วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

๕.ประวัติหลวงปู่ชา สุภัทโท - พบธรรม ๑.

ผจญฝูงหมาป่า


     วันหนึ่งหลวงพ่อและคณะได้เดินทางมาถึงป่าชายเขาแห่งหนึ่ง เวลานั้นใกล้จะมืดเต็มทีแล้วก็เลยหาที่ปักกลด เวลาล่วงไปประมาณสามทุ่มเศษ ๆ ไม่ได้หมาป่าฝูงหนึ่งวิ่งผ่านมา เมื่อพวกมันเหลือบมาเห็นท่านเข้า ต่างก็วิ่งกรูกันเข้ามาจะทำอันตราย หลวงพ่อรู้สึกตกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยเอาผ้ามุ้งกลดลง ตั้งสติ กำหนดจิต อธิฐานว่า

      “ข้ามาที่นี่ไม่ได้มาเพื่อเบียดเบียนใคร มาเพื่อต้องการบำเพ็ญคุณความดี มุ่งต่อความพ้นทุกข์ ถ้าหากว่าเราเคยได้กระทำกรรมต่อกันมา ก็ขอให้กัดข้าให้ตายไปเสียเถิด เพื่อเป็นการชดใช้หนี้กรรมเก่า แต่ถ้าไม่เคยมีเวรมีภัยต่อกันแล้ว ก็ขอให้หลีกไป”

      นั่งหลับตาภาวนาปลงสังขาร ยอมสละชีวิต หมาป่าเหล่านั้นก็วิ่งวนไปวนมาอ้อมกลดอยู่ทั้งเห่าทั้งขู่คำราม ทำท่าจะบุกเข้ามาในกลด จิตเกิดความรู้สึกกลัวมาก นั่งไปได้สักพักหนึ่ง ก็ปรากฏเห็นหลวงปู่มั่น ฉายไฟแวบ ๆ มา พอมาถึงท่าน ก็ตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า

      “ไป๊! พวกสูจะมาทำอะไรเขาอยู่ที่นี่เล่า” ท่านเงื้อท่อนไม้ขึ้นคล้ายจะตี หมาป่าเหล่านั้นก็แตกตื่นวิ่งหนีไป หลวงพ่อคิดว่าท่านหลวงปู่มั่นมาช่วยจริง ๆ ก็เลยลืมตาขึ้น ก็ไม่เห็นอะไรฝูงหมาป่าก็หายไปด้วย ไม่มีเหลืออยู่เลยแม้แต่ตัวเดียว







อยู่ป่าช้าครั้งแรก

      รุ่งเช้าหลวงพ่อกับคณะเดินทางถึงวัดโปร่งคลอง ซึ่งเป็นสำนักของพระอาจารย์คำดี ได้ขอเข้าพำนักบำเพ็ญภาวนาด้วย ขณะนั้นเป็นฤดูแล้งพื้นดินแห้ง เหมาะแก่การพักตามโคนไม้ พระบางรูปในสำนักจึงไปอยู่ป่าช้า เพื่อหาความวิเวก หลวงพ่อเกิดความสนใจ อยากจะไปทดลองดู เพราะไม่ลองก็คงไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร และจะมีประโยชน์ต่อการปฏิบัติอย่างใดบ้าง แต่ขณะเดียวกันอีกใจหนึ่งก็ไม่ยอมไป ความกลัวผียังฝังอยู่ในจิต แต่ในที่สุดท่านก็บังคับตัวเองให้ไปจนได้

