วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

๒.ประวัติหลวงปู่ชา สุภัทโท - บรรพชาครั้งแรก

บรรพชา

    หลังจากเข้าไปเป็นเด็กวัด ได้รับการอบรมพอสมควรและมีอายุถึงเกณฑ์บรรพชา ท่านเจ้าอาวาสเห็นว่าเป็นเด็กเรียบร้อย ทั้งขยันหมั่นเพียร รู้จักอุปัฏฐากรับใช้ครูบาอาจารย์ด้วยดีมาตลอด จึงจัดการให้ได้บรรพชาพร้อมกับเพื่อน ๆ อีกหลายคน ที่วัดบ้านก่อ โดยมีพระครูวิจิตรธรรมภาณี (พวง) เจ้าอาวาสวัดมณีวนาราม จ.อุบลราชธานี ในเวลานั้นเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๗๔ ขณะนั้นหลวงพ่อายุได้ ๑๓ ปีพอดี
 เมื่อบรรพชาแล้ว นอกจากการท่องบทสวดมนต์ต่าง ๆ สามเณรชาได้เรียนหลักสูตรนักธรรมตรีและเรียนหนังสือพื้นเมืองที่เรียกว่า หนังสือตัวธรรมอย่างเชี่ยวชาญ

ลาสิกขาบ

      ระหว่างที่บรรพชาอยู่นั้น สามเณรชาได้อุปัฏฐากรับใช้ครูบาอาจารย์รูปหนึ่งคือ ท่านอาจารย์ลัง จนได้รับความรักใครเอ็นดูจากท่านเป็นพิเศษ พระอาจารย์ลังได้เป็นธุระในการอบรมสั่งสอน และเอาใจใส่ดูแลการศึกษาเล่าเรียนของสามเณรอย่างใกล้ชิด เป็นเหตุให้ได้รู้จักกับครอบครัวของลูกศิษย์ด้วย เมื่อมีโอกาสว่างพระอาจารย์ลังก็มักชวนสามเณรกลับไปเยี่ยมบ้านและไปบ่อยขึ้นทุกที บางทีก็อยู่จนดึกจึงกลับวัด ในระยะหลัง ๆ พระอาจารย์ก็ปรารภเรื่องทางโลกบ่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งก็ได้ชักชวนให้ลูกศิษย์ลาสิกขาบทไปด้วยกัน จิตใจของสามเณรน้อยก็หวั่นไหว เพราะศรัทธาในพระศาสนายังไม่หนักแน่นมั่นคงพอที่จะอยู่ต่อได้ถ้าอาจารย์จากไป เมื่อถูกครูบาอาจารย์ชวนบ่อย ๆ ก็เลยลาสิกขาตามไปในที่สุด ตอนนั้นอายุได้ ๑๖ ปี
 ต่อมาไม่นาน ทิดลังก็ได้มาสู่ขอนางสาววสา ช่วงโชติ พี่สาวของเซียงชาไปเป็นภรรยา แต่ก็อยู่กินกันได้ไม่นาน

สองเกลอกลัวผี

    เมื่อลาสิกขาบทกลับมาอยู่บ้านแล้ว เซียงชาก็ได้เป็นกำลังสำคัญของครอบครัวในกิจการงานต่าง ๆ โดยเฉพาะการทำนาซึ่งเป็นอาชีพหลักของครอบครัว ทำให้บิดามารดาได้รับความสุขสบายขึ้นพอสมควร อย่างไรก็ตาม เซียงชาก็รู้สึกอยู่บ่อย ๆ ว่าชีวิตคฤหัสถ์นั้นไร้แก่นสาร ดังที่ท่านเคยเล่าความรู้สึกของตนเองในตอนนั้น ให้ลูกศิษย์ฟังในภายหลังว่า

“เบื่อ ไม่อยากอยู่กับพ่อแม่ คิดไปก็เบื่อ คิดอยากไปคนเดียวเรื่อย ๆ ไม่รู้จะไปทางไหน มันเป็นอยู่อย่างนั้นหลายปีเหมือนกัน ชอบคิดในใจ เบื่อ มันเบื่ออะไรก็ไม่รู้ มันอยากจะไปไหน ๆ คนเดียว อันนี้เป็นอยู่ระยะหนึ่งถึงได้มาบวช นี่มันเป็นนิสัย แต่ว่าเราก็ไม่รู้มัน แต่ว่าอาการมันเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดมา...”

