วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

๖.ประวัติหลวงปู่ชา สุภัทโท - พบธรรม ๒.


ทุกข์เพราะบริขาร

    เมื่อเลิกเป็นพระธุดงค์เคลื่อนที่ ที่รอนแรมไปตามป่าเขาลำเนาไพร มาเป็นพระธุดงค์อยู่กับที่ ในฐานะเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนสานุศิษย์เป็นประจำแล้ว หลวงพ่อมักแทรกประสบการณ์จากชีวิตธุดงค์แต่หนหลังเข้ามาในคำสอน เพื่อเป็นคติธรรมเตือนศิษยานุศิษย์เสมอ และครั้งใดปรารภเรื่องส่วนตัว ท่านก็มักเล่าด้วยอารมณ์ขัน เปิดเผยกิเลสของตัวเองและปัญหาต่าง ๆ ที่ท่านเคยผ่านพบ ซึ่งทำให้ลูกศิษย์ได้กำลังใจว่า แม้ครูบาอาจารย์เองออกปฏิบัติใหม่ ๆ ก็มีปัญหาเหมือนกัน ครั้งหนึ่งท่านเล่าถึงนิสัยเดิมของท่านว่าเป็นประเภทโลภจริต ปีแรกที่ออกธุดงค์ท่านก็มีความอยากในเรื่องของบริขารมาก

    “...พอไปปฏิบัติเข้าหมู่ครูบาอาจารย์ ไปเห็นบริขารของท่านล้วนแต่สวย ๆ งาม ๆ บาตรของท่านก็สะอาด จีวรของท่านก็สีสันวรรณะดี ของตัวเองไม่มีอะไรสวยสักอย่าง โอย ! อยากได้จีวร สังฆาฏิ ๒ ชั้นก็ยังไม่ได้ นั่งที่ไหนก็ไม่เป็นสุข

    ขึ้นไปกิ่งอำเภอศรีสงครามหลวงพ่อพุฒท่านให้จีวรมาผืนหนึ่งท่านใช้มา ๔ ปีแล้ว ดีใจมาก ชายผ้าขาดหมดแล้ว ก็อุตส่าห์หาผ้าอาบน้ำฝนมาเย็บ แล้วย้อมสีใหม่ สีย้อมใหม่กับสีย้อมเก่าตัดกันมองดูเหมือนลายผ้าซิ่งของภูไท ไปบิณฑบาตคนมองกันใหญ่ เขามองมาก ๆ จนท้อใจ แล้เลยมีปัญหามันอายเขาน่ะ เดี๋ยวก็เอามาย้อมสีใหม่ ย้อมเท่าไร ๆ ก็ไม่สวย เพราะผ้ามันเก่า พระครูจันทร์ ท่านแนะนำว่า อยากได้ก็ให้ขอท่าน แต่ก็ไม่ยอมขอ อยู่มาอย่างนั้นแหละ

    จนกระทั่งอาจารย์ไสวท่านเห็นความอดทน เห็นปฏิปทา ท่านก็เลยตัดถวาย ทีนี้เลยสบาย ถ้าไปขอท่านเสียแต่แรกคงไม่สบาย เพราะมันมาด้วยความอยาก ทีนี้ความเห็นมันเลยสลับกัน ถ้าเป็นของที่ซื้อมา สั่งมา หรือขอเขามา จะดียังไงก็เห็นเป็นของไม่ดีไปหมด แต่ถ้าเป็นของที่ได้มาเอง แม้ไม่ค่อยดี แตกหักพอซ่อมแซมใช้ได้ ก็ดูเป็นของดียิ่งนัก

    ตอนขึ้นไปศรีสงครามนั้นมีผ้าอังสะผืนเล็ก ๆ ผืนเดียว ขอก็ไม่ได้ จะเป็นอาบัติ ไม่รู้จะทำยังไง มันอยากได้ จิตมันดิ้นรนกระวนกระวาย ห่วงอยู่จนกระทั่งตัดจีวรเป็น คิดอยู่นั่นแหละว่าได้ผ้ามาจะทำอย่างไร ทั้ง ๆ ไม่รู้หรอกว่าใครจะเอามาถวาย เดินจงกรมก็นึกขีดตารางจีวร ได้ผ้ามาเมื่อไรละก็จะจัดการเลย กังวลอยู่นั่นแล้ว

