วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

๑๔.ทำวัตรเช้า


         ชีวิตในป่าพง ถูกปลุกให้ลุกขึ้นมารับวันใหม่ในเวลา ๓ นาฬิกา ด้วยสัญญาณระฆังที่มีเสียงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดังก้องกังวานออกมาจากหอระฆังอันสูงใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ริมโรงฉัน

ภิกษุสามเณรจะเดินออกมาจากกุฏิในราวป่า พร้อมกับนำบริขารไปวางไว้ที่โรงฉัน จากนั้นก็ห่มจีวรแล้วเดินอย่างสำรวม ขึ้นไปนั่งสมาธิบนธรรมศาลา หรือที่โบสถ์ในบางฤดู

การเคลื่อนไหวร่างกาย การวางสิ่งของเครื่องใช้ เช่น วางย่าม ปูผ้านิสีทนะ (ผ้าปูนั่ง) จะกระทำกันอย่างเบาที่สุด เพื่อมิให้เกิดเสียงรบกวนผู้อื่น

ครั้นเวลาผ่านไปพอสมควร พระอาวุโสจะให้สัญญาณเตรียมกราบพระพร้อมกันด้วยเสียงระฆังใบเล็ก ๆ และนำสวดมนต์ภาษาบาลีพร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย

ท่วงทำนองลีลาเรียบ ๆ ของเสียงสวดมนต์ที่ประสานกลมกลืนกัน ถูกสาธยายออกมาจากปาก จากใจอันปรารภความเพียร ก่อให้เกิดศรัทธา และความซาบซึ้งเป็นธรรมสังเวชในเนื้อหาของบทสวดมนต์ ที่บรรยายถึงคุณแห่งพระรัตนตรัย และสัจจะของชีวิตที่อุบัติขึ้นมาท่ามกลางห้วงแห่งความทุกข์ แล้วจบลงด้วยความโศกเศร้าจากมหันตภัยของความแก่ ความเจ็บ ความตาย

บทสวดมนต์จะให้สัจธรรมอันลึกซึ้ง บ่งบอกถึงความจริงของชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และหนทางที่นำสัตว์ออกจากทุกข์ด้วยพุทธวิธีต่าง ๆ อันเป็นพระธรรมคำสั่งสอนจากพระโอษฐ์ จากน้ำพระทัยอันบริสุทธิ์ กอปรด้วยพระปัญญาและพระกรุณาธิคุณ เป็นธรรมอันบริสุทธิ์ควรค่าแก่การนำไปเป็นคติธรรมเพื่อดำเนินชีวิตให้พ้นจากการย่ำยีของกิเลสตัณหา

เมื่อเสียงสาธยายธรรมเงียบลง ความสงัดวิเวก วังเวงแห่งธรรมชาติของป่าในปัจฉิมยามก็คืบคลานเข้ามาแทนที่ หมู่ภิกษุสามเณรยังคงนั่งทำสมาธิต่อไปด้วยความสงบ จนกว่าเสียงระฆังจะดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง การทำวัตรเช้าจึงจะยุติลง