 แต่เมื่อยังไม่เห็นทางออก เซียงชาก็พยายามคิดเรื่องอื่นที่สนุกสนาน เช่นการเที่ยวเตร่กับเพื่อนฝูง เพื่อกลบเกลื่อนความเบื่อหน่ายนั้นเสีย

เพื่อนเที่ยวในวัยหนุ่มของเซียงชา ก็คือ เซียงพุฒ ทุมมาภรณ์ เพื่อนเล่นในวัยเด็กนั่นเอง ทั้งสองชวนกันไปเที่ยวสนุกสนานกํฐเพื่อนตามประปาหนุ่มชาวบ้านทั่ว ๆ ไป บางทีก็ชวนกันไปจีบสาวบ้านใกล้บ้าง บ้านไกลบ้าง ตอนนั้นเพื่อน ๆ ได้เห็นความอดทนของหลวงพ่อแล้ว บางทีไปเที่ยวงานบ้านอื่น เดินไปเดินกลับถึง ๓๐ กิโลเมตร เพื่อนอยากหยุดพักระหว่างทางบ้าน แต่ท่านไม่ยอมหยุดเลย ต้องไปให้ถึงบ้านก่อน

 เซียงชาเป็นคนบ้านก้นถ้วย ส่วนเซียงพุฒอยู่บ้านก่อใน ทั้งสองหมู่บ้านห่างกันประมาณ ๑ กิโลเมตร การไปมาหาสู่กันต้องเดินผ่านป่าดอนเจ้าปู่ ซึ่งเป็นที่หวาดกลัวของชาวบ้านแถบนั้น ฉะนั้นวันไหนไปเที่ยวด้วยกันแล้วกลับดึก ทั้งสองจะต้องนอนค้างที่บ้านของคนใดคนหนึ่ง เนื่องจากต่างคนต่างก็กลัวผีขนาดหนัก ไม่มีใครกล้าเดินกลับคนเดียว


พบรัก

    ถึงแม้ว่านายพุฒได้พานายชาไปเที่ยวจีบสาวในหมู่บ้านทั้งใกล้และไกลมาแล้วหลายแห่ง แต่ในที่สุดนายชาก็มามีความสัมพันธ์รักกับนางสาวจ่าย ซึ่งเป็นลูกติดแม่เลี้ยงของนายพุฒ ส่วนนายพุฒเป็นลูกติดทางพ่อและอาศัยอยู่บ้านของตา ซึ่งอยู่ใกล้กันกับบ้านของนางสาวจ่าย เรื่องรักของนายชาและนางสาวจ่ายนี้ ทุกคนในครอบครัวของนายพุฒก็รู้ดี และไม่มีใครรังเกียจ โดยเฉพาะพ่อแม่ของสาวนั้นมีความพอใจรักใครนายชาเสมือนบุตรของตนเอง เพราะเห็นว่าเป็นคนหนุ่มที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อม ทั้งโดยส่วนตัวและฐานะทางครอบครัว พ่อแม่สาวถึงกับกีดกันหนุ่มอื่นขนาดไม่ยอมให้ขึ้นบันไดบ้านเลยทีเดียว
สองหนุ่มสาวได้ให้สัญญาต่อกันไว้ว่า จะรอจนกว่านายชาผ่านพ้นการเกณฑ์ทหาร แล้วบวชทดแทนคุณบิดามารดาสัก ๑ พรรษาเสียก่อน หลังจากนั้นเมื่อทุกอย่างพร้อม ก็จะแต่งงานกันทันที เวลานั้นนายชามีอายุได้ ๑๙ ปี ส่วนสาวเจ้ามีอายุเพียง ๑๗ ปี


