วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาพที่ ๑๒ ตื่นบรรทมกลางดึกเห็นสาวสนมกรมในนอนระเกะระกะ ระอาพระทัยใคร่ผนวช




ภาพที่ ๑๒
ตื่นบรรทมกลางดึกเห็นสาวสนมกรมในนอนระเกะระกะ ระอาพระทัยใคร่ผนวช




ตั้งแต่เจ้าชายสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็นเทวฑูตทั้งสี่แล้ว    ทรงตัดสินพระทัยแน่วแน่ว่าจะ
เสด็จออกบรรพชาเป็นต้นมา  แม้ว่าภายหลังจากนั้นจะทรงเกิดบ่วงขึ้นในพระทัย  คือทรงมีพระโอรสและมี
ความรัก  แต่ความที่ตั้งพระทัยไว้ว่าจะเสด็จออกบวชก็ไม่เปลี่ยนแปลง


ในคืนวันเสด็จกลับจากพระราชอุทยาน  ปฐมสมโพธิพรรณาไว้ตอนหนึ่งว่า "...วันนั้น  สมเด็จ
พระบรมโพธิสัตว์มีพระทัยยินดียิ่งนักในบรรพชา  กอปรด้วยพระปัญญาเป็นปราชญ์อันประเสริฐ  ปราศจาก
อาลัยในเบญจกามคุณ  มิได้ยินดีในฟ้อนขับแห่งนางทั้งหลาย  อันเป็นที่เจริญหฤทัยเห็นปานดังนั้น  ก็หยั่งลงสู่นิทรารมณ์ประมาณมุหุตหนึ่ง.." 
        มุหุตหนึ่งคือครู่หนึ่งภายในปราสาทที่เจ้าชายประทับอยู่ สว่างรุ่งเรืองด้วยประทีปโคมไฟที่  "ตามด้วยน้ำมันหอมส่งสว่างขจ่างจับแสงแก้วแสงทอง..."    บรรดานางบำเรอฟ้อนรำขับร้องที่อยู่เฝ้า     เมื่อเห็นเจ้าชายบรรทมหลับแล้วต่างก็เอนกายลงนอนทับเครื่องดนตรี


มุหุตหนึ่งคือครู่หนึ่ง  เจ้าชายตื่นบรรทมแล้วก็ทรงเห็นอาการวิปลาสของนางบำเรอ  ที่นอน
หลับไม่สำรวม   ปฐมสมโพธิพรรณาไว้ว่า  "แลนางบางจำพวกก็นอนกลิ้งเกลือก  มีเขฬะ (น้ำลาย)  อันหลั่งไหล   นางบางเหล่าก็นอนกรนสำเนียงดังเสียงกา   นางบางหมู่ก็นอนเคี้ยวทนต์   นางบางพวกก็นอนละเมอเพ้อฝันจำนรรจาต่างๆ บางหมู่ก็นอนโอษฐ์อ้าอาการวิปลาส  บางเหล่านางก็นอนมีกายเปลือยปราศจากวัตถาสำแดงที่สัมพาธฐานให้ปรากฏ..."


เจ้าชายเสด็จจากพระแท่นที่บรรทม    เสด็จลุกขึ้นทอดพระเนตรภายในปราสาทที่ประทับ  
แม้จะสว่างรุ่งเรืองด้วยดวงประทีป  และงามตระการด้วยเครื่องประดับ   แต่ทรงเห็นเป็นที่มืด  และทรง
เห็นเป็นดุจป่าช้าผีดิบ   สิ่งที่มีชีวิตที่ยังหายใจได้ที่กำลังนอนระเนระนาดปราศจากอาการสำรวมคือ  นาง
บำเรอปรากฏแก่พระองค์เป็นซากศพผีดิบในสุสาน   จึงออกพระโอษฐ์ลำพังพระองค์ว่า  "อาตมาจะออกสู่
มหาภิเนษกรมณ์ในสมัยราตรีนี้"    แล้วเสด็จไปยังพระทวารปราสาท      และตรัสเรียกมหาดเล็กเฝ้าพระ
ทวารว่า  "ใครอยู่ที่นั่น"