วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาพที่ ๓๒ กลับมาประทับโคนต้นไทร ท้อพระทัยในอันโปรดสัตว์ สหัสบดีพรหมต้องทูลวิงวอน




ภาพที่ ๓๒
กลับมาประทับโคนต้นไทร ท้อพระทัยในอันโปรดสัตว์ สหัสบดีพรหมต้องทูลวิงวอน




ประทับอยู่ภายใต้ต้นราชายตนะหรือไม้เกดครบ  ๗   วันแล้ว   พระพุทธเจ้าเสด็จแปรสถานที่
ประทับ กลับไปประทับอยู่ภายใต้ต้นอชปาลนิโครธหรือต้นไทร  ซึ่งเคยเสด็จไปประทับหนหนึ่งมาแล้ว  ครั้งนี้นับเป็นสัปดาห์ที่  ๕


ระหว่างที่ประทับอยู่  ณ ที่นี่  พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาถึงธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้มา  ทรงเห็นว่า    เป็นธรรมที่มีความหมายสุขุมละเอียด    ก็ทรงบังเกิดความท้อพระทัยว่า   จะมีใครสักกี่คนที่จะฟัง  ธรรมของพระองค์รู้เรื่อง  พระทัยหนึ่งจึงเกิดความมักน้อยว่าจะไม่แสดงธรรมเพื่อโปรดใครเลย


ท่านผู้รจนาคัมภีร์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า  ได้แต่งเรื่องสาธกให้เห็นเป็นปุคคลธิษฐานประกอบเข้า
ในตอนนี้ว่า พระดำริของพระพุทธเจ้าเรื่องนี้ได้ทราบไปถึงท้าวสหัมบดีพรหมในเทวโลก ท้าวสหัมบดีพรหมจึงตกพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงเปล่งศัพท์สำเนียงอันดังถึงสามครั้งว่า "โลกจะฉิบหายในครั้งนี้"


ปฐมสมโพธิว่า   "เสียงนั้นก็ดังแผ่ไปทั่วหมื่นโลกธาตุ    ท้าวสหัมบดีพรหมจึงพร้อมด้วยเทวา
คณานิกรลงมากราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรม"


ตอนท้าวสหัมบดีพรหมลงมาทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงธรรมโปรดชาวโลกนี้  กวี
ท่านแต่งเป็นอินทรวงศ์ฉันท์ภาษาบาลีไว้ว่า


    "พรหฺมา  จ  โลกาธิปตี  สหมฺปติ
กตฺอญฺชลี  อนฺธิวรํ  อยาจถ
สนฺตีธ  สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา
เทเสตุ  ธมฺมํ  อนุกมฺปิมํ  ปชํ"


แปลว่า  "ท้าวสหัสบดีพรหม  ประณมกรกราบอาราธนาพระพุทธเจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐว่า  
สัตว์ในโลกนี้  ที่มีกิเลสบางเบาพอที่จะฟังธรรมเข้าใจนั้นมีอยู่  ขอพระองค์ได้โปรดแสดงธรรมช่วยเหลือชาวโลกเทอญ"


ต่อมาภาษาบาลีที่เป็นฉันท์บทนี้       ได้กลายเป็นคำสำหรับอาราธนาพระสงฆ์ในเมืองไทยให้
แสดงธรรมมาจนทุกวันนี้