วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาพที่ ๕๔ ทรงพานันทะไปชมนางฟ้า พระนันทะใคร่จะได้เป็นชายา ทรงรับรองจะให้สมหวัง



ภาพที่ ๕๔
ทรงพานันทะไปชมนางฟ้า พระนันทะใคร่จะได้เป็นชายา ทรงรับรองจะให้สมหวัง




หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพุทธบิดา  และพระประยูรญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์เป็นเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์แล้ว  ได้เสด็จกรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ   พร้อมด้วยพระสงฆ์บริวารที่ตามเสด็จในการนี้  
พระภิกษุนันทะ  พระอนุชาผู้ถูกจับให้บวช  และราหุลสามเณรก็ได้ติดตามเสด็จไปด้วย


ต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์จำนวนมากได้เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี  แห่งแคว้นโกศล  
ซึ่งเป็นเมืองและแคว้นใหญ่พอๆ   กับกรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ  พระนันทะก็ได้ติดตามเสด็จไปด้วย


แต่ตลอดเวลานับตั้งแต่บวชแล้วเป็นต้นมา  พระนันทะไม่เป็นอันปฏิบัติกิจของสมณะ  ใจให้รุ่ม
ร้อนคิดจะลาสึกอยู่ท่าเดียว เพราะความคิดถึงนางชนบทกัลยาณี เจ้าสาวคู่หมั้นซึ่งกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับตน


ความเรื่องนี้ทราบถึงพระพุทธเจ้า    ครั้งนั้น   พระผู้มีพระภาคทรงจับท่านพระนันทะที่แขน แล้วทรงหายจากพระวิหารเชตวัน ไปปรากฏในเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์  เหมือนบุรุษมีกำลัง  พึงเหยียดแขนที่คู้ หรือพึงคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น ฯ


ก็สมัยนั้นแล นางอัปสรประมาณ  ๕๐๐  มีเท้าดุจนกพิราบ มาสู่ที่บำรุงของท้าวสักกะจอมเทพ 
ครั้งนั้นแล   พระผู้มีพระภาคตรัสกะท่านพระนันทะว่า  ดูกรนันทะ  เธอเห็นนางอัปสร  ๕๐๐  เหล่านี้ผู้มีเท้า
ดุจนกพิราบหรือไม่  ท่านพระนันทะทูลรับว่า  เห็น  พระเจ้าข้า ฯ


พ. ดูกรนันทะ  เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน  นางสากิยานีผู้ชนบทกัลยานี  หรือนางอัปสร
ประมาณ ๕๐๐ เหล่านี้ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบไหนหนอแลมีรูปงามกว่า น่าดูกว่า หรือน่าเลื่อมใสกว่า ฯ


น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   นางลิงผู้มีอวัยวะใหญ่น้อยถูกไฟไหม้  หูและจมูกขาด  ฉันใด   นางสากิยานีผู้ชนบทกัลยานี  ก็ฉันนั้นแล  เมื่อเทียบกับนางอัปสรประมาณ  ๕๐๐  เหล่านี้  ย่อมไม่เข้าถึงเพียงหนึ่ง
เสี้ยว   ไม่เข้าถึงเพียงส่วนหนึ่งของเสี้ยว  ไม่เข้าถึงเพียงการเอาเข้าไปเปรียบว่าหญิงนี้เป็นเช่นนั้น    ที่แท้นางอัปสรประมาณ  ๕๐๐  เหล่านี้มีรูปงามกว่า  น่าดูกว่า  และน่าเลื่อมใสกว่า  พระเจ้าข้า ฯ


พ. ยินดีเถิดนันทะ  อภิรมย์เถิดนันทะ  เราเป็นผู้รับรองเธอเพื่อให้ได้  นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ 
ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ ฯ


น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงรับรองข้าพระองค์เพื่อ  ให้ได้นางอัปสรประมาณ  ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบไซร้  ข้าพระองค์จักยินดี  ประพฤติพรหมจรรย์  พระเจ้าข้า ฯ 


