ภาพที่ ๖๙
รุ่งเช้าเสด็จกลับจากทรงบาตร เยื้องพระกายดูกรุงไพศาลี เป็นครั้งสุดท้าย
หลังจากพระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธคำทูลอาราธนาของพระองค์ เรื่องให้ทรงต่อพระชนมายุออก
ไปอีกระยะหนึ่ง อย่าเพิ่งนิพพานเลย แล้วพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอานนท์เสด็จไปยังกุฏาคารศาลา ในป่ามหาวัน แขวงกรุงไพศาลี
กุฏาคารศาคา คือ อาคารที่ปลูกเป็นเรือน มียอดแหลมเหมือนยอดปราสาท ป่ามหาวันเป็นป่า
ใหญ่ดงดิบ คัมภีร์ศาสนาพุทธหลายคัมภีร์บันทึกไว้ตรงกันว่า ป่าแห่งนี้เป็นที่อาศัยบำเพ็ญพรตของบรรดาฤาษี นักพรต นักบวช พระพุทธเจ้า และพระสงฆ์ก็เคยอาศัยป่าแห่งนี้เป็นที่ประทับ และแวะพักหลายครั้ง พระพุทธเจ้าเสด็จมายังป่ามหาวันแล้วประชุมพระสงฆ์ เพราะขณะนี้ ข่าวพระพุทธเจ้าจะนิพพานได้แพร่สะพัดไปทั่วแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสประทานโอวาทพระสงฆ์ที่ยังไม่สำเร็จมรรคผล ให้รีบขวยขวาย อย่าได้ประมาท อย่าได้เสียใจว่าพระองค์จะนิพพานจากไปเสียก่อน
"ชนทั้งหลายเหล่าใด ทั้งหนุ่มทั้งแก่ ทั้งพาลทั้งบัณฑิต ทั้งมั่งคั่งทั้งยากไร้ ชนเหล่านั้นต่าง
ตายด้วยกันในที่สุด ภาชนะดินที่ช่างหม้อปั้นแล้ว ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าเผาสุกหรือดิบ ไม่ว่าขนาดไหน มีแตกสลายในที่สุด ชีวิตคนและสัตว์ทุกชนิดในโลกนี้ก็เหมือนกัน"
ความในอัญญประกาศ คือ พระพุทธดำรัสที่พระพุทธเจ้าประทานพระสงฆ์ ในการเสด็จมา
ยังป่ามหาวัน ดังกล่าว
รุ่งขึ้นพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอานนท์ได้เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองไพศาลี ตอนเสด็จ
ออกจากเมือง พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระอาการทางพระกายซึ่งตามปกติไม่เคยทรงทำอย่างนั้นมาก่อนเลยไม่ว่าเสด็จจากเมืองใดๆ คือเยื้องพระกายทั้งพระองค์พระองค์กลับทอดพระเนตรเมืองไพศาลี เป็นอย่าง 'นาคาวโลก' แปลว่า ช้างเหลียวหลัง
ตรัสว่า "อานนท์! การเห็นเมืองไพศาลีครั้งนี้ของเรา นับเป็นครั้งสุดท้าย ต่อนี้ไปจักไม่ได้
เห็นอีก" ครั้นแล้วตรัสว่า "มาเดินทางต่อไปยังภัณฑคามกันเถิด"
ภัณฑคามเป็นตำบลแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในระหว่างทางที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังเมืองกุสินารา
ซึ่งเป็นเมืองที่พระองค์จะนิพพาน