      “ตอนบ่าย ๆ กลัวมากไม่อยากจะไป จะทำยังไงก็ไม่ได้ บอกให้ไปมันก็ไม่ไป ชวนเอาตาปะขาวแก้วไปด้วย ไปให้มันตายเสีย ถ้าหากจะถึงที่ตายก็ให้มันตายเสีย มันลำบากนัก โง่นักก็ให้มันตายเสีย พูดอยู่ในใจอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ใจก็ไม่อยากจะไปนั่นแหละ แต่ก็บังคับมัน จะรอให้พร้อมหมดทุกอย่างนั้นมันไม่พร้อมหรอก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้ทรมานมัน ต้องพามันไป โอ๊ย! พอไปถึงป่าช้าแล้วไม่เคยเลย ในชีวิตไม่เคยอยู่ป่าช้า ตาปะขาวจะมาอยู่ใกล้ ๆ ไม่ยอมให้อยู่ ให้หนีไปอยู่นู้นไกล ๆ โน่น ความจริงแล้วก็อยากให้เขามาอยู่ใกล้ ๆ เหมือนกัน แต่ก็กลัวจิตจะไปยึด คิดว่ามีเพื่อนอยู่ใกล้ ๆ มันจะไม่กลัว ก็เลยไม่เอา ให้หนีไปไกล ๆ เดี๋ยวตัวเองจะไปคิดอาศัยเขา กลัวนักก็ให้มันตายเสีย คืนนี้ มันจะเป็นยังไง ทั้งกลัว ทั้งทำนะ ไม่ใช่ว่าไม่กลัว แต่ก็กล้า อย่างมากก็ถึงที่ตายเท่านั้นแหละ

     พลบค่ำลงสักนิด ก็พอดีเลย โชคดี เขาหามศพโตงเตง ๆ มาที่นี่ ฮือ! ทำไมถึงเหมาะกันอย่างนี้ โอ๊ย! เดินไปก็แทบจะไม่รู้สึกว่าเท้าแตะพื้นดินเลยทีนี้ หนี! เขานิมนต์ให้ไปมาติกา ไม่ไปมาติกาให้ใครทั้งนั้นแหละ หนี! ไปได้สักพักหนึ่งก็กลับมา เขาก็ยิ่งเอาศพมาฝังไว้ใกล้ ๆ ที่ปักกลด ไม้ไผ่ที่หามศพเขาเอามาสับฟากทำเป็นแคร่ให้นั่ง ฮือ! จะทำยังดีละทีนี้ หมู่บ้านกับป่าช้าก็ห่างกันประมาณ ๒-๓ กิโลโน่นแหละ มีแต่ตายเท่านั้นแหละ ทีนี้จะทำยังไง ก็ยอมตายเท่านั้นแหละ ตาปะขาจะเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ ก็ไล่ให้ไป ให้มันตายเสีย ทำไมมันกลัวเอานักหนา ทีนี้จะได้สนุกันแหละ ไม่กล้าทำก็ไม่รู้จักหรอกว่าเป็นอย่างไร โอ๊ย! ช่างมีรสมีชาติจริง ๆ เดินก็แทบจะไม่รู้สึกว่าเท้าแตะดิน มืดลง ๆ จะไปที่ไหนล่ะทีนี้ อยู่กลางป่าช้าโน่น เอ้า! ให้มึงตาย มึงเกิดมาตายมิใช่หรือ ต่อสู้กันอยู่อย่างนั้นแหละ

      พอตะวันลับของฟ้าไป ความรู้สึกก็บอกให้เข้าไปอยู่ในกลด เดินก็ก้าวขาไม่ออก ความรู้สึกก็เร้าให้เข้าไปอยู่ในกลด เดินจงกรมอยู่ด้านหน้ากลดที่ปักไว้ ตรงกันข้ามกับที่ฝังศพ ตอนเดินหันหน้าไปทางที่ปักกลดไว้ ค่อยยังชั่ว แต่พอหันหลังกลับ เดินไปไม่รู้เป็นยังไง เหมือนกับมีอะไรมาดึงทางด้านหลัง เย็นวูบ ๆ วาบ ๆ อย่างนี้แหละฝึกหัด กลัวมากเดินไม่ได้ก้าวขาไม่ออกก็หยุด หายแล้วก็เดินต่อไป เมื่อมืดลงพอสมควรก็เข้าไปอยู่ในกลด รู้สึกโล่งอกไปเป็นกอง สบายใจเหมือนกับอยู่ภายในกำแพง ๗ ชั้น เห็นบาตรตัวเองใบเดียว ก็เป็นเหมือนกับเพื่อน จิตมันไม่มีที่พึ่ง เลยไปพึ่งบาตร นี่แหละเราจะได้ดูจิตของเรา นั่งอยู่ในกลด เฝ้าสังเกตดูผีหลอกอยู่ตลอดคืนจนสว่าง ไม่ได้นอนแม้แต่สักนิดเลย มันกลัว ทั้งกลัวทั้งกล้าฝึกกล้าทำ นั่งจ้องอยู่ตลอดคืน ไม่ง่วงนอนเลย ความง่วงมันก็กลัวผีหลอกเหมือนกัน นั่งอยู่ตลอดคืนอย่างนั้นแหละ ใครล่ะจะกล้าทำ เรื่องของการปฏิบัตินี้ ถ้าจะเอาตามใจของตัวเองแล้วใครล่ะจะทำ มันกลัวถึงขนาดนี้น่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าเราไม่ทำ มันไม่เกิดประโยชน์ เพราะไม่ได้ปฏิบัติ นี่แหละเราได้ปฏิบัติ 

