วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาพที่ ๖๗ ถึงเพ็ญเดือน ๓ พรรษาที่ ๔๕ พญามารเข้าเฝ้าทูลให้ เสด็จปรินิพพานทรงรับอาราธนา



ภาพที่ ๖๗
ถึงเพ็ญเดือน ๓ พรรษาที่ ๔๕
พญามารเข้าเฝ้าทูลให้ เสด็จปรินิพพานทรงรับอาราธนา


พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกประกาศพระศาสนาตามแคว้นและเมืองต่างๆ   เป็นเวลา  ๔๕  พรรษา
นับตั้งแต่วันตรัสรู้เป็นต้นมา พรรษาที่ ๔๕  จึงเป็นพรรษาสุดท้ายของพระพุทธเจ้า  และเป็นเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนมายุได้  ๘๐  ปี  นับแต่ประสูติเป็นต้นมา

พรรษาสุดท้าย   พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่เวฬุคาม  แขวงเมืองไพศาลี   ระหว่างพรรษา
ทรงพระประชวรเพราะอาพาธหนัก  จวนเจียนจะเสด็จนิพพาน  พระสงฆ์ทั้งปวงที่ยังเป็นปุถุชน หรือแม้แต่
พระอานนท์  องค์อุปัฏฐากต่างก็หวั่นไหว  เพราะตวามตกใจที่เห็นพระพุทธเจ้าประชวรหนัก   พระพุทธเจ้าตรัสบอกพระอานนท์ว่า   เวลานี้พระกายของพระองค์ถึงอาการชรามาก  มีสภาพเหมือนเกวียนชำรุด  ที่ซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่

ทรงหายจากอาพาธคราวนี้แล้ว  และเมื่อออกพรรษาแล้ว  พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอานนท์
เสด็จไปประทับที่ร่มพฤกษาแห่งหนึ่งในปาวาลเจดีย์   แขวงเมืองไพศาลี    เวลากลางวัน    พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอภาศนิมิตแก่พระอานนท์ว่า  'อิทธิบาทสี่'  (ชื่อของธรรมหมวดหนึ่งมี  ๔  ข้อ)   ถ้าผู้ใดได้บำเพ็ญได้เต็มเปี่ยมแล้ว  สามารถจะต่ออายุให้ยืนยาวไปได้อีกกำหนดระยะเวลาหนึ่ง

'โอภาสนิมิต'  แปลเป็นภาษาชาวบ้านว่าบอกใบ้   คือพระพุทธเจ้ามีพระชนมายุจะสิ้นสุดลงใน
ปีที่กล่าวนี้    จึงทรงบอกใบ้ให้พระอานนท์กราบทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนมายุยืนยาวต่อไปอีกระยะหนึ่ง  แต่พระอานนท์ท่านนึกไม่ออก  ทั้งๆ  ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกใบ้ถึง  ๓  หน

ปฐมสมโพธิบอกว่า   เมื่อพระอานนท์นึกไม่ออกเช่นนั้น  พระพุทธเจ้าจึงตรัสบอกพระอานนท์
ให้ไปนั่งอยู่ที่ใต้ร่มไม้อีกแห่งหนึ่ง  แล้วมารก็เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า  กราบทูลพระพุทธเจ้าให้เสด็จนิพพาน  พระพุทธเจ้าทรงรับคำแล้วทรงปลงอายุสังขาร

'ปลงอายุสังขาร'    แปลเป็นภาษาสามัญได้ว่ากำหนดวันตายไว้ล่วงหน้า     วันนั้นเป็นวันเพ็ญ
เดือนสาม  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  นับจากนี้ไปอีก  ๓  เดือนข้างหน้า  (กลางเดือนหก)    พระองค์จะนิพพานที่เมืองกุสินารา