วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาพที่ ๕๒ พระราหุลแสดงความรักซาบซึ้งในพระพุทธองค์ผู้เป็นบิดา จนลืมทูลขอราชสมบัติ



ภาพที่ ๕๒
พระราหุลแสดงความรักซาบซึ้งในพระพุทธองค์ผู้เป็นบิดา จนลืมทูลขอราชสมบัติ




ในวันที่  ๗    นับตั้งแต่วันที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์    ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่เจ้า
ชายนันทะ   ผู้เป็นพระอนุชาของพระพุทธเจ้าได้บวชแล้ว    พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์บริวารได้เสด็จ
เข้าไปบิณฑบาต  ในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนะอีก


เจ้าชายนันทะเป็นรัชทายาทที่สองรองจากพระพุทธเจ้า      ที่จะครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้า
สุทโธทนะ  แต่เมื่อนันทะออกบวช  หรือที่จริงถูกพระเชษฐา  คือพระพุทธเจ้าทรงจับให้บวชเสียแล้ว  รัชทายาท  จึงตกอยู่แก่ราหุลกุมารผู้เป็นพระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ  หรือพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา


พระนางพิมพายโสธรา  พระมารดาของราหุล  ทรงเห็นเป็นโอกาสดี  เมื่อทรงทราบว่า  พระ
พุทธเจ้าเสด็จเข้ามารับบิณฑบาต  จึงแต่งองค์ให้ราหุลผู้โอรสงดงามด้วยเครื่องประดับของขัตติยกุมารแล้วชี้บอกราหุลว่า  "พระสมณะผู้ทรงสง่า  มีผิวพรรณเหลืองดังทอง  มีพระสุรเสียงไพเราะดุจเสียงพรหม  ที่พระสงฆ์สองหมื่นรูปแวดล้อมตามเสด็จ  นั่นแหละคือพระบิดาของเจ้า"


พระนางพิมพาตรัสบอกพระโอรสให้ไปทูลขอรัชทายาท  และทรัพย์สินที่เป็นสมบัติของพระบิดาทั้งหมด    ซึ่งยังมิได้ทรงโอนกรรมสิทธิ์ให้ใครเลย    พระนางบอกผู้โอรสว่า    ธรรมดาย่อมมีสิทธิที่จะ
ครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ของผู้เป็นบิดา


ในเวลาที่กล่าวนี้   ปฐมสมโพธิบอกว่าราหุลกุมารมีพระชนมายุได้  ๗  ปี  นับตั้งแต่ประสูติมา
ไม่เคยเห็นองค์ผู้ทรงเป็นพระบิดา     เพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรกก็เมื่อคราวพระพุทธเจ้าเสด็จยังกรุงกบิลพัสดุ์นี่เอง   เมื่อได้เห็นและได้เข้าเฝ้าโดยใกล้ชิด   ราหุลจึงเกิดความรักในพระพุทธเจ้ายิ่งนัก   เป็นความรักอย่างลูกจะพึงมีต่อพ่อ   ราหุลกราบทูลพระพุทธเจ้าประโยคหนึ่ง   ซึ่งถ้าจะถอดความให้เข้ากับสำนวนไทยก็ว่า  "อยู่ใกล้พ่อนี่มีความสุขเหลือเกิน"   แล้วกราบทูลขอรัชทายาท   และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของพระราชบิดา  ตามที่พระมารดาทรงแนะนำ


พระพุทธเจ้าไม่ตรัสว่ากระไร  ทรงฉันอาหารบิณฑบาตเสร็จแล้ว   ทรงอนุโมทนา   แล้วเสด็จกลับไปที่นิโครธารามพร้อมด้วยพระสงฆ์  โดยมีราหุลตามเสด็จเพื่อทูลขอสิ่งที่ทรงประสงค์ดังกล่าวไปด้วย