      พอรุ่งเช้าขึ้นมา โอ๊ย! รู้สึกดีใจมาก ไม่ตายแล้วเราทีนี้ รู้สึกสบายใจจริง ๆ อยากให้มีแต่กลางวันทั้งหมดไม่อยากให้มีกลางคืน ความรู้สึกภายในใจอยากฆ่ากลางคืนทิ้ง อยากให้มีแต่กลางวัน สบายใจ ฮือ! ไม่ตายแล้วเราครั้งนี้ ตอนกลางวันก็ได้พักบ้างนิดหน่อย ใจดีไปได้ประมาณ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ คิดว่าไม่มีอะไร มีแต่ความกลัวเฉย ๆ คืนที่สองคิดว่าคงจะได้ภาวนาสบายเพราะมันผ่านมาแล้ว คืนนี้ก็ไม่เห็นมีอะไร

      ได้ทดลองกระทั่งสุนัข ไปบิณฑบาตคนเดียว สุนัขวิ่งตามหลังมันจะกัด เอ้า! ไม่ไล่มันแหละให้มันกัดเสีย มีแต่เรื่องจะตายทั้งนั้นแหละ มันงับแล้วงับอีก โดนมั่งไม่โดนมั่ง รู้สึกแปลบ ๆ ปลาบ ๆ บางทีก็นึกว่าปลีแข้งขาดไปอย่างนั้นแหละ แม่ออกชาวภูไทก็ไม่ช่วยจับสุนัข เพราะคิดว่าผีไปกับพระมันจึงเห่าและไล่กัดผี ก็เลยปล่อย ไม่ไล่มันแหละ ให้มันกัดเสีย เมื่อคืนก็กลัวจนเกือบจะตายอยู่แล้ พอตอนเช้าสุนัขก็ยังจะมาไล่กัดอีก ก็ให้มันกัดเสีย ถ้าแต่ก่อนเราเคยได้กัดมัน แต่มันก็งับผิดงับถูกไปอย่างนั้นเอง นี้แหละเราฝึกหัดตัวของเรา

     บิณฑบาตได้มาก็ฉัน พอฉันจังหันเสร็จก็ดีใจ แดดออกมาบ้างรู้สึกอบอุ่น ได้พักผ่อนพอสมควรแล้วก็เดินจงกรม ตอนเย็นก็คงจะภาวนาดีแหละทีนี้ ได้ทดลองมาแล้วคืนหนึ่ง คงจะไม่เป็นอะไร

