่าวนั้น

แต่ทั้ง 2 อย่าง ก็เริ่มต้นมาจากจุดเดียวกันคือ ต้องมี "ข่าว" มาให้เขียนให้เล่า และมี "ข่าว" มาให้วิเคราะห์
ที่น่าคิดคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า "ข่าว" นั้น เป็นข่าวจริง ข่าวปลอม หรือ ข่าวแต่ง หรือที่สมัยนี้เรียกกันว่า เต้าข่าว (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า ศัพท์นี้มาจากไหน

แต่ฟังแล้วสยิวจัง) ข่าวแต่งนี้ ยังต้องตามดูอีกว่า ถ้าเป็นข่าวเกี่ยวกับต่างประเทศ ที่มักแปลมาจากสื่อต่างประเทศ ซึ่งต้องดูอีกว่า แปลมาถูกไหม มีหลายครั้งที่ผมอ่านข่าวแปลแล้วมึนรับประทาน ไม่รู้ใครกำลังจะได้ หรือใครกำลังจะเสียกันแน่

แต่ที่สำคัญ ถ้ามันเป็นการแต่งข่าว หรือเต้า มาตั้งแต่ต้นตอ โดยมีเป้าหมายที่จะ "ลวง" คนอ่าน เราจะรู้ได้อย่างไร ว่ามันเป็นข่าวลวง

คำตอบคือ รู้ยากครับ อาจจะ "พอรู้" ถ้าเราตามข่าว และตาม"สถานการณ์" กันอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องมานาน ก็จะพอจับทางได้ว่า มันมีความผิดสังเกต ผิดวิสัย ผิดเส้นทาง..... เหมือนหมอที่เคยตามอาการของคนไข้เจ้าประจำ ที่มาหาหมอด้วยอาการเจ็บคอ ถามไปถามมา แกไปคาราโอเกะเกือบทุกวัน หายไปพักใหญ่ เจ็บคอมาอีก แต่คราวนี้บอกว่าไม่ได้ไปร้องเพลงเลยนะหมอแต่ทำไมเจ็บคอ หมอแปลกใจ ทำท่าจะส่งไปเข้าเครื่องตรวจใหญ่ ซักไปซักมา ที่ไหนได้ แอบไปขึ้นเวที จ้อให้แม่ยกเป่านกหวีด .....

ส่วนใหญ่ คนที่จะตาม "สถานการณ์" อย่างใกล้ชิดจนรู้ถึงความผิดปรกติต่างๆนั้นได้ มักจะเป็นผู้ที่มี "หน้าที่" ติดตามสถานการณ์ เช่นหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐ งานข่าวกรอง งานสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ครูบาอาจารย์ที่สอนทางด้านนี้ และสื่อที่จับงานด้านนี้มานานจนเป็นผู้ชำนาญ เราๆ ชาวบ้าน คงยากที่จะมีเวลา มีความสนใจและจดจำอาการต่างๆได้หมด

น่าเป็นห่วงว่าระยะหลังนี้ มีข่าวที่ต้นตอมาจากสื่อต่างประเทศ ออกข่าวที่ดูเหมือนจะเข้าข่าย เป็นข่าวลวงแยะมาก ไม่บอกก็คงพอเดากันได้ว่า มาจากสื่อต่างประเทศใดบ้าง เมื่อมีข่าวลวงมากๆ มันก็เป็น "อาการ" ผิดปรกติอย่างหนึ่ง ที่ทำให้คิดว่า การลวงในเรื่องและรูปแบบอื่นคงจะตามมา และ เมื่อเริ่มต้นด้วยการลวง ผลที่ตามมา คงไม่ใช่เรื่องดี......

ในต่างประเทศ โดยเฉพาะอเมริกานั้น นอกเหนือจากผู้ที่มีหน้าที่ติดตามสถานการณ์ อย่างที่ผมเล่าข้างต้นแล้ว ยังมีคนอีก 2 กลุ่ม ที่ทำการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และทำการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ

กลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่เขาเรียกกันว่า ถังความคิด think tank ที่คอยติดตามสถานการณ์ของโลก รวมทั้งของแต่ละประเทศ โดยถังพวกนี้ จะทำการวิเคราะห์ เสนอวิธีการแก้ไขหรือนโยบาย มีทั้งถังที่ใช้ได้ และที่เหมือนถังขยะ

ถังความคิด มีทั้งที่เป็นของรัฐบาล และของเอกชน ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งในรูปแบบของสถาบัน หรือมูลนิธิ ที่อ้างว่าไม่แสวงหากำไร และไม่ฝักฝ่าย ฝ่ายใด แต่เป้าหมายจริง มักตรงกันข้าม คือ ไม่แสวงหากำไร แต่เล่นแสวงหาอำนาจกันเลย และต้องการควบคุมทุกฝ่ายทั้งหมดในโลก ผ่านนโยบายที่ถังตัวคิดขึ้นมาเกือบทั้งนั้น

ถังหมายเลขหนึ่งของโลก ที่มีอำนาจและอิทธิพล เหมือนเป็นผู้กำกับรัฐบาลอเมริกัน และอาจจะกำกับโลกด้วยคือ ถังยี่ห้อ CFR Council on Foreign Relations ส่วนถังดังอื่นๆ อันดับต่อๆมาเช่น Chatham House ของอังกฤษ ซึ่งเป็นถังแฝดกับถัง CFR, Rand Corporation ถังฝั่งอเมริกา ที่เชี่ยวเรื่องการทหาร, Center for Strategic and International Studies (CSIS) ไอ้ถังขยะใบนี้ ชอบเสือกเรื่องบ้านเรา, Brookings Instution, Heritage Foundation, Cato Foundation, American Enterprise Institute 4,5 ถังหลังนี่ที่เชี่ยวชาญเรื่องการเมือง และออกแนวอเมริกามหาอำนาจ และเสือกเรื่องบ้านเราทั้งนั้น ยังมีอีกแยะครับ ท่านใดอยากรู้จักถังพวกนี้ กดคำว่า think tank หาอ่านในกูเกิลได้เลย

ผมเคยเล่า หรือเอ่ยถึง กลุ่มแรกนี้ค่อนข้างบ่อยในการเล่านิทานหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะถัง CFR ซึ่งเชื่อว่า หลายท่านคงคุ้นเคยกันดี วันนี้ จึงจะขอไปเน้นที่ กลุ่มที่ 2

กลุ่มที่ 2 ทำหน้าที่คล้ายๆ กลุ่มที่ 1 แต่เปลี่ยนจากถัง เป็นบริษัทที่ "รับจ้าง" และคิดค่าจ้างในดำเนินการในราคาแพงมาก

งานที่บริษัทพวกนี้รับทำคือ การวิเคราะห์สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เกือบทุกแห่งทั่วโลก ให้แก่ลูกค้า ที่เป็นทั้งรัฐบาลของตนเองและของประเทศอื่น บริษัทข้ามชาติใหญ่ๆ และบุคคลทั่วไป (ที่คงต้องกระเป๋าใหญ่) เช่นเศรษฐี หรืออดีตนักการเมือง เพื่อเอาข้อมูลจากการวิเคราะห์นั้น ให้ลูกค้านำไปคิดยี่ต๊อกให้ดีๆ ก่อนที่จะ ลงทุน ทำธรุกิจ หรือดำเนินการอื่นใด เช่นคิดจะสร้างปฏิวัติ เปลี่ยนหัวหน้ารัฐบาลในบ้านเหยื่อที่เล็งเอาไว้ งานแบบนี้ รัฐบาลอเมริกันมักใช้บริษัทพวกนี้ทำการแทน อย่างที่ทำในหลายประเทศในช่วงเทศกาลอาหรับสปริง หรือเรื่องยูเครน เพื่อหลีกเลี่ยงการมีข่าวฉาว หรือสาวมาถึงตัว ถ้านึกถึงเหตุการณ์ไหนไม่ออก ลองนึกถึงเหตุการณ์ในบ้านเราก็ได้ครับ..... ไม่ใช่ไม่เคยมี.......

ผู้ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ หรือเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทพวกนี้ ส่วนใหญ่ ก็เป็นผู้ที่ทำงานด้านข่าวกรอง ด้านความมั่นคงของรัฐบาลอเมริกานั่นแหละ มีทั้ง ทหารเก่าจากกองทัพ หรือสภาความมั่นคง รวมทั้งศิษย์เก่าซีไอเอ และ ศิษย์ปัจจุบัน

นับว่า เป็นการหากินของอเมริกา ที่ฉลาดร้ายมาก ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งกล่อง เพราะทำให้รู้ข้อมูลของประเทศอื่น หรือบริษัทใหญ่ๆ รู้ทิศทางการเมือง และการทำมาหากินของเขา และใช้เป็นช่องทางที่จะแทรกข่าวลวงของตัว และ"กำกับ" ทิศทางการเมือง และการทำธุรกิจเหล่านั้นเสียอีกด้วย โดยผู้ใช้บริการก็เดินตามอย่างไม่รู้ตัว

จะว่าไปก็เหมือนเป็นการปั่นจิ้งหรีดอีกสายพันธ์ ตกลงมนุษย์ในโลกเรานี่ จะกลายพันธ์เป็นจิ้งหรีดกันหมดหรือไงนะ

นอกจากนี้ บริษัทที่รับจ้างทำงานอย่างนี้ มักมีเครือข่ายการทำงานแบบครบวงจร โดยรวมไปถึง การดูแลด้านความปลอดภัยให้กับลูกค้า ที่ไปทำธุรกิจในบริเวณ ที่มีการวิเคราะห์ว่า อาจอยู่ในเขตอันตราย รวมทั้งมีสื่อในมือ ที่จ้างไว้ คอยออกข่าวแก้ และที่แน่มากคือ มี "หน่วยงานพิเศษ" ของตัวเอง ที่เอาไว้คอยแก้เกม เมื่อมีปัญหา หรือถูกต่อต้าน รวมทั้งเป็นหัวเจาะเข้าไปปฏิบัติการให้ด้วย

ส่วนงานแก้เกม มีการรับแก้ทุกระดับ ตั้งแต่ลอบบี้ให้ประเทศนั้น ออกกฏหมาย กฏระเบียบ แก้ไข ให้เป็นประโยชน์กับตัว จนถึง " จัด" ให้มีการเคลื่อนไหวโดยคนในบ้าน และคนนอกบ้านเพื่อกดดัน

มันเป็นขบวนการที่ใหญ่โต มีขอบเขตการให้บริการกว้างขวาง เกือบจะเหมือนการเข้าไปยึดประเทศเขา ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก เพราะฝีมือการจัดตั้งนั้น แนบเนียน จนเหมือนเป็นการเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ถึงขนาดผู้ที่เข้าร่วมขบวนการอาจไม่รู้ตัว ว่ากลายเป็นพวกจัดตั้งให้กับเขา จึงน่าที่เราๆจะทำความรู้จักกันไว้

เขาว่า บริษัทที่ใหญ่ดังมาก ที่ให้การวิเคราะห์สถานการณ์ต่างประเทศมานาน ให้บริการครบวงจร รวมทั้งดูแลด้านความปลอดภัย โดยศิษย์เก่าที่มาจากหน่วยรบพิเศษ ที่ผ่านงานมาจากหลายสนาม ชื่อ บริษัท Stratfor ซึ่งตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1996 โดย George Friedman ชาวยิว ที่พ่อแม่อพยพหนีฮิตเลอร์จากฮังการี มาอยู่อเมริกา เขาจบรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล หลังจากนั้น ไปเป็นอาจารย์สอนในหลายสถาบันของอเมริกา โดยเฉพาะ US Army War College, National Defense University และ Rand Corporation เกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของประเทศทั้งนั้น

ชื่อของ Stratforโผล่ให้ชาวบ้านได้รู้จักในปี ค.ศ.2012 เมื่อวิกีลิกส์ เอาเอกสารลับของอเมริกา ส่งให้สื่อเป็นของขวัญลงให้ชาวบ้านทั่วโลกอ่าน มีเอกสารชิ้นหนึ่ง แฉว่า Stratfor คือบริษัทหลังฉากของซีไอเอ ที่ไปทำงานข่าวกรองให้กับเอกชนทั่วโลก ทาง Stratfor ออกมาบอกว่า ไม่ใช่น่า เราเป็นแค่บริษัทวิเคราะห์เศรษฐกิจธรรมดาเท่านั้น แต่มีสื่อไปขุดว่า ค่าจ้างของ Stratfor แพงกว่าบริษัทวิเคราะห์เศรษฐกิจอื่นหลายร้อยเท่า วิเคราะห์ลิงอะไรวะ

ผมไม่ทราบว่า บริษัทนี้ มีลูกค้าในบ้านเราหรือไม่....
แต่ข่าวว่า ตอนนี้ Stratfor กำลังมีคู่แข่ง ที่มาแรง และน่าสนใจยิ่ง

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
10 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google





นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 2

คู่แข่งที่มาแรง ชื่อ Chertoff Group ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.2009 โดย Michael Cherfoff และ Chad Sweet เป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูในบ้านเราเลย แต่เขาดังจริงแถววอชิงตัน

Chertoff เป็นชาวยิวอเมริกัน (ยิวอีกแล้ว) เป็นอดีตผู้อำนวยการ Department of Homeland Security (DHS) ในสมัยรัฐบาลคาวบอยบุชตั้งแต่ปี ค.ศ.2005 ถึง ค.ศ.2009 ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่ที่ คาวบอยบุชตั้งขึ้นมา หลังจากอเมริกาเกิดเหตุการณ์ 911

DHS สมัยท่านใบตองแห้งนี่ก็ใช่เล่น เขาว่าท่านใบตองเพิ่มงบเพิ่มคนทำงาน จนเป็นที่กล่าวขวัญว่า ท่านใบตองกำลังตั้งกองทัพพิเศษของตัวเอง เพื่อยึดอเมริกาเลยหรือไง ....ไม่ใช่มั้ง เขาลือกันว่า มันเป็นการเลี่ยงการใช้งบทหาร. ที่ถูกดองเค็มมาหลายปีต่างหาก การแก้เกี้ยวแบบนี้ก็คงฟังได้หูเดียว

Chertoff จบกฏหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด และ London School of Economics and Political Science ทำงานกับรัฐบาลอเมริกันมานาน จนเป็นรองอัยการสูงสุด เขาคุ้นเคยอย่างดีกับคาวบอยบุช เพราะร่วมหัวกันมาตลอด โดยอยู่ฝ่ายหาทุนสมัยคาวบอยลงสมัครเป็นประธานาธิบดี เขามีชื่อเสียงว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับต่อต้านผู้ก่อการร้าย โดยเฉพาะที่มาจากตะวันออกกลาง....

หลังจากหมดเทอมจาก DHS ส่งมอบงานให้ทีมงานใหม่ของท่านใบตองแห้งเสร็จ Chertoff ก็ไปทำงานกับสำนักงานกฏหมาย ชื่อ Latham & Watkins ซึ่งมีสำนักงานทั่วโลก มีทนายชนิดหัวกะทิกว่า 2,000 คน ซึ่งมีตั้งแต่อดีตหัวหน้าผู้พิพากษาศาลสูงของอเมริกา ไปจนถึงพวกอยู่ในแวดวงการเมือง เช่นลูกเขยของไอ้เหยี่ยวกระหายเลือด Dick Cheney ส่วน ลูกค้า และลูกความของ Latham & Watkins ก็ใช่ย่อย เป็นบริษัทระดับโลกเกือบทั้งสิ้น เช่น Goldman Sachs, Metro-Goldwin-Mayor... เรียกว่าเป็นแหล่งรวมดาว(ยิวรวย) ของโลกแหล่งหนึ่ง

ในปี ค.ศ.2015 Latham & Watkins เป็นสำนักงานกฏหมาย ที่มีรายได้สูงเป็นอันดับหนึ่งในโลก
ส่วนคุณ Chad Sweet นี่ก็น่าจับตาดู เป็นอดีตหัวหน้าคณะทำงานของ DHS เหมือนกัน ก่อนจะมาอยู่ DHS เขาเคยทำงานกับซีไอเอมาก่อน และ ก่อนจะมาทำงานกับภาครัฐ คุณ Chad ทำงานกับพวกวอลสตรีท ระดับ Morgan Stanley และ Goldman Sachs ลับเขี้ยวมาจนแหลมคม หลังจากนั้น ก็รับงานดูแลเงินๆทองๆ ของลูกค้านอกอเมริกา ก็งานฟอกน่ะครับ ประวัติเขี้ยวคมอย่างนี้ ไม่ให้ความสนใจได้ยังไง

ล่าสุดนี่ เขาว่า คุณ Chad เป็นผู้วางแผนการหาเสียงให้ Ted Cruz ผู้สมัครแข่งขันเป็นประธานาธิบดีสมันกน้าของอเมริกา จากพรรครีพับลิกกัน ที่ตอนแรกมาแรง แต่มาหัวคม่ำ เมื่อเจอคู่แข่งบวมๆ อย่างคุณ Donald Trump คู่นี้น่าติดตามดูไปนะครับ เพราะ Ted Cruz นั้น คุณเมียเขาไม่ธรรมดา หล่อนเป็นสมาชิก CFR มันอาจจะบอกอะไรเราได้เหมือนกัน

ตอนนี้ Trump นำ Cruz แต่ถ้านำไปจนถึงวันใกล้วันเด็ดขาด นาย Trump เกิดมีอันเป็นไป ผมก็คงไม่แปลกใจ ตอนนี้ก็เริ่มมีคนพรรครีพับลิกกัน เช่น Mitt Romney ออกมาพูดว่า Trump ไม่ใช่ตัวแทนของพรรค ต่อไปอาจจะมีการบอกว่า Trump ทำผิดกฏ กติกา เป็นตัวแทนของพรรคไม่ได้ ให้เหลือเขย CFR ยืนโรง สู้ กับสะไภ้ CFR ของอีกพรรคก็เป็นได้

เราๆ ชาวบ้าน ก็ตามดู ตามลุ้น ... ถูกเขาหลอกให้ดูมวยล้ม....เหมือนเดิม

แต่หัวหน้าตัวจริงของ Chertoff เขาว่า คือ ท่านนายพล Michael V Hayden อดีตผู้อำนวยการ ซีไอเอ และอดีตผู้อำนวยการสภาความมั่นคงของอเมริกา จำชื่อนี้ให้ดีนะครับ อย่าลืมเชียว ประวัติแบบนี้ ไม่ใช่แค่ให้ความสนใจ แต่ต้องเพิ่มความน่าสงสัยในกิจการของ Chertoff เข้าไปด้วย ตอนนี้ถ้าใครที่ดูข่าวซีเอนเอนบ่อยๆ จะเห็นหน้าท่านนายพลเกือบทุกวัน

ท่านนายพล Hayden นี่ มีจุดยืนมั่นคงมาก พูดในทุกรายการว่า อเมริกาต้องแสดงอำนาจให้เห็นชัด อย่าให้โลกลืมเชียว ว่า อำนาจอันยิ่งใหญ่หนึ่งเดียวในโลก ของอเมริกายังมีอยู่ และอยู่อย่างดี ดังนั้น อเมริกาจึงต้องลงไปลุยถั่วด้วยตัวเองในตะวันออกกลาง ไม่ใช่ใช้แต่ลูกหาบลูกกระเป๋ง และไปลดราคาให้รัสเซียเรื่องซีเรียไม่ได้ จริงๆท่านนายพล ก็พูดทำนองเดียวกับคุณเต้าหู้บูดรัฐมนตรีกลาโหม แต่คุณเต้าหูชอบไปแอบพูด แต่ท่านนายพลของผม ท่านแน่กว่า ยุให้อเมริกาลุยถั่ว แบบเสียงดังฟังชัดกลางจอ อย่างนี้ เราก็ต้องดูต่อ ว่าใครกำลังลวงใครเรื่องซีเรีย และเรื่องตะวันออกกลาง

นอกจากนี้ ผู้ร่วมงานของ Chertoff ยังมี Charles Allen อดีตผู้ช่วยผู้อำนวยการซีไอเอ อายุงาน 25 ปี ที่มีประวัติการทำงานโดดเด่น จนได้รับรางวัลเหรียญสรรเสริญ จากทั้งซีไอเอ และสภาความมั่นคง ถึง 2 ครั้ง ไม่รู้จากงานล้วงควักเรื่องอะไร

ยังมี Paul Schneider อดีตผู้ช่วยของ DHS และคนร่วมงานอีกแยะครับ ที่มาจาก หน่วยงานซี สภาความมั่นคง DHS และกลาโหม

ตกลงนี่ เรากำลังคุยถึงบริษัทรับจ้างวิเคราะห์สถานการณ์โลก หรือเรากำลังคุยเรื่องหน่วยงานข่าวกรองของอเมริกาในคราบเอกชนก็ไม่รู้นะครับ

Chertoff อ้างว่า ให้บริการหลากหลายมาก แต่ปัจจุบัน บริษัทอ้างว่า เน้นให้การบริการด้านข้อมูล การวิเคราะห์ และป้องกันการก่อการร้าย การจารกรรมข้อมูลทางไซเบอร์ ความมั่นคงของระบบ ทางด้านสาธารณูปโภค และความมั่นคงทั่วไป รวมทั้งดูแล และป้องกันการก่อการร้ายจากอาวุธเคมี

ลูกค้าของ Chertoff มีทั้งเอกชน และหน่วยงานของรัฐ ทั้งของอเมริกาเอง และต่างประเทศ
Chertoff ยังเป็นผู้แนะนำให้รัฐบาลอเมริกา ใช้เครื่องตรวจสแกน ที่ดูไปถึงตับอ่อนตับแก่ของผู้ถูกตรวจด้วย ถ้ายังจำกันได้ ผมเคยเล่าเรื่องนาย Farouk Abdulmutallb ชาวไนจีเรียที่เอาระเบิดพกติดตัวขึ้นเครื่องบินจากเยเมน จะไปดีทรอยท์ แต่ตรวจเจอเสียก่อน ก็เครื่องตรวจที่ Chertoff แนะนำนี่แหละครับ ที่ตรวจเจอระเบิด และต่อมาอเมริกาเลยสั่งเครื่องตรวจ เครื่องในผู้โดยสาร ติดตั้งไว้ตามสนามบินของอเมริกาเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะที่มีเครื่องบินนานาชาติลง

เมื่อ Chertoff Group เปิดตัวใหม่ๆ เขาใช้บริษัทประชาสัมพันธ์ ชื่อ Burson-Marsteller ซึ่งตอนหลัง ก็กลายเป็นบริษัทในกลุ่มของ Chertoff ไปด้วย

Burson-Marsteller นี้ เป็นที่รู้กันว่า รับงานดูแลประชาสัมพันธ์ ให้กับบริษัท หรือหน่วยงาน ที่รับจ๊อบจากรัฐบาล หรือ ซีไอเอ เช่นบริษัทน้ำดำ Blackwater ที่พุ่งป็นพลุ จนพลุไม่พุ่งจากเรื่องทูตอเมริกัน ที่ถูกใครไม่รู้ฆ่าตายที่เบงกาซี เมื่ออเมริกาและลูกหาบ ยกพลไปถล่มกัดดาฟีและลิเบียเสียเหลือแต่ซากนั่น และตอนนี้ เรื่องลิเบียก็ยังไม่จบ กำลังคืนชีพ ข่าวว่านักรบเติมเงิน ต่างพากันอพยพหนีระเบิด ที่ตกลงกันว่าจะมีการหยุดถล่มในซีเรียแต่ของจริงก็ยังถล่มกันอยู่เหมือนเดิม นักรบเติมเงินเลยจำใจ ย้ายฐานจากอิรักซีเรีย เข้าไปอัดกันแน่นอยู่ที่ลิเบีย ไม่รู้ข่าวนี้ เป็นข่าวจริง ข่าวลวง หรือ ข่าวแต่ง .....

