วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วัดหนองป่าพง - คิลานะเภสัช


"ให้มันป่วยมากๆจนหายเอง ไม่ต้องฉันอะไรหรอก
จะหายเอง ถ้าไม่หายก็ให้มันตายไปเลย..."

 ยารักษาโรคนั้น คณะสงฆ์อาศัยสมุนไพรที่มีอยู่ตามป่า มาเยียวยาโรคภัยไข้เจ็บตามมีตามได้ และแม้ว่าหลวงพ่อจะเป็นผู้มีความรู้กว้างขวางในด้านนี้ แต่ท่านมักใช้ธรรมโอสถ คือความอดทน อดกลั้น พลังสมาธิ เป็นยาขนานเอกเสียมากกว่า

      “พูดถึงเรื่องยาบำบัดโรค เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย อยู่ที่นี่อาจารย์เที่ยงเป็นไข้หนักถึงกับไส้ติ่งแตก เจ็บท้องแต่ไม่ยอมไปโรงพยาบาล และสมัยนั้นก็ไม่มีใครเคยไปโรงพยาบาลเลย นับว่ามีความอดทนมากจริง ๆ แม้ตัวผมเอง ป่วยเป็นไข้อยู่ถึง ๓ ปี ก็ยังไม่เคยไปโรงพยาบาลเลยสักครั้งเดียว สู้มันอยู่นี่แหละ แล้วทำอย่างไรล่ะ ก็ต้มบอระเพ็ดใส่เกลือฉัน ใส่สมอฉันอยู่นี่แหละ ก็ดีมากเหมือนกัน ทางกายทุกข์ลำบากเหมือนกัน ถ้าไม่ถึงคราวตายก็ไม่ตายหรอก แต่ลำบากหน่อยเท่านั้นแหละ เพราะแต่ก่อนนี้มันไม่มียา ถ้าพระเณรองค์ไหนป่วยเป็นไข้ล่ะก็ เอ้า! อดทนนะ พระกรรมฐานไม่ต้องกลัว ถ้าตายลงผมจะช่วยเผาให้ ถ้าผมตายก็ให้เพื่อนเผานะ อย่าเอาไว้เลยมันทุกข์นี่ พูดกันอย่างนี้ เตือนสติกันอย่างนี้แหละ ไม่มีย่นย่อท้อถอยกัน เก่งกล้าสามารถกันจริง ๆ ไม่หวั่นวิตกว่า จะมีองค์ไหนหวั่นไหวอ่อนแอต่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เลย”

     หลวงพ่อเห็นว่ายามเจ็บไข้ เป็นโอกาสอันดี ที่จะเกิดความรู้ในทางธรรม ได้พิจารณาความเปลี่ยนแปลงไม่จีรังยั่งยืนของสังขาร จนเห็นว่าร่างกายเป็นรังทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นแค่ธรรมชาติอันหนึ่ง ในเรื่องนี้หลวงพ่อเป็นตัวอย่างอันดีอยู่เสมอ พระครูบรรพตวรกิตได้เล่าเหตุการณ์ตอนหลวงพ่ออาพาธในสมัยนั้นว่า

     “มีคราวหนึ่งท่านป่วยหนัก ลูกศิษย์เข้าไปเฝ้า อยู่เวรยามกัน อยู่ข้างนอก ๒ องค์สับเปลี่ยนกันทีละคู่ เข้าไปก็ถามและคลำตัวท่าน จะบีบนวดให้ท่านก็ไม่ยอม ท่านกลัวจะติดการบีบนวด ท่านบอกไม่เอา พวกเราก็ถอยออกมา ท่านก็นอนจับไข้อยู่ในห้อง เราก็ออกมาอยู่เฉลียงข้างนอก นั่งทำสมาธิหันหลังให้กัน ไม่พูดคุยกัน ท่านก็นอนป่วยอยู่อย่างนั้น ถึงเวลาบางขณะเราก็เข้าไปจับตัวท่านดู บางทีไข้ขึ้นก็ช่วยท่าน ทำอยู่อย่างนั้น

     มีวันหนึ่ง ไข้ขึ้นตอนบ่าย และมีแขกมาหาเป็นทหาร รออยู่ใต้ร่มมะไฟ ซึ่งยกพื้นขึ้นมาทำเป็นที่นั่ง ท่านก็ห่มผ้าลงมารับ แม้จะมีอาการปวดหัวและอาเจียน แต่ท่านก็อดทนต้อนรับเขาได้ ท่านป่วยเพราะระบบขับถ่ายขัด นาน ๆ ถึงจะถ่ายออกมา วันนั้นท่านเข้าห้องน้ำถ่ายออกมาได้เอาใบไม้รองรับ แล้วเอาออกไปวางไว้ตรงลานกุฏิ ท่านก็เรียกผมว่า อาจารย์จันทร์มาดูนี่ซิ มันเป็นอย่างนี้ถึงถ่ายไม่ออก
    ท่านอดทนมาก ยาก็ไม่มี หมอก็ไม่มี ไม่มีใครปวารณาหรอก ท่านจึงว่า ไม่ตายก็ให้มันดี ไม่ดีก็ให้มันตาย แต่เวลาที่ลูกศิษย์เจ็บไข้ได้ป่วย หลวงพ่อเอาใจใส่เมตตาเป็นพิเศษ ถ้ามีใครเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านไปถามเสียก่อน ถามอาการ ดูกระโถน ถ้าเต็มก็ช่วยนำไปล้างเช็ดให้ เสร็จแล้วลงไปจับไม้กวาด กวาดบริเวณกุฏิของลูกศิษย์ และเทศน์ธรรมะให้ฟัง เพื่อให้มีกำลังใจ เรียกว่าท่านทำตามพระวินัยทุกกระเบียดนิ้ว ส่วนยาแก้ไข้ไม่มีอะไรมาก แต่ท่านให้กำลังใจ บางรูปป่วยนานเป็นปี ท่านก็พยายามหายาที่เป็นสมุนไพร ซึ่งท่านได้ศึกษามาจากครูบาอาจารย์ หาต้นไม้ต่าง ๆ ที่เป็นยามารักษาพยาบาลกัน ตอนเช้าท่านก็เก็บอาหารเอาไว้ให้ด้วย”