    เดินไปบิณฑบาตก็เห็นแต่รอยขีดตารางจีวร ขีดจนเข้าใจ กำหนดจิตเป็นตัวหมัดตัวเล็น ยิ่งตัดผ้าสังฆาฏิ ๒ ชั้น ไม่เคยเห็นใครตัดมาก่อนเลย มาคิดเอาเอง มันสนใจมาก อยากได้มาก เลยคิดใหญ่ คิดวิธีเย็บตัว เย็บตะเข็บ คิดทุกแง่ทุกมุม จนเป็น เห็นทุกอย่างชัดแจ้งใจ เป็น ! พอเป็นแล้วได้ผ้ามาก็เอาเลยทีนี้ ก็มันเป็นแล้วนี่ ใจเห็นมันเป็น มาตัดก็เป็นเลย ทั้งตัดจีวร ทั้งตัดสังฆาฏิ ยิ่งตัดสังฆาฏิ ๒ ชั้นยิ่งเก่ง จะไม่เป็นได้ยังไง มันลูบคลำอยู่อย่างนั้น

   นี่แหละท่านว่า สนใจที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น การภานาเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าสนใจจริง ๆ นะ มันไม่ค่อยหลับ มันไม่ค่อยนอน มันตื่น มันเพ่ง มันมอง ไอ้นั่นเป็นนั่น ไอ้นี่เป็นนี่ จนมันเป็นละ สมัยนั้นก็เรียกว่า ฟังครูบาอาจารย์เทศน์ให้ฟัง ปล่อยวาง ปล่อยวาง ก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ท่านอาจารย์กินรีให้เย็บผ้าไตรจีวร เย็บไม่หยุด อยากจะให้มันเสร็จเร็ว ๆ เดี๋ยวนั้น คิดว่าให้มันเสร็จจะได้หมดเรื่องหมดราวไป จะได้ภาวนากัน วันหนึ่งท่านอาจารย์เดินมา เย็บผ้าตากแดดอยู่ไม่รู้ตัวเลย อยากให้มันเสร็จ จะได้ทำความเพียรอย่างเดียว

ท่านถามว่า  ท่านจะรีบไปไหนเล่า?   ผมจะรีบทำให้มันเสร็จ
เสร็จแล้วท่านจะไปทำอะไร?  จะไปทำอันนั้นอีก
เมื่ออันนี้เสร็จจะไปทำอะไรอีกเล่า? ผมจะไปทำอันนั้นอีก
อันนั้นเสร็จแล้วท่านจะไปทำอะไร?
เลยไม่จบสักที ท่านอาจารย์จึงอบรมว่า

    ท่านรู้ไหมว่าทำอย่างนี้แหละคือภาวนา ท่านจะรีบไปไหนเล่า ทำอย่างนี้มันเสียแล้วนี่มันเสียแล้ว ความอยากมันเกิดขึ้นท่วมหัว ท่านไม่รู้เรื่องของตัวเอง

    เอ้อ ! สว่างไปอีกแล้ว นึกว่าเราทำบุญ เราทำแน่นอน รีบทำเพื่ออยากจะให้มันเสร็จ คิดว่ามันดีแล้ว ท่านก็ยังมาติเราอีกว่าอันนี้ไม่ใช่ ๆ ท่านจะรีบไปไหนเล่า...”





ไม่เป็นผู้ขอ


    “ผ้าสบงที่เราใช้ไปสองปีแล้วจนจะขาดหมด จะนั่งแต่ละครั้งต้องถลกผ้าขึ้นมานิดหนึ่งเสียก่อน เพราะผ้าที่เก่าจนขาดมันจะติดตัว ไม่ลื่นเหมือนผ้าใหม่ ตอนนั้นอยู่บ้านป่าตาวกำลังกวาดลานวัด เหงื่ออก เผลอนั่งลงเลย ไม่ได้ถลกผ้าขึ้น ขาดแควกตรงก้นพอดี ต้องเอาผ้าขาวม้ามาเปลี่ยน แต่หาผ้ามาปะสบงไม่ได้ ต้องเอาผ้าเช็ดเท้าไปซักให้สะอาดแล้วเอามาปะข้างใน

    เลยมานั่งคิดว่า เอ! พระพุทธเจ้านี้ทำไมทำให้คนต้องทนทุกข์จังเลย ขอคนก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ นึกท้อใจ เพราะจีวรก็ขาด สบงก็ขาด มานั่งภาวนา ก็ตั้งใจได้ใหม่ คิดว่าเอาเถอะ จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ถอยละ ไม่มีผ้าก็ไม่ต้องนุ่ง จะเปลือยมันเลยทีนี้ ใจมันฮึดถึงขนาดนั้นทีเดียว คิดว่าทำให้ถึงที่สุดแล้ว ดูซิมันจะเป็นยังไง จากนั้นมาก็นุ่งผ้าปะหน้าปะหลังมาเรื่อย ไปถึงไหนก็นุ่งมันอย่างนั้นแหละ