      พอตกตอนบ่าย ๆ เอาอีกแล้ว หามมาอีกแล้ว ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่เสียด้วยี ทีนี้ยิ่งหนักเข้าไปอีก เอามาเผาอยู่ใกล้ ๆ ข้างหน้าที่ปักกลดเสียด้วยซ้ำทีนี้ โอย! ยิ่งร้ายกว่าเมื่อคืนวานนี้เสียอีก ดีเหมือนกันเขามาเผาเขาช่วยกัน แต่เขาให้ไปพิจารณาศพไม่ไป พอเขากลับหมดแล้วจึงไป โอ๊ย! เขากลับไปหมดแล้ว เผาผีให้เราดูอยู่คนเดียว ไม่รู้จะทำยังไงละ โอย! ไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบมาเทียบให้ฟังได้ เรื่องความกลัวนี่ ยิ่งกลางคืนด้วยสิ ไฟที่กองฟอนเผาศพเขียว ๆ แดง ๆ พึ่บพั่บ ๆลุกบ้างไม่ลุกบ้าง จะเดินจงกรมไปข้างหน้าด้านกองฟอนก็ไปไม่ได้ พอมืดสนิท ก็เข้าไปในกลดเหมือนเดิม อยู่ในป่าช้ารก ๆ เหม็นกลิ่นควันไฟเผาศพทั้งคืนเลย ยิ่งร้ายกว่าเมื่อวานนี้อีก ไฟลุกพรึบ ๆ พรึบ ๆ นั่งหันหลังให้กับกองไฟจนลืมนอนไม่รู้จักว่าจะนอนยังไง และก็ไม่เคยคิดเลย่าจะนอนมันตื่นเต้นตาในอยู่ตลอดคืน มันกลัว กลัวก็ไม่รู้จะไปอาศัยใคร มีแต่เราคนเดียวเท่านั้น ก็ต้องอาศัยเราเท่านั้นแหละ ไม่มีที่ไป คิดจะไปที่ไหนก็ไม่มีที่จะไป เพราะกลางคืนมันมืดอย่างสนิท ก็นั่งตายอยู่ตรงนั้นแหละ จะไปที่ไหนล่ะ ถ้าพูดถึงใจ ถามมันดูว่า มันอยากจะมาทำอย่างนี้ไหม โอย! ถ้าไปทำตามมัน มันจะอยากไปทำไม แล้วใครล่ะเคยคิดอยากจะมาทรมานตัวเองอย่างนี้ ถ้าไม่เชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในด้านผลของการประพฤติปฏิบัติ

      นั่งหันหลังให้กองไฟ จะบังเอิญอะไรไม่รู้ ตอนนั้นดึกประมาณ ๔ ทุ่ม มีเสียงอยู่ข้างหลังในกองไฟดังทึ่งทั่ง ๆ สงสัยว่าศพกลิ้งตกลงมานอกกองฟอน สุนัขจิ้งจอกมาแย่งกันกัดกินซากศพหรือยังไงหนอ แต่ก็ไม่ใช่ นั่งฟังอยู่ ฟังไปอีกคล้าย ๆ เสียงดังครืดคราด ๆ อยู่อย่างนั้นเอ้า ! ช่างหัวมันเถอะ อีกสักครูก็เดินเข้ามาหา เหมือนเสียงคนเดิมเข้ามาทางด้านหลัง เดินหนัก ๆ เหมือนควายแต่ไม่ใช่ ตอนนั้นประมาณเดือนสาม ใบไม้กำลังร่วง บริเวณนั้น ใบกุงร่วงกองกันอยู่เกลื่อนกล่นฟังดูได้ยินเสียงเหยียบใบกุงใบใหญ่ เสียงหนัก ๆ ดับโคบ ๆ 

      บริเวณข้างที่ปักกลดมีจอมปลวกอยู่ลูกหนึ่ง ได้ยินเสียงเดินอ้อมจอมปลวกเข้ามาหา ก็เลยนึกว่า มันจะเข้ามาทำอะไรก็สุดแล้วแต่ เพราะเรายอมตายแล้วนี่ จะคิดหนีไปไหน แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่เข้ามา เดินโครม ๆ ออกไปข้างหน้าโน้น ตรงไปหาตาปะขาวแก้วโน่น จนเงียบเสียงเพราะอยู่ไกลกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร เพราะมีแต่ความกลัว จึงทำให้คิดไปหลายอย่าง

      นานประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ได้ยินเสียงเดินกลับมาอีกแล้ว เดินกลับมาจากตาปะขาวแก้ว เหมือนเสียงคนจริง ๆ เดินตรงเข้ามาเหมือนจะเดินเข้ามาเหยียบพระเข้าอย่างนั้นแหละ จะนั่งหลับตาอยู่อย่างนี้แหละ จะไม่ยอมลืมดูมันละ จะตายก็ให้มันตายอยู่อย่างนี้แหละ พอเดินมาถึงก็หยุด กึ๊ก! ยืนยิ่งเงียบอยู่ข้างหน้ากลด รู้สึกเหมือนกับว่า มันเอามือที่ถูกไฟไหม้มาคว้าไปคว้ามาอยู่ตรงหน้าอย่างนั้นแหละ โอ๊ย! ตายคราวนี้แหละ แข็งกระด้างไปหมดทั้งตัว ลืมพุทโธ ธัมโม สังโฆ หมดทุกสิ่งทุกอย่าง มีแต่ความกลัวอย่างเดียวเต็มตื้นอยู่ในความรู้สึกอัดแน่นตรึงอยู่เหมือนกลอง คิดไปไหนก็ไม่ไป มีแต่ความกลัว คิดไป คิดไปถึงครั้งวันเกิดมาไม่เคยมีเลยที่จะกลัวเอามากมายถึงขนาดนี้ ไม่รู้จักพุทโธ ธัมโม สังโฆอะไรเลย แน่นตรึงเหมือนกลองเพล เอ้า! มึงอยู่อย่างนี้ กูก็จะอยู่อย่างนี้ ความคิดมันไม่ออกไม่เข้า ไม่รู้ว่าที่นั่งนี่ นั่งอยู่บนอาสนะหรือลอยอยู่บนอาสนะก็ไม่รู้เหมือนกัน มีแต่กำหนดผู้รู้ไว้อย่างเดียวเท่านั้น