     สมัยนั้นไข้มาเลเรียกำลังระบาด พระเณรรวมทั้งแม่ชีเป็นไข้ป่ากันงอมแงม แม่ชีสมัยนั้นจึงมีกิจวัตรในตอนเย็นเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง คือ การสับเถาบอระเพ็ดเตรียมไว้ทำยาแก้ไข มาเลเรียระบาดอยู่ ๓ ปี แต่เคราะห์ดีที่ไม่มีสมาชิกของวัดหนองป่าพงเสียชีวิตด้วยไข้ป่าเลย แม่ชีบุญยู้ได้เล่าถึงเหตุการณ์ตอนหนึ่ง ซึ่งหลวงพ่ออาพาธด้วยไข้มาเลเรียให้ฟังว่า


     “หลวงพ่อล้มป่วยลง เป็นไข้ป่าไม่สบายก่อนลูกวัดเสียอีก อาการหนักมาก ท่านให้เขาหามแคร่มาตั้งใต้ต้นไม้ เอาเสื่อมาปู เพราะท่านต้องการออกมานอนที่ใต้ร่มไม้ ญาติโยมก็มาเยี่ยม แต่ก่อนนั้นไม่มีหยูกมียาอะไรหรอก เรื่องโรงพยาบาล หลวงพ่อท่านจะไม่ให้พระเข้าไปเกี่ยข้องวุ่นวายด้วยหรอก ไม่ให้ไป ไม่ให้ลูกศิษย์ลูกหาเอ่ยถึงโรงพยาบาล เราก็รักษาไปตามมีตามเกิด บางทีเขาก็เอายาสมุนไพรบ้านนอก เอามาแช่มาฝน นั่นแหละคือการรักษาของท่าน
   ถ้าหลวงพ่อท่านเป็นหนักเข้า ๆ หนักมาก ๆ เนื้อตัวของท่านจะเขียวคล้ำ ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่าถึงที่สุดแล้ว ตอนนั้นท่านก็เป็นหนักมาก ท่านนอนอยู่ประเดี๋ยวก็ปุบปับลุกขึ้น ผุดลุกผุดนั่งแล้วก็นอนลง ลุกนั่งแล้วก็นอนลงเหมือนไม่รู้ตัว ตอนนั้นมีพระอาจารย์เที่ยงคอยระวังดูแลรักษาท่านในขณะนั้นทั้งพระ เณร แม่ชี และโยมต่างก็เงียบกันหมด สายตาทุกคู่ต่างก็จ้องไปที่หลวงพ่อเป็นจุดเดียว ท่านลุกขึ้นมาอีก ทีนี้นั่งโยกไปโยกมา แบบทรงตัวไม่ค่อยจะอยู่ แล้วท่านก็มองไปมองมา เหลือบมาเห็นขันน้ำยาสมุนไพรตั้งอยู่ข้าง ๆ ตัวท่าน ท่านก็ยกขันน้ำนั้นขึ้นมา แล้วก็เทราดศรีษะของท่านจนหมดขัน เปียกปอนไปหมดทั้งตัว พระอาจารย์เที่ยงก็จับไว้ไม่ทัน เสร็จแล้วท่านก็วางขันปุ๊บ ประเดี๋ยวเดียวท่านก็นั่งสมาธินิ่ง... เงียบ... ขณะที่ท่านเข้าสมาธินี้ ลูกวัดตลอดจนญาติโยมต่างก็พากันหน้าตาตื่น ตกอกตกใจไปตาม ๆ กัน

     เช้าของวันต่อมาท่านก็ยังไม่หายย แต่หลาย ๆ วันต่อมาอาการของท่านก็ดีขึ้น ก็ไม่รู้ว่าท่านฉันอะไร ท่านจึงหาย แต่พอท่านหายแล้วลูกวัดก็ป่วยกันใหญ่ ทั้งพระทั้งชีป่วยกันเป็นแถว ป่วยกันหนักแทบทุกคน หลวงพ่อท่านก็บอกให้ไปเอาบอระเพ็ดมาตำ บอระเพ็ดนี้ใช้ท่อนยาวประมาณแค่คืบของผู้ป่วย เอามาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วตำจนละเอียด คั้นกับน้ำประมาณ ๑ แก้ว กรองด้วยผ้าบางให้ได้น้ำข้น ๆ แล้วกลั้นใจกลืนให้หมด”