วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

๒๓.กิจส่วนรวม


         เวลาบ่ายสองโมง เสียงระฆังจากหอระฆังดังก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณให้ภิกษุสามเณรรู้ว่า บัดนี้กาลเวลาแห่งการเสียสละมาถึงแล้ว ความเกียจคร้าน ความท้อถอยหรือมายาสาไถย คิดหลบหลีกปลีกตัว หลบซ่อน แอบแฝง มีอยู่ในจิตใจหรือไม่ ถ้าความรู้สึกเช่นนี้ยังปรากฏอยู่กับใคร แสดงว่าคุณธรรมของความเป็นสมณะ ยังอยู่ห่างไกลจากจิตใจของผู้นั้นมาก

กิจส่วนรวมประจำวัน เริ่มต้นที่การปัดกวาดโรงฉัน ศาลา โรงครัว โบสถ์ ทางเดินและห้องน้ำ ห้องส้วม กิจเหล่านี้ต้องอาศัยผู้ร่วมทำเป็นจำนวนมาก หากว่าทุกคนมีแต่ความเห็นแก่ตัว การทำงานก็ดำเนินไปด้วยความยากลำบากและสิ้นเปลืองเวลามาก แต่ภิกษุสามเณรผู้มากด้วยศรัทธาและความขยันหมั่นเพียร จะไม่ยอมบกพร่องในหน้าที่ของตนเลย ต่างพร้อมเพรียงกันปฏิบัติงานด้วยความสงบเรียบร้อย ปราศจากความเอิกเกริกเฮฮาหรือพูดคุยกันด้วยเสียงดัง

บางวันมีกิจที่ต้องใช้แรงงานมาก เช่น การปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมเสนาสนะ การเก็บกวาดใบไม้ในเขตพุทธาวาส ภิกษุสามเณรก็ต้องออกกำลังกันมากขึ้น ครูอาจารย์ให้หลักในการทำงานว่า งานคือการเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นการออกกำลังกาย ทำงานด้วยความว่าง ทำไปเรื่อย ๆ จะไม่รู้สึกว่าหนักหรือเหนื่อย และให้ถือว่าเป็นการใช้อิริยาบถให้เป็นประโยชน์ คือ แทนที่จะยืน เดิน นั่ง นอนอย่างธรรมดา แต่เราเปลี่ยนมาใช้อิริยาบถเป็นการหยิบ จับ ยก แบก หาม ทำการงานที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และประการสำคัญ จะเป็นการฝึกหัดให้มีสติควบคุมการกระทำและคำพูดของตนอยู่ตลอดเวลา ในขณะอยู่ร่วมกันในหมู่คณะมาก ๆ สามารถรู้ได้ว่า “ใครมีสติหรือใครขาดสติ” สตินี้เป็นทางให้เกิดสมาธิ สมาธิอันเกิดจากอิริยาบถที่หยาบ เป็นสมาธิที่สามารถทรงจิตใจได้นานและเป็นประโยชน์มาก

เมื่อกิจวัตรเสร็จลง พระเณรก็จะแยกย้ายกันกลับกุฏิ แสวงหาความสงบและเวลาอยู่กับตนเองให้มากที่สุด เพื่อเป็นโอกาสได้ศึกษาจิตใจของตน และพยายามชำระล้างสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ออกจากใจ ด้วยการปฏิบัติภาวนา