     มันกลัวมาก ๆ ก็คงเหมือนกับเราตักน้ำใส่ตุ่ม ตักใส่มาก ๆ มันเลยล้นปากตุ่มออกมา คงจะเป็นอย่างนั้น มันกลัวมาก กลัวมาก ๆ ก็เลยออกมา เลยถามตัวเองว่า ที่มึงกลัว ๆ นี่มึงกลัวอะไร ทำไมถึงกลัวเอานักหนา ไม่ได้พูดดอก ใจมันพูดของมันเอง ก็มีคำตอบสวนขึ้นมาว่า กลัวตาย มันว่าอย่างนั้น ก็เลยถามต่อไปอีกว่า ตายมันอยู่ที่ไหน ทำไมถึงกลัวเกินชาวบ้านชาวเมืองเขาเอานักหนา ถามหาความตาย ถามไปถามมา ได้คำตอบว่าตายมันอยู่กับเรา เมื่อมันอยู่กับเราแล้วจะหนีไปที่ไหนจึงจะพ้น จะวิ่งหนี มันก็วิ่งไปด้วย จะนั่งอยู่ มันก็นั่งอยู่ด้วย ลุกขึ้นเดินหนี มันก็เดินไปด้วย เพราะความตายมันอยู่กับเรา มันไม่มีที่จะไปดอก ความตายนี้ ถึงกลัวไม่กลัมันก็ต้องตายเพราะความตายอยู่ที่เรานี้เอง หนีมันไม่ได้ดอก พูดตัดบทขึ้นมาอย่างนี้

      เมื่อคำถามและคำตอบจบลง อาการความรู้สึกที่เป็นสัญญาแบบเก่า ๆ พลิกขึ้นมา เปลี่ยนขึ้นมาใหม่ ความกลัวที่มีอยู่มาก ๆ หายออกไป เหมือนหน้ามือกับหลังมือ เมื่อเราพลิกกลับ รู้สึกอัศจรรย์มาก ที่ความกลัวมาก ๆ มันหายไปได้ ความไม่กลัวขึ้นมาแทนที่แห่งเดียวกันนี้ โอ๊ย! ใจของเราทีนี้สูงขึ้นจดฟ้านู้นแหละ เมื่อชนะความกลัวนั้นแล้ว ฝนก็เทลงมา ฝนโบกขรพรรษหรือยังไงก็ไม่ทราบ ทั้งเสียงฟ้าเสียงลมเสียงฝน ดังสนั่นหวั่นไหว จนไม่รู้จักกลัวตาย ต้นไม้ล้มลงมาก็ไม่ได้สนใจ ฝนลงหนักมาก ผ้าผ่อนเปียกหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนตัวเราก็นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ต่อมาก็ร้องไห้ มันร้องไห้เองของมัน น้ำตาไหลพรั่งพรูลงมาอาบแก้ม ก่อนจะร้องไห้ ก็เพราะคิดไปว่าเราเปรียบเสมือนลูกไม่มีพ่อมีแม่แท้ ๆ มานั่งตากฝนอยู่จนตัวสั่นเหมือนคนไม่มีอะไร คิดต่อไปอีกว่า คนที่เขานอนอยู่บ้านอยู่เรือนดี ๆ คืนนี้เขาคงไม่คิดเลยว่า พระนั่งตากฝนอยู่ตลอดคืนก็มีอยู่ เขาคงจะไม่คิด เขาคงจะนอนคลุมผ้าห่มสบายอยู่ที่บ้าน ส่วนตัวเรานี้มานั่งตากฝนอยู่ตลอดคืน มันเรื่องอะไรหนอ คิดไปอย่างนี้แหละ มันวิตกไป แล้วสังเวชชีวิตตัวเองเลยร้องไห้ น้ำตาไหลพราก ๆ เอ้า! น้ำไม่ดีนี่ให้มันไหลออกให้หมด อย่าไปเหลืออยู่ นี้แหละปฏิบัติ มันเอาของมันอยู่อย่างนั้น ที่นี้ไม่รู้จะบอกยังไง เรื่องที่มันเป็นต่อ ๆ ไป ไม่รู้จะบอกยังไง เรามีแต่นั่งอยู่เฉย ๆ เมื่อชนะแล้วมันก็เอาของมันอยู่อย่างนั้น สารพัดจะรู้จะเห็น จะเป็นต่าง ๆ นานาสุดที่จะพรรณนาให้จบลงได้ คิดถึงที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ วิญญูชนย่อมรู้เฉพาะตนเอง ช่างจริงเหลือเกินหนอ เราทุกข์ เราตากฝนอยู่อย่างนี้ แล้วใครจะรู้ด้วยกับเรา ก็รู้แต่ตัวเราเท่านั้น มันก็เป็นปัจจัตตังอย่างนี้แหละ กลัวมาก ๆ แล้วมันหายกลัว จะไปเล่ากับใครหนอมันเป็นปัจจัตตัง ยิ่งพิจารณา ๆ เข้าไป ยิ่งแน่นอนเข้าไป ใจก็ยิ่งมีกำลังมากขึ้นศรัทธาก็มากขึ้น พิจารณาจนสว่าง