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
11 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google





นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 3

ก่อนที่จะขยับเข้าเรื่องไปอีกหน่อย ผมเห็นชื่อแวบๆในหลายเวบ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังเล่า เลยขอขยายภาพด้านกว้างก่อนที่จะลงลึก

บริษัท ที่ให้บริการแบบ Chertoff หรือทำตัวเป็นซีไอเอ ในคราบเอกชนของอเมริกา และปฏิบัติการอยู่ทั่วโลก เขาว่าทำกำไร ไม่ใช่รายได้นะครับ กำไรเนื้อๆเข้ากระเป๋าตุง ปีละหลายพันล้านเหรียญ บางรายได้ปีละเกือบ หมื่นล้านเหรียญ คำนวณเป็นเงินบาทกันเองแล้วกัน จากการชี้เป้าลวง ย้ายป้ายจริง ไม่รู้อันไหนเป็นอันไหน ตอนนี้มี 5 บริษัทดาวเด่น

บริษัทแรก แน่นอน คือ Chertoff ที่กำลังมาแรง แซงทุกราย เพราะดูเหมือนจะได้งานจากรัฐบาลมากที่สุด

บริษัทที่ 2 คือ ชื่อที่ผู้ในวงการธุรกิจบ้านเราคงคุ้นหูมานาน และผมว่า รายนี้ยังอาจเป็นหมายหนึ่งอยู่ คือ Booz Allen Hamilton บริษัทนี้ดังออกสื่อ และทำให้ชาวบ้านรู้ว่า รับจ๊อบแบบนี้ เมื่อตอนเจ้าหนู Edward Snowden ฉีกหน้ากากอเมริกาเรื่องการดักข้อมูลชาวบ้านแบบ prism สื่อ New York Times บอกว่า สโนเดนกำลังทำงานให้ Booz Allenอยู่ ตอนที่เขาดาวน์โหลดขัอมูลต่างๆส่งให้สื่อ

Booz Allen นั้นรับงานด้านไอทีให้กับรัฐบาลอเมริกันมานานแล้ว พนักงานเป็นพันๆคนของ Booz Allen นั้น ที่แท้ก็คือทำงานให้กับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) ของอเมริกันนั่นเอง คอยเก็บข้อมูลต่างๆทางธุรกิจของชาวบ้านและอื่นๆ เอามาวิเคราะห์ และส่งต่อให้ NSC

ก็ไม่น่าแปลกใจมาก เพราะผู้บริหารของ Booz Allen ก็มาจาก NSC และ ผู้อำนวยการ NSC ก็เคยเป็นพนักงานของ Booz Allen สลับเก้าอี้นั่งกันเองไปมาตลอด

ถึงจะมีข่าวรั่วออกสื่อ แต่ทั้ง Booz Allen และรัฐบาลอเมริกันไม่เดือดร้อน ชาวบ้านโง่จะตาย ไม่มีใครสนใจหรือรู้เรื่องหรอกน่า Booz Allen ก็เลยยังทำงานให้รัฐบาลอเมริกาต่อไป แถมยังประกาศอีกด้วยว่า บริษัทได้งานกลาโหมเพิ่มขึ้นด้วยนะ

Mike McConnell รองประธานกรรมการของ Booz Allen ออกมาพูดเมื่อ Snowden ฉีกหน้ากากอเมริกาในปี ค.ศ.2013 ว่า Snowden กำลังสร้างความเสียหายยับเยินให้กับอเมริกา ในความพยายามที่จะระงับการก่อการร้าย ....มันจะทำให้เราทำงานยากขึ้น ในการจะเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกิจกรรมของเกาหลีเหนือ หรือเรื่องที่เกิดขึ้นในซีเรีย หรือที่จะเกิดขึ้นกับตาลีบันในอาฟกานิสถาน.....แปลง่ายๆ ภาษาลุงนิทาน คือท่านรองประธานฯ ด่า เจ้าหนูสโนเดน ว่า ... มึงทำให้กูล้วงตับชาวบ้านเขายากขึ้นรู้มั้ย ไอ้เวร .... คงจะทำนองนั้นนะครับ

บริษัทที่ 3 คือ Science Application International Corporation หรือ SAIC คุ้นกันไหมครับชื่อนี้ บริษัทนี้ ถูกเรียกว่าเป็น NSC West สภาความมั่นคงสาขาตะวันตก เพราะเจ้าหน้าที่สภาความมั่นคงของอเมริกา พากันย้ายมาทำงานที่ SAIC นี้กันแยะ

บริษัทนี้ เน้นทางด้านการฝึกอบรมให้แก่ลูกค้า ในกรณีเกิดมีการใช้อาวุธ ชนิดที่สามารถทำร้ายผู้คนได้เป็นจำนวนมาก Weapons of Mass Destruction (WMD) และกรณีที่อาจมีการกระทบกับความเป็นอยู่ของบ้านเมืองไม่ว่าระดับใด ไปจนถึงการเตรียมตัวเพื่อที่จะอยู่รอด... เอะ... เขาเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์อะไรกันครับ

ลืมบอกไป หัวหน้าใหญ่บริษัทนี้ คือ ท่านนายพล John P Jumper ที่มาจากกองทัพอากาศ และพนักงานของบริษัทนี้ มีประมาณ 42,000 คน... ใช้คนแยะจัง...... บริษัทนี้ เกือบจะรับเหมางานทั้งหมดจาก NSC สภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา และเป็นบริษัทที่เก็บข้อมูลด้านข่าวกรอง ให้ NSC มากที่สุด เจอชื่อนี้ ในบ้านเราก็อ่านกันหน่อย เห็นอะไรแปร่งๆ ก็เตรียมเป้ใส่ของกันไว้บ้าง ไม่ได้บอกให้แตกตื่น แต่ควรตื่นตัวกันหน่อย

บริษัทที่ 4 ชื่อ Center for Counterintelligence and Security Studies (CCSS) เพิ่งตั้งขึ้นมาไม่กี่ปี เน้นการฝึกอบรม ให้กับบริษัทที่กลัวภัยจากมุสลิมหัวรุนแรง พนักงานของบริษัทที่เป็นผู้ให้การอบรม ก็แน่นอน มาจากเอฟบีไอ ซีไอเอและกองทัพ บริษัทอ้างว่า ให้การอบรม (ฝึก) ไปแล้ว ประมาณ 67,000 คน ค่าอบรมต่อหัว สำหรับเวลา 3 วัน ชั้นเรียนไม่เกิน 30 คน ตกหัวละเกือบ 3 แสนบาท ....ไม่รู้อบรมอะไรกันมั่ง

บริษัทที่ 5 ชื่อ Security Solution International (SSI) เป็นอีกบริษัท ที่เน้นเรื่องการรับมือกับพวกผู้ก่อการร้ายมุสลิม ให้แก่หน่วยของรัฐ บริษัทนี้ ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.2004 โดย Henry Morgenstern ชาวยิวอิสราเอล/อเมริกัน (ยิวอีกแล้ว) ที่มีสัมพันธ์ดีเยี่ยมกับหน่วยงานความมั่นคงของอิสราเอล ส่วนใหญ่ให้การฝึกอบรมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะกับตำรวจ

ในการอบรมครั้งหนึ่ง SSI แสดงภาพการผู้ก่อการร้ายตัดหัวเชลย ทำให้ได้รับการวิจารณ์จากสื่อเชิงไม่เห็นด้วย แต่นายใหญ่ของ SSI บอกว่า ...ศาสนาของพวกนี้โยงกับการก่อการร้ายมานานแล้วนะ...ฝีปากแบบนี้ คงมีงานเข้าแยะ....

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google






นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 4

Chertoff กิจการดีวันดีคืน อย่างนี้ก็ต้องมีการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม กลางปี ค.ศ.2014 Chertoff Group ก็ประกาศว่า ขณะนี้ได้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ โดยจะร่วมงานกับ Edelman บริษัทประชาสัมพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้วนะ

ชื่อนี้คุ้นหูไหมครับ Eldelman หวังว่าคงไม่ลืมกัน เป็นบริษัทที่รับงาน ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ชุบตัวให้ไอ้หมาไนโจรร้ายพี่ชายนังเอ๋อ หลังจากหนีคดีไปดูดอกดูไบไงครับ แล้วก็แต่งเรื่องส่งไปทั่วโลก ว่าหมาไนฉลาดเก่งดีอย่างไร แต่ถูกรังแกกลั่นแกล้งให้ต้องคดี หลังจากนั้น ไอ้เบื้อกอัมสเตอร์แดม อะไรนั่น จึงมารับช่วงปากมอมต่อ พอมองเห็นภาพไหมครับ ว่าเรื่องราวในโลกนี้ บางเรื่องมันเหลือเชื่อ แต่ก็น่าสนใจว่า ความบัดซบ ความชั่ว ความเลว มันมักจะดึงดูดซึ่งกันและกัน

Edelmanนั้น ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1952 ที่เมือง Chicago โดยนาย Daniel Edelman 
ซึ่งเป็นชาวยิวนิวยอร์ค เรียนจบจากมหาวิทยาลัย Columbia เมื่อปี คศ 1940 เสร็จแล้วก็เรียนปริญญาโทต่อทางด้านหนังสือพิมพ์ หลังจากทำงานเป็นผู้สื่อข่าวอยู่ระยะสั้นๆ เขาก็ไปร่วมกับกองทัพของอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และอยู่หน่วยงานด้านปฏิบัติการจิตวิทยาตลอด น่าทึ่งจริงๆ

สงครามเลิก ก็ออกจากทหารและย้ายไปอยู่ที่เมืองชิคาโก เป็นทำงานเป็นผู้จัดการประชาสัมพันธ์บริษัทขายน้ำยาตัดผม Toni ตัดหยิกถาวรด้วยน้ำยาเคมี....ปี คศ 1952 ก็ตั้งบริษัทประชาสัมพันธ์ของตัวเอง เหมือนชีวิตไม่ต้องต่อสู้มากมาย แต่ก็ไปได้ดี นับว่าเป็นคนมีวาสนา

ผมออกจะแปลกใจ และสนใจว่า อะไรหลายเรื่องในโลกนี้ ที่เป็นต้นเรื่องเหลือเชื่อ มักจะเริ่มที่เมืองชิคาโก เช่นมหาวิทยาลัย ชิคาโก ที่ท่านร้อกกี้ the great เป็นผู้ตั้งขึ้น และคิดหลักสูตร area study เอาไว้ล้วงตับไตไส้พุงสมันน้อยทั่วโลก ก่อนจะล้อมเอาเข้าคอก และท่านร้อกกี้ the great นั้น ก็โปรดมากเรื่องการทำสื่อ และการประชาสัมพันธ์ และคิดสูตรเด็ด....ของจริงเป็นอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญว่า เราจะทำอย่างไร ให้เขาเชื่อเรา หรือ ยอมให้เราจูง(จมูก) ...วิชาสร้างป้ายลวง!? ต่างกันไหม กับปฏิบัติการจิตวิทยา ?!

Elderman มีสำนักงานต่างประเทศแล้ว ที่ลอนดอน แคนาดา เอเซีย และยุโรป ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1960 -1970 พอถึงปี ค.ศ.1985 คุณพ่อ Daniel ก็เกษียณตัวเอง และให้คุณลูก Richard ถือบังเหียนแทน
ปี ค.ศ.1990 Elderman เปิดสำนักงานไปทั่ว ตั้งแต่ เม็กซิโก บราซิล อาร์เจนติน่า เยอรมัน สเปน เกาหลีใต้ จีน และ เบลเยี่ยม ....

เขาว่าคนเราทำอะไร มันจะมี ที่ฝรั่งเรียกว่า signature ลายเซ็น ทำให้สังเกตเห็นได้ว่าเป็นฝีมือใคร แต่สำหรับผม มันดูไม่ต่างกับ "รอยมือรอยตีน" ของขโมย หรือโจร ที่มักเผลอทิ้ง หรือตั้งใจทิ้งอวดไว้เสมอ
อย่างท่านร้อกกี้ นั้น ท่านโปรดปรานอเมริกาใต้เป็นพิเศษ ท่านทดลองสาระพัดโครงการระยำกับคนท้องถิ่น เช่นทดลองตอนพันธ์ุคนท้องถิ่น ไปจนถึงตอนพันธ์พืชด้วย gmo ที่นั่น จนพืชพันธ์ฉิบหายเกือบหมด 
ส่วนจีนนั้น ตระกูลท่านก็ไปตั้งมูลนิธิ เพื่อทำการทดลองสาระพัด ตั้งแต่ก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เดี๋ยวนี้ก็ยังตั้งอยู่ (ใครอยากรู้เรื่องเพิ่ม ก็ลองย้อนไปอ่านนิทานเรื่องแกะรอยนักล่า กับเรื่อง ไม่ตกสะเก็ด นะครับ)

พอถึงปี ค.ศ. 2012 ช่วงตะวันออกกลางเริ่มร้อน Elderman ก็ไปเปิดสำนักงานที่ตุรกี รับงานกึ่งประชาสัมพันธ์ กึ่งไอที นับว่า Elderman นี่ตาแหลมมองการณ์ไกลจริง

มาต้นปี คศ 2013 คุณลูก Richard ก็ตั้งบริษัทที่เมืองจีน เป็นที่ระลึกให้คุณพ่อ ชื่อ The Daniel J Elderman China Group ขึ้นมาอีก และยังตั้งบริษัท ชื่อ Pegasus (China) ที่จีนอีกเหมือนกัน ไว้ทำอะไรก็ไม่รู้ อาเฮียไปตรวจดูเองแล้วกันครับ ชื่อเหมือนบาร์อีตัวชั้นสูง นับว่าจังหวะการทำธุรกิจในแต่ละสถานที่ของ Elderman นี่สุดยอดจริงๆ

ลูกค้ารายใหญ่ ที่เปิดเผยของ Elderman เช่น Microsoft, Pfizer, Johnson & Johnson, Hewlett-Packard, Samsung, Starbuck, Unilever, Royal Dutch Shell และรัฐบาลซาอุดิอารเบีย ส่วนไอ้หมาไนโจรร้ายพี่ชายนังเอ๋อ จะนับเป็นลูกค้ารายใหญ่หรือเปล่า บทความที่ผมอ่านไม่มีชื่อลงไว้ให้ ... ไม่ใหญ่จริงนี่หว่า

แต่ผลงานของ Elderman ที่เป็นข่าวดังทางลบมาก คือ โครงการวางท่อของ Keystone XL pipeline ที่จะวางท่อส่ง tar sand oil จากโรงกลั่นในแคนาดา ไปถึงริมอ่าวที่ Texas โดยลอดใต้ทะเล และมีการคัดค้านกันมาก โดยเฉพาะจาก Greenpeace ที่ออกมาบอกว่า วิธีการสำรวจความเห็นของ Elderman ทำแบบ "สกปรก" เพื่อโน้มน้าว และ "ลวง" ให้ชาวบ้านเห็นชอบกับโครงการ ที่จะทำลายสิ่งแวดล้อม แปลง่ายๆว่า เป็นการสำรวจแบบหลอกต้มชาวบ้านน่ะครับ

นอกเหนือจากการรับงานทำประชาสัมพันธ์ ปี ค.ศ.2012 Elderman ยังเปิดแผนกใหม่ เกี่ยวกับด้านการประเมินความเห็น และพฤติกรรมของสังคม...ก้าวหน้าขึ้นไปอีก ...ป้ายลวง.. คงยิ่งเนียน....

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google



นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 5

หลังจาก Chertoff จับมือกับ Elderman แล้ว แนวทางการทำธุรกิจของ Chertoff ก็ดูเหมือนจะแตกแขนง ไปทางระบบป้องกันด้านไซเบอร์มากขึ้น เดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.2015 Chertoff ไล่ซื้อหุ้น จนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ของบริษัท Delta Risk ซึ่งรับสร้างระบบป้องกันด้านไซเบอร์ให้แก่บริษัทการเงินใหญ่ๆ Delta Risk เป็นบริษัทขนาดไม่ใหญ่นัก แต่สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลบริษัทการเงินใหญ่ๆได้ นับเป็นวิธีเดินทางลัดที่น่าสนใจของ Chertoff

แต่การซื้อ Delta Risk ก็น่าจะเป็นแค่การซ้อมมือ

เดือนกันยายน ในปี ค.ศ.2015 นั้นเอง Chertoff ก็ประกาศ จับมือกับ Carlyle Group เพื่อซื้อหุ้นใหญ่ของ Coalfire Systems ซึ่งเป็นเจ้าพ่อของตลาดไซเบอร์ระดับหัวแถวของโลก

ชื่อ Coalfire ก็น่าสนใจจะแย่แล้ว แต่ชื่อ Carlyle ก็ทำเอาผมตื่นเต้น และเกิดความสงสัยอย่างมาก ชื่อมันกลับมาหลอนในจังหวะเวลาเหมาะเจาะเกินไป เลยเป็นที่มาของการตัดสินใจเขียนนิทานเรื่องนี้....
ต้องให้ทวนความจำกันไหมครับ Carlyle Group คืออะไร

ช่วงที่เรามี อัศวินควายดำ เป็นนายกรัฐมนตรี เขาชื่นชมบริษัทนี้อย่างยิ่ง เขาเชื้อเชิญให้มาทำธุรกิจกับแดนสยาม หรือตั้งใจจะขายยกเข่งแดนสยามให้กับ Carlyle ผมก็ไม่แน่ใจ เพราะไอ้ Carlyle Group นี่ เป็นบริษัทใหญ่ทุนหนามาก รายงานประจำปี ค.ศ.2015 ของบริษัทแจ้งว่า เป็นเจ้าของกองทุน(ใหญ่ยักษ์) 159 กองทุน และบริหารกองทุนอื่นอีก 128 กองทุน เป็นกองทุน ที่ลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจทั่วไป กองทุนเปิด และกองทุนปิด การตลาด โดยเฉพาะ ในอาฟริกา เอเซีย ออสเตรเลีย อเมริกาใต้ และตะวันออกกลาง อืม....

นอกจากนี้ Carlyle Group บอกว่า ตนยังมีความชำนาญในธุรกิจเกี่ยวกับความมั่นคง ธุรกิจด้านอวกาศ การสื่อสาร พลังงาน การเงิน การสุขภาพ การให้บริการกับรัฐ ฯลฯ แยะมากครับ เขียนไม่ไหว ดูๆ เหมือนทำหน้าที่เป็นรัฐบาลเงา หรือไงไม่รู้ มีพนักงานมากกว่า 1,600 คน 35 สำนักงาน ใน 6 ทวีป

จำได้หรือยังครับ ใครเป็นตัวแทน Carlyle Group มาเยี่ยมแดนสยาม พ่อไอ้คาวบอยบุชไงครับ ที่อัศวินควายดำแทบคลานไปจูบตีน และยังมีอดีตนายกรัฐมนตรีของแดนสยามอีกท่านไปร่วมรับรอง ประทับตราถึงความยิ่งใหญ่ของ Carlyle ด้วย

ส่วน Coalfire นั้น เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ อันดับต้นๆ ของโลก ที่ชำนาญในการวางระบบไอที ให้กับภาครัฐ และภาคเอกชนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะระบบป้องกันการขโมยข้อมูล และการป่วนทางด้านไซเบอร์ แปลว่า น่าจะรวมดาราแฮ๊กเกอร์เอาไว้ในค่ายแยะ ตกลง พวกเขากำลังคิดทำอะไรกันแน่

ในต่างประเทศ เขามีสื่อที่เรียกว่า Investigative Journalist หรือ Whistle Blower ตามเจาะข่าวที่น่าสนใจ (เป่านกหวีดจริงๆนะครับ ไม่ใช่เป่าเฉพาะตอนลุงกำนันขึ้นเวที) แล้วเอามาเล่าให้ชาวบ้านรู้ ส่วนใหญ่เป็นข่าว ที่อาจมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ความอยุติธรรม การทุจริต โดยเฉพาะจากการกระทำของฝ่ายรัฐ หรือเป็นเรื่องใหญ่ ที่ชาวโลกควรให้ความสนใจ ก็มักจะมีสื่อคอยตามจิกตามคุ้ย เอามาแฉให้ชาวบ้านรู้ แบบกรณีวอเตอร์เกทที่โด่งดัง แต่สื่อที่ทำหน้าที่อย่างนี้ ในบ้านเราหายากจัง รู้สึกจะมีแต่ที่ชอบตามสืบ ประเภทเรื่องมือที่สามมือที่สี่ ของดารามากกว่า หรือเรื่องฉาบฉวย ที่มาเป็นกระแส อย่างตุ๊กตาเทพ สาวตาบอดโพสต์ด่าคนอะไรทำนองนี้ แล้วก็หายเงียบไป แล้วเมื่อไหร่เราๆชาวบ้าน จะรู้เรื่อง จะเข้าใจเรื่องที่มันเป็นสาระ หรือสำคัญต่อบ้านเมืองเรา

ผมก็ไม่ใช่สื่อ ไม่ใช่อาจารย์ ไม่ได้ทำงานด้านความมั่นคง เป็นแค่ลุงแก่ๆ ช่างสงสัย ผมสะกิดใจจริงๆ เกี่ยวกับเรื่องบริษัทใหม่ๆ กับธุรกิจของพวกเขา และการไปจับมือกับอำนาจและทุนเก่าอย่าง Carlyle แต่ไม่เห็นมีใครพูดถึง หรือติดตามกัน หรือมี แต่ผมอ่านไม่เจอก็ได้นะ ความสงสัยเลยยังค้าง คาใจอยู่ ว่าเรื่องที่กำลังเล่านี้ มันจะไปถึงไหน มันจะเหมือนพฤติกรรมของ เจ พี มอร์แกน รอทไชลด์ ร้อกกี้ พวกบรรดาโคตรรวย และพวกเขี้ยวลากแถววอลสตรีท ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1, 2 และระหว่างสงครามโลกไหม ?!?

ไม่มีใครค้น ก็คงต้องค้นเอง ใครสนใจก็ตามอ่านกันต่อนะครับ ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะเจอกระป๋องเปล่า หรือถังขยะ หรือเจอตอ ....จนทำให้เพจนิทาน ถูกบีบจนแบนแต๊ดแต๊ หรือจอว่าง ขาวค้างอยู่อย่างนั้นหรือเปล่า....

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
14 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย






นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 6

วันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ.2011 The Washington Post ลงบทความชื่อ " A new line of defense in cybersecurity, with the help from SEC"

บทความนี้ เขียนสรุปความว่า บรรดาผู้มีหน้าที่ดูแลงานความมั่นคงของชาติ ในสมัยรัฐบาลบุช จนมาถึงรัฐบาลโอบามา ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ในระยะยาว การโจมตีทางไซเบอร์ จะเป็นภัยที่น่าเป็นห่วงของอเมริกา .....

.......นายพล Mike Mullen อดีตประธานคณะทำงานร่วม ยังบอกเพิ่มว่า ภัยที่จะคุกคามอเมริกาอย่างน่าเป็นห่วง มีอยู่ 2 เรื่องเท่านั้น เรื่องหนึ่ง คือ นิวเคลียร์ของรัสเซีย อีกเรื่องคือ การคุกคามทางโลกไซเบอร์ และท่านนายพลบอกว่า เรื่องนิวเคลียร์ของรัสเซีย เรายังควบคุมได้มากกว่าเรื่องไซเบอร์......

.... ทุกวันนี้ เรา(อเมริกา) มีชีวิตอยู่กับระบบคอมพิวเตอร์เกือบทุกอย่าง ตั้งแต่การใช้สาธารณูปโภค น้ำไฟ ถนนหนทาง การเดินทาง การติดต่อ การเงิน การักษาพยาบาลสังคมเรา เป็นสังคมที่อาศัยอยู่กับสิ่งนี้ อะไรจะเกิดขึ้น ถ้ามีการทำให้มันสดุด หยุดลง....

