วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาพที่ ๗๕ ทรงแสดงธรรมโปรดสุภัททะปริพาชกให้สำเร็จมรรคผล นับเป็นปัจฉิมเวไนย



ภาพที่ ๗๕
ทรงแสดงธรรมโปรดสุภัททะปริพาชกให้สำเร็จมรรคผล นับเป็นปัจฉิมเวไนย


พระอานนท์สร่างจากความเสียใจถึงร้องไห้แล้ว  ท่านก็เข้าไปแจ้งข่าวในเมืองตามพระดำรัส
รับสั่งของพระพุทธเจ้า  เพื่อรายงานให้เจ้ามัลลกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราทราบว่า   พระพุทธเจ้าจะนิพพานในตอนสิ้นสุดแห่งราตรีวันนี้แล้ว  แจ้งว่าใครจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ให้รีบไปเฝ้าเสียแต่ในขณะนี้   จะได้ไม่เสียใจเมื่อภายหลังว่าไม่ได้เฝ้า

พวกเจ้ามัลลกษัตริย์ที่กำลังประชุมกันอยู่ในเมือง        ด้วยเรื่องพระพุทธเจ้านิพพานต่างก็ถือ
เครื่องสักการะมาเฝ้าพระพุทธเจ้ากันเนืองแน่นที่สุด  แต่ละคนน้ำตานองหน้า  ร่ำไห้รำพันต่างๆ นานา  เมื่อทราบว่าพระพุทธเจ้าจะนิพพาน

ในจำนวนคนที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้าครั้งนี้  มีปริพาชกคนหนึ่งนามว่า  'สุภัททะปริพาชก'  คือ
นักบวชนอกศาสนาพุทธพวกหนึ่ง

สุภัททะปริพาชกเข้าหาพระอานนท์  ภายหลังเจ้ามัลลกษัตริย์แห่งเมืองกุสินาราได้เข้าเฝ้าแล้ว
บอกว่าใคร่จะขออนุญาตเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า    เพื่อทูลถามปัญหาบางอย่างซึ่งข้องใจมานาน     พระอานนท์ปฏิเสธปริพาชกผู้นี้ว่าอย่าเลย  อย่าได้รบกวนพระพุทธเจ้าเลย  เพราะตอนนี้กำลังจะนิพพาน

ขณะนั้น    พระพุทธเจ้าซึ่งทรงได้ยินการโต้ตอบกันระหว่างพระอานนท์กับสุภัททะปริพาชก
จึงตรัสบอกพระอานนท์ว่าพระองค์ทรงอนุญาตให้สุภัททะปริพาชกเข้าเฝ้าได้        เมื่อสุภัททะปริพาชกได้โอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า  จึงทูลถามปัญหาที่ข้องใจมานาน  ปัญหาข้อหนึ่งว่าสมณะผู้ได้บรรลุมรรคผลในศาสนาอื่นนอกจากพระพุทธศาสนามีหรือไม่    พระพุทธเจ้าตรัสว่า  ไม่มี   แล้วทรงแสดงธรรมให้ปริพาชกฟังโดยละเอียด

สุภัททะปริพาชกฟังแล้วเสื่อมใส    ทูลขอบวชเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้า   พระพุทธเจ้า
ตรัสว่านักบวชในศาสนาอื่นจะมาขอบวชเป็นพระภิกษุในศาสนาของพระองค์นั้น  จะต้องอยู่ปริวาสครบ  ๔  เดือนก่อนจึงจะบวชได้  สุภัททะปริพาชกกราบทูลพระพุทธเจ้าว่าอย่าว่าแต่  ๔  เดือนเลย จะให้อยู่ถึง  ๔  ปี  ก็ยอม

พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ    ให้พระสงฆ์จัดการบวชให้สุภัททะปริพาชกในคืนวันนั้น  สุภัททะปริพาชกจึงนับเป็นสาวกองค์สุดท้ายของพระพุทธเจ้า