วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

จิกโก๋ปากซอย สร้างวินมอไซด์

ตอนที่ 2 จิกโก๋ปากซอย สร้างวินมอไซด์
ตอนที่2/1
อเมริกาเป็นนักวางแผนตัวพ่อ อเมริกามีแผนสำหรับทุกประเทศเป้าหมาย ทุกขั้นตอน เขียนแผนอย่างละเอียด มีรายงานทุกเรื่องที่เห็นว่าสำคัญ เก็บเรื่องระบบทุนนิยมไว้ก่อน เด็กมันยังละอ่อนนัก เดี๋ยวมันตกใจ วิ่งหนีรอดตาข่าย จะกินอาหารอร่อยต้องใจเย็นๆ
แผนหมายเลข 1 สำหรับการเคี้ยวไทยของอเมริกา ตาม Pax Americana เน้นเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคง นำหน้า ดังนั้น ต้องเปลี่ยนประเทศไทยจากที่เป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรมให้ได้ก่อน เรื่องความมั่นคงอย่าเพิ่งถาม เดี๋ยวจะเห็นว่ามาอย่างไร
อเมริกาเป็นนักวางแผนที่มีจิตวิทยาสูง คนเราน่ะนะจะให้ทำอะไร มันต้องให้สบายกระเป๋าก่อน มีเงินแล้วมันถึงจะพูดกันรู้เรื่อง แหม! มันเดินตามกันเปี้ยบเลย ใครนะ ที่ใช้เงินเข้าล่อ แบบคุณพ่ออเมริกา
ดังนั้น ปี พศ 2501 อเมริกาจึงส่งผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก เป็นของขวัญให้รัฐบาลสฤษดิ์ มาเป็นทีมใหญ่ ไทยแลนด์ดีใจเหมือนได้แก้ว
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ทำการสำรวจประเทศไทยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ประมาณว่าแทบจะถลกผ้านุ่งคุณยายดูยังงั้นเชียวละ
สำรวจอยู่ 1 ปีจึงเสร็จ เสร็จแล้วก็ทำรายงานสำรวจชุดใหญ่ส่งให้คุณพ่อที่อเมริกา ชุดเล็กก็เสนอให้คุณป๋าผ้าขะม้าไทย
ผลสำรวจ สรุปว่า เพื่อทดแทนการนำเข้า ที่ทำให้ไทยแลนด์ขาดดุลย์การค้า ฝรั่งบอกว่าไทยควรเปลี่ยนจากประเทศกสิกรรม ทำการเกษตร มาเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทำการผลิตสินค้าส่งออก เขียนตามโผที่ล๊อกไว้เลย กองสลากเรายังล๊อกโผไม่ได้เท่านี้เลย ฉลาดชั่วมาก
รายงานสำรวจดังกล่าวเป็นไปตามใบสั่งคุณพ่ออเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย (ตอนนั้นเราก็เป็นประเทศด้อยนะ ไม่ต้องค้อน ) เปิดทางให้ทุนอเมริกัน เข้าไปลงทุนผลิตสินค้าอุตสาหกรรม นอกจากอเมริกาจะได้ประโยชน์ในการขยายการลงทุนแล้ว อเมริกาจะได้ขายเครื่องจักร และสาระพัดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในขบวนการผลิต เช่น พลังงานไฟ้ฟ้า น้ำมัน เขื่อน อุปกรณ์ เทคนิค อุปกรณ์การขนส่ง ฯลฯ ให้ไทยอีกด้วย
สิ่งที่ไทยได้ขายคือวัตถุดิบบางอย่างที่มีในประเทศและแรงงาน แค่นั้นเอง อืมมม คุ้มแสนคุ้ม...