.... การโจมตีระบบจากภายนอก เป็นเรื่องน่าเป็นห่วง และน่าสพรึงกลัวอย่างยิ่ง การพยายามขโมยข้อมูล และเจาะเข้ามาในระบบของเราทั้งของฝ่ายรัฐ และฝ่ายเอกชน เกิดขึ้นมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาชญากรรมทางไซเบอร์มีจำนวนสูงเพิ่มขึ้นทุกปี แต่การป้องกันความเสี่ยงของอเมริกาในเรื่องนี้ ยังไม่เพียงพอ และผู้ที่เสียหาย ถูกขโมยข้อมูล ก็ไม่อยากแจ้งให้ทางการทราบ เพราะกลัวความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ถ้าประชาชนรู้ ....

.... เรากำลังถูกโจมตีทางไซเบอร์นะ และความมั่นคงของประเทศ และเศรษฐกิจกำลังอยู่ในความเสี่ยง....
.... เราต้องมีการออกกฏหมาย ที่ให้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ มีระบบที่จะป้องกันความเสี่ยงจากการถูกขโมยข้อมูล ... เราคิดว่า SEC น่าจะดำเนินการได้แล้ว.....

ผมเอามาแบบย่อๆ นะครับ ความน่าสนใจของบทความนี้ ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาของบทความความอย่างเดียว แต่มันอยู่ที่คนเขียนด้วย

บทความนี้ เขียนร่วมกันโดย วุฒิสมาชิก Jay Rockefeller และ Michael Chertoff....

เรารู้จัก Chertoff กันแล้ว งั้นต้องแนะนำให้รู้จัก คุณเจ ร้อกกี้ กันหน่อย

คุณเจ หรือ จอห์น เดวิดสัน ร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่ 4 เขาเป็นลูกของ จอห์น ดี ร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่ 3 และเป็นหลานอาของ เดวิด ร้อกกี้เฟลเลอร์ หรือ ท่านร้อกกี้ the great ของผม คนเก่ง คนดัง คนโคตรรวย และโคตรใหญ่ ของ CFR ..เดวิดเป็นน้องคนสุดท้องของพวกร้อกกี้รุ่น 3 แต่คุมพี่ทั้งหมด และอาจจะคุมโลกด้วย

และเป็นเดวิด ที่เป็นคนกำกับการสร้าง War and Peace Studies ที่เป็นเหมือนพิมพ์เขียว ของนโยบายแม่บทให้อเมริกานำไปใช้ ในการจะขึ้นครองโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และอเมริกา ก็ดูเหมือนจะทำตามนโยบายนั้นเกือบทั้งหมด และครองโลกได้จริงๆเสียด้วย อย่างน้อยก็ยังครองถึงวันนี้ แต่จะครองตลอดไปหรือไม่ ต้องดูกันไป

ส่วนคุณเจ นั้น เกิดเมื่อปี ค.ศ.1937 ตอนนี้ก็อายุไม่ละอ่อนแล้วละครับ เรียนระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยฺฮาร์วาดตามฟอร์ม ระหว่างเรียน ครอบครัวให้โดดข้ามไปเรียนหนังสือและภาษาญี่ปุ่น ที่ญี่ปุ่น ช่วงปี ค.ศ. 1957-1960 และกลับมาจบปริญญาตรี ที่ฮาร์วาดในปี ค.ศ.1961 หลังจากนั้นก็ข้ามไปเรียนภาษาจีนที่มหาวิทยาลัยเยล เห็นความมองการณ์ไกลของท่านร้อกกี้ the great ซึ่งเป็นผู้กำกับครอบครัวร้อกกี้ ไหมครับ

จากเยล คุณเจก็ไปทำงานในโครงการ Peace Corp หรือ ซีไอเอภาคชาวบ้าน ที่สำนักงานใหญ่ที่วอชิงตัน ก่อนจะไปเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ Peace Corp ที่ฟิลิปปีนส์ ซึ่งเหมือนบ้านที่ 2 ของท่านร้อกกี้

เสร็จกิจก็กลับบ้าน มาเข้าวงการเมือง ด้วยการสมัครเป็นผู้ว่าการรัฐเวสต์เวอร์จีเนีย ครั้งแรกสอบตก ...เนียนจัง... ครั้งที่ 2 สอบได้ หลังจากนั้น ก็ได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิกของเวสต์เวอร์จีเนียอย่างฉลุยทุกครั้ง และเหมาตำแหน่งนี้คนเดียวอยู่ 30 ปี เพิ่งมาบอกลาว่า จะไม่เป็นแล้วนะ เมื่อปีกลายนี้เอง

คุณเจ เป็นสมาชิก CFR ตั้งแต่ปี ค.ศ.1978 ....ไม่เป็นได้ยังไง ท่านร้อกกี้ the great ได้ตบกระโหลกประธาน CFR แหลกย้อนหลังหมด คุณเจ นี่แกจบจากฮาร์วาดทางด้านภาษาตะวันออกไกล (ญี่ปุ่น จีน) แต่เขาว่าแกเป็นผู้ชำนาญด้าน cyber security อย่างหาตัวเทียบยาก.... ไม่รู้เป็นป้ายลวงหรือเปล่า ฮา
หลังจากเลิกเล่นบทวุฒิสมาชิก ข่าวว่า คุณเจ จะมานั่งประจำทำงานที่ สนง. CFR ปี 2015 หรือ 2016 นี่แหละ... หรือมาแล้วก็ไม่รู้ ทางCFR เขาไม่ได้แจ้งผม

ตกลงไอ้โม่งแผลมหัวออกมาแล้วหรือ ..... อย่างน้อยเราพอได้เค้าแล้ว ว่า Chertoff ไม่ได้แสดงเดี่ยว นอกจากจับมือกับ Carlyle Group แล้ว เขาอาจจะมักคุ้น กับคนระดับครอบครัวของพวกร้อกกี้ the great อีกด้วย แต่จะคุ้นกันในฐานะ ที่มีความสนใจในเรื่องโลกไซเบอร์ด้วยกัน เฉพาะกับคุณเจ หรือจะยาวไปไกล เป็นวงใหญ่ ... เป็นเรื่องเราคงต้องติดตาม...

ภัยไซเบอร์ เป็นเรื่องที่พวกเขาห่วงกันจริง หรือพวกเขากำลังตีปี๊บ ทำการตลาดให้ บริษัท Chertoff หรือมันเป็นป้ายลวงเราอีกที....

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google






นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 7

เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ.2012 มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ออกหนังสือแจ้งสื่อว่า สิ้นปี ค.ศ.2013 นี้ มูลนิธิจะมีอายุครบ 100 ปีแล้วนะ เพราะท่านปู่ร้อกกี้ ของท่านวุฒิ Jay ตั้งมูลนิธิเมื่อปี ค.ศ.1913 .....มูลนิธิได้มีส่วนร่วมในการพัฒนา ..แก้ไขปัญหาโลก บลา บลา........เขียนเสียสวยหรูยาวเหยียด ขี้เกียจอ่านครับ เอาตรงที่เรากำลังขุดคุ้ยดีกว่า

มูลนิธิบอกว่า ในการฉลองครบรอบหนึ่งศตวรรษของมูลนิธิ เราจะมีการพูดคุยกันในหัวข้อ "Embracing Change , Building Social, Economic and Environment Resilience" การเตรียมรับความเปลี่ยนแปลง โดยการสร้างสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมที่ถาวร โดยจะมีผู้ทรงคุณวุฒิ มีความคิดก้าวหน้า มาพูดคุยกันในหัวข้อดังกล่าว ประมาณ 12 คน ... มีรายชื่อมาด้วยนะ และ 1 ในรายชื่อ ก็คือ Michael Chertoff....
แบบนี้ Chertoff คงไม่ใช่คนแปลกหน้าในแวดวงของ พวกร้อกกี้ the great และคงไม่น่าจะสนิท อยู่แค่กับคุณหลานเจ ร้อกกี้ งานฉลองครบ 100 ปี ของมูลนิธิที่สำคัญระดับโลก เชิญคนพูดแค่ 12 คน มี Chertoff อยู่หนึ่งใน 12 นี่ถ้าเป็นการทำตลาดให้สินค้าตัวที่ชื่อ Chertoff สินค้านี้ คงมีการตั้งเป้าไว้สูง

ถัดมา วันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ.2014 สื่อชื่อ New America ลงข่าวว่า Michael Chertoff อดีตผู้อำนวยการ Homeland Security บอกว่า ไซเบอร์สเปซ และอินเตอร์เนต นั้น เป็นพื้นที่ของโลก ที่ชาวโลกใช้ร่วมกัน เหมือนท้องทะเล ผืนแผ่นฟ้า และอวกาศ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ควรมีกฏกติกาในการใช้ เพื่อรักษาเสรีภาพในการใช้ ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการป้องกันให้การใช้นั้น มีความมั่นคง และรักษาคุณภาพของข้อมูลกับทุกชาติ ดังนั้นมันควรอยู่ในความดูแลของสหประชาชาติ .... พูดฟังดูดี เหมือนเวลาใครหลอกจะเอาอะไรจากเรา

มีสื่อสงสัย ....ท่านหัวหน้า Homeland กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันคร้าบ .... ก็ตั้งแต่ Chertoff Group ซื้อกิจการ Coalfire นั่นกระมังคุณสื่อ

ก่อนหน้าที่ Chertoff จะออกมาพูด เมื่อต้นปี ค.ศ.2014 Chatham House ถังความคิด คู่แฝดซีกอังกฤษของ CFR ก็ออกข่าวมาแล้วว่า Carl Bildt รัฐมนตรี ตปท. ของสวีเดน ก็สนับสนุนความคิดของ Chertoff
สื่อแย้งอีก .....เอะ ....Carl Bildt เป็นกรรมการที่ปรึกษาของ CFR ไม่ใช่หรือครับ งั้นแฝด Chatham ก็เชียร์กันเองล่ะสิ และสื่อยังแฉอีก.... มันไม่ใช่แค่นั้นนะ ตัวนาย Chertoff เอง ก็เป็นสมาชิก Trilatteral Commission ซึ่งเป็นเครือของ CFR อีกด้วยนะ รู้กันหรือเปล่าคร้าบ.... ผมเพิ่งถึงบางอ้อ ..... ตกลงนี่เขาเล่นกันเป็นวงเลยหรือไง

แล้วหัวหน้าวงเป็นใครล่ะ.... คงจำกันได้นะครับ เขียนเล่ามาหลายรอบ ในนิทานหลายเรื่อง เขาว่าหัวหน้าใหญ่ของ CFR น่าจะเป็นท่านร้อกกี้ the great เพราะท่านส่งเด็กของท่าน ไปเป็นใหญ่ หรือคุมรัฐบาลทุกสมัย ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ จนถึงรัฐบาลบุชคนพ่อ ส่วน Trilaterral Commission ก็ตั้งขึ้นมาจากความคิดของท่าน

ร้อกกี้ the great มีคนใหญ่คนโตบ้านเราเข้าเป็นสมาชิกของเขาด้วย ตอนหลังๆ ข่าว
ท่านร้อกกี้ ก็เหมือนเงียบๆไป เขาว่าไปผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจถึงดวงที่ 6 แล้ว ผมก็หลงนึกว่าท่านใกล้จะหมดลมเบ่ง ที่ไหนได้ ยังมีแรงเล่น แค่เปลี่ยนเสื่อคลุม เป็นรุ่นใหม่ แต่ใส้ใน สงสัยจะไม่เปลี่ยนแปลง....

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
16 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google







นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 8

เมื่อเงาของท่านร้อกกี้ the great , CFR และ Trilateral Commision โผล่มาเกี่ยวกับ Chertoff อย่างนี้ ผมก็ต้องขอย้อนกลับไปดูกลุ่ม Carlyle ให้ลึกซึ้งอีกที เพราะ Carlyle เข้าไปร่วมทุนกับ Shertoff ซื้อ Coalfire และ หลายบริษัท ที่ทำระบบไอที และอุปกรณ์ด้านไซเบอร์

แค่มีชื่ออดีตนายกรัฐมนตรีคนใหญ่โตของแดนสยาม ไปเกี่ยวกับทั้ง Carlyle และ Trilateral Commission อยู่นานหลายปี ก็ทำให้ผมข้องใจไอ้ก๊วนนี้เต็มทีแล้ว คราวนี้ขอรู้ให้ชัดไปเลยว่า ที่ท่านอดีตนายกฯ ผู้ใหญ่ของบ้านเราเข้าไปเกี่ยวกับเขาน่ะ ไปเกี่ยวทำไม และมันดีกับบ้านเราไหม ถ้ามันดีผมจะได้ขอขมาท่าน ถ้าไม่ดี ท่านก็รับสภาพของท่านไปก็แล้วกัน

ข้อมูลเกี่ยวกับ Carlyle Group จากวิกิพีเดียบอกว่า Carlyle เป็นกองทุนส่วนบุคคล ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1987 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่วอชิงตัน โดยมีผู้ร่วมลงทุนด้วยกัน 5 ราย

รายที่ 1 William E Conway Jr. เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชิคาโก. ..แปลกไหม .....ยังไม่แปลกก็ได้ ใครๆ ก็เข้าเรียนได้นี่นะ

ก่อนหน้าที่จะมาร่วมก่อตั้ง Carlyle เขาทำงานอยู่ที่ First National Bank of Chicago อยู่หลายปี โดยเริ่มทำงานตั้งแต่เป็นเจ้าหน้าที่ฝึกงาน ในฐานะนักเรียนทุนของมหาวิทยาลัยชิคาโก....อืม.... จนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานในปี 1974 นับเป็นรองประธานที่อายุน้อยที่สุด ของ First Chicago แปลว่า เขาต้องทำรายได้มาก จน 13 ปีต่อมา มีเงินไปร่วมตั้ง Carlyle เป็นกองทุนส่วนบุคคล ที่ตอนแรกไม่ได้อาศัยเงินทุนจากชาวบ้านเลย

First Chicago นี่เป็นแบงค์ ของครอบครัวร้อกกี้ the great นะครับ ร่วมตั้งกับพวกเศรษฐีด้วยกัน ขายกันไปมากับ J P Morgan ... แปลกใจไหม ... ยังอีกเหรอครับ งั้นเราขุดคุ้ยกันต่อ

รายที่ 2 Stephen L Norris ซึ่งทำงานกับ นายบุชตัวพ่อมานาน และทำธุรกิจหลายอย่าง รวมทั้งเป็นประธานกองทุน Gulf Capital Partners ซึ่งเป็นการลงทุนของพวกจิ้งหรีดแถวอ่าว Norris ยังเป็นรองประธาน Marriott Corporation ที่พวกสังคมข่าวกรอง ก็พวกสายลับนั่นแหล่ะ ชอบไปนั่งสืบข่าวแลกข่าวกัน แถวบ้านเราก็มี ทำเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ถ้าต้องกรองข่าวยาว เช่านานเป็นเดือน ก็มีลดราคาให้ ใครอยากดูหน้าตาสายลับรุ่นใหม่ ก็ลองแวะไปนั่งซดคาปูชิโนที่ล๊อบบี้โรงแรมได้ครับ รับรองดูไม่ออก..... นึกว่าเป็นนักธุรกิจเงินร้อยล้านพันล้านกำลังนั่งคุยเรื่องธุรกิจ หรือ คอยดักหลอกแดกสาวไทย เพราะแต่ละคนใส่สูทหล่อ ทำหน้าเรี่ยมทั้งนั้น ไม่เหมือนพวกสายลับหน้าเครียดใส่เสื้อหนัง ที่เราดูในจอหรอกครับ

รายที่ 3 David M Rubinstien เป็นชาวยิว (อีกแล้ว) จบจากมหาวิทยาลัยชิคาโก (อีกแล้ว) ทางด้านกฏหมาย ต่อมาก็มีใครไม่รู้ ส่งเขาไปทำงานเป็นผู้ติดตาม แบบประกบติดกับประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ที่เขาว่า เป็นหุ่นกระบอกของ ท่านร้อกกี้ the great หลังจากนั้นก็ออกมาทำงานด้านกฏหมายต่อ ได้เป็นกรรมการมหาวิทยาลัยชิคาโก เป็นสมาชิก CFR และปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการของ CFR เป็นเบอร์ 3 ของ CFR ใหญ่เบ่อเริ่มเทิ่ม
..... อ่านมาถึงรายที่ 3 มีใครสดุดใจอะไรมั่งไหมครับ

รายที่ 4 Daniel A D'Aniello จบจาก Harvard Business School แล้วไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่การเงิน ให้กับ Pepsico, TWA, และ Marriott Corporation เป็นทรัสตีของถังความคิด American Enterprise Institute (AEI) ที่ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1938 ซึ่งทำทีเหมือนเป็นถังเอกชน แต่มีคนรัฐบาลที่ลงจากตำแหน่งแล้ว ก็มานั่งเป็นกรรมการ เป็นที่ปรึกษาในถังเต็มไปหมด ขณะเดียวเจ้าหน้าที่ของถัง ก็ไปรับตำแหน่งในรัฐบาล โดยเฉพาะ รัฐบาลคุณพ่อบุช เต็มไปหมดเช่นเดียวกัน

รายที่ 5 Creg Rosenbaum เป็นชาวยิว (อีกแล้ว) จบกฏหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด (อีกแล้ว) เป็นนักโต้วาทีของมหาวิทยาลัย รายนี้ไม่รู้หยิบใบประวัติมาผิดหรือเปล่า เพราะอยู่กับ Carlyle ได้เพียงปีเดียว ก็ลาออก หรือให้ออกไปไม่ทราบได้ ก่อนหน้าที่ Rosenbaum จะมาเป็นผู้ลงทุน เขาทำงานกับ Westinghouse ซึ่งเป็นธุรกิจในกลุ่มของร้อกกี้ the great

อ่านประวัติทั้ง 5 คนแล้ว ผมทำใจเชื่อยาก ว่าพวกเขาเป็นเจ้าของตัวจริงของ Carlyle ที่ปัจจุบันเป็นกองทุนใหญ่ที่สุดในโลก และก็น่าแปลกใจ ตอนที่ผมค้นเอกสาร ชื่อของหมายเลข 1 อ่านเจอข้อมูลน่าสนใจหลายชิ้น พอจะส่งเมล์ให้ตัวเองเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน กลับส่งต่อเข้าเครื่องตัวเองไม่ได้ ทำอยู่หลายครั้งหลายวัน ก็ไม่สำเร็จ ท่าทางจะหวงตัวน่าดู

ในข้อมูลของวิกิพีเดีย บอกว่า ผู้ร่วมทุนหมายเลข 5 ถอนตัวไปหลังร่วมทุนได้ปีเดียว ส่วนหมายเลข 2 ถอนตัวไปประมาณปี คศ 1995 ที่เหลือ 3 คน เป็นเจ้าของทุนใหญ่ใน Carlyle รวมกันกว่า 50% แปลว่า 3 หน่อนี่ ต้องกระเป๋าหนักมากนะ และปัจจุบัน หมายเลข 3 เป็นคนออกหน้า ถือบังเหียน Carlyle Group.....

ผ่านมา 3 ทศวรรษ กองทุน ของ Carlyle มีมูลค่าเพิ่มเป็นประมาณเกือบ 2 แสนล้านเหรียญ หรือเกือบ 6 ล้านล้านบาท เป็นทรัพย์สินส่วนของ Carlyleเอง และทรัพย์สินส่วนที่กองทุนบริหาร โดยมีพนักงานมืออาชีพทำงาน มากกว่า 1,600 คนใน 35 สำนักงานที่อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป ตะวันออกกลาง อาฟริกา เอเซีย และออสเตรเลีย รวมๆแล้ว บริษัทที่อยู่ในความดูแลของ Carlyle มีพนักงาน 675,000 คน กระจายอยู่ทั่วโลก มีหุ้นส่วน มากกว่า 1,650 คน ใน 78 ประเทศ

......นี่มันยิ่งใหญ่เทียบกับวอชิงตันได้ไหมเนี่ยะ หรือใหญ่กว่า !?

จากการจัดอันดับที่เรียกว่า PEI 300 (Private Equity International) ในปี ค.ศ.2015 ซึ่งพิจารณาจากเงินทุนที่หาได้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา Carlyle ได้เป็นอันดับที่ 1 ที่มีขนาดกองทุนประเภทส่วนบุคคลใหญ่ที่สุดในโลก

และธุรกิจที่ Carlyle ลงทุนเต็มจำนวน หรือเป็นเจ้าของ ในบริษัทใหญ่ๆ มี Booz Allen Hamilton, Dex Media, Dunkin' Brands, Freescale Semiconductor, Getty Images, United Defense และอีกหลายบริษัทครับ

เก่งไหมครับ 3 ผู้ก่อตั้ง สร้าง Carlyle จนเป็นยักษ์ใหญ่ขนาดนี้

แต่ที่ผมสนใจอย่างมากคือ Carlyle เป็นเจ้าของ United Defense , Freescale Semiconductor และ Booz Allen Hamilton เป็น Booz Allen Hamilton ที่รู้ไส้ของรัฐบาลอเมริกันเกือบทุกขด และในขณะที่ Booz Allen Hamilton ดูเหมือนเป็นคู่แข่งสำคัญของ Chertoff Group แต่ Chertoff Group ก็เป็นพันธมิตรกับ Carlyle ด้วย
.....เขาเล่นกันหลายชั้นจริงๆ.....

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
17 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google






นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 9

Carlyle เป็นข่าวฉาว เมื่อสื่อเอาเรื่องที่คุณพ่อบุชไปเป็นที่ปรึกษาให้ Carlyle ในช่วงที่คุณลูกบุชเป็นประธานาธิบดี และ Carlyle ก็มาทำธุรกิจกับรัฐบาลอเมริกันจนเฟื่องฟู

สื่อ Le Monde ของฝรั่งเศส ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ.2004 เขียนถึง Carlyle Group ได้น่าสนุกมาก
เขาบอกว่า วันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.2003 มีเครื่องบินรบลำหนึ่ง บินมาจอดลงบนดาดฟ้าของเรือบรรทุกเครื่องบินอเมริกันชื่อ USS Abraham Lincoln ที่จอดอยู่แถวชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย ที่มีป้ายผ้าเขียนว่า " 
Mission Accomplished" ปฏิบัติการสำเร็จ ....แล้วคาวบอยบุช ในชุดขับเครื่องบินรบ ก็ทำท่ากระฉับกระเฉง ก้าวลงมาจากเครื่องบิน และประกาศว่า ปฏิบัติการในอิรัค เสร็จสิ้นแล้ว และเรามีชัยชนะ.... แต่ดูเหมือนคาวบอยจะประกาศเร็วไปหน่อยนะ....ชัยชนะของอเมริกาในอิรัค ยังไม่เกิดอีกนาน ....

......วันรุ่งขึ้น คาวบอยบุช ก็ไปอีกงาน อยู่ไม่ไกลจากซานดิเอโก เพื่อไปเยี่ยมโรงงานผลิตอาวุธ ของบริษัท United Defense Industries ที่ Carlyle Group เป็นเจ้าของ.....

United Defense เป็นผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่เจ้าประจำ ที่ส่งให้กับเพนตากอนในช่วงที่คาวบอยบุชเป็นประธานาธิบดี อาวุธที่ผลิต มีตั้งแต่ จรวด รถถัง จนถึงรถหุ้มเกราะกันกระสุนทุกชนิด หุ้นของ United Defense ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ใด เพราะผู้ถือหุ้นมีรายเดียวคือ Carlyle Group ส่วนจะมีใครลงทุนผ่าน Carlye ก็คงดูยาก แต่ในทางกลับกัน บริษัท ที่ Carlyle เป็นเจ้าของ หรือบริหารทุน มักจะเป็นบริษัท ที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่กับรัฐบาล ถ้าไม่เป็นเองโดยตรง ก็มีลูกค้ารายใหญ่เป็น โดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวกับ อาวุธ ไบโอเทค อวกาศ ไอที และการสื่อสาร.....