      พอสว่างลืมตาขึ้น มองไปทางไหนเหลืองไปหมดทั้งโลกเลย อันตรายหาย ตอนกลางคืนอยู่ในกลดรู้สึกปวดปัสสาวะ แต่เพราะความกลัวไม่กล้าลุก ก็เลยอดกลั้นเอาไว้ นาน ๆ ไปก็เลยหายปวด ตอนเช้าลุกขึ้นมา มองไปทางไหนก็เหลืองไปหมด เหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้า ลองปัสสาวะดู เพราะปวดตั้งแต่ตอนกลางคืนปัสสาวะออกมาก็มีแต่เลือด สงสัยว่าข้างในฉีดหรือขาด ตกใจคิดว่าข้างใจคงจะขาดแน่ ๆ ก็มีตอบสวนขึ้นมาทันทีว่า ขาดใครทำให้ขาด มันขาดของมันเอง มันพูดแก้ความสงสัยเองขึ้นมาทันทีอย่างฉับไว ขาดก็ขาด ตายก็ตายเสียซิ เราก็นั่งเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรนี่ อยากจะขาดก็ขาดเสียซิ มันว่าของมันอย่างนั้น เหมือนกับคนแย่งอะไรกันนี้แหละคนหนึ่งดึงไป อีกคนหนึ่งดึงกลับมา

      ใจหนึ่งเบียดเข้ามาว่าเป็นอันตราย ใจหนึ่งก็กลับสู้ทันที ปัสสาวะเลือดออกเป็นแท่ง ๆ คิดขึ้นมาว่า จะไปหายาที่ไหนหนอ ไม่ไปหามันล่ะ จะไปหาที่ไหน เป็นพระจะไปขุดรากไม้ได้หรือ ถ้าสมควรจะตายก็ให้มันตายเท่านั้นแหละ จะทำยังไงได้ล่ะ ตายก็ดี ตายเพราะการบำเพ็ญภาวนานี่ตายก็เต็มใจที่จะตาย ตายเพราะการทำชั่วนั้นไม่คุ้มค่า ตายอย่างนี้สมควรแล้ว เอ้า ! ตายก็ตาย มันว่าของมันอย่างนั้น

