วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาพที่ ๕๙ ทรงห้ามพระญาติฝ่ายพระบิดากับฝ่ายพระมารดา ซึ่งแย่งกัน ทดน้ำเข้านามิให้วิวาทกัน



ภาพที่ ๕๙
ทรงห้ามพระญาติฝ่ายพระบิดากับฝ่ายพระมารดา
ซึ่งแย่งกัน ทดน้ำเข้านามิให้วิวาทกัน




ภาพที่เห็นอยู่นั้นแสดงถึงเหตุการณ์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับเมืองพระญาติ  แต่คราว
นี้เสด็จมาลำพังพระองค์เดียว   เสด็จมาเพื่อทรงระงับสงครามระหว่างพระญาติทั้งสองฝ่าย   พระญาติฝ่าย
หนึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพุทธบิดา  ปกครองกรุงกบิลพัสดุ์  อีกฝ่ายหนึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพุทธมารดา  ปกครองโกลิยนคร  หรือเทวทหนครก็เรียก  ทั้งสองฝ่ายตั้งบ้านเมืองอยู่คนละริมฝั่งแม่น้ำโรหิณี  แล้วเกิดพิพาทกันในปัญหาเรื่องน้ำที่ทดขึ้นทำนา   เมื่อฝ่ายอยู่ทางเหนือน้ำทดน้ำจากแม่น้ำเข้านา   ฝ่ายทางใต้ก็ขาดน้ำ    ทั้งสองฝ่ายเปิดประชุมเพื่อตกลงกันก่อน    แต่ก็ตกลงกันไม่ได้จึงเกิดปะทะคารมกันอย่างรุนแรงถึงกับขุดบรรพบุรุษขึ้นมาประณามกัน


"ไอ้พวกสุนัขจิ้งจอกสมสู่กันเอง"  ฝ่ายที่ถูกด่าว่าอย่างนี้   เพราะต้นสกุลหลายชั่วคนมาแล้วได้
อภิเษกสมรสกันเองระหว่างพี่ชายกับน้องสาว


"ไอ้พวกขี้เรื้อน"  ฝ่ายตรงกันข้ามที่ถูกด่าตอบอย่างนี้  ก็เพราะต้นสกุลเป็นโรคเรื้อนถูกเนรเทศ
ออกนอกเมืองไปอยู่ป่า


ทั้งสองฝ่ายเตรียมกำลังคนคือทหารและอาวุธจะเข้าห้ำหั่นกัน  พระพุทธเจ้าทรงทราบเข้า จึง
เสด็จมาทรงระงับสงคราม  ทรงประชุมพระญาติทั้งสองฝ่ายแล้วทรงซักถามถึงต้นตอของตัวปัญหา


พระพุทธเจ้า "ทะเลาะกันเรื่องอะไร"
พระญาติ "เรื่องน้ำ  พระพุทธเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้า "ระหว่างน้ำกับชีวิตคนนี่อย่างไหนจะมีค่ามากกว่ากัน"
พระญาติ "ชีวิตคนมากกว่า  พระพุทธเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้า "ควรแล้วหรือที่ทำอย่างนี้"
พระญาติดุษณีภาพทุกคน ไม่มีใครกราบทูลเลย
พระพุทธเจ้า "ถ้าเราตถาคตไม่มาที่นี่วันนี้  ทะเลเลือดจะไหลนอง"
(โลหิตนที ปวัตติสสติ)


พระญาติทั้งสองฝ่ายเลยเลิกเตรียมทำสงครามกัน    เหตุการณ์ตอนนี้เป็นบทบาทสำคัญตอน
หนึ่งของพระพุทธเจ้า  เพราะเห็นความสำคัญนี้  คนรุ่นต่อมาจึงสร้างพระพุทธรูปขึ้นปางหนึ่งเป็นอนุสรณ์
ที่เรียกกันว่า "พระปางห้ามญาติ"  นั่นเอง