.....ขณะที่ลูกบุชในฐานะประธานาธิบดี เห็นชอบกับการที่เพนตากอน กลาโหมสั่งอาวุธจาก United Defense ....คุณพ่อบุช ก็ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้ Carlyle Group และเป็นมานานประมาณ 10 ปี มาแล้ว

....นับเป็นครั้งแรก ที่อดีตประธานาธิบดีของอเมริกา ไปทำงานให้กับบริษัทผู้ผลิตอาวุธส่งให้กับเพนตากอน เรื่องนี้ลูกบุชในฐานะประธานาธิบดีก็รู้ดี เพราะตอนพ่อบุชเป็นประธานาธิบดี ลูกบุช ก็ไปเป็นผู้บริหารให้กับ Caterair บริษัทในเท็กซัส ที่อยู่ในเครือของ Carlyle Group ที่รับจ้างจัดส่งอาหารให้กับสายการบินของอเมริกา ลูกบุชออกจาก Caterair ไม่นาน ก่อนที่จะไปเตรียมตัวคั่วตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเทกซัส หลังจากนั้น บริษัทก็เริ่มเจ๊ง

มันเน่าสนิทดีจริง แล้วใครอย่ามาเสือกพูดเรื่อง good governance ธรรมาภิบาลต้องมีในแดนสยามให้ผมฟังนะ ผมจะด่าให้จริงๆ

Le Monde เล่าต่อ ......ผู้ยิ่งใหญ่ ที่มีอำนาจมีอิทธิพล ที่กำลังทำงาน หรือเคยทำงานให้กับ Carlyle Group มีมากมาย รวมทั้งผู้ที่มาร่วมลงทุนใน Carlyle ด้วย มันทำให้ทฤษฏีสมคบคิด ไม่ต้องการข้อพิสูจน์มากนัก ตัวอย่างเช่น อดีตนายกรัฐมนตรี John Major ของอังกฤษ, อดีตประธานาธิบดี Fidel Ramos ของฟิลิปปีนส์, Park Tae Joon อดีตนายกรัฐมนตรีของเกาหลีใต้, เจ้าชาย Al-Walid แห่งซาอุดิอารเบีย, Colin Powell รมต ตปท อเมริกา, James Baker lll รวมไปถึง ผู้ยิ่งใหญ่ในยุโรป เช่น Karl Otto Poehl อดีตประธานธนาคารชาติของเยอรมัน, Etienne Davignon อดีตประธาน Belgian General Holding Company
นอกจากนี้ สื่อ The Guardian ของอังกฤษ ลงวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ.2001

ก็เขียนเรื่อง "The ex-presidents' club" ซึ่งได้บรรยายเรื่องของ Carlyle ไม่ต่างกันมากกับ Le Monde แต่เรื่องผู้ยิ่งใหญ่ ที่เคยทำงานให้ Carlyle นั้น เขามีชื่อ .... former Thai premier Anand Panyarachun ด้วยครับ....

(หมายเหตุ: เกี่ยวกับเรื่องอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ไปเกี่ยวกับ Carlyle Group นั้น วันนี้ผมมีของแถมให้ เป็นเอกสาร ยาว 7 หน้า ถ้าขี้เกียจอ่านหมด อ่านแค่หน้า 5 ก็พอครับ ... เข้าไปดูได้ตามลิงค์นี้ http://www.bibliotecapleyades.net/so…/sociopol_carlyle17.htm)

The Guardian เล่าว่า .....เรื่อง Carlyle Group มันเงียบสนิท ไม่มีหลุดมาถึงพวกเราชาวบ้าน จนมีพนักงานชาวเกาหลีของ Carlyle ประจำที่กรุงโซล ชื่อ Peter Chung ดันทะลึ่งส่งอีเมล์ไปโม้ให้เพื่อนฟัง ว่า เขามีแผน... " ที่จะฟันสาวสวยในเกาหลีทุกคนไปอีก 2 ปี" เพื่อนคงอิจฉา เลยส่งอีเมล์ของไอ้ปากมอมต่อไปอีกเป็นพันๆ หลังจากนั้นไอ้ปากมอม ก็เลยถูกปลดจากงาน ที่ได้เงินเดือน ปีละ 1 แสนปอนด์ สมัยนั้น ก็ประมาณ 7 ล้านบาท มิน่า มันเลยฝันจะฟันสาวสวยทุกคน

เรื่องค่าตัวนี่ the Guardian บอกว่า John Major อดีตนายกฯ ของอังกฤษ ได้ค่าจ้างเดินสาย 28 วัน 105,000 ปอนด์ (คิดเป็นเงินไทยสมัยนั้น ก็ประมาณ 7 ล้านบาท) ส่วนคุณพ่อบุช ได้ค่าจ้างโชว์ตัว ไม่ต้องพูดมาก แค่โบกมือนิดหน่อย อย่างน้อย ครั้งละ 80,000 เหรียญ ถึง 100,000 เหรียญ ... ไม่รู้อดีตนายกฯไทย จะได้เท่าไหร่นะครับ ข่าวไม่ได้บอก

ส่วน Le Monde รายงานต่อ ว่า .....Carlyle ไม่ได้สะสมแค่ผู้มีอำนาจ....

Carlyle ยังสะสมบริษัทที่จะสามารถสร้างความรวยให้กับตัว ด้วยการถือหุ้นจนเป็นเจ้าของบริษัทกว่า 200 กว่าบริษัท (ตัวเลข เมื่อ Le monde เขียนในปี คศ 2004) และ ด้วยการทำธุรกิจในลักษณะนี้ Carlyle จึงสามารถจ่ายผลตอบแทนการลงทุน ให้กับผู้ที่มาลงทุนร่วมด้วย ในอัตราสูงถึง กว่า 30% ต่อปี มาเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้ว

อันที่จริง Carlyle มารับทรัพย์หนักๆ ก็หลังจากก่อตั้งมาแล้ว 2 ปี เมื่อ ได้ตัว Frank Carlucci อดีตรัฐมนตรีกลาโหมของอเมริกา ที่หมดวาระจากตำแหน่งได้แค่ 6 วัน ก็มานั่งแท่น เป็นหัวหน้าใหญ่ที่ Carlyle Group....

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
18 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google






นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 10

Frank Carlucci นี่ ดังมาก เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย Princeton และ Harvard เป็นลูกหม้ออยู่ภาครัฐบาลในตำแหน่งใหญ่ๆมาตลอด ทำงานมาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีนิกสัน จนขึ้นมาเป็นรองผู้อำนวยการซีไอเอในสมัยรัฐบาล จิมม่ี คาร์เตอร์ และเป็นรัฐมนตรีกลาโหมสมัยรัฐบาลเรแกน ว่าซะ 3 รัฐบาลเลย เรียกว่า พี่แฟรงค์ตีนเหนียวไม่แพ้ตุ๊กแก

ประวัติ Carlucci โชกโชน เหมือนพระเอกหนังฮอลลีวู้ด หรือผู้ร้ายไม่แน่ใจ

เขาเป็นทหารก่อนจะมาคลุกคลีกับการเมือง โดยเริ่มเข้าไปอยู่กระทรวงต่างประเทศ และไปประจำอยู่คองโก ในตำแหน่งเลขาสถานทูตหมายเลข 2 ซึ่งเป็นตำแหน่งหน้าฉาก หลังฉากของจริงเป็นเจ้าที่ซีไอเอ เมื่อลูมุมบ้า นายกรัฐมนตรีคองโกถูกฆ่าตาย ข่าวลือว่าเป็นฝีมือของซีไอเอ และ Carlucci เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าร่วมลงมือปฏิบัติการนี้

เมื่อมีคนทำหนังเรื่อง Lumumba ที่กำกับโดย Raoul Peck ไปออกฉาย และมีการเอ่ยถึงชื่อเขาในหนัง Carlucci ยื่นฟ้องให้ศาลสั่งให้ลบชื่อเขาออกในการฉายหนังเรื่องนี้ในอเมริกา Carlucci ชนะในการฟ้อง
ต่อมาเมื่อ HBO เอาหนังเรื่องนี้ออกฉาย ทุกครั้งที่มีการเอ่ยชื่อ Carlucci จะมีเสียง บี๊บๆ... แทน

ภายหลัง มีรายงานการประชุม ของสภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา National Security Council (NSC) ปี ค.ศ.1960 ซึ่งรัฐต้องนำมาเปิดเผย ให้เป็นเอกสารสาธารณะ หลังจากพ้นกำหนดต้องห้ามตามกฏหมายแล้ว รายงานนั้น ยืนยันว่า ประธานาธิบดีไอเซนฮาวเออร์ เป็นผู้สั่งให้ ซีไอเอเก็บลูมุมบ้า โดยเจ้าหน้าที่ ที่บันทึกการประชุม Robert H Johnson ได้ให้การยืนยันต่อคณะกรรมาธิการของรัฐสภา ด้านข่าวกรอง ในปี ค.ศ.1975

คุณบี๊บเป็นเพื่อนรักกับ ไอ้เหยี่ยวกระหายเลือดอีกตัว Donald Rumsfeld และเป็นไอ้เหยี่ยว ที่อยู่ในก๊วนของคุณพ่อบุช ที่ชักชวนให้ Carlucci มาคลุกในการเมืองด้วยกัน เขาเป็นหนึ่งในคณะดูแลโครงการครองโลกของอเมริกา Project of the New American Century (PNAC) และเขาเป็นทรัสตีของ Rand Corporation ถังความคิดของรัฐบาลอเมริกา ด้านความมั่นคงและการทหาร และเป็นคนตั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่วางนโยบายของตะวันออกกลาง ให้กับ Rand ด้วย นับว่าคุณบิ๊บเขาโชกโชน สมจะเอามาใช้จริงๆ

ในช่วงที่ Carlucci มาดูแลธุรกิจของ Carlyle Group เขาซื้อ 3 บริษัท ที่มีความชำนาญทางด้านนิวเคลียร์ เคมี และการสร้างพิษด้วยชีวภาพ (บริษัท Magnetek, IT Group และ EG & G Technical Services) หลังจากนั้น ก็ซื้อ BDM International ซึ่งเป็นบริษัทที่เกี่ยวโยงกับซีไอเอ ตามมาด้วยการซื้อ Vinnell ซึ่งเป็นบริษัทแรกๆ ที่รับจัดหาอาวุธ และทหารรับจ้าง หรือที่เรียกกันว่า private contractor ต้นแบบของบริษัท น้ำดำ Blackwater ที่โด่งดัง

Vinnell ตั้งขึ้น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1931 นั่นมันก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เชียวนะครับโดยเริ่มรับงานเป็นบริษัทก่อสร้าง โดยเฉพาะสร้างถนนฟรีเวย์ ต่อมาก็ขยายงานเป็นสร้างสนามบิน เลยทำให้คุ้นเคยกับกองทัพ หลังจากนั้นก็รับงานทุกอย่างจากกองทัพ เริ่มจากรับงานส่งเสบียง ให้แก่กองทัพของเจียงไคเช็ค เพื่อไปสู้รบกับฝ่ายจีนคอมมิวนิสต์ แล้วก็เลยรับไปถึงงานสร้างสนามบินให้กองทัพอเมริกัน ในปากีสถาน โอกินาวา ไต้หวัน รวมทั้งแดนสยามของเรา และเวียตนามใต้ ในช่วง ค.ศ.1950 ถึง ค.ศ.1960 กว่าๆ

ช่วงนี้เอง ที่ Vinnell สนิทกับซีไอเอ จนแทบจะกลายเป็นหน่วยงานหนึ่งของซีไอเอ หรือเป็นจริงๆก็ไม่รู้ คราวนี้ Vinnell เลยสนุกใหญ่ ถึงขนาดไปรับช่วงปฏิบัติการแทนซีไอเอในอาฟริกา และตะวันออกกลาง Vinnell ทำตัวน่ารักอย่างนี้ ซีไอเอเลยจัดการให้งานก่อสร้าง คลังน้ำมันที่ลิเบีย และอิหร่านเป็นของแถม
การขยายงานด้านปฏิบัติการ หรือจะเรียกว่านักรบรับจ้างนั้น Vinnell เริ่มจากสงครามเวียตนาม โดยมีกำลังพลถึง 5,000 คนแล้วในช่วงนั้น ปี ค.ศ. 1975 เอกสารของเพนตากอน เรียก Vinnell ว่า "Our own little mercenary army in Vietnam"

การรับงานทหารรับจ้างน่าจะไปได้สวย รัฐบาลอเมริกันจึงจัดการให้ Vinnell ทำสัญญากับซาอุดิอารเบีย ตั้งเป็นบริษัท Vinnell Arabia รับจ้างฝึกอบรมให้กับกองกำลังรักษาพระองค์ของกษัตริย์ Fahd แห่งซาอุดิอารเบีย รวมทั้งทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้กษัตริย์ จากประชาชนของตัวเอง ที่ออกมาประท้วงไม่พอใจกษัตริย์ รวมทั้งไปร่วมรบในช่วงสงครามอ่าวด้วย ช่วงนั้น นักรบของ Vinnell รบเคียงบ่าเคียงไหล่ เหมือนกับเป็นกองทัพของซาอุดิอารเบียเลยทีเดียว เขาว่ากองกำลังรักษาพระองค์กษัตริย์ซาอุ ที่ Vinnell ฝึกและดูแลนั้น ฝีมือเยี่ยมมาก และมีมากกว่า 7 หมื่นคน

เมื่อบาห์เรนเกิดคลื่นใต้น้ำตามอาหรับสปริง ในปี ค.ศ.2011 กษัตริย์ซาอุ ก็แบ่งกองกำลังที่ Vinnell ฝึกไว้ ส่งไปดูแลกษัตริย์บาห์เรน ที่ถือว่าเป็นกระเป๋งซี้ของเจ้าพ่อซาอุ ด้วย

ทุกวันนี้ Vinnell ก็ยังทำงานให้ซาอุดิอารเบียเหมือนเดิม อย่างเงียบเชียบไม่รู้ว่า เมื่อต้นปี ที่มีข่าวว่าเจ้าพ่อจิ้งหรีด เตรียมพร้อมที่จะส่งทหารเข้าไปในซีเรีย นั้น และมีข่าวออกมาว่า กองทัพซาอุแท้ที่ไหรกัน ก็ทหารรับจ้างทั้งนั้น ก็เป็นไปได้ว่า กองทัพที่จะไปบุกใครในตะวันออกกลาง อาจจะเป็น Vinnell และเพื่อนก็ได้

ลูกค้าของ Vinnell ไม่ได้มีแค่ซาอุดิอารเบีย ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุด แต่มีผู้ใช้บริการตั้งแต่เม็กซิโก มาถึงตะวันออกกลาง และเลยมาถึงมาเลเซีย รายหลังนี่ น่าข้องใจ ...

ตกลงการไปร่วมโปรโมทธุรกิจของ Carlyle Group นี่ มันดี หรือมีประโยชน์กับบ้านเรา และเป็นเรื่องน่าชื่นชมไหมครับ.....

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
19 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google






นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 11

Carlucci คัดท้าย Carlyle อยู่เกือบ 14 ปี เป็นช่วงที่ บุชพ่อลูก ตั้งหน้าตั้งตาสร้างแต่สงครามอย่างหิวกระหาย Carlyle เลือกเอาอดีต รมต.กลาโหม บวกซีไอเอ มาดูแลธุรกิจก็เหมาะสมดี ต่อมา เมื่อธุรกิจสงคราม ถูกชาวบ้านทั้งในและนอกอเมริกาด่าเช็ด Carlyle ก็แสดงท่าทีว่าจะเปลี่ยนแนวการทำธุรกิจด้วย โดยเลื่อน Carlucci ขึ้นไปเป็นตำแหน่ง ประเภทประธานกรรมการเกียรติคุณ อะไรทำนองนั้น และก็ไปเอา Louis V Gerstner Jr อดีตประธานกรรมการ IBM มาเป็นหัวหน้าคนทำงานแทน ในปี ค.ศ.2003

ดูเหมือน Carlyle Group จะหันมาสนใจงานด้านไอที โลกไซเบอร์ ไม่รู้เป็นเรื่องจริง หรือป้ายลวง....
Gerstner จบวิศวฯ จาก Dartmouth และ Harvard Business School อีกเหมือนกัน เป็นสมาชิก CFR และเป็นสมาชิก Bilderberg Group ที่เป็นเครือข่ายกับ CFR ด้วย เรียกว่า ประทับ 2 ตราเลย นอกจากนี่เขายังเป็นกรรมการอยู่ใน American Express, AT& T, Nabisco Holdings, Daimler Chrysler เหมากันทั้งเครือ
Gerstner ให้สัมภาษณ์กับ Washington Post ก่อนเริ่มงานกับ Carlyle ว่า

David Rubenstien (หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Carlyle ) โทรมาชวนเขา ถามว่าสนใจจะมาร่วมงานกันที่ Carlyle ไหม

Gerstner บอกว่า เขาไม่รู้จัก Carlyle Group เลย เขารู้จักแต่ โรงแรมชื่อ Carlyle ที่นิวยอร์ค แต่เขาก็ไปพบกับพวก Carlyle ตามนัด

เมื่อเจอกัน Gerstner ก็ถามคำถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ภาระหนี้สิน ของบริษัท ฯลฯ..... มันเป็นคำถามที่ ว่าที่ ซีอีโอทุกคนต้องอยากรู้ก่อนจะไปทำงานด้วยน่ะ เป็นกองทุนส่วนบุคคลใ่ช่มั้ย ก็ต้องทำความรู้จักหน่อยสิ.... Gerstner เล่า

Gerstner บอกว่า เขาคงไม่ลืมไปตลอดชีวิต เพราะ Bill Conway (หมายเลขหนึ่งของผู้ก่อตั้ง Carlyle) บอกว่า ... นี่ ลู..เราไม่ได้กำลังมองหา "บอส" นะ...

Gerstner กลับบ้านไปนอนคิด เขากำลังถูกทามทามให้เป็น " ที่ปรึกษา" นะ ไม่ใช่ "นาย" เขาเคยเป็น "นาย" ที่ดูแลพนักงาน 350,000 คน ใน 170 ประเทศ นะ ส่วน Carlyle มีคนทำงาน แค่ 1,600 คน และ มี คน 3 คน เป็น (ตัวแทน!)เจ้าของ ...

แต่ในที่สุด Gerstner ก็ตกลงทำงานที่ Carlyle Group อยู่ถึง 5 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ.2003 ถึง ค.ศ.2008 โดยข่าวประชาสัมพันธ์ของ Carlyle บอกว่า Gerstner เป็นซีอีโอ แต่เจ้าตัวบอกว่า เขาก็เป็นแค่ที่ปรึกษา

และช่วงนั้น Carlyle ก็เหมือนจะเงียบไป ไม่รู้ว่าเพราะ Gerstner มือไม่ถึง หรือถูกมัดมือ ปิดปาก แต่ก็ทำให้เห็นว่า Carlyle Group นั้น ไม่ธรรมดา

...ไอบีเอ็ม กลายเป็นกระจอกไปเลย เมื่อเทียบกับเงาของ (เจ้าของ) อินทรีตัวจริง.....
แต่ Carlyle ไม่ได้เงียบไปจริงๆหรอก Carlyle ยังอยู่ดี และยังควบคุมความมั่นคงของอเมริกาอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบการควบคุม เป็นแนวอื่นที่ไม่โฉ่งฉ่าง ชาวบ้านจะได้ไม่รู้เรื่อง การที่ มี Booz Allen Hamilton บริษัทลูกของตัว เข้าไปทำหน้าที่ "ดูแล" ด้านวางระบบไอที เก็บข้อมูล จัดระบบป้องกัน ฯลฯ ของหน่วยงานความมั่นคงต่างๆของรัฐบาล ก็เหมือน Booz Allen Hamilton หรือ จริงๆ ก็คือ Carlyle ได้คุมความมั่นคงของอเมริกา อย่างเงียบๆอยู่แล้ว

สรุปว่า ความมั่นคงของอเมริกา อยู่ในมือ Carlyle ก็คงไม่ไกลความจริงมากนัก
คนที่น่าจะรู้ดีว่า ในที่สุด ความมั่นคงของอเมริกา จะไปอยู่ในมือของ Carlyle คือ ประธานาธิบดีบุชคนลูก หรือ คนที่สั่งให้บุชไปดำเนินการ....

ปี คศ 2007 ท่านนายพลเรือ John Michael McConnell (Mike) ยังทำงานอยู่ที่ Booz Allen Hamilton
ก่อนหน้าที่จะไปทำงานที่ Booz Allen ท่านนายพลทำงานในหน่วยงานของรัฐมาแล้วเกือบ 30 ปี อยู่แต่ในสายงานข่าวกรองกับความมั่นคงทั้งนั้น ตั้งแต่เป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง ของกองทัพเรือ จนขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการสภาความมั่นคงแห่งชาติ National Security Agency (NSA) ในช่วงปี ค.ศ.1992 ถึง ค.ศ.1996 หลังจากนั้น ก็มาเป็นที่ปรึกษาด้านงานข่าวกรองให้แก่ Colin Powell เมื่อ Powell เป็นหัวหน้าคณะทำงานของบุช และรวมทั้งยังทำงานให้เหยี่ยวกระหายเลือดตัวจริง Dick Cheney เมื่อเป็นรัฐมนตรีกลาโหมด้วย ยังไม่หมดครับ นายพลไมค์ ยังเป็นหัวหน้าคณะทำงานให้ซีไอเออีกด้วย

หลังเหตุการณ์ 911 หน่วยงานด้านข่าวกรองของอเมริกา ถูกตำหนิ ว่า ล้มเหลวในงานด้านการข่าว จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ 911 และหน่วยงานที่ถูกด่ามากที่สุด คือ สนงซีไอเอ สุดโปรดของผม เพราะช่วงนั้น ตามกฏหมาย ผอ ซีไอเอ คือ หัวหน้างานข่าวกรองทั้งหมดของอเมริกา ปล่อยให้เขาเอาเครื่องบินลำเบ้อเริ่มบินชน จนตึกถล่มโดยไม่รู้ตัวได้ยังไง
ขายหน้าฉิบหาย น่าจะเอาหัวใส่ปี๊บให้หมด

หลังจากเกิดเหตุ ปี คศ 2002 วุฒิสมาชิก 3 คน ของอเมริกา นำโดย คุณเจ ร้อกกี้ (ไม่น่าแปลกใจนะครับ) จึงเสนอ ให้มีการปรับปรุงงานข่าวกรองของอเมริกาเสียใหม่ และเสนอให้มีการตั้งตำแหน่งใหม่ คือ ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ Director of National Intelligence (DNI ) เพื่อคุมงานข่าวกรองของอเมริกาทั้งหมด แทน ผอ ซีไอเอ และที่ร้ายกาจ ผอ ซีไอเอ กลับต้องรายงานการปฏิบัติการ ทั้งลับ ทั้งสว่าง กับท่าน ดีเอ็นไอ ด้วย

คาวบอยบุชไม่ขัดใจ จัดการออกเป็นกฏหมายใหม่ ในปี คศ 2004 ซีไอเอ หน้าแหกปิดเงียบ เล็กไปจม แต่ยังรังแกเพจเล็กๆของลุงแก่ๆ ได้น่า

DNI คนแรก คือ John Negroponte อดีตทูตอเมริกาประจำอิรัค ซึ่งมีเสียงลือว่าเป็นเสือกระดาษ DNI ไม่มีอำนาจจริง

ปี คศ 2007 คาวบอยบุช จึงไปอุ้มนายพล Mike เขี้ยวลาก มาจาก Booz Allen Hamilton เพื่อมารับตำแหน่ง เป็น DNI คนใหม่..... เยี่ยมจริงๆ โปร่งใส มีธรรมาภิบาลมาก...