ลำดับนั้นแล   พระผู้มีพระภาคทรงจับท่านพระนันทะที่แขน    แล้วทรงหายจากเทวดาชั้นดาว
ดึงส์ไปปรากฏที่พระวิหารเชตวัน  เหมือนบุรุษมีกำลังพึงเหยียด  แขนที่คู้  หรือคู้แขนที่เหยียด   ฉะนั้น  ภิกษุทั้งหลายได้สดับข่าวว่า    ท่านพระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาค   โอรสของพระมาตุจฉา  ประพฤติพรหมจรรย์เพราะเหตุแห่งนางอัปสร  ได้ยินว่า  พระผู้มีพระภาคเป็นผู้รับรองท่าน   เพื่อให้ได้นางอัปสรประมาณ  ๕๐๐  ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ ฯ 


ครั้งนั้นแล    ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสหายของท่านพระนันทะ   ย่อมร้องเรียกท่านพระนันทะด้วยวาทะว่าเป็นลูกจ้าง  และด้วยวาทะว่าผู้อันพระผู้มีพระภาคทรงไถ่มาว่า   ได้ยินว่า  ท่านพระนันทะเป็นลูกจ้าง ได้ยินว่า   ท่านพระนันทะเป็นผู้ที่พระผู้มีพระภาคทรงไถ่มา   ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพราะเหตุนางอัปสรได้ยินว่า  พระผู้มีพระภาคทรงเป็นผู้รับรองท่าน เพื่อให้ได้นางอัปสร  ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ ฯ 


ครั้งนั้นแล  ท่านพระนันทะอึดอัดระอาเกลียดชังด้วยวาทะว่า  เป็นลูกจ้าง และด้วยวาทะว่าเป็น
ผู้อันพระผู้มีพระภาคทรงไถ่มาของพวกภิกษุผู้เป็นสหาย   จึงหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว  ไม่ประมาท  มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ไม่นานนักก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม  ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น   ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน   เข้าถึงอยู่   รู้ชัดว่า   ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว  กิจที่ควรทำทำสำเร็จแล้ว  กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี  ก็ท่านพระนันทะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง  ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ 


ครั้งนั้นแล   เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว  เทวดาตนหนึ่งมีวรรณะ  งามยิ่งนัก  ยังพระวิหารเชตวัน
ทั้งสิ้นให้สว่างไสว    เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ   ถวายบังคมแล้ว   ได้ยืนอยู่  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง   ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ท่านพระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาค โอรสของพระมาตุจฉาทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ  ปัญญาวิมุติ  อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป  ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่   แม้ญาณก็ได้เกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคว่า  พระนันทะทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ  อันหาอาสวะมิได้  เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ฯ


ครั้นพอล่วงราตรีนั้นไป    ท่านพระนันทะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ   ถวายบังคมแล้ว  นั่งอยู่  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  พระผู้มีพระภาคทรงรับรองข้าพระองค์    เพื่อให้ได้นางอัปสร  ๕๐๐  ผู้มีเท้าดุจนกพิราบ  ข้าพระองค์ขอปลดเปลื้อง
พระผู้มีพระภาคจากการรับรองนั้น    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรนันทะ  แม้เราก็กำหนดรู้ใจของเธอด้วยใจ
ของเราว่า    นันทะทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ   ปัญญาวิมุติ   อันหาอาสวะมิได้  เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่  แม้เทวดาก็ได้บอกเนื้อความนี้แก่เราว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ท่าน พระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาคโอรสของพระมาตุจฉา ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ  ปัญญาวิมุติ  อันหาอาสวะมิได้  เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป  ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน  เข้าถึงอยู่    ดูกรนันทะ   เมื่อใดแล  จิตของเธอหลุดพ้นแล้ว  จากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น  เมื่อนั้น  เราพ้นแล้วจากการับรองนี้ ฯ


ลำดับนั้นแล  พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว  ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
         ภิกษุใดข้ามเปือกตมคือกามได้แล้ว  ย่ำยีหนาม  คือกามได้แล้ว  ภิกษุนั้นบรรลุถึงความสิ้นโมหะ  
ย่อมไม่หวั่นไหวในเพราะสุขและทุกข์ ฯ