วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาพที่ ๑๖ ทรงตัดโมลีถือเพศบรรพชา ณ ฝั่งน้ำอโนมา ฆฏิการพรหมถวายอัฐบริขาร




ภาพที่ ๑๖
ทรงตัดโมลีถือเพศบรรพชา ณ ฝั่งน้ำอโนมา ฆฏิการพรหมถวายอัฐบริขาร


เจ้าชายสิทธัตถะพร้อมด้วยนายฉันนะที่ตามเสด็จ   ทรงขับม้าพระที่นั่งไปตลอดคืน   ไปสว่างเอาที่แม่น้ำแห่งหนึ่ง  ซึ่งเป็นเขตแดนกั้นเมืองทั้ง ๓  คือ  กบิลพัสดุ์  สาวัตถี  และไพศาลี  ทรงถามนามแม่น้ำนี้กับนายฉันนะ  นายฉันนะกราบทูลว่า  "พระลูกเจ้า!  แม่น้ำนี้มีชื่อว่า  อโนมานที  พระเจ้าข้า"


ทรงพาม้าและมหาดเล็กข้ามแม่น้ำ  แล้วเสด็จลงจากหลังม้าประทับนั่งบนหาดทราย  อันขาวดุจแผ่นเงิน   พระหัตถ์ขวาจับพระขรรค์แสงดาบ   พระหัตถ์ซ้ายจับพระจุฬา   คือ   ยอดหรือปลายพระเกศา   กับพระโมฬี   คือ   มุ่นพระเกศา  หรือผมที่มุ่นเป็นมวย  แล้วทรงตัดด้วยพระขรรค์แสงดาบเหลือพระเกศาไว้ยาวประมาณ  ๒  นิ้ว  เป็นวงกลมเวียนไปทางขวา


เสร็จแล้วทรงเปลื้องพระภูษาทรงออก  แล้วทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ที่ฆฏิการพรหมนำมาถวายพร้อมด้วยเครื่องบริขารอย่างอื่นของนักบวช   แล้วทรงอธิษฐานเพศเป็นนักบวชที่บนหาดทรายริมฝั่งแม่น้ำอโนมานั่นเอง


ทรงมอบพระภูษาทรง   และม้าพระที่นั่งให้นายฉันนะนำกลับไปกราบทูลแจ้งข่าวแก่พระราชบิดาให้ทรงทราบ   นายฉันนะมีความอาลัยรักองค์ผู้เป็นเจ้านาย  ถึงร้องไห้กลิ้งเกลือกแทบพระบาทไม่อยากกลับไป  แต่ขัดรับสั่งไม่ได้  ด้วยเกรงพระอาญา


เจ้าชายหรือตั้งแต่นี้เป็นต้นไป  หนังสือพุทธประวัติเรียกว่า  'พระมหาบุรุษ'  ทรงลูบหลังม้าที่กำลังจะจากพระองค์กลับเมือง    ม้าน้ำตาไหลอาบหน้า   แล้วแลบชิวหาออกเลียพื้นฝ่าพระบาทของพระองค์ผู้เคยทรงเป็นเจ้าของ


ทั้งม้าทั้งคนคือนายฉันนะน้ำตาอาบหน้า    ข้ามน้ำกลับมาเมือง    แต่พอลับพระเนตรพระมหาบุรุษ  ม้ากัณฐกะก็หัวใจแตกออก  ๗  ภาค หรือหัวใจวายตาย  นายฉันนะจึงปลดเครื่องม้าออก  แล้วนำดอกไม้ป่ามาบูชาศพพญาสินธพ  แล้วฉันนะก็หอบพระภูษาทรงและเครื่องม้าเดินร้องไห้กลับเมืองคนเดียว