ท่านนายพลไมค์ มาปรับปรุงหน่วยงาน NI ใหม่ เพิ่มฝ่าย เพิ่มแผนก เพิ่มคน เพิ่มงาน เตรียมพร้อมสำหรับงานที่จะต้องทำต่อไป คือ ประสานงานกับ Booz Allen Hamilton ที่ตัวเองเคยคุมอยู่ เรียกว่า มาจัดบรรยากาศการทำงาน ให้ลูกน้องทำงานคล่องสบายใจ แม้จะเปลี่ยนสถานที่ทำงาน และเมื่อท่านนายพลหมดเทอมจาก NI เขาก็กลับมารับตำแหน่งรองประธานกรรมการของ Booz Allen ต่อ ...โปร่งใสดีนะครับ
ตกลงไม่รู้ Booz Allen เป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐ หรือหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐ เป็นหน่วยงานของ Booz Allen กันแน่.... แต่ที่แน่ๆ Booz Allen เป็นสมาชิกสำคัญของ CFR ประเภทบริษัท
มีสื่อตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหนู Snowden ที่เข้าไปทำงานใน Booz Allen นั้น เขาเลือกเข้าไปทำงานที่นั่น เพราะรู้ว่า Booz Allen ทำงานให้หน่วยงานความมั่นคงของรัฐ หรือ ... Booz Allen เป็นผู้เลือก Snowden เอาไปใช้เป็นเหยื่อ เพื่อให้รัสเซียกินเบ็ด

มันเป็นรายการวางป้ายลวงให้กับรัสเซีย..... หรือการออกข่าวแบบนี้....เป็นป้ายลวงให้เราๆ สงสัย..... แต่คุณพี่ปูติน เคจีบีเก๋า น่าจะรู้ดีว่า ใครกำลังเป็นเหยื่อใคร....

ในปี ค.ศ.2010 ช่วงที่ นายพลไมค์ ทำงานควบไปมาระหว่างด้านความมั่นคง กับ Booz Allen มีสื่อนินทาว่า ดูเหมือนท่านนายพล ออกจะหนุนเหลือเกินนะ ให้ ฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาล เอาจริงกับเรื่องการป้องกันระบบข้อมูลของฝ่ายรัฐบาล ที่ท่านนายพล อ้างว่าโดนมือดีเข้าไปฉกอยู่เรื่อย สื่อบอกว่า ท่านนายพลพูดทุกวันอย่างนี้ Booz Allen ก็งานล้นมือแย่สิ และคนที่อิ่มแบบเงียบๆ ก็คือ Carlyle เจ้าของ Booz Allen

ผ่านไป 2 ปี ก็เกิดกรณี Snowden ตกลงการพูดเรื่องภัยของการถูกเจาะระบบข้อมูล มันเป็นการตลาดของ Carlyle หรือ มันเป็นจุดโหว่ของอเมริกาด้านไซเบอร์ หรือมันเป็นแผนลวง เพื่อล้วงตับรัสเซีย...หรือมันเป็น ป้ายลวงกันหลายต่อ.....

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google






นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 12

หลังจากปี ค.ศ.2008 Carlyle ดูเหมือนจะเพลามือด้านทางธุรกิจเงินทุนลงไป เพราะธุรกิจด้าน capital fund เจ๊งไม่เป็นท่าจากวิกฤติ subprime ส่วนการค้าอาวุธยังดำเนินอยู่อย่างเงียบๆ แต่ที่เป็นข่าวออกสื่อบ่อยคือ การไล่ซื้อบริษัทที่ทำธุรกิจ ให้คำปรึกษาในการวางระบบไอที และบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์ไอทีในระดับละเอียดอ่อน เช่น L Discovery, PT Solusi Tunas Pratama TKB (STP) ในอินโดนีเซีย , Novetta, Varitas, Computer Sciences Corporation (CSC), Monument Capital Group Holding, Telvent Global Services (Madrid) ฯลฯ

ขณะที่มีข่าวว่า Carlyle เก็บธุรกิจไอทีทุกรูปแบบเข้าพอร์ทตัวเอง แต่วันที่ 2 มีนาคม ค.ศ.2015 
Bloomberg Business ก็ออกข่าวว่า NXP Semiconductors บริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ผลิตแผงวงจรคอมพิวเตอร์ จะซื้อ บริษัท Freescale Semiconductors ยักษ์ใหญ่อีกตัวหนึ่ง ในราคา 11.8 พันล้านเหรียญ

ทั้ง 2 บริษัท ต่างก็เป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจไอที ผลิตอุปกรณ์ระบบชนิดชั้นนำทั้งนั้น หากจะจับมือ ควบรวมกันในเชิงธุรกิจ คงไม่ใช่เป็นเรื่องน่าประหลาดอะไร แต่ผู้ขายดันเป็น Carlyle เจ้าของที่ฟูมฟัก Freescale มานานหลายปี

และที่ทำให้งง คือ ข่าวบอกว่า Freescale นั้น ถือหุ้นโดยกองทุนส่วนบุคคล 3 ราย คือ Carlyle Group, Blackstone Group และ TPG Group Holdings...ไม่ใช่ Carlyle เป็นเจ้าของ Freescale ทั้งหมดอย่างที่เคยให้ข่าว

บริษัท Freescale ที่เขาจะขายออกไปนั้น มันเป็นบริษัทธรรมดาที่ไหน เป็นบริษัทที่มีของดีซ่อนอยู่ แล้วจะขายของดีทิ้งไปทำไม แถมเรื่องของเขาก็กระฉ่อนโลกเชียว
โห .... แบบนี้ป้ายลวงถ้าจะเพียบ แล้วผมจะเล่าให้รู้เรื่องได้ไหมเนี่ยะ

ท่านผู้อ่านคงจำเรื่อง เครื่องบินของ Malaysian Airlines MH 370 ที่หายตัวไปกลางทางเมื่อประมาณวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ.2014 ได้นะครับ และมีข่าวว่า ที่เครื่องบินมันหายตัวไป อาจจะเป็นเพราะเครื่องบินเจ้ากรรมเครื่องนั้น มีผู้โดยสารที่เป็นพนักงานของ Freescale Semiconductors ประมาณ 20 คนนั่งมาด้วย เป็นชาวมาเลเซีย 12 คน และจีนจากแผ่นดินใหญ่อีก 8 คน กลุ่มนี้ทำงานให้ Freescale ที่ออสติน เท็กซัส และส่วนใหญ่เป็นวิศวกรออกแบบอุปกรณ์ไอที กับเป็นโปรแกรมเมอร์

มาทบทวนเกี่ยวกับ Freescale Semiconductors สักหน่อยว่า ทำไม บริษัทนี้ถึง "ร้อน" นัก เผื่อท่านผู้อ่านที่อาจจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว หรือไม่ได้ตามข่าวนี้

Freescale เป็นบริษัทรุ่นแรกๆ ที่ทำการผลิตอุปกรณ์ทางด้าน semiconductor โดยเริ่มแรก เป็นหน่วยงานหนึ่งของ Motorola ที่คิด วิทยุ ทรานซิสเตอร์รุ่นแรกสำหรับติดรถยนต์ จนถึงทำมือถือรุ่นแรก ในช่วงประมาณ ค.ศ.1973 ที่เราเรียกรุ่นกระดูกหมา ทั้งใหญ่ทั้งหนัก แต่สมัยนั้นใครมีกระดูกหมาใช้ ก็เดินยืดถือโชว์เหมือนกัน ทั้งๆที่หนักจะตาย

นอกจากนั้น Freescale ยังรับงานใหญ่จากกองทัพของอเมริกา เพื่อผลิตแผงวงจรคอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับเส้นทางเดินเรือ กล้องส่องของเรือดำน้ำ การหาเป้าหมายด้วยเครื่องมืออีเลคโทรนิค จรวดล๊อกเป้า และระบบของอาวุธต่างๆที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ควบคุม

Freescale ยังคิดอะไรใหม่ๆทางด้านชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์อีกแยะ และทำให้ผู้ออกแบบอาวุธทั้งหลาย ทั้งในฝั่งเดียวกัน เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ และคนละฝั่งอย่าง รัสเซีย จีน รวมทั้ง อิหร่าน ต่างพยายามปรับปรุงสมรรถนะอาวุธของตน และอยากจะได้ "ของ" อย่างที่ Freescale ผลิต เพื่อให้ตัวเองล้ำหน้าทางอาวุธ กันทั้งนั้น

ต้นปี ค.ศ.2014 Freescale ออกข่าวว่า สามารถผลิตชิ้นส่วนไมโครชิพจิ๋ว ขนาด 1.9 มม. x 2 มม. ได้แล้ว ที่ภายในแม้เล็กขนาดนั้น แต่มันมีทั้ง Ram ทั้ง Rom รวมทั้งตั้งเวลาได้ด้วย ชิ้นส่วนนี้ เล็กขนาดกลืนเข้าไปได้ สามารถใช้เป็นเครื่องมือการแพทย์ที่มีอานุภาพสูงมาก โดยเฉพาะการผ่าตัดที่ใช้เครื่องมือสอดเข้าไป
แต่หลายฝ่ายไม่ได้มอง เจ้าจิ๋วแค่นั้น มีคนสายตาไกลมองว่า เจ้าไมโครจิ๋วนี่ สามารถพัฒนาเป็นอาวุธ เป็นโดรน เป็นดาวเทียม เป็นหุ่นยนตร์ ที่เคลื่อนไหวด้วยตัวเองได้ และมีขนาดที่เล็ก จนมองแทบไม่เห็น และเป็นการยากแก่การทำลาย เพราะยังไม่น่าจะมีใครสร้างเครื่องมือสกัดเจ้าจิ๋วได้ แปลง่ายๆ ว่า ใครมีเจ้าจิ๋ว ก็ได้เปรียบเกือบทุกทางโดยเฉพาะด้านอาวุธ และความมั่นคง

ลองคิดถึงโดรน ที่มีขนาดเล็กกว่าแมลงวัน ที่สามารถบินเองได้ โดยไม่ต้องมีตัวบังคับ ใช้สำหรับการสำรวจ หรือการติดตาม หรือพกเอาไวรัส หรือพิษร้ายติดตัวไปด้วย ด้วยน้ำหนักเบาอย่างนั้น โดรนจิ๋วนี่ก็อาจจะบินได้นาน หรือ นานมาก ถ้าปรับปรุงให้ใช้พลังแสง

เจ้าจิ๋ว ที่ว่านี้ มีชื่อว่า KL02 คือเป็นรุ่น 2 และผลิตที่โรงงานที่อยู่ที่ กัวลาลัมเปอร์ Freescale มีโรงงานหลายแห่ง ส่วนรุ่น 3 ผลิตที่โรงงาน ที่อยู่ที่เทียนจิ้น ในจีน... แบบนี้เจ้าของบริษัท ที่ผลิตเจ้าจิ๋วได้ จะอยากขายบริษัทไหมครับ มันน่าจะกกให้แน่นมากกว่า เรื่องมันถึงทะแม่ง

เมื่อ Freescale ทดลองเจ้าจิ๋ว 3 ในแล็บที่เมืองจีน มีข่าวรั่วมาถึงหน่วยงาน Defence Advanced Research Project Agency (DARPA) ของอเมริกา ที่คงไม่ปล่อยให้เจ้าจิ๋วออกมาฉุยฉาย ในขณะที่ตัวเองยังสร้างเครื่องสกัด หรือยังควบคุมไม่ได้

เรื่องของ Freescale และ MH 370 จึงน่าสงสัย ว่าจะมีความนัยมากกว่านั้น...

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
21 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google






นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 13

อันที่จริงข่าวเรื่องเจ้าไมโครจิ๋วสุดเจ๋ง ของ Freescale นี่ กระจายไปเข้าหูหลายฝ่ายแล้ว โดยเฉพาะฝ่ายที่ไม่อยากให้ เจ้าจิ๋วหลุด ไปอยู่ผิดมือ

จากบทความชื่อ A Tiny Microchip Was The Likely Motive For Pentagon Hijack of MH 370 เขียนโดย Yoichi Shimatsu เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ.2014 ให้กับ Rense.com ซึ่งเป็นสื่อที่ไม่เอายิว ได้เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า...

"....ทางเพนตากอนเป็นห่วงว่า ถ้าทาง Freescale คิดเอาเทคโนโลยีนี้ ออกมาเปิดตัวในตลาด ทาง Carlyle Group ก็คงสนับสนุนให้ทำแน่ เพราะมันจะให้ผลประโยชน์อย่างมากกับ Carlyle ทางด้านธุรกิจที่เกี่ยวกับความมั่นคง รวมทั้งกับหุ้นส่วน Carlyle เช่น ครอบครัวบุช และพวกรัฐมนตรีกลาโหมที่เกษียณไปแล้ว....

....แต่ขณะเดียวกัน Freescale ก็ยังมีผู้ลงทุนอีกราย คือ Blackstone ที่มีผู้ร่วมลงทุนมาจากธนาคารของตระกูล Rothschild และหุ้นส่วนอีกหลายคนที่เป็นไซออนนิสต์ โปรยิว โปรอิสราเอล พวกนี้คงทำทุกอย่างที่จะไม่ให้เจ้าไมโครจิ๋ว ไปตกอยู่ในมือของอิหร่าน และพันธมิตร เช่นเฮสบอลเลาะห์ และฮามาส ถ้าเจ้าจิ๋วที่สามารถเคลื่อนตัวได้เอง โดยไม่ต้องอาศัยระบบนำ และพากันมุ่งหน้ามาอิสราเอล แถวสนามบิน หรือท่าเรือ แล้วละก้อ มันคงเป็นฝันร้ายสำหรับผู้ดูแลด้านความมั่นคงของอิสราเอลเป็นแน่ ....
ด้วยเหตุนี้ ผู้มีหน้าที่ปกป้องบ้านเมืองของชาวยิวจึงจำเป็นต้องปฏิบัติการ...กำจัดชาวมาเลย์ 200 คน กับชาวจีนที่ไม่น่ามีใครสนใจ ยังดีกว่าจะให้ปลายเส้นผมบนหัว ของบุคคลที่พระเจ้าเลือกแล้วกระทบกระเทือน...."

ไอ้หมอนี่ กัดได้เจ็บไม่แพ้ลุงนิทาน ฮา

เดือนพฤจิกายน ค.ศ.2013 Freescale (ถูกสั่ง) ให้ตั้งกรรมการเพิ่ม คือ คุณ Joanne Maguire คุณโจแอนเป็นวิศวกรหญิงมือเยี่ยม ทำงานกับ Lockheed Martin แผนก Space เคยได้รับเชิญไปร่วมโครงการฝึกอบรมของผู้บริหารระดับสูง ของสภาความมั่นคงแห่งชาติมาแล้ว ได้รับรางวัลเกี่ยวกับด้านอาวุธกับความมั่นคงมากมายโกยรางวัลกลับบ้านไม่ไหว คุณโจแอน จึงเป็นกรรมการคนใหม่ของ Freescale ที่หลายฝ่ายฝากความหวังไว้

บทความของ Yoichi Shimatsu เขียนให้เข้าใจว่า นักบิน MH 370 เที่ยวนั้น ไม่ใช่ชุดที่ทำงานกับ MH เที่ยวปรกติ แต่เป็นนักบินมาจากหน่วยงานความมั่นคงและกองทัพอากาศสหรัฐ เป็นผู้นำเครื่องบินขึ้นจากสนามบิน KL เอง และระบบคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ในห้องนักบิน ก็ถูกเปลี่ยนเป็นระบบของเพนตากอนร่วมกับอิสราเอล

หลังจากบินขึ้น ไปทางทะเลจีน แล้วตีอ้อมกลับมาทางมหาสมุทรอินเดีย มุ่งหน้าไปเกาะ Diego Garcia ในมหาสุทรอินเดีย เครื่องบินน่าจะถูกเปลี่ยนระบบ เป็นการควบคุมโดยเครื่องโครน ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา ส่งไปประกบติด โดยมีตัวแม่ควบคุมอยู่ที่ศรีลังกา สถานีเรดาห์ที่เกาะแถวมัลดีฟ ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อม

MH 370 ลดระดับบินเมื่อผ่านหมู่เกาะมัลดีฟ และลงจอดอย่างเรียบร้อยที่สนามบินของกองทัพอากาศอเมริกันที่ Diego Gacia ซึ่งคุณพี่ซีไอเอ มีศูนย์ปฏิบัติการใหญ่มโหฬารอยู่ที่นั่น และใช้กันถี่เหลือเกินช่วงสงครามอิรัค และอาฟกัน

บทความยังสรุปว่า ตกลงเครื่อง MH 370 ไม่ได้ตกจริง ตายจริงหรอก แต่มีการจับตัวกันไปจริง พนักงาน Freescale 20 คนโดนก่อน แยกเอาไปรีดข้อมูล พร้อมเอาสมบัติส่วนตัวของแต่ละคน มาแกะตรวจ สำรวจ อย่างละเอียด ใครให้ร่วมมือก็แยกเอาไปเข้าโครงการเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนชื่อ ก่อนเข้าโครงการ ก็ให้กินยาลบความจำ แบบโครงการ MK-Ultra เหมือนในหนัง ผู้โดยสารก็เหมือนกัน กินยา แล้วก็เอาไปอยู่แถบทางเหนือสุด ของอเมริกา....ส่วนใครไม่ให้ความร่วมมือ ก็คงเหมือนนั่งเครื่องบินตกจริง ....

นอกจากนี้ สื่อฝั่งยุโรป ชื่อ The Event Chronicle ก็เขียนบทบรรณาธิการ ชื่อ
" Rothschild Inherrits a Semiconductor Patent for Freescale Semiconductors (Flight MH370) " ลงวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ.2014 เกี่ยวกับเรื่องลิขสิทธิ ของเจ้าไมโครชิพจิ๋ว ไว้ตอนหนึ่งว่า...

.....Michael Haws เจ้าหน้าที่ด้านการสื่อสารและสัมพันธ์ระหว่างผู้ลงทุนทั่วโลก (ของ Freescale) ได้ให้สัมภาษณ์ หลังจากเครื่องบิน MH 370 ได้หายไปจากจอเรดาร์ว่า ...

"พนักงาน 20 คน ของ Freescale ที่รวมอยู่กับผู้โดยสาร 239 คนในเที่ยวบินนั้น ส่วนใหญ่เป็นวิศวกร และมีผู้ที่มีความชำนาญ ในการออกแบบผลิตไมโครชิพ ที่ประจำอยู่ที่โรงงานของเราที่เทียนจิ้น และที่กัวลาลัมเปอร์ ....

.....พวกเขามีประวัติความชำนาญด้านเทคนิคสูง และเป็นบุคคลสำคัญ... มันเป็นความสูญเสียอย่างมากของบริษัท..."

สื่อยุโรปดังกล่าว ยังรายงานด้วยว่า เพียง 4 วัน " หลัง" จากที่เที่ยวบิน MH 370 ได้หายไป เจ้าไมโครชิพจิ๋วนั้น ก็ได้รับการจดทะเบียนลิขสิทธิ จากอเมริกา โดยการจดลิขสิทธิแบ่งชื่อเจ้าของออกเป็น 5 ราย ๆละ 20 % รายที่ 1 คือตัวบริษัท Freescale Semiconductor, Austin, Texas อีก 4 ราย เป็นพนักงานชาวจีน คือ Peidong Wang, Zhijun Chen, Cheng และ Li Ying Zhijong ทั้งหมดเป็นชาว Suzhou และอยู่บนเครื่องบินมาเลเซียนแอร์ไลน์ MH 370 นั้น

เมื่อข่าวนี้กระจายออกไป มีสื่อไปตรวจสอบทะเบียนลิขสิทธิ ปรากฏว่า ลิขสิทธิของ Freescale เลขที่ US 86050327 มีจริง แต่ชื่อเจ้าของลิขสิทธิ ตามที่ Freescale แจ้งในตอนแรก กลับไม่มีอยู่ในรายชื่อผู้โดยสาร...

อืม... "ถ้า" เป็นแบบนี้ คงมีการเล่นกล และผู้ได้รับประโยชน์ตามทะเบียนลิขสิทธิ น่าจะเหลือรายเดียว คือ Freescale.....

สื่อยุโรปวิเคราะห์ต่อไปว่า "... ตกลงใครเป็นเจ้าของ Freescale Semiconductors กันแน่ .... คำตอบคือ เจคอบ รอทไชลด์ เศรษฐีชาวอังกฤษ เจ้าของ Blackstone นั่นไง...."

ผมไม่รู้ว่า บทความทั้ง 2 ชิ้นนี้ มีความจริงมากน้อยแค่ไหน และผมยังไม่แน่ใจว่า มีส่วนของป้ายลวงมากน้อยแค่ไหนด้วย บางอย่างน่าเชื่อ บางอย่างไม่น่าใช่....

ผมหยุดความเห็นของตัวเอง ไว้ที่ข้อเท็จจริง ที่ตรวจสอบได้จากหลักฐานสาธารณะ คือ

- Freescale ออกข่าวเรื่องการค้นพบเจ้าไมโครชิพจิ๋วนี้จริง

- มีเอกสารจากหลายแหล่ง ที่ยืนยันว่า Carlyle และ Blackstone เป็นเจ้าของ Freescale ร่วมกันจริง

- มีเอกสารจากหลายแหล่ง แสดงให้น่าเชื่อว่า ผู้ถือหุ้น หรือผู้ลงทุนส่วนใหญ่ใน Carlyle และ Blackstone มีส่วนเกี่ยวพันใกล้ชิดกับถัง CFR และ ร้อกกี้ the great

- ทั้ง 2 กองทุน มีผู้ที่ปรากฏชื่อว่าเป็นเจ้าของ หรือเกี่ยวข้อง ที่เป็นชาวยิว มากเกินกว่าจะมองผ่านจุดนี้
แต่ข้อเท็จจริงเหล่านั้น ก็ยังไม่ทำให้เราได้คำตอบ ที่ทำให้เข้าใจว่า ทำไมถึงมีการขาย Freescale ออกไป และทำไมขายให้กับ NXP Semiconductors....และเจ้าชิพจิ๋ว ตกลงไปอยู่ในมือของโล่ห์แดงแน่หรือ และหลายท่านคงอยากรู้ว่า ตกลงเครื่อง MH 370 ต้องมีอันเป็นไป เพราะอะไรแน่

บางเรื่อง ยังคงสรุปไม่ได้ จนกว่า เราจะตอบคำถาม ข้างต้นให้ได้เสียก่อน
จะตอบคำถามได้ ก็ต้องได้ข้อเท็จจริงมากขึ้น พอที่จะสนับสนุน ทฤษฏี หรือ ความคิดใด ไม่งั้นมัน ก็ยังเลื่อนลอย หรือ เป็นการเดินตามป้ายปลอม... จึงยังต้องขุดค้นต่อครับ.....

