วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาพที่ ๒๐ เสด็จถึงอุรุเวลาเสนานิคมอันสงัดเงียบ ทรงพอพระทัยประทับบำเพ็ญเพียรที่นั่น




ภาพที่ ๒๐
เสด็จถึงอุรุเวลาเสนานิคมอันสงัดเงียบ ทรงพอพระทัยประทับบำเพ็ญเพียรที่นั่น




พระมหาบุรุษทรงอำลาท่านคณาจารย์ทั้งสองแล้วออกจากที่นั่น    แล้วเสด็จจาริกแสวงหาที่
สำหรับทรงบำเพ็ญเพียร    เพื่อทดลองทุกกรกิริยาที่คนสมัยนั้นนิยมทำกันดังกล่าว    แล้วเสด็จไปถึงตำบล
แห่งหนึ่ง    ซึ่งอยู่ในเขตแขวงมคธเหมือนกัน   มีนามว่า  'อุรุเวลาเสนานิคม'   อุรุเวลา   แปลว่า  กองทราย  
เสนานิคม  แปลว่า  ตำบล  หมู่บ้าน


พื้นที่ตำบลแห่งนี้เป็นที่ราบรื่น  มีแนวป่าเขียวสด  เป็นที่น่าเบิกบานใจ  มีแม่น้ำเนรัญชรา  น้ำ
ไหลใสสะอาด  มีท่าสำหรับลงอาบ มีหมู่บ้านตั้งอยู่โดยรอบ ไม่ใกล้เกินไป และไม่ไกลเกินไป  เหมาะสำหรับเป็นที่อาศัยเที่ยวบิณฑบาตของนักบวชบำเพ็ญพรต


อุรุเวลาเสนานิคม  ถ้าจะเรียกอย่างไทยเราก็คงจะเรียกได้ว่า 'หมู่บ้านกองทราย'  หรือหมู่บ้าน
ทรายงาม  อะไรอย่างนั้น


คัมภีร์อรรถกถาชื่อ  'สมันตปสาทิกา'  เล่ม  ๓  ซึ่งพระพุทธโฆษาจารย์ชาวอินเดีย  สมัยหลัง
พระพุทธเจ้านิพพานแล้วเป็นผู้แต่ง  ได้เล่าประวัติของกองทรายที่ตำบลนี้ไว้ว่า  ในอดีตสมัย  ที่นี่เคยเป็นที่บำเพ็ญเพียรของพวกนักพรตจำนวนมาก     นักพรตที่มาตั้งอยู่ที่นี่ตั้งระเบียบข้อบังคับปกครองกันเองไว้ว่า  ความผิดของคนที่แสดงออกทางกายและวาจานั้นพอมองเห็นได้   ส่วนทางใจไม่มีใครมองเห็นเลย   ใครจะคิดผิดคิดชั่วอย่างไรก็มองไม่เห็น    ลงโทษว่ากล่าวกันก็ไม่ได้   เพราะฉะนั้น   ถ้าใครเกิดคิดชั่ว   เช่น   เกิดอารมณ์ความใคร่ขึ้นมาเมื่อใดละก็    ขอให้ผู้นั้นลงโทษตัวเอง    โดยวิธีนำบาตรไปตักเอาทรายมาเทกองไว้  หนึ่งคนหนึ่งครั้ง   ครั้งละหนึ่งบาตร   เป็นการประจานตัวเองให้คนอื่นรู้  ด้วยเหตุนี้  ภูเขากองทราย  หรืออุรุเวลา  ซึ่งเสมือนหนึ่งอนุสรณ์แห่งกองกิเลสของพระฤาษีเก่าก่อนจึงเกิดขึ้น


สมัยพระพุทธเจ้า    บริเวณตำบลบ้านแห่งนี้ยังเรียกว่า   'อุรุเวลาเสนานิคม'   แต่มาสมัยหลัง  
กระทั่งทุกวันนี้เรียกบริเวณตำบลแห่งนี้ว่า  'พุทธคยา'  ซึ่งปัจจุบันวัดไทยพุทธคยาก็ตั้งอยู่ที่นั่น


พระมหาบุรุษทรงเลือกตำบลนี้เป็นที่บำเพ็ญทุกกรกิริยา   ซึ่งเป็นบททดลองอีกบทหนึ่งว่าจะ
เป็นทางตรัสรู้หรือไม่