เสียรักเพราะนา

    ย่างเข้าฤดูฝน ทุกบ้านต่างขมีขมันจัดเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือในการทำนา นายชาก็เช่นเดียวกัน ได้จัดสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ บรรทุกเกวียน เคลื่อนย้ายออกไปสู่กระท่อมกลางนาแล้วก็ง่วนอยู่กับการเตรียมงาน มีการจัดหาอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น คราด ไถ แอก จอบไว้ให้พร้อม รอการปักดำ ทำนา
  ส่วนทางบ้านของนายพุฒและนางสาวจ่าย บิดามารดาของคนทั้งสองปรึกษาหารือกันเรื่องการทำนา ซึ่งกำลังเป็นปัญหาเพราะขาดแรงงานสำคัญ ทั้งสามีภรรยาเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะให้นางสาวจ่ายแต่งงานมีคู่ครองเสีย จะได้มีสามีมาช่วยทำนา แต่ก็มองไม่เห็นว่าจะให้แต่งกับใคร นายชาที่หมายปองอยู่นั้นเล่าก็ยังไม่พร้อมสักที คงต้องรออีกหลายปี ในที่สุดฝ่ายสามีจึงโพล่งออกมาว่า “ให้แต่งกับไอ้พุฒลูกชายของเรานี่แหละ” ด้วยเหตุผลและความเหมาะสมคือทั้งสองหนุ่มสาว รู้จักสนิทสนมกันดีอยู่แล้วเหมือนพี่น้อง แต่ไม่ใช่ร่วมบิดามารดาเดียวกัน ประกอบกับเหตุผลทางเศรษฐกิจด้วย เข้าทำนอง “เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน” ส่วนนายพุฒและนางสาวจ่าย แม้จะรู้สึกกระอักกระอ่วน เพราะมีความรู้สึกต่อกันเหมือนพี่น้องจริง ๆ แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธหรือขัดขืนความประสงค์ของพ่อแม่ได้


ไม่ยอมเสียเพื่อน

    หลายปีต่อมา หลวงพ่อได้พูดถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ ขณะที่ได้ทราบข่าว ซึ่งไม่เคยคาดคิดว่าจะมีขึ้นได้ ให้ลูกศิษย์ฟัง

“เมื่อตอนที่ผมอายุ ๑๘ ผมชอบผู้หญิงคนหนึ่ง เขาก็คงชอบผมเหมือนกัน ชอบกันไปก็ชอบกันมาตามแบบฉบับชาวบ้าน ผมหลงรักเขาจนติดลึก ภาษาชาวบ้านก็ว่า จะเอาเป็นเมียนั่นแหละ ผมฝันว่าจะมีเขามาอยู่ข้างเคียง ช่วยกันทำไร่ทำนา หากินกันไปตามประสาโลก อยู่มาวันหนึ่งผมกลับจากนา สวนทางกับเพื่อนรัก เขาบอกผมว่า ชา...อีนางเราเอาแล้วนะ ผมฟังแล้วตัวชาไปหมดซึมไปหลายชั่วโมง นึกถึงคำหมอดูว่าผมจะไม่มีเมีย แต่มีลูกเยอะ ตอนนั้นผมก็สงสัยว่า จะเป็นไปได้อย่างไร”

 แต่ในที่สุดนายชาก็ทำใจได้ไม่โกรธแค้นเพื่อน เพราะรู้ว่าไม่มีเจตนาจะหักหลังท่าน หากจำใจปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ใหญ่ แต่ความผิดหวังครั้งนี้เป็นบทเรียนเรื่องความไม่แน่นอนที่ถึงใจ กลายเป็นคำที่ท่านใช้บ่อยที่สุดในการอบรมลูกศิษย์ลูกหาของท่านในเวลาต่อมา

  นายชายังรักษาความสัมพันธ์ฉันเพื่อนที่ดีกับนายพุฒเสมอ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สำหรับแม่จ่ายนั้นตรงกันข้าม หลวงพ่อเล่าว่า ท่านต้องระวังตัวมาก แม้เมื่อบวชแล้ว ถ้าเห็นแม่จ่ายมาท่านต้องรีบหลบเข้าป่าไป