    ปีนั้นเป็นปีที่มีเดือนแปด ๒ หน ไปกราบอาจารย์กินรีอีกครั้ง ไปอยู่กับท่านก็ไม่เหมือนคนอื่น เพราะธรรมเนียมของท่านไม่เหมือนใคร ท่านก็มอง ๆ อยู่ เราก็ไม่ขอ ถ้ามันขาดอีกก็หาผ้ามาปะเข้าไปอีก ท่านก็ไม่ได้เอ่ยปากให้อยู่ด้วย เราก็ไม่ได้ขออยู่เหมือนกัน แต่ก็อยู่กับท่านน่ะแหละปฏิบัติไปทำไป ต่างคนต่างไม่พูด ใครจะเก่งกว่ากันว่างั้นเถอะ จวนเข้าพรรษาท่านคงไปบอกญาติของท่านว่า มีพระมารูปหนึ่ง จีวรขาดหมดแล้ว ให้ตัดผ้าไตรไปถวายด้วยเถอะ เพราะมีคนเอาผ้ามาถวาย เป็นผ้าทอเอง หนาทีเดียว ย้อมแก่นขนุน ก็เอาด้านจูงผีน่ะแหละมาเย็บ เย็บด้วยมือทั้งผืนเลย พวกโยมชีเขาช่วยกันเย็บให้ ดีใจที่สุด ใช้อยู่ ๔-๕ ปีก็ไม่ขาด ใช้ครั้งแรกก็ดูกระปุกกระปุย เพราะผ้าใหม่มันกระด้าง ยังไม่กระชับตัว เวลาเดินเสียงดังสวบสาบ ยิ่งใส่สังฆาฏิ ๒ ชั้นเข้าไปยิ่งดูอ้วนใหญ่ แต่เราก็ไม่เคยบ่น ใส่ไปได้สักปีสองปีน่ะแหละผ้าจึงอ่อนตัวลง ก็ได้อาศัยผ้าผืนนั้นมาเรื่อย ยังนึกถึงบุญคุณของท่านอยู่เสมอ เพราะท่านให้มาโดยที่เราไม่ได้ขอ เป็นบุญมาก ตั้งแต่ได้ผ้าผืนนั้นมาก็รู้สึกสบายกายสบายใจ

    มองดูการกระทำของตัวเอง ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน จนถึงอนาคต ทำให้นึกได้ว่ากรรมใดทำไปแล้วไม่ผิด ไม่ทำให้เดือดร้อน มีแต่ความสบายใจ กรรมนั้นดี มีความเห็นอยู่อย่างนั้น เห็นจริงตามนั้น ก็รู้สึกว่าชักเข้าท่า เลยเร่งการภาวนาเป็นการใหญ่ ไม่หยุดเลย ผ้าผืนนั้นนะ ใส่ขึ้นภูเจอเสือเหลืองผมว่ามันไม่กล้ากัดแน่ พอมันโฮกมาเจอก็จะงักจังงังไปเลย

   แต่ปัญหาใหญ่ในการปฏิบัติของหลวงพ่อในช่วงนี้ ก็ยังคงเป็นตัวกามราคะนั่นเอง เมื่อธุดงค์ไปพักที่วัดบ้านต้อง จังหวัดนครพนมนั้น ท่านก็ต้องผจญมารคู่ปรับเก่าตัวนี้จนเกือบเสียท่า ต้องตัดสินใจเผ่นหนีกลางดึก เหตุก็เกิดเพราะแม่ม่ายสาสวยแถมรวยทรัพย์คนหนึ่ง มาถวายจังหันทุกวัน ไม่ช้าไม่นานหลวงพ่อก็รู้สึกได้ว่า สีกาม่ายคนนี้คิดมิดีมิร้ายกับท่านเข้าเสียแล้ว ตัวท่านเองจิตใจก็ชักจะหวั่นไหว มารกับธรรมะสู้รบกันอยู่อย่างหนักหน่งภายในจิตใจ กระทั่งคืนวันหนึ่งเมื่อจิตของท่านคิดปรุงแต่งเรื่องของแม่ม่าย จนรู้สึกว่าจะไว้ใจตัวเองไม่ได้แล้ว ท่านก็เลยตัดสินใจเก็บบริขารในกลางดึกคืนนั้น แล้วก็เดินอย่างกระกวีกระวาดไปปลุกพ่อแก้ว

 “ไปมื่ออื่นบ่ได้บ่ขะน่อย” (ไปพรุ่งนี้ไม่ได้หรือครับ) พ่อแก้วกราบเรียนถามอย่างงัวเงีย
 “บ่ ฟ่าวไปเดี๋ยวนี้โลด” (ไม่ รีบไปเดี๋ยวนี้เลย) หลวงพ่อตอบหนักแน่นและเด็ดขาด

