วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาพที่ ๖๙ รุ่งเช้าเสด็จกลับจากทรงบาตร เยื้องพระกายดูกรุงไพศาลี เป็นครั้งสุดท้าย



ภาพที่ ๖๙
รุ่งเช้าเสด็จกลับจากทรงบาตร เยื้องพระกายดูกรุงไพศาลี เป็นครั้งสุดท้าย




หลังจากพระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธคำทูลอาราธนาของพระองค์  เรื่องให้ทรงต่อพระชนมายุออก
ไปอีกระยะหนึ่ง  อย่าเพิ่งนิพพานเลย  แล้วพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอานนท์เสด็จไปยังกุฏาคารศาลา  ในป่ามหาวัน  แขวงกรุงไพศาลี


กุฏาคารศาคา  คือ  อาคารที่ปลูกเป็นเรือน  มียอดแหลมเหมือนยอดปราสาท  ป่ามหาวันเป็นป่า
ใหญ่ดงดิบ    คัมภีร์ศาสนาพุทธหลายคัมภีร์บันทึกไว้ตรงกันว่า  ป่าแห่งนี้เป็นที่อาศัยบำเพ็ญพรตของบรรดาฤาษี  นักพรต  นักบวช   พระพุทธเจ้า  และพระสงฆ์ก็เคยอาศัยป่าแห่งนี้เป็นที่ประทับ  และแวะพักหลายครั้ง  พระพุทธเจ้าเสด็จมายังป่ามหาวันแล้วประชุมพระสงฆ์  เพราะขณะนี้  ข่าวพระพุทธเจ้าจะนิพพานได้แพร่สะพัดไปทั่วแล้ว    พระพุทธเจ้าตรัสประทานโอวาทพระสงฆ์ที่ยังไม่สำเร็จมรรคผล   ให้รีบขวยขวาย   อย่าได้ประมาท  อย่าได้เสียใจว่าพระองค์จะนิพพานจากไปเสียก่อน


"ชนทั้งหลายเหล่าใด  ทั้งหนุ่มทั้งแก่  ทั้งพาลทั้งบัณฑิต  ทั้งมั่งคั่งทั้งยากไร้   ชนเหล่านั้นต่าง
ตายด้วยกันในที่สุด    ภาชนะดินที่ช่างหม้อปั้นแล้ว  ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่  ไม่ว่าเผาสุกหรือดิบ  ไม่ว่าขนาดไหน  มีแตกสลายในที่สุด  ชีวิตคนและสัตว์ทุกชนิดในโลกนี้ก็เหมือนกัน"


ความในอัญญประกาศ  คือ   พระพุทธดำรัสที่พระพุทธเจ้าประทานพระสงฆ์  ในการเสด็จมา
ยังป่ามหาวัน  ดังกล่าว


รุ่งขึ้นพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอานนท์ได้เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองไพศาลี    ตอนเสด็จ
ออกจากเมือง    พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระอาการทางพระกายซึ่งตามปกติไม่เคยทรงทำอย่างนั้นมาก่อนเลยไม่ว่าเสด็จจากเมืองใดๆ      คือเยื้องพระกายทั้งพระองค์พระองค์กลับทอดพระเนตรเมืองไพศาลี   เป็นอย่าง  'นาคาวโลก'  แปลว่า  ช้างเหลียวหลัง


ตรัสว่า  "อานนท์!   การเห็นเมืองไพศาลีครั้งนี้ของเรา   นับเป็นครั้งสุดท้าย   ต่อนี้ไปจักไม่ได้
เห็นอีก"  ครั้นแล้วตรัสว่า  "มาเดินทางต่อไปยังภัณฑคามกันเถิด"


ภัณฑคามเป็นตำบลแห่งหนึ่ง     ซึ่งอยู่ในระหว่างทางที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังเมืองกุสินารา  
ซึ่งเป็นเมืองที่พระองค์จะนิพพาน