วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การปฎิบัติภาวนาจิต(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) ตอนที่ ๒


และอีกทางที่สอง เมื่อจิตสงบละเอียดลงไป ละเอียดลงไป สมาธิจิตเกิดความสว่างไหว แต่ร่างกายยังปรากฏอยู่ จิตยังเสวยปีติสุขซึ่งเกิดจากสมาธิ ในช่วงนี้ถ้าจิตส่งกระแสออกไปนอกจะเกิดภาพนิมิตต่าง ๆ ขึ้นมา บางทีเป็นภาพคน ภาพสัตว์ ภาพเทวดา อินพรหม ยมยักษ์ บางทีเห็นครูบาอาจารย์มาหา มาเทศให้ฟัง บางที้เห็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เสด็จมาโปรด แล้วก็มาเทศน์ให้ฟัง

ทีนี้เมื่อเกิดนิมิตขึ้นมาอย่างนี้ ท่านพ่อลีสอนว่าอย่างไร

ท่านว่าอย่าไปแปลกใจ อย่าไปตกใจ อย่าไปเอะใจ อย่าไปยึดในนิมิตนั้น อย่าไปสำคัญมั่นหมายว่ามีอะไรมาปรากฏตัวให้เรานึกเราเห็น ถ้ายังกำหนดจิตได้อยู่ ท่านก็ให้กำหนดรู้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คือ “จิตของเราปรุงแต่งขึ้นเท่านั้น” ไม่ใช่อื่นไกล มันเป็นมโนภาพซึ่งเกิดขึ้นกับจิตของเราเอง จิตของเราเป็นผู้ปรุงผู้แต่งขึ้นมา

ทางแก้ก็คือก็คือมีสติกำหนดรู้จิตนี้เฉยอยู่เท่านั้น

ถ้าหากนิมิตที่มองเห็นในสมาธิเป็นภาพนิ่ง แน่วแน่ ไม่ไหวติง

หรือบางทีออกจากสมาธิมาแล้วลืมตาก็เห็น หลับตาก็เห็น อันนี้ท่านเรียกว่า อุคหนิมิต คือนิมิตติดตาหรือจิตกำหนดดูภาพนิ่ง

ทีนี้เมื่อจิตมีพลังแก่กล้ามากขึ้น จิตสามารถปรุงแต่งนิมิตนั้นให้มีการเปลี่ยนแปลงยักย้าย บางทีนิมิตนั้นล้มตายลงไป ขึ้นอึด เน่าเปื่อย พุพัง แล้วก็สลายตัวไปต่อหน้าต่อตา

หรือบางทีก็ปรากฏเป็นนิมิตขึ้นมาว่าร่างกายที่แตกสลายแล้วแยกออกไปเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟหรือบางทีเกิดไฟลุกไหม้ร่างที่นอนตายอยู่นั้น เป็นเถ้าเป็นถ่านเป็นกลบไปหมดหรือบางทีนิมิตนั้นเกิดขึ้นแล้วก็หายไป เกิดขึ้นมาใหม่ มีอันเปลี่ยนแปลงยักย้ายอยู่ตลอดเวลา อันนี้ท่านเรียกว่า “ปฏิภาคนิมิต”

เมื่อจิตกำหนดหมายรู้ความเปลี่ยนแปลงแห่งนิมิตนั้น แสดงว่าจิตของผู้ปฏิบัติกำลังจะก้าวขึ้นสู่ภูมิวิปัสสนาจิตถอดออกจากสมาธิมาแล้วเกิดความคิดบริสุทธิ์นั่นเป็นจุดเริ่มของวิปัสสนา
ที่นี่จิตสงบเป็นสมาธิแล้วได้ “อุคหนิมิตเป็นสมถะกรรมฐาน”

ถ้าได้ปฏิภาคนิมิต จิตกำลังเริ่มจะก้าวขึ้นสู่ภูมิวิปัสสนา ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น จิตเค้าจะปฏิวัติตัวไปเองโดยอัตโนมัติ

ถ้าสิ่งใดที่เราตั้งใจปรุงแต่งจะให้เป็นไปอย่างนั้น ๆ ๆ ๆ อาศัยความคิดให้แน่วแน่ มันก็เกิดเป็นนิมิตอันนั้นเรียกว่า “นิมิตที่เราปรุงแต่ง”แต่ว่าหากจิตสงบแล้วมันเกิดนิมิตขึ้นมาเอง เราเรียกว่า “นิมิตมันเป็นเอง”

อันนี้ลักษณะที่จิตพุ่งกระแสออกไปข้างนอกจะเป็นอย่างนี้ยิ่งกว่านั้นในบางครั้ง เมื่อจิตมุ่งกระแสออกไปข้างนอกที่ติดอกติดใจ เช่นเห็นครูบาอาจารย์ หรือเทวดาอินพรหมยมยักษ์ เลยติดใจในภาพนิมิตนั้นก็เดินตามเค้าไป แต่ปรากฏเหมือนกับว่าเรามีร่าง ๆ หนึ่งเดินตามเค้าไป
เค้าจะพาเราไปเที่ยวนรก เค้าจะพาเราไปเที่ยวสวรรค์ หรือบางทีเค้าจะพาเราไปดูเมืองนิพพานซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็เป็นมโนภาพขึ้นมาทั้งนั้น ๆ

ที่นี้ตอนนี้เมื่อจิตเป็นไปอย่างนั้น ผู้ปฏิบัติไม่มีทางที่จะไปบังคับไม่มีทางที่จะไปตกแต่งจิตให้เป็นอย่างไร นอกจากจิตของเราจะปรุงแต่งไปเองตามอัตโนมัติ ในเมื่อไปสุดช่วงของมันแล้วมันก็จะย้อนกลับมาเอง อันนี้ธรรมชาติของสมาธิที่มันเป็นไปถ้าหากระแสจิตส่งออกไปนอกมันจะเป็นอย่างนี้

ยิ่งกว่านั้นในบางครั้งมันอาจจะไปรู้เรื่องลับ ๆ ลี้ ๆ อันเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตา เช่น ไปรู้วาระจิตของคนอื่น ไปรู้ความประพฤติของคนอื่น หรือไปรู้ทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นผลพลอยได้อันเกิดจากการปฏิบัติสมาธิ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

อันนี้เป็นทางหนึ่งที่จิตจะเป็นไป...

ถ้าท่านผู้ใดมีประสบการณ์ตามที่กล่าวมาแล้วนี้ ก็ปล่อยให้จิตมันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน

มันไปสุดช่วงของมันแล้วมันจะย้อนกลับมาเอง

จิตมันไปดูข้างนอก มันไปสำรวจโลก เพื่อมันจะได้รู้ว่า “โลกะวิทู” นั้นคืออะไร

นี่เป็นสองทางแล้วที่จิตจะเป็นไป