วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาพที่ ๖๑ พระแม่น้ามหาปชาบดีโคตมี นำนางกษัตริย์บริวารไปทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุณี



ภาพที่ ๖๑
พระแม่น้ามหาปชาบดีโคตมี นำนางกษัตริย์บริวารไปทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุณี




ภายหลังพระเจ้าสุทโธทนะสิ้นพระชนม์แล้วไม่นาน   พระนางปชาบดีโคตมี  พระน้านางของ
พระพุทธเจ้า   หรือนัยหนึ่งพระชายาของพระเจ้าสุทโธทนะ   พร้อมด้วยนางกษัตริย์ผู้บริวาร   ได้เข้าไปเฝ้า
พระพุทธเจ้า  ซึ่งขณะนั้นยังเสด็จประทับอยู่ที่นิโครธาราม  กรุงกบิลพัสดุ์  เพื่อทูลขอบวช


พระนางทูลถามพระพุทธเจ้าว่า  ธรรมดาสตรีจะบวชในพระพุทธศาสนาได้ (อย่างบุรุษ) หรือ
ไม่พระพุทธเจ้าทรงตอบบ่ายเบี่ยงว่า  อย่าได้มายินดีในการบวชเลย  ทรงตอบอย่างนี้ถึงสามครั้ง


หลังจากนั้น   พระพุทธเจ้าเสด็จกลับกรุงไพศาลี    พระนางปชาบดีโคตมีพร้อมด้วยบริวารได้
ตามเสด็จไปอีก   คราวนี้ทุกนางต่างปลงผม   นุ่งห่มผ้าย้อมฝาดอย่างนักบวช  เข้าไปทูลขอบวชกับพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธอีก


พระนางจึงเข้าไปขอพึ่งพระบารมีพระอานนท์   เพื่อให้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงอนุญาต  พระอานนท์จึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า    กราบทูลขอร้องพระพุทธเจ้าให้ทรงอนุญาตให้พระนางปชาบดีโคตมี
และบริวารได้บวชเป็นนางภิกษุณี


พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธอยู่ถึงสามครั้ง  ในที่สุดจึงทรงอนุญาตอย่างมีเงื่อนไขว่า  ถ้าพระนาง ปชาบดีโคตมียอมรับ ครุธรรม ๘  ข้อได้  ก็จะให้บวชเป็นนางภิกษุณีได้  ครุธรรม  คือ  หลักการเบื้องต้นสำหรับสตรีที่จะบวชเป็นนางภิกษุณี  เช่นว่า  สตรีบวชเป็นนางภิกษุณีแล้ว แม้จะมีพรรษาตั้งหนึ่งร้อย  ก็จะต้องกราบไหว้พระภิกษุซึ่งบวชใหม่ในวันนั้น  จะต้องรักษาศีล ๖  ข้อไม่ให้ขาดอยู่จนครบสองปีก่อนจึงจะบวชได้  เป็นต้น 


พระนางปชาบดีโคตมีมีศรัทธาแรงกล้ามาก  จึงยอมรับและได้บวชเป็นนางภิกษุณีเป็นคนแรก
ในศาสนาพุทธ     แต่คณะสงฆ์ภิกษุณีก็อยู่ได้ไม่นาน    เพราะมีหลักฐานเชื่อได้ว่าสูญสิ้นไปก่อนพระพุทธเจ้านิพพานด้วยซ้ำไป   เหตุผลก็เพราะบทบัญญัติที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้น   เป็นดุจกำแพงล้อมนางภิกษุณีนั้น  เข้มงวดกว่าฝ่ายพระภิกษุหลายเท่า  จนคนไม่มีศรัทธาจริงๆ จะบวชอยู่ไม่ได้เลย