    หลังจากที่มาอยู่วัดหนองป่าพงและสยบมารร้ายตัวนี้ได้อย่างราบคาบแล้ว ครั้งหนึ่งเมื่อหลวงพ่อมีโอกาสได้ไปโปรดญาติโยมที่วัดบ้านต้อง ระหว่างปรารภถึงความหลัง ท่านก็เล่าถึงการปฏิบัติของตัวเองในสมัยก่อนให้ชาวบ้านฟังอย่างขำ ๆ ว่า

 “โอย! ยากหลายแนว แต่แนวที่มันยากนำอีหลีก็เรื่องแม่ออกนี่แหละ”
 (ยากหลายอย่าง แต่ที่ยากจริง ๆ ก็เรื่องผู้หญิงนี่แหละ)

    เรื่องมันคงยากจริง ๆ อย่างที่ท่านเล่าไว้ เพราะเมื่อไปจำพรรษากับท่านอาจารย์กินรีในปีเดียวกันนั้น กามราคะก็หวนกลับมาเล่นงานท่านใหม่ และยิ่งร้ายกว่าครั้งก่อนด้วยซ้ำ ขณะที่มีความเพียรปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ในวาระหนึ่งกามราคะก็เข้ามารุมเร้าอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ หรืออยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม ปรากฏว่ามีอวัยวะเพศของผู้หญิงลอยปรากฏเต็มไปหมด เกิดความรู้สึกรุนแรงจนแทบคำความเพียรไม่ได้ ต้องอดทนต่อสู้กับความรู้สึกและนิมิตเหล่านั้นอย่างลำบากยากเย็น หลวงพ่อเล่าว่า ความรู้สึกต่อกามราคะในครั้งนั้นย่ำยีจิตใจรุนแรงพอ ๆ กับความกลัวที่เกิดขึ้นในคราวที่ไปอยู่ป่าช้าครั้งแรกนั่นเอง เดินจงกรมก็ไม่ได้ เพราะองค์กำเนิดถูกผ้าเข้าก็มีอาการไหวตัว ต้องให้เขาทำที่จงกรมในป่าทึบเพื่อเดินเฉพาะในเวลาค่ำมืดและเวลาเดินต้องถลกสบงพันเอวไว้ การต่อสู้กับกามราคะเป็นไปอย่างทรหดอดทน ขับเคี่ยวกันอยู่นานถึง ๑๐ วัน ความรู้สึกนิมิตเหล่านั้นจึงสงบและขาดหายไป

    เรื่องนี้หลวงพ่อได้เปิดเผยให้สานุศิษย์ทราบในภายหลัง ด้วยเห็นว่าเป็นคติธรรมที่ดี โดยเฉพาะแก่พระหนุ่มวัยฉกรรจ์ เพราะท่านเป็นพยานพิสูจน์ว่า กามราคะจะฮึกเหิมเท่าไร ผู้มีศรัทธายิ่งก็เอาชนะได้

    ฉะนั้นในปี พ.ศ.๒๕๑๑ เมื่อท่านพระอาจารย์มหาอมร เขมจิตฺโต ได้บันทึกชีวประวัติของหลวงพ่อตามคำบอกเล่าของท่านมาถึงตอนนี้ ก็รู้สึกไม่แน่ใจว่าสมควรจะเผยแผ่ต่อสาธารณชนหรือไม่ แต่หลวงพ่อก็ได้กำชับว่า

 “ต้องเอาลง ถ้าไม่เอาตอนนี้ลงในหนังสือด้วย ก็ไม่ต้องพิมพ์ประวัติเลย”

    ปีที่หลวงพ่อจำพรรษาที่วัดป่าหนองฮีนั้น ไม่ใช่ว่าแต่เรื่องดุเดือดวุ่นวายอย่างเดียว ตรงกันข้าม... คืนวันหนึ่งหลังจากทำความเพียรแล้ว หลวงพ่อคิดจะพักผ่อนบนกุฏิเล็ก ๆ เอนกายลงศรีษะถึงหมอนกำหนดสติ พอเคลิ้มไปเกิดนิมิตขึ้นว่าหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้มาอยู่ใกล้ ๆ นำแก้วลูกหนึ่งมายื่นให้แล้วพูดว่า “ชา เราจะให้แก้วลูกนี้แก่ท่าน มั่นมีรัศมีสว่างไสวมาก”

    หลวงพ่อได้ยื่นมือขวาออกไป รับแก้วลูกนั้นกับมือของท่าน พร้อมกับลุกขึ้นนั่ง พอรู้สึกตัวก็เห็นตัวเองยังกำมือและอยู่ในท่านั่งตามปกติ มีอาการคิดค้นธรรมะเพื่อความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติมีสติปลื้มใจตลอดพรรษา