      ฝนตกตลอดคืน พอรุ่งเช้าขึ้นมาก็เป็นไข้ สั่นสะท้านไปทั้งตัว ทีนี้ก็ไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้านไม่ได้กับข้าวอะไรเลย บิณฑบาตแล้วก็กลับมาที่พัก เห็นโยมผู้เฒ่าคนหนึ่งถือถั่งสองสามฝักกับขวดน้ำปลาเดินตามหลังมา ก็เลยคิดปรารภกับตัวเองว่า โยมเขาจะเอาทั่วมาตำส้มถวายเราจะฉันไหมหนอ ก็คิดอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ จนโยมเขาลงมือทำ เราเองก็ไม่รู้ว่าจะฉันหรือไม่ฉัน เพราะคิดว่าตำส้มมันแสลงไข้ จะแพ้ เขาก็กำลังทำของเขาอยู่ เราก็คิดของเราอยู่อย่างนั้น จะฉันไหมหนอ ๆเพราะไม่มีกับข้าวอะไรเลย อยู่ในป่า มีแต่ข้าวเปล่า ๆ ไม่มีอาหาร เขาก็ทำของเขาอยู่อย่างนั้น เราก็พิจารณาของเราอยู่อย่างนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะถวายเราหรือไม่ แต่ก็พิจาณาอยู่อย่างนั้น เสร็จแล้วเขาก็เอามาถวาย ก็รับไว้ รับแล้วก็ตักลงในบาตรแต่ก็ยังไม่กล้าฉัน พิจารณาอยู่อย่างนั้น ก็เลยนึกได้ว่า ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้อยู่ว่ามันแสลงไข้ ถ้าเราฉันก็เพราะตัณหาเท่านั้นแหละ หรือมันจะเป็นอะไรพิจารณาไม่ออก คิดกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น ฉันข้าวเปล่า ๆ ดูมันไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็เลยคิดตกลงใจว่า เป็นตัณหาก็เป็ฯเท่านั้นแหละ ถ้ามีอาหารอย่างอื่นอยู่แล้วเรายังดื้นฉัน ก็อาจจะเป็น นี่มันมีอย่างเดียว ก็ฉันจะเป็นอะไร เมื่อมันแสลงไข้จะทำอย่างไร แสลงไข้ก็ไม่ถึงกับตายดอก หนึ่ง ต้องมีคนมาช่วย สอง มันต้องอาเจียนออกมา ไม่เป็นไรดอกถ้าไม่ถึงที่ตาย ถ้าถึงที่ตายแล้วคนที่จะมาช่วยแก้ไขก็ไม่มีหรอก มันตายเลยแหละ เมื่อตกลงใจได้ความแล้วก็เลยฉัน เพราะได้พิจารณาจนหายสงสัยแล้วจึงฉัน ฉันเสร็จก็ให้พอแก่โยมแล้วเขาก็กลับไป

      ตกตอนเที่ยงนึกถึงส้มตำถั่วขึ้นมารู้สึกมึนงงวิงเวียนศรีษะ ขนหัวลุกซู่ ซู่ มีอาการคล้ายจะเป็นไข้ ไม่ถูกกับส้มตำถั่วจริง ๆ เอ้า! เป็นอะไรก็เป็นกัน ถ้าไม่มีคนมาแก้ไขมันก็อ้วกออกมาเองดอก ถ้าไม่ถึงที่ตาย เอ้า! ดันไปดันมา ประมาณบ่ายโมง เลยอ้วกออกมาจริง ๆ ไม่ถึงคราวมันก็ต้องอาเจียนออก ถ้าไม่อาเจียนออกต้องมีคนมาช่วยแก้ไข พิจารณาไปอย่างนั้น ที่ไหนจะไปตามใจมัน”

     เมื่อท่านได้พักบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่ป่าช้าแห่งนี้ได้ ๗ วัน ก็มีอาการไข้หนัก จึงได้ย้ายลงมาพักรักษาตัวอยู่กับท่านอาจารย์คำดี พักอยู่ได้ประมาณ ๑๐ วัน อาการไข้ทุเลาลง จึงได้กราบลาท่านอาจารย์คำดี เดินทางไปถึงบริเวณป่าละเมาใกล้บ้านต้อง จึงพักปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายวัน หลังจากนั้นจึงได้เดินทางต่อไปจถึงวัดป่าเมธาวิเวก บ้านหนองฮี ตำบลหนองฮี อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม ซึ่งมีพระอาจารย์กินรี จนฺทิโย เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นั่น ได้พักปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านหลายวัน หลังจากนั้นจึงกราบลาท่านเดินธุดงค์ต่อไปเรื่อย ๆ