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
22 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google







นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 14

เราคงต้องขุดคุ้ยดูที่ The Blackstone Group เจ้าของ Freescale อีกราย ว่าตกลงมันเป็น(ของ)ใครกันแน่
มีสื่อเขียนให้เข้าใจว่า พวกโล่ห์แดง Rothschild โคตรรวย ที่อยู่อีกฝั่งของอเมริกาเป็นเจ้าของ....เรื่องจริง หรือมีใครทำป้ายปลอมลวงเรา

จากเอกสารที่ผมค้นเจอ ได้ความว่า The Blackstone Group เป็นบริษัทประเภทที่มีผู้ถือหุ้น เป็นกองทุนส่วนบุคคล ไม่ต่างกับ Carlyle แถมจับมือกับ Carlyle ซื้อกิจการร่วมกันมาหลายรายการแล้ว พวกเขาดูเหมือนจะคุ้นเคยกันดี หรือ อย่างน้อย ก็อยู่ในวงเดียวกัน

The Blackstone Group ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1985 โดย Peter G Peterson & Stephen A Schwarzman กับ Richard Bennett พวกเขาบอกว่า ชื่อ Blackstone หรือหินดำ นี่ มาจากชื่อ 2 คนรวมกัน
"peter" หรือ "petra" ภาษากรีก แปลว่า "rock หรือ stone" หรือก้อนหิน ส่วน "schwarz" ภาษาเยอรมัน แปลว่า "ดำ"

คุณหินกับคุณดำ เคยทำงานด้วยกันมาก่อนที่ Lehman Brothers และที่ Kuhn, Loeb Inc. จนคุณหินเป็นประธานกรรมการ แกคงเบื่อเป็นลูกจ้าง เลยออกมาทำธุรกิจเอง และแกคงชอบชื่อ "หิน" มาก เมื่อต่อมาในปีค.ศ.1987 ไปร่วมลงทุนกับอีกกลุ่ม ก็ตั้งชื่อ กองทุนว่า BlackRock...

ส่วนคุณดำ เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Yale ช่วงเดียวกับคูณบุชลูก หลังจากนั้นก็ไปเรียนต่อที่ Harvard Business School พอทำงานจนรวยมาก ก็ไปซื้ออพาร์ตเม้นท์ที่ Park Avenue ถิ่นคนโคตรรวยในนิวยอร์ค เป็นอพาร์ตเมนท์ ซึ่งเคยเป็นของท่านร้อกกี้ the great ... คงเป็นเรื่องบังเอิญ....

เมื่อตั้ง Blackstone คุณดำรับหน้าที่เป็นซีอีโอ คงไม่ต้องบอกนะครับ ว่าคุณดำเขาก็เป็นชาวยิว (ที่บังเอิญเหมือนกันกับอีกหลายๆคน ที่ผมเล่ามา ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจจะเล่าเรื่องชาวยิวเลยจนนิดเดียว)

ส่วนคุณหิน ไม่ได้เป็นยิว แต่เป็นชาวกรีก เออ มาแปลก.... แต่อ่านๆไปก็ไม่แปลก .....คุณหินเรียนจบที่ Northwestern แล้วไปเรียนต่อปริญญาโทที่ มหาวิทยาลัยชิคาโก หลังจากนั้นก็ทำมาหากินอยูแถบชิคาโก จนบังเอิญไปเจอกับท่านร้อกกี้ the great ตัวเป็นๆ แถมคุยถูกคอกันดี แล้วใครไม่รู้ก็ส่งคุณหิน ไปเป็นที่ปรึกษาให้ประธานาธิบดีนิกสัน ในปี ค.ศ.1972 ต่อมาก็ได้รับตำแหน่งเป็น รมต. พาณิชย์ในรัฐบาลนั้น หลังจากนั้นก็ได้รับมอบหมายให้เป็นประธานกิจกรรมการค้าระหว่างอเมริกา กับสหภาพโซเวียต.... วางไลน์ได้สวยจริงๆ

หมดจากภาระด้านรัฐบาล คุณหินก็มาทำงานการเงิน ที่ Lehman Brothers จนเป็นประธาน หลังจากนั้น ก็มีคนส่งเสริมให้ขึ้นเป็นประธานกรรมการของ CFR ตำแหน่งใหญ่คับฟ้า ต่อจากท่านร้อกกี้ the great
เรื่องราวออกมาเป็นอย่างนี้ เจ้าของตัวจริงของ Blackstone ก็น่าจะเป็นของท่านร้อกกี้ หินร่วง มากกว่าท่านโล่ห์แดง

ส่วนที่สื่อฝรั่ง ไปออกข่าวว่าเป็นของโล่ห์แดง ผมว่า น่าจะเป็นการวางป้ายลวง ให้พ้นตัวก็ได้นะ และไม่ใช่วางแบบเลื่อนลอย วางแบบเนียนเสียด้วย จากเอกสารที่ค้นเจอ ท่านโล่ห์แดง หลอด Jacob ก็มาเป็นที่ปรึกษากิติมศักดิ์ให้กับหินดำจริงๆ แต่ไม่น่าจะใช่เป็นเจ้าของ Blackstone แม้จะมีการตีฆ้อง โดยสื่อชื่อ Vanity Fair ซึ่งก็อยู่ในแวดวงของท่านร้อกกี้ the great ว่า โคตรรวย 2 ฝั่งจับมือกันเมื่อปี ค.ศ.2012 โดยฝั่งโล่ห์แดง จะใช้เศษเงินในกองทุนที่ชื่อ RIT Capitals Partners (Rothschild Capital Trust) มาซื้อหุ้นบางส่วนของ ฝั่งร้อกกี้ ที่อยู่ในกองทุนที่ชื่อว่า Rockefeller Financial Services ประมาณ 37%
ผมว่า มันจิ๊บจ๊อยนะ ไม่พอซื้อประเทศไหนหรอก น่าจะเอามาลวงให้เราเชื่อ ว่า คนรวยเขารักกัน จับมือกันจริงๆ

แต่ผมเชื่อในทฤษฏีที่ว่า มงกุฏอันเดียว ใส่พร้อมกัน 2 หัวไม่ได้หรอก ....
และสังเกตดูจากการวางแผน วางคน ที่ซับซ้อน ของนิทานที่กำลังเล่านี้ ผมก็ออกจะเอนไปทางเห็นรอยมือรอยตีน ของฝ่ายร้อกกี้ กินร่วง มากกว่าฝ่ายโล่ห์แดง..

ตัวอย่างเช่น ในประวัติของคุณดำ บอกว่า เนื่องจากแกทำงานที่หินดำนี่ จนรวยติดอันดับคนรวยของโลก เมื่อวันที่ 21 เมษายน ค.ศ.2013 คุณดำก็ประกาศจะมอบเงินจำนวน 100 ล้านเหรียญ เป็นเงินทุนประเดิมในการโครงการให้ทุน แก่นักศึกษาจีน ในเมืองจีน....วางไลน์สวยอีกแล้ว

เป็นโครงการ ชื่อ Schwarzman Scholars โดยตั้งเป้าหมายว่า จะต้องระดมทุนให้ได้ถึง 200 ล้านเหรียญ โครงการนี้จะทำที่ มหาวิทยาลัย Tsinghua ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยระดับหนึ่งในสิบสุดยอดของจีน โดยมีความตั้งใจจะให้ทุนแก่นักศึกษาจีน ให้ได้ถึง 100 ทุน เมื่อถึงปี ค.ศ.2016 โครงการนี้ ออกแบบและอำนวยการโดยคณบดีจากมหาวิทยาลัยเยล

ที่น่าสนใจคือ ประวัติที่มาของมหาวิทยาลัย Tsinghua

Tsinghua นั้น ตั้งขึ้นจากเหตุการณ์กบฎนักมวย ท่านที่อ่านนิทานเรื่อง "ไม่ตกสะเก็ด" แล้ว คงพอจำได้ พวกต่างชาติที่อยู่ในจีน นำโดยอังกฤษ วางแผนที่จะล้มบัลลังก์พระราชวงศ์ที่ปกครองจีน โดยเฉพาะพระนางซูซีไทเฮา ขณะเดียวกันชาวจีน ที่เป็นพวกเล่นมวยจีน ก็โดดเข้ามาต่อต้านพวกฝรั่ง ซึ่งน่าจะเป็นการวางแผนซ้อนของฝ่ายอเมริกา หรือท่านร้อกกี้ คนพ่อ ยุให้นักมวยเอาหมัดไปสู้กับปืนกล ในที่สุดหมัดก็แพ้ปืนกลเป็นธรรมดา...

อเมริกาฉวยโอกาสเรียกค่าเสียหาย จากการที่พวกนักมวยทำให้ฝรั่งตกใจและบาดเจ็บ (แต่ส่วนที่ฝ่ายนักมวยตาย และตายแยะ อันนี้ฝรั่งไม่ต้องชดใช้ เพราะนักมวยวิ่งเข้ามาหาปืนกลเอง) เป็นจำนวน 30 ล้านเหรียญ สมัยร้อยปีก่อน ต้องถือว่าแยะมาก

ประธานาธิบดี Roosevelt ทำเป็นใจดี บอกเราลดค่าเสียหายให้ประมาณ 10 ล้านเหรียญ แต่จีนต้องเอาเงินจำนวนนี้ ไปใช้เป็นทุน ส่งนักเรียนจีนไปเรียนต่อที่อเมริกานะ และต้องตั้งวิทยาลัย Tsinghua ในสวนของวังหลวงที่ปักกิ่งด้วย เพื่อใช้เป็น รร. เตรียมตัวนักเรียน ก่อนที่จะส่งไปอเมริกา โดย YMCA จากอเมริกาจะเป็นผู้มาทำการคัดเลือกตัวผู้ที่จะได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา และกำหนดว่าจะไปศึกษาที่ไหนในอเมริกา

เป็นไงครับ ยอดเยี่ยมไหม วิธีการเพาะเชื้อฝังหัว ได้ไม่รู้กี่เด้ง แผนแบบนี้ พวกโลกสวยคงตบมือชื่นชมว่า ฝรั่งใจดีจัง

ท่านที่อ่านนิทานเรื่องต้มข้ามศตวรรษ เกี่ยวกับปฏิวัติ(ปลอม) ในรัสเซีย เมื่อปี ค.ศ.1917 คงจำได้ว่า YMCA นั้น เป็นผลงานจากการออกแบบของท่านร้อกกี้ คนพ่อ

เจอทั้งเรื่องทุน เรื่องกบฏนักมวย รวมทั้ง YMCA ก็ขอสรุปเอาเองว่า เรื่องโล่ห์แดง น่าจะเป็นเรื่องป้ายลวง การทำป้ายลวง เขาทำกันหลายชั้น ถ้ามองชั้นเดียวก็หลงทางง่าย

วันนี้เจอหลักฐานอย่างนี้ ก็ขอสรุปอย่างนี้นะครับ ไปเจออะไรใหม่ เห็นว่าสรุปผิดไป ก็จะมาแก้ไข เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ ประวัติศาสตร์บันทึกกันมาเป็นร้อยๆปี ยังต้องมีการชำระ
กลับมาที่ Blackstone หินดำ ที่ไม่ใช่ของโล่ห์แดง ต่อ

แรกๆ Blackstone นั้น ไม่ได้ลงทุนในกิจการไอที ไซเบอร์ แต่เล่นทางสื่อทุกรูปแบบ รวมทั้งด้านการบันเทิง แต่ที่ลงทุนหนักคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ ธุรกิจเกี่ยวกับการเงิน การลงทุน รวมทั้ง กองทุน hedge fund ต่างๆ จนถึงช่วง ค.ศ.1990 กลางๆ Blackstone ถึงมาจับเพิ่มเรื่องเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร และไอทีทางสาธารณูปโภค และซื้อ Northrop Grunman ที่สร้างระบบไอทีให้แก่กองทัพอากาศของอเมริกา แต่แล้วดันจะขาย Freescale ....อย่างนี้ชาวบ้านอย่างเราๆ จะไม่งงได้ยังไง

เรื่องของ Blackstone ยังน่าสนใจและน่าสงสัยอีกหลายมุม และสงสัยอาจจะต้องมีป้ายปลอมภาค 2 แต่มันคงเป็นแค่ความฝันเฟื่องของผม ที่คิดจะเขียนภาค 2 แค่ภาค 1 นี่ยังทำท่าร่อแร่เลย ไม่รู้จะรอดไปถึงตอนจบไหม...คนอ่านก็ร่อยหรอลงทุกตอน ..

แต่รับรองครับ เหลือคนอ่านแค่คนเดียว นิทานเรื่องนี้ ก็จะเขียนจนจบ ไม่บอกลากันกลางคัน....เว้นแต่เพจเดี้ยงหน้าขาวค้างถาวร ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็หมดปัญญา ขนาดกลาโหมของบ้านเขา เขายังเอาอยู่ในมือได้ สำมะหาอะไรกับเพจเล็กๆของลุงแก่ ๆ....

มีผู้ปรารถนาดี ให้คำแนะนำสาระพัด วิธีแก้ไข ผมขอบคุณมากครับ แต่ผมอยากจะบอกว่า ในกรณีทั่วไป คงพอแก้ไขได้ แต่ถ้าเขา "ล๊อกเป้า" เราแล้ว ทางป้องกัน หรือแก้ไข "ด้วยเทคโนโลยีของเขา" มันคงทำได้ยาก

เอาไว้ถึงเวลา .... ถ้ายังไหว ....ก็คงต้องคิดแก้ไข ด้วยวิธีการอื่นครับ
สวัสดีครับ

คนเล่านิทาน
23 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google












นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 15

คราวนี้มาดู NXP Semiconductors ที่เป็นผู้ซื้อ Freescale กันบ้าง เขาเป็น (ของ) ใครกันแน่....

ข้อมูลจากวิกิพีเดีย บอกว่า NXP Semiconductors เป็นบริษัทที่ผลิตแผงไฟฟ้าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1953 โดยแตกแขนงมาจากบริษัท Philips บริษัทเครื่องไฟฟ้าที่โด่งดังมากของเนเธอร์แลนด์ หลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกใหม่ๆ Philips มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์

ปี ค.ศ.1975 Philips ซื้อบริษัท Signetics ที่อยู่แถว Silicon Valley ดงคอมพิวเตอร์ของอเมริกา สมัยที่เฟื่องฟูใหม่ๆ หลังจากนั้น Philips ก็เอามารวมตั้งเป็นหน่วยงานใหม่ของ Philips ชื่อ Philips-Signetics ซึ่งในปี ค.ศ.1986 ขึ้นอันดับ เป็นผู้ผลิตแผงวงจรคอมพิวเตอร์ใหญ่ที่สุดในยุโรป

หลังจากนั้น ในปี คศ 1999 Philips ก็ไปซื้อ VLSI Technology เอาเข้ามารวม ทำให้ Philips ขึ้นอันดับ ใหญ่เป็นที่ 6 ของโลกในการผลิตแผงวงจรคอมพิวเตอร์

ปี ค.ศ.2005 Philips ประกาศว่า จะแยกแผนก ที่ทำเกี่ยวกับแผงวงจรทั้งหมด ที่เรียกว่า Philips Semiconductors ตั้งเป็นบริษัทใหม่ แยกออกจาก Philips แต่ Philips ยังถือหุ้นทั้งหมด ...

แต่แล้ว ปี ค.ศ.2006 Philips ก็ขาย หุ้นประมาณ 80% ใน Philips Semiconductors บริษัทที่แยกตัวมาใหม่ ให้แก่กลุ่มกองทุนส่วนบุคคล 5 กองทุน นำโดยกองทุนใหญ่ Kohlberg Kravis Roberts (KKR) ซึ่งพอซื้อขายเรียบร้อย ก็จัดการเปลี่ยนชื่อจาก Philips Semiconductors เป็น NXP Semiconductors N. V. และประกาศเปิดตัว เมื่อ 31 สิงหาคม ค.ศ.2006

(มาถึงตรงนี้ คงเห็นกันแล้ว ว่า NXP Semiconductors จะเป็นบริษัทของดัชท์ หรือ จดทะเบียนที่ดัชท์ อาจไม่ช่วยให้เรารู้จัก NXP ตัวจริง หรือ อาจจะเป็นป้ายลวงก็ได้ คงต้องไปขุดดูหน้าเจ้าของใหม่ ที่ซื้อ Philips Semiconductors อาจจะเห็นอะไรชัดกว่า)

กลับมาดู Philips ผู้ขายอีกที อุตส่าห์คิดเทคโนโลยีใหม่ ไปซื้อกิจการมาเพื่อส่งเสริมกัน ทำจนขึ้นไปอยู่แถวหน้าของธุรกิจไมโครชิพ เรียกว่ากำลังไปโลด แต่ดันขายหุ้นให้คนอื่นมาเป็นเจ้าของ รับกำไรไปแทน....ไม่ต่างกับที่ Carlyle ขาย Freescale.. พิลึกไหมครับ

เมื่อกลุ่มกองทุน ที่นำโดย KKR ได้ Philips Semiconductor มา และเปลี่ยนชื่อเป็น NXP แล้ว หลังจากนั้น NXP ก็ไล่ซื้อธุรกิจ กิจการ ทางด้านไอทีในทุกรูปแบบ อย่างไม่หยุดยั้งมาตลอด แล้ววันที่ 15 มีนาคม ค.ศ.2015 NXP ก็ประกาศว่า จะซื้อ Freescale บริษัทผลิตแผงวงจรคอมพิวเตอร์ หลังจากที่ Freescale ประกาศไปไม่นานว่า สร้างเจ้าไมโครชิพจิ๋วแต่สุดเจ๋งได้ และการซื้อขาย Freescale ระหว่าง NXP กับเจ้าของ Freescale ก็ได้สำเร็จเสร็จสิ้น เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ.2015 ไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง ....หลังจาก MH 370 หายตัวไปแล้วปีกว่า .....

ก็คงต้องตามดูกันต่อไป ว่า ใครคือเจ้าของตัวจริงของ NXP

ข้อมูลจากวิกิพีเดีย และ Bloomberg บอกว่า เจ้าของ NXP คือ กองทุนส่วนบุคคล 5 รายที่นำโดยกองทุนใหญ่ ที่ชื่อ Kohlberg Kravis Roberts (KKR) ซึ่งในตอนแรกๆ ก่อนซื้อกิจการ Philips Semiconductors นั้น KKR ลงทุนแต่ด้านอสังหาริมทรัพย์ สื่อและการบันเทิง ... เรียกว่าแนวทางลงทุนคนละทิศเลย...
KKR ตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ.1976 โดย Jerome Kohlberg, Jr และญาติ ชื่อ Henry Kravis ทั้ง 2 คนเป็นชาวยิว (อีกแล้ว) กับเพื่อนอีกคน ชื่อ George R Roberts ทั้ง 3 คนเคยทำงานที่ Bear Stearns

ข้อมูลจากวิกิพีเดียบอกว่า ทั้ง 3 คน หงุดหงิดจาก Bear Stearns เลยออกมาตั้งกองทุนทำธุรกิจกันเอง โดยไปหาเงินได้มาจาก Hillman Company และ First Chicago Bank ...เอะ....ของใครนะครับ
เพื่อจะให้รู้มันชัดเจนขึ้น ผมเลยไปเช็คประวัติ ของเจ้า 3 คน ที่ช่างหงุดหงิดนักโดยเฉพาะ ชื่อ Henry Kravis ที่เป็นหัวเรือ ของ KKR เพราะ Kohlberg นั้นถอนตัวไปจาก KKR ในปี คศ 1987 เพราะมีแนวทางทำธุรกิจต่างกับ Kravis

Henry Kravis เป็นอเมริกันยิว จบวิศวฯ และไปเรียนปริญญาโทต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ปัจจุบันเป็นนักธุรกิจระดับแถวหน้าของอเมริกา เป็นประธานผู้ดูแล Rockefeller Centre และ Crysler Building ของท่านร้อกกี้ the great ร่วมกับ Jerry Spyer ชาวยิวอีกคน ที่มีอิทธิพลสูงมากในนิวยอร์ค

Jerry Speyer นี่เหมือนเป็นเด็กก้นกุฏิของท่านร้อกกี้ เป็นยิวอพยพมาจากเยอรมัน เรียนจบปริญญา ทั้งตรีทั้งโท จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เคยเป็นประธาน Federal Reserve Bank of New York, รองประธานทรัสตีบอร์ดของของ Rand Corpoaration และเป็นประธานร่วม ของ the Partnetship of New york ซึ่งก่อตั้งโดยท่านร้อกกี้ the great และแน่นอน ....เป็นสมาชิกของ CFR

ส่วนคุณ Kravis ก็ใช่เล่น เขาเป็นทรัสตี ของ Council on Foreign Relations (CFR) และอยู่ใน Business Council ของ CFR ช่วงปี ค.ศ.2011 ถึง ค.ศ.2014 นอกจากนี้ เขายังเป็นประธานร่วมของคณะกรรมการมหาวิทยาลัย Columbia Business School และเป็นรองประธาน ของ Rockefeller University อีกด้วย
นอกจากตัวคุณ Kravis จะเป็น สมาชิก CFR แล้ว ที่น่าสังเกตคือ คุณเมียคนสวย ที่ชื่อ Marie Jose' Kravis (เมียคนที่ 2) นั้น สนิทกับท่านร้อกกี้เป็นพิเศษ และคุณเมียนี่ เป็นทั้ง สมาชิก CFR และ สมาชิก Bilderberg Group ด้วย

Bilderberg Group เป็นสมาคมปิด ที่มีอิทธิพลสูงมากในยุโรป เป็นเหมือนผู้กำหนด อนาคต และกำกับรัฐบาล ของบรรดาประเทศในยุโรป ที่มีสมาชิกตั้งแต่ระดับ กษัตริย์ราชินีของประเทศในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก สเปน นายกรัฐมนตรี ทั้งอดีตและปัจจุบัน ขุนนาง นักการเมืองระดับสูง นักธุรกิจขนาดใหญ่ข้ามชาติ มหาเศรษฐี ของอังกฤษ ยุโรป รวมมาถึงฝั่งอเมริกา ที่นับว่าอยู่ระดับชั้นบนสุดของขนมเค้ก และเป็นสมาชิกโดยการเชิญ ... ไม่ใช่สมัคร และ เป็นองค์กร ที่ผูกสัมพันธ์อันดี กับ CFR โดยมีสมาชิกซ้อนกันจำนวนไม่น้อย

แบบนี้ ก็น่าเชื่อว่า Henry Kravis คงไม่ใช่คนแปลกหน้าของร้อกกี้ the great.....และ NXP ก็ไม่รู้อยู่ในบัญชีทรัพย์สินของท่านร้อกกี้ หรือเปล่า ตกลง "เจ้าของ" เจ้าจิ๋ว ไมโครชิพสุดเจ๋ง ไม่ว่า ก่อนขาย หรือหลังขาย ก็คือ พวกท่านร้อกกี้ the great และสังกัดCFR ทั้งนั้น ....ประเด็นนี้ น่าสนใจนะครับ

การโยกย้าย Freescale ผู้คิคค้นและผลิตเจ้าไมโครชิพจิ๋วแต่สุดเจ๋ง จากกองทุนหนึ่ง ไปอยู่อีกกองทุนหนึ่ง เหมือนเปลี่ยนจากถือของด้วยมือขวา เอาไปไว้มือซ้าย แต่มันก็ยังเป็นของคนเดิม ตกลงก็เป็นเล่นปาหี่ให้โลกดู แล้วเขาทำป้ายลวงกันทำไม

ระดับท่านร้อกกี้ ผมไม่ประมาทหน้า คนเราคิดซับซ้อนมาตลอด แม้จะทิ้งรอยตีนรอยมือไว้ แต่ ผมเชื่อว่า ...การเปลี่ยนมือรายการนี้..... น่าจะมีความหมายไม่น้อย

ถ้ามองในประเด็น ของการที่ Carlyle มือข้างหนึ่งของท่านร้อกกี้ ส่ง Booz Allen ไปล้วงคอ บีบคอ ฝ่ายความมั่นคง จนเห็นจุดอ่อนจุดแข็งของอเมริกาทางด้านไซเบอร์ ขณะเดียวกัน จากการใช้จีนเป็นฐานผลิตแผงวงจร จนได้เจ้าไมโครจิ๋วมา ก็ทำให้รู้ศักยภาพของจีนทางด้านนี้ ส่วนเจ้าหนูสโนเดน ถ้าเป็นป้ายลวง ก็ทำให้เห็นไส้ในของรัสเซีย

ถ้า.....มองในประเด็นดังกล่าวข้างต้น ไม่ว่าในเชิงการค้า หรือ คิดไกลไปถึงจะครองโลก สื่งที่ Carlyle , Blackstone, NXP, และร่วมไปถึง Freescale และอาจจะรวมถึง Philips ด้วย โยนลูกเล่นกันไปมาในวง คนดูไม่ทัน ก็นึกว่า ทั้งหมดไม่เกี่ยวกัน แต่ถ้าเอาข้อเท็จจริงมาเรียง ก็คงเห็นแผนการที่ล้ำลึก ทะเยอทะยาน และชั่วร้าย

แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น ก็ไม่ถึงกับจำเป็น ต้องเปลี่ยนมือ ถือของดี ...
การเปลี่ยนเจ้าของ เจ้าจิ๋ว จึงน่าคิดในประเด็นว่า เพราะต้องการย้ายที่ เปลี่ยนฐานการผลิตไปอยู่ที่ไหม่ เพื่อควบคุมการผลิต ปิดรูโหว่ อุดรูรั่วเสียมากกว่า ......

