ป่ากับพุทธศาสนา มีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นเป็นอันหนึ่งอันเดียกัน พระพุทธเจ้าทรงประสูตร ตรัสรู้ และปรินิพพานท่ามกลางป่าเขา
แม้พระองค์มีอิสระเหนืออำนาจกิเลสตัณหาแล้ว ก็ยังดำรงพระชนม์ชีพอย่างสงบเงียบและเรียบง่ายในป่า จนกระทั่งปรินิพพาน
ป่าเป็นสถานอันเหมาะยิ่งสำหรับบำเพ็ญภาวนา เพื่อแสวงหาอิสรธรรม ดังในวิสุทธิมรรคกล่าวว่า
“พยัคฆ์ร้ายซุ่มซ่อนตัวในป่าคอยดักจับหมู่เนื้อเป็นอาหารฉันใด
พุทธบุตรผู้บำเพ็ญภาวนา มีปัญญารู้แจ้ง
ย่อมไปสู่ป่าแสวงหาอรหัตตผลฉันนั้น”
ครั้นสิ้นฤดูเข้าพรรษา ภิกษุผู้ผ่านฝึกหัดปฏิบัติในป่าพงมาอย่างน้อย ๕ ปี มีคุณสมบัติสมณะ อันกอปรด้วยศรัทธา ละอายและเกรงกลัวต่อบาปกรรม
มีความเพียร มีสติ ถึงพร้อมด้วยศีล มีความเอาใจใส่ประพฤติวัตรให้สมบูรณ์
มีความเห็นถูกต้อง ได้ยินได้ฟังมาก มีปัญญา
รู้จักว่าประพฤติเช่นใดเป็นอาบัติมิใช่อาบัติ รู้อาบัติเบาและหนักอย่างแจ่มแจ้ง จำปาฏิโมกข์ (วินัยพระ) อย่างแม่นยำ
มีความมักน้อย สันโดษในจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ ยารักษาโรค และมากด้วยความคิดในการออกจากกาม เป็น “ผู้พ้นนิสัย” คือ สามารถปกครองรักษาตนเองได้เมื่อต้องอยู่ตามลำพังโดยปราศจากครูอาจารย์
ภิกษุผู้มีคุณสมบัติดังกล่าวต่างกราบลาครูอาจารย์ จาริกรอนแรมสู่ป่าเขาเพื่อแสวงหาประสบการณ์ทางธรรมปฏิบัติ ฝึกฝนความอดทน พึ่งตนเอง แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า พัฒนาจิตใจให้หยั่งเข้าคุณธรรมอันยิ่งขึ้นไป
พระพุทธองค์ให้ความสำคัญต่อการไปสู่ป่าเพื่อบำเพ็ญภาวนามาก ดังคำตรัสที่ว่า
“ภิกษุทั้งหลายโน่นโคนไม้ โน่นเรือนว่าง พวกเธอจงเพียรเผากิเลส อย่าได้ประมาท จะได้ไม่เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลัง นี้เป็นคำสอนของเรา”