ตอนที่2/2
คุณป๋าไทยเมื่อได้รับรายงานสำรวจฯ ก็เนื้อเต้นไปหมด เห็นโอกาสทองทำเงินอยู่ข้างหน้า งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข คุณป๋าไทยจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทันที ในปีพ.ศ. 2504 และนั่นคือกำเนิดสภาพัฒน์ฯ ที่เรารู้จัก
สภาพัฒน์ฯ ทำหน้าที่วางแผนพัฒนาเศษฐกิจประเทศไทยต้ังแต่ พ.ศ. 2504 ถึง ปัจจุบัน ตามแนวทางที่ฝรั่ง (หลอก) ให้ไทยเดิน
ควรรู้ด้วยว่า แผนพัฒนาเศษฐกิจประเทศไทย ฉบับที่ 1 ใช้รายงาน ธนาคารโลก ฉบับใบสั่งทั้งฉบับ แปลเป็นไทย ทำเป็นแผนแม่บท
ง่ายดีนะไม่ต้องเสียเวลา ไทยมีส่วนร่วมเพียงในฐานะผู้รับบัญชา ขอรับกระผม
นอกจากนี้แผนพัฒนาเศษฐกิจประเทศไทย ต้ังแต่ฉบับที่ 1 ถึง 6 เดินตามแนวทางรายงานธนาคารโลกทั้งสิ้น ปัจจุบันเป็น ฉบับที่ 11 ซึ่งก็ไม่มีแนวทางพัฒนาประเทศ ที่เหมาะสมขึ้น ซ้ำร้ายจะเละไปกว่าเดิม เพราะมีแต่จับฉ่าย
ควรรู้อีกด้วยว่า ในรายงานของ ธ โลก ไม่เน้นถึงการพัฒนาการปลูกข้าว ชึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทย ตรงกันข้าม ดันมีข้อเสนอให้เก็บพรีเมี่ยมข้าว! เอ! เรื่องนี้จะต้องโยงไปถึงเรื่องการรับจำนำข้าวของรัฐบาลปูเอ๋อจิงไหมเนี่ย
พอจะเห็นกันบ้างหรือยังว่า สิ่งที่เรียกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ของขวัญจากคุณพ่ออเมริกา แท้จริงแล้วเป็นบัวหิมะพันปีเพิ่มพลัง หรือ ยาละลายกระดูกสลายพลัง
นักล่าอาณานิคมรุ่นใหม่นี่เยี่ยมจริง ๆ
ดังนั้น การพัฒนาประเทศไทยก็เดินตามแนวที่คุณพ่ออเมริกากำหนด หรือกำกับ ผ่านหน่วยงาน World Bank, IMF, IFC, ADB ฯลฯ ที่เราขยันกู้เขามาตลอด พอมองออกหรือยังทำไม เขาถึงต้องตั้ง World Bank IMF ฯลฯ
สัญญาเงินกู้ทุกฉบับของ World Bank, IMF , IFC จะมีข้อกำหนดบังคับเรา ตามที่คุณพ่ออเมริกา ต้องการให้โลกเดินไปในทิศทางที่คุณพ่อและพวกต้องการ คือ ทุนนิยมเสรี นั่นเอง
อเมริกาสามารถควบคุม World Bank, IMF, IFC ได้ในกำมือ เพราะอเมริกาจ่ายเงินสนับสนุนสูงที่สุดมากกว่าประเทศอื่นๆ
พูดให้ชัด World Bank, IMF, IFC ก็เด็กในกระเป๋าอเมริกานั่นแหละ!

ตอนที่2/3
การพัฒนาประเทศจะเดินตามใบสั่งของคุณพ่ออเมริกาไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าราชการที่จูงง่าย
พร้อมเป็นขี้ข้า ไม่ว่าจะเป็นขี้ข้าฝรั่ง หรือนักการเมืองไทย เห็นๆกันอยู่ ต้ังกะสมัย 50ปีก่อน จนถึงเดี๋ยวนี้ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
ข้าราชการที่มีความสามารถ แต่พร้อมที่จะถูกฝรั่งหลอกใช้ (เอ๊ะ หรือเต็มใจ!) ที่เรียกกันว่า technocrat (technocrat ต้นแบบก็อย่างนายเกษม จาติกวนิชย์ นายอานันท์ ปันยารชุน นายอำนวย วีรวรรณ นั่นแหละ) ก็เป็นผู้รับแผนคุณพ่อฝรั่งมาดำเนินการ
Technocrat เหล่านี้มาจะไหนล่ะ? อ้า! เดี๋ยวต้องหาที่มาแบบ CSI (Crime Scene Investigation สำหรับผู้ไม่ได้ดูหนัง ดูแต่ละคร นึกถึงคุณหมอพรทิพย์หัวฟูคนเก่งของเราแล้วกัน ประเภทสืบจากศพอะไรทำนองนั้นแหละ!)
Technocrat เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากอังกฤษและอเมริกา มีความคุ้นเคยกับระบบการศึกษา ตำรับตำรา วิชาการ ความคิด ที่ฝรั่งแป๊ะติดใส่หัวเอาไว้ตั้งแต่สมัยไปเรียนหนังสือ ท่านเหล่านั้นก็มีวิชาความรู้เพิ่มพูน ฝรั่งสอนอะไร ก็จด ฝรั่งพูดอะไร ก็จำ ทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร (ฮา) กลับมาก็ฟิตเปรียะ เครื่องถ่ายอัดสำเนาไว้เต็ม
คิดว่าบ้านเมืองเราจะเจริญได้ ต้องดูจากที่ฝรั่งเขาพัฒนาบ้านเมืองเขา หาได้เคยมีสมองคิดได้ว่า บ้านเขากับบ้านเราน่ะ มันต่างกันขนาดไหน
ึดูภูมิประเทศ อากาศ ทรัพยากร ความถนัด ประเพณี ฯลฯ โอ้ยสาระพัด มันเหมือนกันตรงไหน ข้างหนึ่งหัวดำตัวเหลือง อีกข้างหนึ่ง หัวทองตัวขาวเผือด ข้างหนึ่งหนาวหิมะตก ข้างหนึ่งเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วม ยังคิดก็อบปี้ตะบี้ตะบันท่าเดียว เพราะถูกทำให้เชื่อว่า ฝรั่งนั้นฉลาดกว่าเรา สิ่งที่เขาคิด ดีกว่าที่เราคิด มันฝังหัว ตั้งกะไปเรียน prep school หรือ public school กับฝรั่งมาแล้ว
ดังนั้น เมื่อฝรั่งบอกเดินหน้าเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทุกท่านก็ลุย! เฮ้อ! เศร้าใจ

