วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาพที่ ๗ ทรง ประลองศิลปศาสตร์ยกศรอันหนัก ดีดสายศรเสียงสนั่นกระหึ่มเมือง




ภาพที่ ๗
ทรง ประลองศิลปศาสตร์ยกศรอันหนัก ดีดสายศรเสียงสนั่นกระหึ่มเมือง


พอเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระชนมายุพอสมควรแล้ว    พระราชบิดาจึงทรงส่งไปศึกษาศิลป
วิทยาที่สำนักครูที่มีชื่อว่า 'วิศวามิตร'  เจ้าชายทรงศึกษาการใช้อาวุธ และการปกครองได้ว่องไวจนสิ้นความ
รู้ของอาจารย์

ภาพที่เห็นนี้  เป็นตอนเจ้าชายสิทธุตถะทรงมีพระชนมายุได้  ๑๖  ปีแล้ว  และทรงศึกษาศิลป
วิทยาจบแล้ว  พระราชบิดาจึงตรัสสั่งให้สร้างปราสาท ๓  ฤดู  เป็นจำนวน ๓ หลัง ให้ประทับเป็นที่สำราญ
พระทัย  ปราสาทหลังที่หนึ่งเหมาะสำหรับประทับในฤดูหนาว  หลังที่สองสำหรับฤดูร้อน  ทั้งสองหลังนี้จะ
มีอะไรเป็นเครื่องควบคุมอุณหภูมิไม่ทราบได้  และหลังที่สามสำหรับประทับในฤดูฝน

หลังจากนั้น  พระราชบิดาได้ทรงแจ้งไปยังพระญาติวงศ์ทั้งสอง  คือฝ่ายพระมารดาและฝ่าย
พระบิดา  ให้จัดส่งพระราชธิดามาเพื่อคัดเลือกสตรีผู้สมควรจะอภิเษกสมรสกับเจ้าชาย ทั้งนี้เพราะพระราชบิดาทรงต้องการจะผูกมัดพระราชโอรสให้เสด็จอยู่ครองราชสมบัติมากกว่าที่จะให้เสด็จออกทรงผนวช

แต่พระญาติวงศ์ทั้งปวงเห็นว่า  ควรจะให้เจ้าชายได้แสดงความสามารถในศิลปศาสตร์ที่ทรง
เล่าเรียนมาให้เป็นที่ประจักษ์แก่หมู่พระญาติก่อน   พระราชบิดาจึงอัญเชิญพระญาติวงศ์มาประชุมกันที่หน้าพระมณฑปที่ปลูกสร้างขึ้นใหม่  ณ ใจกลางเมืองเพื่อชมเจ้าชายแสดงการยิงธนู

ธนูที่เจ้าชายยิงมีชื่อว่า  'สหัสถามธนู'  แปลว่า  ธนูที่มีน้ำหนักขนาดที่คนจำนวนหนึ่งพันคนจึง
จะยกขึ้นได้  แต่เจ้าชายทรงยกธนูนั้นขึ้นได้  ปฐมสมโพธิให้คำอุปมาว่า   'ดังสตรีอันยกขึ้นซึ่งไม้กงดีดฝ้าย'
บรรดาพระญาติวงศ์ทั้งปวงได้เห็นแล้วต่างชื่นชมยิ่งนัก   แล้วเจ้าชายทรงลองดีดสายธนูก่อนยิง  เสียงสายธนูดังกระหึ่มครึ้มคราวไปทั้งกรุงกบิลพัสดุ์  จนคนทั้งเมืองที่ไม่รู้และไม่ได้มาชมเจ้าชายยิงธนู  ต่างถามกันว่านั่นเสียงอะไร

เป้าที่เจ้าชายยิงธนูวันนั้น  คือ  ขนหางทรายจามรีที่วางไว้ในระยะหนึ่งโยชน์  ปรากฏว่า  เจ้า
ชายทรงยิงถูกขาดตรงกลางพอดี   ทั้งนี้ท่านว่า   'ด้วยพระเนตรอันผ่องใสพร้อมด้วยประสาททั้ง  ๕    อันบริสุทธิ์อันปราศจากมลทิน'   พระญาติวงศ์ทั้งปวง  จึงยอมถวายพระราชธิดา  ซึ่งมีนางพิมพายโสธรารวมอยู่ด้วย  เพื่อคัดเลือกเป็นพระชายา