แปลว่า การผลิตที่จีน แม้จะเป็นผู้รับจ้างออกแบบและผลิตที่ดี และใช้กันมานาน อาจมีรูรั่วได้ หรือรั่วไปแล้ว และถ้ารั่วออกไป หรือออกไปแล้ว มันคือความหายนะของอเมริกา ถ้าอเมริกาหายนะ ท่านร้อกกี้ก็คงได้ร่วงละเอียด (สมใจผม) ส่วน CFR ยิ่งไม่ต้องพูด งูไม่มีหัว ก็ไม่ต่างกับปลาไหล เรื่อง MH 370 จึงไม่น่าจะเรื่องเดี่ยวกับอิสราเอลเลย แม้ผู้ที่เกี่ยวข้อง จะเป็นชาวยิวแยะก็จริง

บทความของคุณยุ่น Yoishi Shimatsu แม้จะน่าสนใจ เข้าท่า น่าตื่นเต้น แต่ส่วนที่เกี่ยวกับอิสราเอลนั้น ผมให้น้ำหนักน้อย เผลอๆ จะเป็นป้ายลวงเอาเสียด้วย

อเมริกาอาจจะดูแลอิสราเอล ดูแลยิว และถูกยิวใช้ แต่อเมริกาก็ใช้ยิว และไม่ได้ยอมยิว หรืออิสราเอลไปเสียทุกเรื่อง ดูเรื่องเสี่ยปั้มใหญ่ กับอิหร่านนิวเคลียร์เป็นตัวอย่าง อเมริกา ไม่ได้สนใจเสียงค้านของอิสราเอลเลย
เรื่องนี้จึงน่าจะเป็นเรื่องใหญ่ กว่า เรื่องยิวอิสราเอล....

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
24 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google






นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 16

ถ้ายังจำกันได้ ผมเคยเล่าเรื่อง เหตุการณ์เรือบรรทุกเครื่องบินของอเมริกัน ชื่อ USS Donald Cook ซึ่งเจอฤทธิ์ซูกอย Su- 24 ของรัสเซีย ทำเอาระบบการต่อสู้ของฝ่ายอเมริกา ที่จะสกัดเครื่องซูกอย Su-24 เกิดอาการอัมพาตกิน กระดิกไม่ออก ขยับไม่ได้

วันนี้ของฉายหนังซ้ำ ท่านผู้อ่านจะได้เห็นความต่อเนื่อง

Voltaire net.org ได้ลงบทความเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน คศ 2014 หัวเรื่อง " What spooked USS Donald Cook so much in the Black Sea?"

บทความสรุปว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน คศ 2014 เรือ USS Donald Cook ซึ่งติดจรวดโทมาฮ๊อก ระยะยิงไกลถึง 2,500 กิโลเมตร 56 ลูก พร้อมหัวจรวดนิวเคลียร์ และ จรวดต่อสู้ อีก 96 ลูก และติดระบบ Aegis Combat System ที่เชื่อมกับระบบป้องกันของเรือรบอื่น ที่ใช้ระบบเดียวกันอีกด้วย... แปลว่า Cook สะกดรอย หรือ เห็นอะไร เพื่อนฝูงในระบบที่ลำอื่น ก็เห็นพร้อมกันหมด และถ้าใครยิงข้าวหลามกระบอกหนึ่ง อีกหลายร้อยกระบอกพร้อมยิงได้ด้วย

ขณะที่ USS Donald Cook กำลัง แล่นเข้าไปในทะเลดำ ใกล้กับเขตของรัสเซีย เครื่องบินรบรัสเซีย Su-24 ซึ่งไม่ได้พกลูกระเบิด หรือจรวดมาด้วยแม้แต่ลูกเดียว แต่ติดตั้งระบบการต่อสู้ทางอีเลคโทรนิค ชื่อ 
Khibiny มาด้วย ก็บินโฉบใส่ Donald Cook และบินวนเรือ ทั้งหมด 12 รอบ ก่อนบินจากไป....โดย Donald Cook ที่พกกระบอกข้าวหลามมาเต็มเรือไม่ทำอะไรเลย..... อืม

หลังจากนั้น USS Donald Cook ก็เปลี่ยนใจ ใส่เกียร์ถอยหลังกระทันหัน มุ่งหน้าเข้าฝั่งไปจอดที่ท่าเรือแถวโรมาเนียแทน

เขาว่า หลังจากเหตุการณ์นั้น เรือรบอเมริกัน ไม่ไปเที่ยวทะเลดำอีกเลย และ มีสื่อลงข่าวว่า เจ้าหน้าที่ประจำเรือ USS Donald Cook 27 คน ยื่นใบลาออก

เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ Vladimir Balybine ผู้อำนวยการ ศูนย์ค้นคว้าเกี่ยวกับการรบทางด้านอีเลคโทรนิคของรัสเซีย พูดสั้นๆ

" ... ยิ่งใช้ระบบวิทยุอีเลคโทรนิคที่ซับซ้อน .... การทำให้มันใช้การไม่ได้ ด้วยอาวุธทาง อีเลคโทรนิค.... ยิ่งง่ายขึ้น "

แน่นอน อเมริกาปฏิเสธข่าวนี้ แต่ในวงการเขาลือกันสนั่น ว่านั่นมันเป็นการทดสอบสมรรถนะอาวุธที่ใช้ระบบอีเลคโทนิคเป็นตัวนำระหว่างรัสเซียกับอเมริกา และถ้าเรื่อง Su-24 นี้เป็นเรื่องจริง ก็แปลว่า ในช่วงนั้น (ค.ศ 2014) ความสามารถทางด้านอีเลคโทรนิคของอเมริกา กำลังเป็นรองรัสเซีย.....

ยังมีกรณีเรือดำน้ำรัสเซีย ที่ไปโผล่หน้า ลองเชิง อังกฤษ และสวีเดน ถึงหน้าบ้านของทั้ง 2 ประเทศ แต่ทั้ง 2 ประเทศก็จับไม่มั่นคั้นไม่ตาย ปล่อยให้รัสเซียโผล่มาหัวร่อ หึ หึ อยู่ข้างหู อยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะที่สวีเดน ก่อนจะดำน้ำกลับบ้าน เรื่องนี้ อาจเป็นส่วนประกอบให้เห็นว่า กรณีเจ้าหนูสโนเดน ใครเป็นเหยื่อใครกันแน่ เพราะเจ้าหนูสโนเดน บอกรัสเซียหมดว่า ท่อไฟเบอร์ออพติกทุกสายในรัสเซีย วิ่งผ่านระบบ Nokia เลี้ยวลอดทะเลไปเข้าที่สวีเดน เพื่อให้พรรคพวก 5 eyes ฟังกันเพลินด้วย

และมันไม่ใช่มีแต่กรณีของรัสเซียเท่านั้น เมื่อปลายปีที่แล้ว สื่อตะวันตก The Washington Free Beacon ลงข่าวเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ.2015 บอกว่า เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.2015 เรือดำน้ำติดอาวุธ ของจีน ได้เกาะติดเรือบรรทุกเครื่องบินของอเมริกาชื่อ USS Ronald Reagan ที่ออกเดินทางมาจากท่าเรือของอเมริกาในญี่ปุ่น มุ่งหน้ามาไปทะเลจีนใต้นั้น มีเรือดำน้ำจีน เกี่ยวหาง คุณ Reagan ตามตูต มาตลอดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ดูเหมือนคุณ Reagan จะมารู้ตัว เอาเมื่อเข้าทะเลญี่ปุ่นแล้ว.....

หลังจากนั้นไม่กี่วัน คุณ Reagan ก็กลายเป็นเป้าหมายต่อ ของเครื่องบินรัสเซีย Tu -142 ที่บินโฉบในระยะห่างจากหน้าคุณ Reagan แค่ 1 ไมล์ แถมใช้แพดานบินต่ำมาก ขนาด 500 ฟิตเท่านั้น เรียกว่า อยู่กันในระดับสายตา ไม่ต้องแหงนหน้าไปมอง ก็เห็นหน้าหล่อคล้ายๆ คุณพี่ปูติน ประกบไปตลอด แต่คุณ Reagan ทำอะไรไม่ได้เลย....

เรือดำนำจีน ไม่ได้ทดลองตาม USS Reagan เท่านั้น ก่อนหน้านั้นไม่นาน ลูกน้องอาเฮีย ก็ทดลองตามเรือบรรทุกจรวดนำวิถี ชื่อ USS Lassen ที่แล่นตรวจการอยู่แถวทะเลจีนใต้ไปแล้ว

เขาว่าเรือดำนำของอาเฮีย เลือกทดลองเกาะติดเรืออเมริกัน ในวันที่ท่านนายพล Harry Harris ผู้บัญชาการของกองทัพสหรัฐในภาคพื้นแปซิฟิก มาเยี่ยมจีนในวันนั้นพอดี อาเฮียนี่ขี้เล่นไม่เบา...

ฝ่ายความมั่นคงของอเมริกา ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น หรือคำอธิบาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ชนิด ประเภท ของเรือดำนำจีน รวมทั้งระยะถี่ห่าง ก็ปิดเงียบ แต่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงคนหนึ่ง งึมงำว่า มันก็เหมือน ปี 2006 เปี๊ยบเลย ที่ตอนนั้น เรือดำน้ำจีนติดอาวุธ รุ่น Song ก็เกี่ยวหาง USS Kitty Hawk ตามตูดมาเหมือนกัน และก็เป็นวันที่ท่านนายพลเรือ Gary Roughhead ผู้บัญชาการกองทัพอเมริกันภาคพื้นแปซิฟิกไปเยี่ยมจีนเหมือนกันด้วย และก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน ....

ไม่มีใครรู้ว่า เรือดำนำจีน ที่เกี่ยวหางท่าน Reagan เกาะติดตูดมานั้น ปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับการเผชิญหน้า ของบรรดาจ้าวทะเลด้วยกันในเขตทะเลสากลหรือไม่

ทางอเมริกา น่าจะไม่รู้ตัวเรื่องการถูกเกี่ยวหางแต่อย่างใด... ส่วนทางจีน...เรื่องอะไรจะบอก....

แบบนี้จะให้แปลว่าอย่างไรล่ะ ก็ต้องแปลความว่า สมรรถนะทางอาวุธ หรือ ยานพาหนะ ไม่ว่าทางอากาศ หรือทางน้ำของรัสเซีย และของจีนที่นำอุปกรณ์ทางอีเลคโทรนิค มาใช้ประกอบ โดยเฉพาะด้านเรือดำน้ำจีน ที่ข่าวว่า เสียงเงียบ แล่นฉิว น่าจะเป็นสิ่งที่ อเมริกา หรือ CFR หรือ ท่านหินร่วง น่าจะเป็นห่วง จนแทบจะต้องหาเร่งหาหัวใจดวงที่ 7 มาเปลี่ยน

คงจำกันได้ว่า ในช่วง ค.ศ.2000 ต้นๆ จีนเร่งเครื่องใส่ปุ๋ย โตเอา โตเอา จนอเมริกาจ้องเสียตาแถบหลุดมานอกเบ้า แต่อเมริกา ก็ดูเหมือนจะมองจีน เพื่อประโยชน์ของตนทางด้านเศรษฐกิจเสียส่วนใหญ่ ทั้งอยากใช้เป็นตลาด เพื่อการผลิตสินค้าในราคาถูก และเป็นตลาด ที่ตัวจะขายของราคาแพง อเมริกาเล่นทุกทาง รวมทั้งระดมพล ตั้งกองทุน เข้าไปปั่นหุ้น ปั่นหยวน อย่างสนุกสนาน เพื่อถล่มเศรษฐกิจจีน น่าจะมาหมดสนุก ตอนมารู้ตัวว่าเจ้าจิ๋ว 3 หลุดมือไป (ไม่ใช่แค่จิ๋ว 2) และหลุดแบบไม่รู้ตัวเนื้อรู้ตัว ไม่กี่ปีมานี้เอง อย่างนี้มันก็ต้องถูกทำโทษกันเป็นแถว พร้อมรีบจัดการล้อมคอก กลัวมีกรณีจิ๋ว 4 ....

ถ้าผมเป็นท่านหินร่วง ผมก็ต้องรีบย้ายฐานผลิตใหญ่เอาออกไปจากจีน เอาไปไว้ไหนล่ะ ก็กลับไปอยู่ในมือ ที่เคยเลี้ยงมาไม่ดีกว่าหรือ จะไปฝากใครได้ เรื่องแบบนี้ต้องเอาทั้งสถานที่ และคนที่ไว้ใจได้ ก็ต้องกลับไปอยู่กับ Philips ที่เนเธอร์แลนด์ นั่นแหล่ะ แม้ชื่อจะเป็น NXP ค้นๆไป รับรองครับ เจอตะขอเกี่ยวกับหินร่วงแน่ อันที่จริงผมเห็นเงาแล้วว่า เขาเกี่ยวกัน แต่ถ้าเล่าทุกข้อที่เกี่ยว สงสัยต้องเล่าหมดโลก เอาว่า วันนี้ ไขข้อข้องใจ ว่า ทำไมต้องมีการขาย Freescale และทำไมต้องขายให้ NXP .....คุณเมียคนสวยของ นาย Kravis สมาชิกคนสำคัญของ Bilderberg คงต้องเดินทางไปแถวเนเธอแลนด์บ่อยหน่อยเท่านั้น

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
25 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google







นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 17

ผมเล่าเรื่องบริษัท ที่รับจ้างติดตามสถานการณ์โลก ทำการวิเคราะห์ และให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานของรัฐและเอกชน ทั้งในอเมริกา และนอกอเมริกา อย่าง Chertoff Group เรื่องของบริษัท Booz Allen Hamilton ที่รับจ้างทั้งเอกชน และรัฐบาล ในการสร้างระบบเกี่ยวกับการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล เรื่อง Carlyle และ Blackstone ที่เป็นกองทุนเอกชนใหญ่ระดับโลก ที่เป็นเจ้าของ และบริหารกิจการข้ามชาติสาระพัดกิจการรวมทั้งเรื่องไอทีไซเบอร์ รวมทั้งเป็นเจ้าของ และบริหารกองทุนขนาดใหญ่ เกือบทั่วโลก

บริษัท 4 นั้น มีส่วนประกอบสำคัญ ที่เหมือนกันเกือบหมด คือ

- มีผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหาร ที่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ ที่มาจากหน่วยงานด้านความมั่นคงของอเมริกา (ภาครัฐ) หรือเป็นนักธุรกิจทุนใหญ่ ที่ส่วนใหญ่เป็นยิวระดับเศรษฐี หรือเป็นเครือข่ายกันกับยิวเศรษฐี หรือพวกการเงินใหญ่แถววอลสตรีท (ภาคเอกชน)

- บุคคลเหล่านั้น เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะมาจากภาครัฐ หรือเอกชน ต่างก็มีความเกี่ยวโยงกับ CFR หรือท่านร้อกกี้หินร่วง ที่น่าจะเป็นคนชักใย CFR ตัวจริง

บริษัทที่เล่ามานั้น เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ที่ผมอ่านและค้นคว้าในระยะเวลาจำกัด มันคงมีบริษัท หรือธุรกิจ หรือบุคคลทำนองนี้อีกมากมาย ที่เราไม่รู้จัก เพราะเขาพรางตัวเอาไว้อย่างมิดชิด และเราขาดคนช่างค้น ที่จะติดตามคอยคุ้ย ฉีกและแฉสิ่งที่เขาพรางตัวเอาไว้

แต่ แค่ 4 บริษัท ที่เล่ามา เรื่องราวของเขา ก็เกือบจะครอบ และ คลุมหลายอย่าง ที่กำลังเกิดขึ้นในโลกนี้ ....

ขอเพิ่มตัวอย่าง สำหรับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันอีกมุมหนึ่ง

Chad Sweet หนึ่งในผู้ก่อตั้ง และผู้บริหาร Chertoff Group กำลังทำหน้าที่ เป็นผู้จัดการและวางแผนการเลือกตั้ง ให้กับ Ted Cruz ผู้สมัครฝั่งรีพลับลิกกัน 

Ted Cruz มีคุณเมีย ชื่อ Heidi คุณเมีย นี่ อาจจะน่าสนใจไม่แพ้คุณผัว หล่อนเป็นอดีตที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ อยู่ในคณะหาเสียงเลือกตั้งของคาวบอยบุซ แบบนี้คงติวเข้มคุณผัวสบาย ปัจจุบัน คุณเมียมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูง ของ Goldman Sach ซึ่ง มีอดีตผู้บริหารระดับสูง อย่าง Henry Paulson ที่เป็นอดีต รม คลัง สมัย ปี คศ 2008 ที่เกิด วิกฤติซับไพรม์ และ Goldman Sach ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เกิดวิกฤติในตอนนั้น

นอกจากนี้ Goldman Sach ยังมีอดีตประธานกรรมการ ชื่อ Robert Rubin ซึ่งเคยเป็น รัฐมนตรีคลัง สมัย รัฐบาลคลินตัน คนนิยมเด็กฝึกงาน และคุณ Rubin นี่ ปัจจุบัน เป็น ประธานกรรมการร่วม ของ CFR ....
นอกจากนี้ Chertoff Group ยังมีหัวหอก ที่น่าจะเป็นหัวหน้าตัวจริง ของ Chertoff Group คือ ท่านนายพล Mike Hayden ซึ่งมีประวัติยาวเหยียด ตั้งแต่เป็นอดีตประธานรัฐสภา อดีตหัวหน้าใหญ่ ซีไอเอ หัวหน้าใหญ่สภาความมั่นคง ฯลฯ ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา ท่านนายพล ออกมาสรรเสริญท่านใบตองแห้งหน้าทีวี ว่า ......อย่าไปว่าท่านประธานาธิบดี เลยนะ ที่พูดเรื่องบรัสเซลสยอง อย่างสั้นมากไม่ถึงนาที เพราะ ท่านใบตองแห้ง คงเห็นว่า เรื่องก่อการร้ายที่บรัสเซล เป็นเรื่องไม่สลักสำคัญอะไรหรอก...

ท่านนายพล ฉีกใบตองเล่นคนเดียว เดี๋ยวจะไม่สนุก เมื่อวานซืนประธาน CFR ตัวจริง นายRichard Hass จึงออกมาช่วยฉีกต่อ นาย Hass ได้ออกมาตำหนิ ท่านใบตองแห้ง ว่า การที่ท่านใบตองแห้ง ไปเต้นแทงโก้พริ้วกับสาวอาร์เจนติน่า ขณะที่เหตุการณ์ที่บรัสเซลเพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ นั้น เป็นเรื่องไม่หมาะสม
นาย Hass ทำเสียง ทำสีหน้า เสียจนผมเสียวว่า ท่านใบตองกลับมาทำเนียบคราวนี้ คงไม่แคล้วถูกทำโทษยืนหน้าเสาธง ฮา

ไม่กี่วัน ก่อนครูใหญ่ Hass จะออกมา "ดุ" ประธานาธิบดีที่เป็น 2 สมัย เขาไปออกทีวีรายการ ของ Fareed Zakaria ที่เป็น CFR อีกคนหนึ่ง ในช่องซีเอนเอน .... 2 คน คุยกันหลายเรื่อง ตอนหนึ่ง Fareed ถามครูใหญ่ว่า..... นโยบายต่างๆ ที่ Trump ประกาศออกมา โดยเฉพาะด้านสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (ที่จะไปจับมือกับรัสเซีย) นั้น เหมาะสมกับอเมริกาหรือไม่ และถ้า Trump ได้เป็นประธานาธิบดี มิแปลว่า เรา (อเมริกา) ต้องเปลี่ยนนโยบาย จากที่อเมริกาเป็นผู้นำ ผู้กำกับทิศทางของโลก เป็นถามใจเธอดูก่อน ทั้งหมดหรือ

ครูใหญ่.... ใครว่า Trump จะเป็นประธานาธิบดี ?

Fareed...... ก็เขากำลังนำทุกรัฐ แบบไม่มีใครเบรคอยู่เลยนะ

ครูใหญ่......อีกนาน กว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น ระหว่างนี้ กว่าจะถึงวันเลือกตั้ง อะไรก็เกิดขึ้นได้

นี่ เป็นแค่ตัวอย่าง ของเรื่อง ที่เกี่ยวโยงกับ 4 บริษัท ที่คงพอทำให้เราเห็นภาพ ว่า CFR นั้น มีใยแมงมุมใหญ่ขนาดไหน และ พวกเขามีแนวคิดอย่างไร

คำถามที่ผมถามตัวเองคือ หากฝ่ายรัฐและฝ่ายเอกชนของอเมริกา ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ในโลกยอมรับว่า เป็นมหาอำนาจหมายเลขหนึ่ง ถ้าพวกเขาสมคบร่วมกัน จับมือ ชักใย วางป้ายลวงไปเสียเกือบหมดทุกเรื่อง ข่าวที่เราจะได้รับ มันก็อาจจะเป็นข่าวลวง จนเราแทบจะไม่รู้ความจริงเลยว่า แท้ที่จริงแล้ว อะไรเกิดขึ้นในโลกนี้กันบ้าง "เขา" กำลังทำอะไร หรือคิดจะทำอะไร ดูเหมือนเราจะได้รับรู้เพียงเท่าที่ "เขา" อยากให้เรารับรู้เรื่องราวของสถานการณ์ อย่างที่เขา"ตบแต่ง" มาแล้วเกือบทั้งสิ้น.....

เมื่อต้นเดือนมกราคม คศ 2016 ตามความเห็นของเราๆ ที่ตามสื่อทั้งในและนอกประเทศ ดูเหมือนสถานการณ์โลกร้อนระอุจวนจะเดือดอยู่รอมร่อ และจุดที่น่าจะเดือดก็อยู่ที่ซีเรีย ตะวันออกกลาง สนามปั่นจิ้งหรีด ที่มีข่าวออกมาเกือบทุกวัน

มาเดือนมีนาคมนี้ ข่าวตะวันออกกลาง เงียบหายไป เหมือนใครเอาไปซ่อน ความร้อนลดลง แค่อุ่นๆ ไม่เดือดแล้วหรือ บางข่าวบอกทะเลจีนต่างหากที่จะเดือดแทน

เรารู้ไหม ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนปลอม .....อาจจะจริงทั้งคู่ หรือปลอมทั้งคู่ ตะวันออกกลาง อาจจะยังไม่ลดลงมาอุ่น และทะเลจีนก็อาจจะยังไม่ถึงกับเดือด......