 เจ็ดปีแรกที่บวช หลวงพ่อยอมรับว่าท่านยังตัดอาลัยในแม่จ่ายไม่ขาดเลย จนออกธุดงค์เจริญกรรมฐานแล้วนั่นแหละ ความรู้สึกจึงค่อยจางหายไป เมื่อท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพงแล้ว ระหว่างการอบรมพระเณรในเรื่องโทษของกาม หลวงพ่อมักพูดถึงพ่อพุฒในฐานะคนที่มีบุญคุณต่อท่านมาก “ถ้าหากได้แต่งงานกับแม่จ่ายผมคงไม่ได้บวช” ท่านว่าอย่างนั้น แต่เมื่อเราดูบารมีอันเต็มเปี่ยมของหลวงพ่อแล้วก็สันนิษฐานได้ว่า ถ้าอุปสรรคนี้ไม่เกิดขึ้นก็คงจะมีอย่างอื่น เพราะชีวิตของท่านค่อย ๆ ก้าวเข้าไปสู่ความร่มเย็นของพระธรรมอย่างไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้


หวุดหวิด 

 ในชีวิตแห่งการประพฤติปฏิบัติของหลวงพ่อ มารร้ายที่คุกคามและท้าทายพรหมจรรย์ของท่าน ทำให้ต้องต่อสู้ขับเคี่ยวกันอยู่หลายปีกว่าจะเอาชนะได้ ก็คือ กามราคะหรือความต้องการทางเพศ สมัยยังหนุ่มก่อนที่จะได้อุปสมบท ก็เคยมีเหตุการณ์ซึ่งทำให้ท่านต้องต่อสู้ และเอาชนะกามราคะเสมือนเป็นการชิมลาง ก่อนที่ท่านจะได้พบกับการต่อสู้อันหนักหน่วง และยืดเยื้อในเพศบรรพชิตภายหลัง เรื่องมีอยู่ว่าสมัยที่บวชเป็นสามเณรอยู่นั้น ท่านได้รู้จักคุ้นเคยกับรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งบวชเป็นพระ แม้เมื่อสิกขาลาเพศออกมาแล้ว ก็ยังคงไปมาหาสู่กันด้วยความรักและนับถือเสมือนพี่น้องเสมอมา

    ต่อมาเพื่อนรุ่นพี่คนนั้นเกิดป่วยหนักและถึงแก่กรรมลง นายชาก็ไปช่วยงานศพตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งพิธีเผาศพผ่านไป เพื่อน ๆ ที่ไปช่วยงานพากันกลับหมด เหลือนายชาที่สนิทสนมคุ้นเคยกับครอบครัวนี้มากมีความเป็นห่วงว่าภรรยาและลูก ๆ ของผู้ตายจะรู้สึกว้าเหว่ จึงได้พักค้างคืนอยู่เป็นเพื่อนก่อน ถึงเวลาเข้านอนภรรยาและลูก ๆ ของผู้ตายก็นอนในห้อง ส่วนนายชาเขาจัดให้นอนคนเดียวที่ชานบ้าน คืนแรกผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คืนที่สอง ตกดึกภรรยาของผู้ตายก็แอบมานอนอยู่ข้าง ๆ พร้อมทั้งจับมือของนายชาไปลูบไล้เรือนร่างของนาง แต่นายชาก็แกล้งทำเป็นนอนหลับเหมือนไม่รับรู้อะไร เมื่อนางเห็นว่าจะไม่ได้รับการตอบสนอง ก็ลุกเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอย่างเดิม

  คืนนั้นจิตใจของนายชาคงปั่นป่วนและสับสน แต่อย่างไรก็ตามก็นับเป็นการเอาชนะกามราคะครั้งแรกในชีวิต ชนะด้วยความอดทน เพราะความเคารพเพื่อนที่เพิ่งสิ้นบุญ เพราะความสำนึกในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมมีพลังมากกว่ากิเลส ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจึงได้ตั้งมั่นเป็นที่พึ่งของนายชาในขณะนั้น

      จากเหตุการณ์ครั้งนี้จะเห็นคุณธรรมคือความอดทนและความละอายต่อบาปของนายชา ซึ่งกลายเป็นคุณธรรมเด่นของท่านในเวลาต่อมาเมื่อครองเพศบรรพชิต ความรู้สึกสลดสังเวชที่เกิดขึ้นจากการได้สัมผัสความจริงของโลกมายาแห่งฆราวาสวิสัยเป็นครั้งแรกนี้ ได้กระตุ้นความคิดบางอย่างที่ก่อตัวอยู่ลึก ๆ ภายในจิตใจของท่านให้ค่อย ๆ เจริญงอกงามขึ้นมา เป็นความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะออกบวชเพื่อหาทางหลุดพ้นให้ได้