วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาพที่ ๒๕ ทรงลาดหญ้าคาประทับเป็นโพธิบัลลังก์ ตกเย็นพญามารก็กรีฑาพลมาขับไล่




ภาพที่ ๒๕
ทรงลาดหญ้าคาประทับเป็นโพธิบัลลังก์ ตกเย็นพญามารก็กรีฑาพลมาขับไล่




เหตุการณ์ที่เกิดกับพระมหาบุรุษตอนนี้เรียกว่า 'มารผจญ'  ซึ่งเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือนหก  ก่อน
ตรัสรู้ไม่กี่ชั่งโมง   พระอาทิตย์กำลังอัสดงลงลับทิวไม้   สัตว์สี่เท้าที่กำลังจะใช้งาทิ่มแทงพระมหาบุรุษนั้นมีชื่อว่า 'นาราคีรีเมขล์'  เป็นช้างทรงของพระยาวัสสวดีมารซึ่งเป็นจอมทัพ  สตรีที่กำลังบีบมวยผมนั้นคือพระนางธรณี  มีชื่อจริงว่า  'สุนธรีวนิดา'


พระยามารตนนี้เคยผจญพระมหาบุรุษมาครั้งหนึ่งแล้ว  คือ   เมื่อคราวเสด็จออกจากเมือง  แต่
คราวนี้เป็นการผจญชิงชัยกับพระมหาบุรุษยิ่งใหญ่กว่าทุกคราว   กำลังพลที่พระยามารยกมาครั้งนี้มืดฟ้ามัวดิน  มาทั้งบนเวหา  บนดิน  และใต้บาดาลขนาดเทพเจ้าที่มาเฝ้ารักษาพระมหาบุรุษต่างเผ่นหนีกลับวิมานกันหมดเพราะเกรงกลัวมาร


ปฐมสมโพธิพรรณนาภาพพลมารตอนนี้ไว้ว่า  "...บางจำพวกก็หน้าแดงกายเขียว  บางจำพวก
ก็หน้าเขียวกายแดง    ลางเหล่าจำแลงกายขาวหน้าเหลือง...บางหมู่กายลายพร้อยหน้าดำ...ลางพวกกายท่อนล่างเป็นนาค  กายท่อนต่ำหลากเป็นมนุษย์..."


ส่วนตัวพระยามารเนรมิตพาหาคือแขนซ้ายและขวาข้างละหนึ่งพันแขน    แต่ละแขนถืออาวุธ
ต่างๆ   เช่น   ดาบ  หอก  ธนู  ศร  โตมร  (หอกซัด)  จักรสังข์  อังกัส  (ของ้าวเหล็ก)   คทา  ก้อนศิลา  หลาวเหล็ก  ครกเหล็ก  ขวานถาก  ขวานผ่า  ตรีศูล  (หลาวสามง่าม)  ฯลฯ


เหตุที่พระยามารมาผจญพระมหาบุรุษทุกครั้ง  เพราะพระยามารมีนิสัยไม่อยากเห็นใครดีเกินหน้าตน    เมื่อพระมหาบุรุษจะทรงพยายามเพื่อเป็นคนดีที่สุดในโลก   จึงขัดขวางไว้   แต่ก็พ่ายแพ้พระมหาบุรุษทุกครั้ง   ครั้งนี้เมื่อเริ่มยกแรกก็แพ้   แพ้แล้วก็ใช้เล่ห์   คือ   กล่าวตู่พระมหาบุรุษว่ามายึดเอาโพธิบัลลังก์  
คือตรงที่พระมหาบุรุษประทับนั่ง   ซึ่งพระยามารตู่เป็นที่ของตน    พระยามารอ้างพยานบุคคลคือพวกพ้อง
ของตน  ฝ่ายพระมหาบุรุษทรงมองหาใครเป็นพยานไม่ได้  เทพเจ้าเล่าก็เปิดหนีกันหมด  จึงทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาออกจากชายจีวร      แล้วทรงชี้พระดัชนีลงยังพื้นพระธรณี    พระนางธรณีจึงผุดขึ้นตอนนี้เพื่อเป็นพยาน