มาวันนี้ ข่าวทุกช่อง สื่อทุกราย มีแต่เรื่องระเบิดที่บรัสเซล ที่ ไปๆมาๆ คนอำนวยการสร้างอาจจะเป็นเจ้าเดียวกับที่ปารีส ศุกร์ 13 วันนี้ใครเขียนเรื่องซีเรีย เชยชะมัด ใครเขียนเรื่องทะเลจีนใต้ ก็เกือบเชยนะ ใครเขียนเรื่องป้ายลวง ไม่ใช่เชย แต่ออกอ่าว บ๊องสนิท....ไปอยู่ที่ไหนมาลุง... ฮา ต้องเขียน ต้องเล่าแต่เรื่องระเบิดที่บรัสเซลเข้าใจไหม..

เพื่อบอกตัวเอง และท่านผู้อ่านว่า เราไม่ได้เชย เราไม่ไปเที่ยวอ่าว แต่เราไม่ชอบดูแต่สื่อย้อม ไหนๆ จะถูกลวง ไปดูโรงงานทำป้ายลวงกันเลยดีกว่า ดูว่า CFR ผู้ที่ดูเหมือนจะมีบารมีเหนือประชาธิปไตยของอเมริกา เหนือประธานาธิบดี และเหนือรัฐบาลของอเมริกา และน่าจะเหนือหลายรัฐบาลในโลกใบนี้ เขาว่าอย่างไรกันบ้าง จุดร้อนระอุของโลก ในความเห็นของ CFR มันตรงกับข่าวที่สื่อต่างๆ พากันออกมาบอกเราหรือไม่

จากรายงานประจำปี Annual Report ค.ศ.2015 ของ Council on Foreign Relations หรือ CFR ที่ออกมาประมาณกลางปี ค.ศ.2015 นั้น ได้นำสาส์นจากท่านประธาน CFR คนปัจจุบัน หรือ ครูใหญ่ Richard Haass ถึงบรรดา นักเรียน บริวาร หรือสมาชิก CFR ทั้งปวง ซึ่งน่าจะนับว่า เป็นความเห็นหลัก (หรือ ความเห็นลวง !) ของ CFR

ท่านประธานฯ ท่านเขียน โดยใช้หัวเรื่องว่า " A Changing World, A Changing Council " .....สรุปความว่า...

"..... เราก่อตั้งเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่ม และเราเติบโตเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จบ และเติบใหญ่ขึ้นอีกในช่วงสงครามเย็น ตอนนั้น ความสนใจ และกิจกรรมส่วนใหญ่ของเราระหว่างช่วง 4 ทศวรรษนั้น มุ่งไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะการแข่งขันกันระหว่างสหภาพโซเวียต กับ สหรัฐอเมริกา......

..... การประชุมและรายงานของเราในช่วงนั้น มักอยู่ในหัวข้อว่า เราจะดูแลผลประโยชน์ของอเมริกาอย่างไร ให้อเมริกามีความก้าวหน้าอย่างไร โดยไม่ต้องมีการเผชิญหน้ากัน ระหว่างคู่แข่งทางด้านอาวุธนิวเคลียร์ มันเป็นเรื่องที่ต้องทำและยากเย็น แต่เราก็สามารถทำได้ดีพอสมควร.....

..... แต่ปัจจุบัน มีผู้ร่วมเล่นใหม่โผล่เข้ามาเพิ่ม กองกำลังใหม่ เทคโนโลยีใหม่ ก็เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดความสัมพันธ์ในโลกเสียใหม่ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นโยบายด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอมริกา จึงจำต้องมีความเปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านที่ต้องระมัดระวัง และในแง่ของการจัดลำดับ.......

...... เรื่องของโลกไซเบอร์ เป็นตัวอย่างที่เห็นชัด มันไม่เคยอยู่ในหัวข้อที่เราต้องหารือกันในคนรุ่นก่อน.....แต่ปัจจุบัน กลับเป็นเรื่องใหญ่ ที่กินเวลาส่วนมากในวาระการหารือของเรา.... มันมีส่วนคล้ายกับสมัยช่วงปี ค.ศ.1940 ถึง 1950 ที่เราต้องหารือกันมากมาย เกี่ยวกับเรื่องอาวุธนิวเคลียร์...

......ทั้งในตอนนั้น และในตอนนี้ เรื่องของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของโลก มันเป็นได้ทั้งสองทาง ทั้งด้านสร้าง และ ด้านทำลาย และในบางกรณี..... นโยบายแบบท้าทาย ที่มาจากเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับไซเบอร์และอินเตอร์เนต อาจสร้างการคุกคามได้มากกว่าอาวุธนิวเคลียร์เสียอีก เพราะผู้ที่เข้ามาร่วมเล่น ไม่ว่าจะเป็นเล่นเดี่ยว หรือเล่นเป็นกลุ่ม หรือเป็นรัฐบาล มีจำนวนมากกว่าตอนเล่นกันเรื่องนิวเคลียร์....

...... และนี่เป็นเรื่องที่เราเห็นว่า มันมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างกฏกติกา มีหน่วยงานสากลคอยกำกับดูแล พฤติกรรมการใช้ และสร้างกลไกในการระงับการใช้ หากไม่เป็นไปตามกฏกติกานั้น......"
อ่านสาส์นท่านประธานแล้ว ก็ดูเหมือนว่า CFR น่าจะให้ราคาเรื่องสงครามไซเบอร์สูงจริงๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องการตลาด อย่างที่บางสื่อนินทากัน ขณะที่เกือบทุกสื่อ (ถูกสั่งให้) ออกแต่ข่าวรายงานเกี่ยวกับตะวันออกกลางเป็นส่วนใหญ่ และตอนนี้ เมื่อข่าวตะวันออกกลางไม่มีให้เล่น เพราะคุณพี่ปูติน คงอ่านนิทานมาก บอกว่า ยังไม่อยากไปติดหล่มในซีเรีย ขอให้เด็กๆกลับไปเยี่ยมสาวรัสเซีย สักพักก่อนแล้วจะกลับมา ตอนนี้สื่อก็คงได้รับคำสั่ง ให้เล่นข่าวเรื่องบรัสเซล ไปอีกนาน และสงสัยจะมีรายการแถมว่า ที่นั่น ก็มีสิทธิ ที่โน้น ก็ต้องระวัง ป้ายลวงผลิตกันแทบไม่ทัน แต่ขณะเดียวกัน อเมริกาอาจจะกำลังขมักเขม้น เตรียมตัวติดเครื่องเต็มอัตรา สำหรับสงครามโลก ที่กำลังเดินทางมา....

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
26 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
ภาพประกอบจาก google



นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
ตอน 18 (ตอนจบ)

อาจมีคนสงสัยว่า ทำไมท่านประธาน CFR ถึงมองจุดระอุของโลก ไปที่เรื่องสงครามไซเบอร์ มากกว่าเรื่องการปั่นจิ้งหรีดแถวตะวันออกกลาง ทั้งๆที่นักวิเคราะห์การเมือง ต่างประสานเสียงว่า เรื่องปั่นจิ้งหรีดมันน่าจะเป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 3 ด้วยซ้ำ

หรือเพราะสาส์นจากท่านประธาน CFR ออกมาตอนช่วงกลางปี ค.ศ.2015 ซึ่งตอนนั้น คุณพี่ปูตินของผม ยังไม่ได้พาเด็กๆไปตั้งแคมป์แถวซีเรียเลย ท่านประธาน ท่านก็เลยไม่มีการพูดถึงสนามปั่นจิ้งหรีด...

ลองอ่านป้ายกันดู......ผมไปเจอเอกสารอีกชิ้น เป็นข่าวแจก news releaseของ CFR จั่วหัว "CFR Survey Ranks Syria's Civil War Top Priority in 2016" ลงวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ.2015 เกี่ยวกับการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เพื่อหามาตรการป้องกันผลประโยชน์ของอเมริกา ย้ำ ผลประโยชน์ของอเมริกานะครับ ไม่ใช่ของโลก ไม่ใช่ของเรา ....ใครในบ้านเรา ที่กำลังทำอะไรให้ CFR ก็ช่วยอ่านบทความของ CFR ให้เข้าใจชัดๆ ...

CFR บอกว่า The Center for Preventive Action (CPA) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของ CFR ได้ทำการสำรวจความเห็นจากบุคคลทั่วไป เกี่ยวกับการขัดแย้งในโลก และเชิญผู้ชำนาญการจากภาครัฐ มาช่วยเอาความเห็นนั้นมาประมวล และจัดอันดับความขัดแย้ง สรุปให้เกิดความชัดเจนว่า ความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในโลกนี้และหากยังดำเนินอยู่ในปี ค.ศ.2016 ความขัดแย้งใดบ้าง ที่จะมีผลกระทบต่ออเมริกา และผลประโยชน์ของอเมริกา

จากการสำรวจ ความขัดแย้งในความเห็นของสาธารณชน มีเกือบ 1,000 เหตุการณ์ แต่ได้ถูกผู้ชำนาญการ กรองลงมาเหลือประมาณ 30 เหตุการณ์ โดยจัดแบ่งเป็น 3 ระดับ เรียงตามขัดแย้ง ที่รุนแรงสูง ปานกลาง และน้อยสุด

ผลการสำรวจ การขัดแย้งที่อยู่ในระดับรุนแรงสูงมี 11 รายการ 8 รายการเป็นเรื่องเกี่ยวกับตะวันออกกลาง และเรื่องสงครามซีเรีย มาเป็นอันดับหนึ่ง ของความขัดแย้งรุนแรงสูง ทั้งในเชิงความเป็นไปได้ และมีผลกระทบต่อเนื่อง ในขณะที่การสำรวจเรื่องซีเรียในปีก่อน ความรุนแรง ยังอยู่ในระดับปานกลาง

การขัดแย้งอื่นๆ ที่ถือเป็นการคุกคามผลประโยชน์ของอเมริกา ในระดับรุนแรงสูง

- การที่ประชาชนถูกโจมตีเป็นจำนวนมากในอเมริกา หรือในประเทศพันธมิตรของอเมริกา
(หมายเหตุ : รายการสำรวจนี่ ยังกับมีตาทิพย์เห็นว่า จะมีเหตุการณ์ บรัสเซล สยอง!)

- การโจมตีทางไซเบอร์ ต่อสาธารณูปโภคของอเมริกา จนการใช้งานมีปัญหา หรือใช้งานไม่ได้

- การมีปัญหากับเกาหลีเหนือ

- ปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมืองของประเทศในกลุ่มอียู ที่มาจากปัญหาเรื่องผู้อพยพ หรือผู้ลี้ภัย

- ความไม่สงบในลิเบีย

- การกระทบกันระหว่าง อิสราเอลกับปาเลสไตน์

- เหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองในตุรกี

- ความไม่มั่นคงทางการเมืองในอียิปต์

- ความรุนแรงของความไม่สงบ ที่เกิดขึ้นในอาฟกานิสถาน

- การแตกแยกในอิรัคที่จะเพิ่มสูงขึ้น จากการกระทบกันระหว่างไอซิส และพวกสุนนี่/ชีอ่ะ

เห็นฝีมือวางป้ายของ CFR ไหมครับ มือลวงชั้นหนึ่งจริงๆ....

การสู้รบในซีเรีย เป็นอันดับหนึ่ง เพราะสื่อเกือบทั้งโลกเสนอข่าว อย่างรุนแรง ทุกรูปแบบเกือบทุกวัน ตั้งแต่ช่วงหลังของปี ค.ศ.2015 และนักวิเคราะห์ข่าวก็นำเสนอในทำนองนั้นเช่นเดียวกัน เราถูกกรอกหู กรอกหัว กรอกตา อยู่เกือบทุกวัน มาหลายเดือนเต็มที ไม่เอ่ยเรื่องซีเรียก็เชยตายโหง และอเมริกาก็ย่อมมีแผน ที่จะสร้างให้ตะวันออกกลางโดยเฉพาะซีเรีย เป็นกับดักรัสเซียและอิหร่าน รวมทั้งเอาไว้ขู่อียูเรื่องผู้ลี้ภัย จะได้ไม่แตกแถวอยู่แล้ว กระสุนนัดเดียว โหมเรื่องซีเรียให้สาหัส ไม่ว่าฝ่ายไหนนึกถึงซีเรีย ก็ฝันร้ายทั้งนั้น ไม่ให้เป็นอันดับหนึ่งได้อย่างไร

มาวันนี้ แทบไม่มีสื่อออกข่าวเรื่องซีเรีย ซีเรียไม่ร้อนแล้ว เพราะเขาว่า รัสเซียถอนกำลังออกไปจากซีเรียแล้ว แปลว่า ที่ร้อน เพราะรัสเซียเป็นต้นเหตุสินะ ไอ้พวกที่ปั่นหัวหยอดน้ำมันเติมเงิน ให้คนเขาไปรบกันตายห่าไปกี่แสน บ้านแหลกไปกี่ล้าน พวกมึงไม่เกี่ยว ไม่ผิด ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่เดือดเนื้อร้อนหนัง เลยหรือไง

ขณะเดียวกัน เรื่องสงครามไซเบอร์ ที่ CFR ให้ความสนใจสูงมาก จะด้วยแรงผลักดัน หรือ แรงฝ่อจากอะไรก็ตาม กลับไม่เอาไว้ในอันดับ 1 อันนี้สงสัยต้องวิเคราะห์ การวิเคราะห์ของ CFR อีกที CFR หรือ อเมริกานั่นเอง น่าจะมีแผน ที่คิดจะใช้อาวุธไซเบอร์ กับฝ่ายอื่นมากกว่า หลังจากกวาดธุรกิจไอทีใหญ่ๆมาอยู่ในกระเป๋า หรืออยู่ฝ่ายตัวมากว่า 10 ปีแล้ว ยิ่งได้อุปกรณ์อย่างเจ้าจิ๋ว ของ Freescale ไปครอง อเมริกาคงคิดว่าตัวเองได้เปรียบ .....

ส่วนความเห็นกรณีที่ประชาชนจำนวนมากในอเมริกา หรือในประเทศที่เป็นพันธมิตรของอเมริกาถูกโจมตี อันที่จริงน่าจะกระทบต่ออเมริกา หรือผลประโยชน์ของอเมริกาเป็นอันดับ 1 แทนที่จะเป็นเรื่องซีเรีย แต่ไม่มีทางหรอกครับ ที่ CFR จะนำมาจัดไว้เป็นอันดับ 1 เพราะมันจะแสดงถึงความไม่เชื่อมั่นของประชาชนชาวอเมริกัน ที่มีต่อรัฐบาลตัว อเมริกามหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ไร้น้ำยาในการดูแลประชาชน และเพื่อนของตน แบบนี้ให้อยู่อันดับ 1 ไม่ได้ อเมริกาเสียหน้าตายชัก จึงต้องไม่เอาขึ้นมาเป็นลำดับ 1 ขณะเดียวกัน ก็เหมือนอเมริกา ไม่ได้ให้น้ำหนักเกี่ยวกับการเสียชีวิตของใคร ไม่ว่าเป็นพลเมืองของตัว หรือพลเมืองอื่น
แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ บรัสเซลสยอง เรื่องถูกคุกคามในเรื่องนี้ ยิ่งเอาขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งไม่ได้ มันจะโจ้งครึ่ม เปิดเผยกันมากไปหน่อย....

และที่น่าคิดอีกมุม คือ การเอาเรื่องซีเรีย มาไว้อันดับหนึ่ง นอกเหนือจากแสดงให้เห็นถึงความสามารถ ของสื่อโรงงานฟอกย้อมแล้ว ถ้ากลับไปอ่านสาสน์ของท่านประธาน CFR ประกอบ จะเห็นเงาของความรู้สึก ที่อเมริกามีต่อรัสเซีย ที่ไม่ว่าสมัยไหน ก็คงเปลี่ยนแปลงยาก

เห็นไหมครับ การสำรวจความเห็น ยังอาจเป็นป้ายลวง เป็นการตบแต่ง...

คงมองเห็นกันแล้วนะครับว่า ป้ายลวง หรือป้ายปลอม มันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วเราจะเชื่ออะไร โดยไม่กรอง ไม่กรอง ไม่ตรองกันบ้างเชียวหรือ..
(พรุ่งนี้ จะมีบทส่งท้ายแถมครับ)

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
27 มี.ค. 2559
หมายเหตุ : เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย


นิทานเรื่องจริง เรื่อง "ป้ายลวง"
บทส่งท้าย

มันคงไม่ง่ายนะครับ ที่เราจะรู้ว่า อันไหนเป็นป้ายจริง ป้ายลวง ยิ่งถ้ามันตั้งใจลวง หรือตั้งใจปลอม มาตั้งแต่ต้นทาง ไม่ว่าจะมาทางไหน หนทางลวง มันมีแยะจะตาย ไม่ชำนาญทาง ดูป้ายไม่ออก ก็คงมีตกหลุม ลงข้างทางกันบ้าง แต่อย่าถึงกับตกหล่ม ต้องเรียกรถมาลากก็แล้วกัน ....แต่ถ้าเราฝึกดูป้าย หัดสังเกต หัดติดตามสถานการณ์ โดยไม่ตามแต่ข่าวสด ประเภท ตายกี่คน เรือรบกี่ลำ ปืนกี่กระบอก ตามแต่ข่าวอย่างนั้น มันก็ให้เรารู้ข่าว แต่อาจไม่เข้าใจเรื่อง ....

โลกเราตอนนี้ ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ปรกติ เปรียบเหมือนคนร่างกายไม่ฟิต น้ำหนักลดซิกซ์แพกฟีบหายหมด แถมมี ไข้รุมๆ ตัวลาย ผิวช้ำ แขนชา บางทีมีน้ำลายฟูมปาก ไม่รู้เจออะไรเข้าไปบ้าง อาการแบบนี้มีให้เห็นแล้ว ไม่ว่าด้านการเมือง หรือการกระเป๋า ทั้งนอกบ้าน และ ในบ้าน แต่จะมองเห็นกัน และคิดว่าจะกระทบตัวเรา และบ้านเมืองเราขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่า เรา "รู้" เรื่องราวจริงแท้ แค่ไหน ดูป้ายลวง ป้ายจริง ออกหรือไม่

เรื่องของสงครามไซเบอร์นั้น ถ้าเราติดตามสถานการณ์การเมืองระดับโลก หรือธุรกิจระดับโลก เราจะเห็นเงาความเคลื่อนไหว ของสงครามไซเบอร์ ว่า ได้มีการทดสอบซึ่งกันและกัน ทั้งด้านอาวุธที่ใช้ระบบไอทีเป็นตัวกำกับ และการเจาะข้อมูลไม่ว่าด้านความมั่นคง หรือด้านธุรกิจ ระหว่าง อเมริกา รัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือ มาหลายรอบแล้ว ล่าสุด มีข่าวว่าอิหร่าน ก็กำลังฟิต คิดจะร่วมเล่นกับเขาด้วย
ตัวตัดสินของสงครามโลกครั้งที่ 3 (ถ้าเกิด) จึงอาจไม่ใช่มีแต่ นิวเคลียร์

บทความเรื่อง Will a Mutual Sense of Vulnerability Create Cyber Deterrence Between US and China? เขียนโดย Adam Segal ซึ่งแม้จะเขียนลงในนิตยสาร Forbes ตั้งแต่วันที่ 12 เดือนเมษายน ค.ศ.2014 แต่ผมว่า ความเห็นบางอย่างในบทความนั้น ยังไม่ถึงกับเป็นของเก่าตกรุ่น (และน่าสังเกตว่า บทความนี้ เขียนหลังจากที่เครื่องบิน MH 370 หายไปประมาณ 1 เดือน!)

บทความดังกล่าวสรุปว่า ท่านนายพลเรือเอก Mike Rogers หัวหน้าศูนย์ US Cyber Command และผู้อำนวยการ ความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา ได้รายงานต่อคณะกรรมธิการรัฐสภาว่า จีน และอีก 1 หรือ 2 ประเทศ มีความสามารถที่จะปิดระบบ ที่เกี่ยวกับการใช้สาธารณูปโภคของอเมริกา ให้เกิดความโกลาหลหายนะได้ และหลายครั้ง ที่ฝ่ายจีนได้แฮ๊คเข้าไปในระบบเกี่ยวกับอุตสาหกรรมของอเมริกาด้วย
จีนปฏิเสธข่าวนี้ พร้อมกับโต้กลับว่า ศูนย์ Cyber Commander ของอเมริกาต่างหาก ที่จะสามารถทำเรื่องพวกนี้กับฝ่ายอื่นได้

เรื่องของสงครามไซเบอร์ เป็นของใหม่อย่างว่า มีผู้ร่วมเล่นหลากหลาย จึงยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าฝ่ายไหน แน่กว่าฝ่ายไหน ใครมีทีเด็ดกว่าใคร ตอนนี้ก็แค่ลองของเล็กๆน้อยไปก่อน แต่คนเขียนบทความ เขาสรุปได้น่าสนใจ...

"......สงครามไซเบอร์นั้น เกิดขึ้นง่ายกว่าสงครามนิวเคลียร์ ดังนั้น คนเล่นก็ต้องเลือกว่า จะเป็นฝ่ายรุก หรือฝ่ายรับ และผลที่ตามมาอาจจะทำให้ "เละ" ทั้ง 2 ฝ่าย......"

ผมเชื่อว่า "ถ้า" สงครามโลก ครั้ง ที่ 3 เกิดขึ้น เราอาจจะเห็นว่า อาวุธที่เขาใช้ต่อสู้กัน และอาจเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะ เหมือนดอกเห็ด เอ บอมบ์ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ก็อาจจะเปลี่ยนรูปแบบ มันอาจจะมาทั้งในรูปแบบของนิวเคลียร์ และรูปแบบของอาวุธในโลกไซเบอร์ อย่างเจ้าจิ๋ว ของ Freescale นั่นก็ได้

นิวเคลียร์ มาปุบ ก็จบปั๊บ เพราะตายเกลื่อน แต่ไซเบอร์ มาแล้ว เหมือนคนเป็นอัมพาต อาจไม่จบ ไม่ตายทันที แต่เดี้ยงทั้งประเทศ เรามีความพร้อมในการรับมือกับสิ่งเหล่านี้แค่ไหน ถามตัวเองดู ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน เราพึ่งกับ " ระบบไอที" ในรูปแบบต่างๆ มากน้อยแค่ไหน ถ้าวันใดระบบเหล่านั้น มันล่ม มันเดี้ยงไป เป็นระยะเวลานาน เราจะรับมือกับมันอย่างไร ได้นานแค่ไหน โดยเฉพาะชีวิตในเมือง

เขาว่า semiconductor นั้น ฐานใหญ่ที่ผลิต และฝีมือดี นอกเหนือจากที่จีน รัสเซีย เนเธอร์แลนด์ สวีเดนแล้ว สำหรับเอเซีย ไม่ได้อยู่ที่ ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน แต่อยู่ที่มาเลเซีย และไทย....

ของไทยอยู่ที่ไหนบ้าง ลองไปตามหากันครับ ทำไมน้ำท่วมในปี พ.ศ.2554 ฝรั่งถึงได้เต้นเป็นลิงเกาหมัด เพราะมันกลัวของมัน ที่จะเอามาใช้ทำลายโลก จะจมน้ำฉิบหายบัลลัยไม่เหลือ ของดีในประเทศเรา ที่มันห่วง หรือหวง ไม่ใช่มีแต่น้ำมัน กับอู่ตะเภาหรอกครับ ถ้ามันจะทำสงครามกัน การเร่งผลิตไอ้ไมโครชิพจิ๋วนี่ต่างหาก ที่มันห่วง

ระวังครับ ป้ายลวง คนลวงในบ้านเรา ยังมีอีกแยะ.... จะเอาบ้านเอาเมืองไว้ ก็ต้องหัดศึกษา ติดตาม อะไรจริง อะไรลวง ....

สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
28 มี.ค. 2559
หมายเหตุ :
เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย


ที่มาของข้อมูล นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น