ตอนที่2/4
การพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ผิดไปเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ไข คนอะไรเดินใส่เสื้อติดกระดุมเขย่งมาเกือบ 60 ปี ยังไม่รู้ตัว
นิคมอุตสาหกรรม จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แล้วดอกเห็ดพวกนี้ไม่รู้เป็นอะไรก็ชอบขึ้นอยู่ตามที่ลุ่ม ซึ่งเป็นทางเดินของน้ำ ดูนิคมบางชัน นิคมแถวอยุธยา บางปะอิน เป็นตัวอย่างแล้วกัน ยิ่งนานวันดอกเห็ดก็แผ่ขยายบานกินเมืองเข้าไปลึกขวางทางไหลหลากของน้ำ ซึ่งมาประจำปี
ดังนั้น ปัญหาน้ำท่วมก็ยังจะมีอยู่ต่อไป ต้องใช้เรือดำน้ำกี่ลำ หญ้าแพรกเท่าไหร่ก็เอาไม่อยู่ ถ้ายังดันทุรังเดินใส่เสื้อกระดุมเขย่งกันอยู่อย่างนี้
นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องท่าเรือแหลมฉบัง ผาแดง แทนทาลั่ม นิคมอุตสาหกรรมระยอง โรงไฟฟ้าบ้านกรูด การวางท่อแก๊ส ฯลฯ ที่ไม่เข้ากับสภาพภูมิประเทศ และความเป็นอยู่ของท้องถิ่นนะ แค่นี้ก็น่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว
แหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ทั้งหลายสร้างรายได้ให้กับผู้ถือหุ้น อย่างมหาศาล คนท้องถิ่นได้แต่ค่าแรงวันละไม่กี่บาท แล้วใครเป็นผู้ถือหุ้น ก็คนต่างชาติส่วนใหญ่ บวกกับคนไทยขายชาติที่ถือหุ้นแทนฝรั่งไง คนท้องถิ่นไม่เคยเป็นผู้ถือหุ้น!
ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ทำกิน และที่สำคัญ สุขอนามัยของชาวบ้าน ไม่เคยเป็นปัจจัยที่ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุนต่างชาติ ให้ความสนใจหรือห่วงใย
ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุน ให้ความสนใจแต่ ผลผลิต และผลกำไรของพวกเขาเท่านั้น
ส่วนนักการเมืองไทย ก็นึกแต่ค่าหัวคิว ใต้โต๊ะ บนโต๊ะ ที่จะได้รับ รับแล้วเอาไปซุกไว้ที่ไหนดีหนอ หลังบ้าน ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า หรือซุกไว้กับคนรถ คนใช้ ฯลฯ แล้วประเทศได้อะไร ประชาชนได้อะไร เคยมีนักการเมืองหน้าไหนดูแลเราจริงๆจังๆ บ้าง


ที่มาของข้อมูล นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง ล่อหลอก ลงหม้อตุ๋น